[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน => ข้อความที่เริ่มโดย: sometime ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2553 15:26:58



หัวข้อ: ความตายคืออะไร ?
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2553 15:26:58
(http://image.ohozaa.com/iq/p2090018.jpg)


เผาศพ ปลงสังขาร - นาโร่ (http://www.youtube.com/watch?v=d8GGnlJjwGg#)


โดย........อาจารย์ บุญมี เมธางกูล และ พระอาจารย์ เปลี่ยน ปัญญาปทีโป


คำำถามนี้.........เป็นคำำถามที่ให้คำำตอบกันง่าย ๆ โดยทั่วไปบุคคลทั้งหลายก็จะพากันตอบว่า ความตายคือการไม่
หายใจ ความตายก็คือการดำเนินชีวิตให้เป็นไปตามปกติธรรมดาไม่ได้ทุกอย่าง
คำำตอบเช่นนี้ก็มิได้ผิด แต่เป็นการถูกต้องผิวเผินเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง แต่ในสายตาของนักศึกษาเรื่องของ
ชีวิตจากพระอภิธรรมปิฎกมีความเข้าใจดี.................แม้คำว่า จุติ ซึ่งแปลว่าดับหรือตาย ประชาชนส่วนใหญ่ ก็ยังเข้าใจผิดไป เพราะไปเข้าใจว่า จุติได้แก่การเกิด.................บางคนเอาไปตั้งชื่อร้านค้าขำยของตนเองว่า.….จุติ.....หรือเมื่อเห็นแสงที่เรียกกันว่าดาวตกจึงได้พากันพูดว่า
เทวดาจุติ หมายความว่าเทวดาเกิดในท้องของมารดา อย่าได้ไปทักเข้า หำไม่แล้วจะเข้าไปเกิดในท้องสุนัข


ความตายก็ได้แก่ จุติหรือมรณะ


มิวจนัตถวา.......วจนํ จุติ


การเคลื่อนจากภพหนึ่ง (สู่ภพหนึ่ง) ชื่อว่า จุติ


มรณะ หรือ จุติ คือความตายนั้น จำำแนกออกไปเป็น 3 ประเภท คือ.........




หัวข้อ: Re: ความตายคืออะไร ?
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2553 15:30:21
(http://image.ohozaa.com/iq/p2090018.jpg)


1.ขณิกมรณะ การดับไปของรูป - นามที่เกิดและดับไปอยู่ตลอดเวลา
2.สมมติมรณะ คือการดับซึ่งได้แก่ความตายของคนหรือสัตว์ทั้งหลาย
3.สมจุ เฉทมรณะ ได้แก่การปรินิพพานของพระอรหันต์
ขณิกมรณะ ได้แก่การดับหรือการสลายตัวเปลี่ยนแปลงไปจนไม่เหมือนเดิมของบรรดารูปนามทั้งหลาย ไม่ว่า
จะเป็นรูปร่างกายหรือรูปอื่นใด จะเป็นจิตหรือวิญญาณ ซึ่งในวินาทีหนึ่งย่อมจะผันแปรเปลี่ยนแปลงไปมากมาย ไม่มี
ผู้ใดที่จะมาบังคับให้มันหยุดนิ่งได้ขณิกมรณะนี้ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องชีวิตภายหลังความตายนัก
ดังนั้นจึงขอ(งด)ไม่บรรยายในรายละเอียดต่อไป......................
สมุจเฉทมรณะ เป็นกำรสิ้นชีวิตของพระอรหันต์ผู้ซึ่งปราศจากกิเลสแล้ว ไม่มีการเกิดมีชีวิตขึ้นมาได้อีกต่อไป
เพราะหมดอำำนาจของเหตุปัจจัยที่จะมาส่งเสริม ดังนั้น.............จึงขอ(งด)ไม่บรรยายในรายละเอียดต่อไปด้วยเหมือนกัน
จะได้บรรยายเฉพาะสมมติมรณะซึ่งได้แก่ การดับหรือความตายของคนหรือสัตว์ทั้งหลายเท่านั้น


หัวข้อ: Re: ความตายคืออะไร ?
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2553 15:47:23
(http://image.ohozaa.com/iq/p2090018.jpg)


ถ้าหากคนเรามองดูเห็นความตายอยู่ใกล้ตนแล้วก็
จะรีบขวนขวายสร้างคุณงามความดีให้เกิดให้มีขึ้นแก่
ตนเองได้ ถ้าบุคคลไม่เจริญมรณานุสติกรรมฐานไม่ระลึก
ถึงความตายในวันหนึ่งวันหนึ่ง ไม่รู้ว่าตนเองจะตายในวัน
ใดวันหนึ่งแล้วก็ย่อมเป็นคนประมาท เป็นคนที่หลงระเริง
เพลิดเพลินอยู่ว่า ชีวิตของเรานี้จะอยู่ได้ยืนยาวนานไปหลาย
วันหลายเดือนหลายปี ก็จะมีความประมาทไม่สร้างสมอบรม
บุญบารมีให้เกิดให้มีขึ้นแก่ตน แล้วชีวิตก็จะเสียเปล่าประโยชน์
เหมือนบุคคลบางคนนี่แหละ อยู่บ้านอยู่ช่องก็ดี อยู่กับ
ลูกกับหลานก็เหมือนกัน อยู่กับพี่กับน้อง ไม่เคยไปวัดวา
อาวาส ไม่เคยศึกษา ไม่ฟังพระธรรมเทศนา ไม่ฝึกฝนอบรม
บ่มนิสัยตนเอง มัวเมาลุ่มหลงอยู่ มืดมนอนธการ ไม่รู้จัก
ประพฤติปฏิบัติ ไม่รู้คุณค่าของชีวิตของตน แล้วก็หมกมุ่น
อยู่ในความหลงเพลิดเพลินระเริงอยู่ เขาเรียกว่า หลงระเริง


หัวข้อ: Re: ความตายคืออะไร ?
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2553 15:49:42
(http://image.ohozaa.com/iq/p2090018.jpg)


ในวัยครั้นว่าวัยยังหนุ่มยังสาว ก็หลงว่า มันยังหนุ่มยังสาว
อยู่ เมื่อวัยกลางคนก็หลงว่าเรายังแข็งแรงอยู่ ไม่ควรที่จะ
เข้าวัดเข้าวา เมื่อมาถึงอายุ 50 ปี 60 ปีก็ตาม บางบุคคล
ก็ยังหลงมัวเมาว่า ตนเองยังไม่เฒ่าไม่แก่ ก็ไม่เข้าวัดฟัง
ธรรมจำศีลเจริญภาวนา แม้เฒ่าแก่ชรา 70 - 80 ปีขึ้นมา
แล้วก็จะถึง 90 ปีนี่มีน้อยคนในปัจจุบันนี้ ก็หาว่าตนเอง
เฒ่าตนเองแก่แล้ว ไปวัดฟังธรรมจำศีลไม่ได้ หู - ตา - ฝ้า - ฟาง
เดินไม่ไหว เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็เสียเปล่าประโยชน์สิในชีวิต
ของพวกเราที่เกิดขึ้นมา คนชนิดนี้ทำให้ชีวิตของเขาเกิดขึ้น
มาแล้วไม่ได้ประโยชน์อะไร เมื่อล่วงลับดับตายไปก็เสียทีที่
เกิดมาเปล่าประโยชน์ว่า ควรที่จะทำคุณงามความดีให้เกิด
ให้มีขึ้นแก่ตนเองก็ไม่ได้ ก็เลยไม่มีที่พึ่งของตน ไปเกิดใน
ภพใหม่ก็คงจะเสียเปล่าประโยชน์ในชีวิตเหตุฉะนั้น
พวกเราควรที่จะมาคิดน้อมธรรมเข้ามาสู่ตน
ว่าตนเองนี้ไม่ต้องคิดถึงวัย สมัยครั้งพุทธกาลนั้นพระ
พุทธองค์ทรงสั่งสอนไม่ให้คิดถึงวัยไม่ให้ประมาทในวัย
คำว่าไม่ประมาทในวัยว่าเรายังหนุ่มยังน้อยอยู่จะไม่เข้าวัด..........................


หัวข้อ: Re: ความตายคืออะไร ?
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2553 15:55:21
(http://image.ohozaa.com/iq/p2090018.jpg)


.....................เข้าวาไม่คิดเช่นนั้น เป็นผู้มีสติปัญญาสามารถศึกษาธรรม
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อได้ประกอบคุณงามความดี
ให้เกิดให้มีขึ้นแก่ตน เรียกว่าบุคคลไม่ประมาทในวัย เพราะ
มีความระลึกอยู่ว่าความตายนั้น ตายได้ทุกวันทุกเวลาทุก
นาทีที่มันจะตายได้ตามกายของคนเราทุกคนอยู่ในโลกนี้
เป็นไปได้ เมื่อเรามาเห็นความตายอยู่ใกล้ตนแล้ว ก็เลยไม่
มัวเมาลุ่มหลงเพลิดเพลินระเริงอยู่อะไรกับโลก มีความตั้งใจ
แสวงหาคุณงามความดี จะทำบุญทำทานการกุศลรักษาศีล
รีบขวนขวายรักษาให้เป็นผู้มีศีลมีธรรมเกิดขึ้น การเจริญ
เมตตาภาวนาก็ดี ก็พยายามขวนขวายมีความพากความ
เพียรฝึกฝนอบรมจิตใจ ฝึกหัดจัดแจงจิตใจของตนเอง แก้ไข
จิตใจของตนเองให้ได้รับความสงบร่มเย็นเป็นสุขเกิดขึ้น
เรียกว่าบุคคลที่ไม่ประมาทเมื่อหากเราจิตใจสงบเป็นสมาธิดีแ
ล้วก็จะได้พิจารณาดูว่า
รูปร่างกายสังขารของพวกเรานี้มันเกิดขึ้นมาแล้ว มันเป็น
อย่างไร ก็จะศึกษาให้รู้ให้เข้าใจว่า รูปร่างกายของ
คนเรานี้มันเป็นไตรลักษณ์ คือมันไม่เที่ยง เป็นทุกข์.................................


หัวข้อ: Re: ความตายคืออะไร ?
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2553 15:57:41
(http://image.ohozaa.com/iq/p2090018.jpg)


................เป็นอนัตตาเกิดขึ้น เพื่อจะให้รู้ให้เข้าใจได้
ถ้าบุคคลยังไม่เข้าใจก็ขอให้เรียนรู้ศึกษา เป็นสัญญาจำว่ามันเป็นอย่างนี้
คนเราเกิดขึ้นมา พอจะให้เห็นได้ว่า คนเราเกิดขึ้นมาตั้งแต่
เล็กแต่น้อยใหญ่ขึ้นมา เลยมาเป็นเด็กนักเรียนมาเป็นหนุ่ม
เป็นสาวแล้ว ก็มาผ่านกลางคนมาเฒ่ามาแก่เช่นนี้ พวกเรา
จะไม่รับรองหรือว่าเป็นของที่ไม่เที่ยง ให้พากันตั้งสติไตร่
ตรองใคร่ครวญ พินิจ - พิจารณาดูตนเองซิ ตั้งแต่ตนเองเล็กๆ
มาแล้วมันเคลื่อนไหว ไปมาขึ้นมาเรื่อย ๆ จนถึงปัจจุบันนี้
มันเป็นอย่างไร มันเที่ยงแท้แน่นอนอยู่บ้างไหม ถ้ามันเล็ก
อยู่อย่างเดิมมันก็ต้องเที่ยง มันมาเป็นหนุ่มเป็นสาว มันก็
เป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่อย่างนั้น ไม่เฒ่าไม่แก่มันจึงจะเที่ยง
เมื่อมากลางคน มันก็อยู่เป็นกลางคนมาเฒ่ามาแก่ชราภาพ
อยู่อย่างนี้หนังเหี่ยวแห้งหนังหย่อน ฟันหลุดฟันกร่อนหัว
ขาวหัวหงอก ดูสิ.........................ดูถึงขนาดนี้ ยังไม่มีสติปัญญารู้ว่าตนเอง
เฒ่าตนเองแก่เลย บางบุคคลจนเฒ่าจนแก่ชรา 50 - 60 ปี
70 ปี ยังไม่รู้ เพราะอะไร ไม่ศึกษาหลักธรรมคำสอนของ
พระพุทธเจ้า มัวเมาลุ่มหลงอยู่ จึงหลงเพลิดเพลินระเริงอยู่
เสียเปล่าประโยชน์ ควรรับรู้ให้เข้าใจอย่างนี้............................


หัวข้อ: Re: ความตายคืออะไร ?
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2553 16:00:21
(http://image.ohozaa.com/iq/p2090018.jpg)


คนเราเกิดขึ้นมานี้จะอยู่ที่ไหนก็ตาม เกิดขึ้นมาย่อมเป็นทุกข์
เป็นธรรมดา ไม่ใช่เกิดขึ้นมามีความสุขสบายอยู่ตลอด ความ
ทุกข์นั้นเหยียบย่ำยีบีฑารูปร่างกายของพวกเรา โดยโรคภัย
ไข้เจ็บนานาชนิดต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น มีทั้งร้อนทั้งหนาว ทั้ง
หิวทั้งกระหาย ทั้งอิดทั้งเหนื่อย ทั้งความโศกเศร้าโศกาอาดูร
มัวหมอง ร้องห่มร้องไห้อยู่กันทุกวันนี้ มีความเศร้าโศกเศร้า
หมองใจ มันก็มีความทุกข์เป็นธรรมชาติธรรมดา ใครจะ
หลีกเลี่ยงไปหาที่อยู่ที่ไหนในโลกนี้ เป็นอันว่าไม่มีเสียแล้ว
ใครเล่าจะเป็นคนที่ไม่มีความทุกข์ประจำสังขารอยู่ในโลกนี้เป็นอันว่าไม่มี
เหตุ......ฉะนี้จะเป็นแพทย์เป็นหมอเป็นพยาบาล ปรุงหยูก
ปรุงยาก็ดี เภสัชกรรมที่ไหน เรียนจบเภสัชกรที่ไหน เป็น
นายแพทย์ปรุงยาอะไรรักษา - โรคภัยไข้เจ็บ ก็ย่อมเกิดแก่เจ็บ
ตายในโรคภัยไข้เจ็บเหมือนกับเขา ทั้ง ๆ ที่ตนเองเป็นหมอ
ยาปรุงยาแท้ ๆ ก็ยังมีโรคภัยไข้เจ็บ อันนี้แลลักษณะแสดง
ให้เห็นว่ารูปร่างกายของเรานี้ เกิดขึ้นมาแล้วมันมีความทุกข์
ไม่ใช่ของที่จะมีความสุขอะไร ถ้าหากเราคิดว่ามันมีความ....................................


หัวข้อ: Re: ความตายคืออะไร ?
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2553 16:02:24
(http://image.ohozaa.com/iq/p2090018.jpg)


สุขเรียกว่า คนนั้นหลงรูปร่างกายนี่มีความสุขสบาย
เรียกว่าคนหลงตนเอง แท้ที่จริงมันเกิดขึ้นมาแล้ว มันมีความทุกข์
เป็นธรรมชาติบัดนี้ ของที่ที่มีความทุกข์ของนั้นก็ย่อมเป็นอนัตตา
ไม่ใช่ของบุคคลผู้ใดที่จะสามารถปกครองคุ้มครองดูแลรักษา
เอาไว้อยู่ในใต้อำนาจของตนเองได้ มีบ้างไหมพวกเราท่าน
ทั้งหลายนั่งอยู่ที่นี่ก็ดี หรืออยู่ที่อื่นก็ดี มีใครควบคุมดูแล
ตนเองได้ในโลกนี้ หากคนที่ไม่มีสติปัญญาจึงจะหาควบคุม
ดูแลบุคคลอื่นให้อยู่ใต้อำนาจของตนเอง ด้วยการทุบการตี
ก็ดี ด้วยการฆ่าฟันรันแทงก็ดี ด้วยผูกจองจำก็ดี ด้วยอำนาจ
ขู่เข็ญก็ดี ด้วยสารพัดต่าง ๆ ว่าจะให้บุคคลอื่นอยู่ใต้อำนาจของตนเอง
มันมีได้ที่ไหนในโลกนี้ มีแต่มันไม่ได้สมหวังทั้งนั้น
ใครจะไปบังคับคนอื่น ให้เชื่อฟังคำของเราหมดทุกคนเป็นไป
ไม่ได้ ไม่ให้เชื่อของเราหมดในโลกนี้ก็เป็นไปไม่ได้ มีใคร
บ้างเอาบุคคลอื่นขึ้นมายืนบนฝ่ามือ แล้วเอานิ้วมือดีดหัวมัน
ให้มันเชื่อเรา มันยอมอยู่ใต้อำนาจของเราได้ไหมในโลก
เป็นอันว่าไม่มีในโลกนี้ แต่เราปรารถนาคิดอย่างนั้น ทำให้..............................


หัวข้อ: Re: ความตายคืออะไร ?
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2553 16:05:28
(http://image.ohozaa.com/iq/p2090018.jpg)



................ตนเองพากันมีความทุกข์เปล่าประโยชน์ ควรที่เราพวกเรา
ท่านทั้งหลาย ตั้งแต่ตัวของพวกเราแท้
ดูแลไม่ได้ จะไปควบคุมดูแลบุคคลอื่นได้อย่างไร อยู่ใต้
อำนาจของเราว่าเป็นของเราได้อย่างไร ตรงนี้ควรที่จะไตร่
ตรองใคร่ครวญให้ถี่ถ้วนดูซิ ถ้าเราดูอย่างนี้ เราจึงจะปล่อย
คนอื่นได้ ถึงจะละถึงจะปล่อยวางได้ นี่เราจะไปมาหาสู่ซึ่ง
กันและกันก็ดี เราก็หนีจากกันได้ ปล่อยวางกันได้ เรียกว่า
คนบุคคลที่จะอยู่ในโลกนี้อยู่ด้วยกันก็ดี แต่แยกกันไปได้
ไปที่ไหนก็ไปได้ ไม่ใช่ผูกติดกันเอาไว้ แต่อย่างนี้แหละ เรา
คิดดูซิ เมื่อเฒ่าเมื่อแก่ก็เหมือนกัน เราก็ไม่เห็นว่าใครจะ
ควบคุมดูแลบุคคลอื่นไม่ให้เฒ่าให้แก่ได้ เมื่อมาดูตนเองแล้ว
มันก็เฒ่าก็แก่เหมือนกัน ควบคุมดูแลตนเองก็ยังคุมไม่ได้
ยังดื้อดึงจะไปคุมคนอื่น ให้อยู่ใต้อำนาจตนเองได้อย่างไรควร
แล้วที่พวกเราจะศึกษาให้เข้าใจในธรรมคำสอนของพระ
พุทธเจ้า ๆ.................................


หัวข้อ: Re: ความตายคืออะไร ?
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2553 16:07:48
(http://image.ohozaa.com/iq/p2090018.jpg)


พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนเอาไว้รูปร่างกายสังขารรูป
ธรรมอันนี้ ไม่มีบุคคลใดที่จะสามารถควบคุมดูแลให้อยู่ใต้อำนาจของตนเองได้ เขาเป็นไปตามธรรม
ชาติธรรมดาของเขา ถ้าเราไม่เชื่อเราก็ดูตนเอง มีใครบ้าง
คุมว่าอยู่เล็กๆ อยากอยู่เล็กๆอย่างนั้น มาเป็นหนุ่มเป็น
สาว ก็อยากอยู่เป็นหนุ่มเป็นสาว อย่าเฒ่าอย่าแก่ มาถึง
กลางคน 40 ปี 50 ปี ก็อย่าเฒ่าอย่าแก่ มีใครคุมได้บ้างมันก็เฒ่าก็แก่
มันเป็นไปตามธรรมชาติ หนังเหี่ยวหนังแห้ง
หนังหย่อนไป หัวขาวหัวหงอก ฟันของเราว่าเป็นของเราก็
คุมไม่ได้ ก็หลุดออกจากปากไปได้ ผมอยู่บนหัวก็ไม่ให้มัน
ขาวมันหงอก มันดำ ๆ อยากให้มันดำอยู่ มันก็ไม่ดำ มันก็
หัวขาวหัวหงอกเกิดขึ้น มันฟังเราไหม หนังของเราตึง ๆ มันก็เฒ่าก็แก่
มันเป็นไปตามธรรมชาติ หนังเหี่ยวหนังแห้ง
หนังหย่อนไป หัวขาวหัวหงอก ฟันของเราว่าเป็นของเราก็
คุมไม่ได้ ก็หลุดออกจากปากไปได้ ผมอยู่บนหัวก็ไม่ให้มัน
ขาวมันหงอก มันดำ ๆ อยากให้มันดำอยู่ มันก็ไม่ดำ มันก็
หัวขาวหัวหงอกเกิดขึ้น มันฟังเราไหม หนังของเราตึง ๆ ด้วยกัน มีที่ไหนล่ะ
มีบุคคลใดจะพากันควบคุมดูแลได้ตั้งแต่..............................


หัวข้อ: Re: ความตายคืออะไร ?
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2553 16:11:31
(http://image.ohozaa.com/iq/p2090018.jpg)


รูปร่างกายของตนเอง ก็ยังคุมไม่ได้ จะดื้อดึงไปคุมคนอื่น
ให้อยู่ใต้อำนาจของตนเองได้อย่างไร แค่ตนเองก็ยังคุมไม่
ได้ เราควรที่จะไตร่ตรองใคร่ครวญซิ สิ่งเหล่านี้แหละเรา
ว่าเป็นของเราจริงไหม ว่าเราว่าเป็นตัวเป็นตนของเราจริงไหม
เราควรดูซิ เราคุมได้ไหม ปกป้องคุ้มครองดูแลอย่างเข้มงวด
ให้อยู่ใต้อำนาจได้ไหม แล้วเวลามีความเจ็บป่วยเกิดขึ้นก็ดี
เราว่าเป็นเราอย่าเจ็บนะ อย่าป่วยนะ มันก็ต้องไม่ป่วยถ้า
เป็นเรา อันนี้มันเจ็บมันป่วยอยู่ กินหยูกกินยาไม่หายมันก็
ยังดื้อดึงเจ็บป่วยได้ นี่แหละพระพุทธเจ้าท่านสอน อยากให้ศึกษาการ
ปฏิบัติธรรม บัดนี้หากพวกเราพิจารณาดูถึงที่สุด
แล้ว เราเฒ่าเราแก่ชราภาพ หรือเขาเป็นโรคภัยไข้เจ็บนานา
ต่างๆอยู่ทุกวัน โรคอะไรก็ตาม ก็เป็นโรคกันอยู่ จะตายเร็ว
ตายช้าก็แล้วแต่ เมื่อหมอรักษาไม่หาย ฉีดยาก็ไม่หาย ผ่า
ตัดก็ไม่หาย และที่สุดมันคืออะไร ที่สุดมันก็คือตาย...........................................


หัวข้อ: Re: ความตายคืออะไร ?
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2553 16:13:42
(http://image.ohozaa.com/iq/p2090018.jpg)


บัดนี้........................ความเฒ่าความแก่ก็เหมือนกัน ไม่ได้เป็นโรคภัยไข้เจ็บ
อะไร มันเฒ่าแก่ชราภาพมาแล้ว เราไม่อยากตายหนีจากลูก
จากหลาน กำลังรักลูก กำลังรักหลาน กำลังรักเหลนอยู่กำลังรักเพื่อน
กำลังรักลูก รักหลาน เหลน เพื่อนฝูงอะไร
ต่างๆ รักสิ่งรักของอะไร ยังมีความรักความหวงแหนอยู่ แต่
เราไม่อยากพลัดพรากจากของรักของชอบใจของตน เราก็
ยังดื้อดึงตาย หนีจากเพื่อนจากฝูงจากลูกจากหลานไป จะเอา
หลานมากำแขน หรือจับแขนคนนั้นคนนี้เรารักอยู่ จะไม่ได้
จากไปนะ มันดื้อดึงตายไปได้ ทำไมมันเป็นอย่างนี้ รูปร่าง
กายของคนเรา เห็นไหมปู่ย่าตายายของพวกเราทั้งหลาย
ตายจากพวกเราไป ทั้งพ่อทั้งแม่เขาก็ตายจากพวกเราไป
อยู่เรื่อย ๆ เพื่อนฝูงก็ตายไปทุกวันทุกวันถ้าไม่เชื่อนั้น ก็ไป
ดูโรงพยาบาลใหญ่ๆ วันหนึ่งเขาตายไปกี่คน ตายด้วยโรค
อะไรบ้าง ตายด้วยเฒ่าด้วยแก่หรือโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลาย
แล้วควบคุมดูแลได้ไหม เขาควบคุมดูแลตนเองเขาได้ไหม
เขาไม่อยากตาย บัดนี้เราเอาคนอื่นเข้าไปคุมไม่ให้เขาตาย
ได้ไหม เอาไปเอามาตัวของเราก็เหมือนกัน เราคุมไม่ให้ตาย
มันก็ดื้อดึงตายเข้าไปได้ แล้วมันดื้อตายอย่างนี้ มันเป็นใคร
มันเป็นตัวเรา หรือเป็นตัวของบุคคลอื่น นั่นแหละพระพุทธ
เจ้าท่านสอน แต่ถ้าเป็นตัวเรา มันก็ไม่ตาย อันนี้ไม่ใช่เรามัน
ก็ดื้อดึงตายไปได้ แล้วมันดื้อดึงตายไปอย่างนี้ มันก็ปฏิเสธ................................


หัวข้อ: Re: ความตายคืออะไร ?
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2553 16:15:15
(http://image.ohozaa.com/iq/p2090018.jpg)


..................เสียไม่ใช่ของพวกเรา แต่พวกเราก็หวงแหน อันพวกเรา
หวงแหนพากันกินหยูกกินยา พยาบาลกันไว้จนใหญ่จนโต
ขึ้นมาอย่างนี้ เขาเรียกว่า เรารักษาไว้เพื่อสร้างความดีเท่านั้น
เอง รูปร่างกายใครจะสูงจะต่ำ จะดำจะขาว จะอ้วนจะผอม
ก็ดี จะขี้ร้ายขี้เหร่ ไม่สวยไม่งามก็ดี มันก็เหมือนกันหมด
นั่นแหละ มีความเกิดก็ไม่เที่ยง จะมาความแก่ชราก็มี ที่สุด
ก็คือความตายเหมือนกัน ราบรื่นไปเหมือนกันหมดในโลกนี้
ประเทศใดเมืองใดที่ไหนเป็นเหมือนกันหมด เหตุฉะนั้น
ธรรมะจึงมีทั่วโลก บุคคลที่มีสติปัญญาภาวนาได้ทั่วโลกไป
อยู่ที่ไหนถ้ารู้จักธรรมะ ติดตามธรรมชาติมีทั่วโลก อยู่บ้าน
อยู่ช่องอยู่ถนนหนทาง นั่งรถนั่งเรือนั่งเครื่องบินไปไหน
ภาวนาได้ทั้งนั้น เพราะเป็นคนฉลาดรู้จักว่าอันนี้คือตัว
ธรรมะ ตัวที่บุคคลควบคุมดูแลไม่ได้ เป็นตามธรรมชาติของ
เขา ตั้งอยู่ประจำโลกเฉยๆ เป็นธรรมดา
เหตุฉะนั้นเมื่อเรายังมีรูปร่างกายอยู่แล้วยังไม่ล่วงลับ
ดับตายไป ก็รีบสร้างคุณงามความดีเอาไว้ให้มากๆ
เพิ่มพูนบุญบารมีของตนเองเอาไว้ให้มาก ๆ ให้อำนาจ.................................................


หัวข้อ: Re: ความตายคืออะไร ?
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2553 16:16:45
(http://image.ohozaa.com/iq/p2090018.jpg)


ของบุญคือความสุขนั้นตัดความทุกข์ออกจากจิตใจ
ของเรา ก็เรียกว่าดับทุกข์ไปมีแต่ความสุขเป็นเครื่องเอิบอิ่ม
อยู่ในใจ ถ้าไม่เชื่อผู้เทศน์ก็ลองคิดดูซิ ผู้บริจาคทานลงไป
แล้วย่อมปลื้มใจ ปลื้มใจก็ดับทุกข์ ทุกข์ที่มันมีอยู่มันไม่มี
มีแต่บุญเข้ามาอยู่ที่ใจ ถ้าหากเรารักษาศีลก็เหมือนกัน ถ้าเรา
มองว่าเรามีศีลเราก็ปลื้มใจที่เป็นผู้มีศีล เพราะคนอื่นไม่มีศีลก็
เป็นเรื่องของบุคคลอื่น ถ้าเรามีสมาธิฝึกฝนอบรมจิตใจของ
ตนเองสงบดี เรามีสมาธิก็ปลื้มใจว่าจิตใจของเรานี้หนักแน่น
มั่นคงไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน ไม่หวั่นไหวกับอะไร เขาเรียก
ว่าภูมิใจว่าตนเองได้หลักสมาธิ ถ้าเรามีสติปัญญาเฉลียว
ฉลาดมองซ้ายแลขวาดูที่โน่นที่นี่เป็นธรรมะ ธัมโม มีเห็น
ไตรลักษณ์อยู่ประจำอยู่ มีไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตาอยู่
รอบด้านไปหมด จิตใจก็ย่อมนิ่งสงบอยู่รู้สิ่งเหล่านี้แหละเป็น
เรื่องที่เราจะควรศึกษาเพื่อให้รู้ เมื่อเรารู้สิ่งเหล่านี้ เราจะได้
พัฒนาหรือปรับปรุงร่างกายของตนเองให้อยู่ในความเหมาะ
สมของเรา เมื่อถึงกาลถึงเวลาแล้วมันก็จะล่วงลับดับไป
เหตุฉะนั้นควรแล้ว พวกเราจะไม่หลงลืมมรณานุสติ คือความ
ตายถ้าระลึกถึงความตายอยู่บ่อย ๆ ไปอยู่ที่ไหนเราก็รีบ....................................


หัวข้อ: Re: ความตายคืออะไร ?
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2553 16:18:20
(http://image.ohozaa.com/iq/p2090018.jpg)


สร้างขวนขวายคุณงามความดีให้เกิดให้มีขึ้นแก่ตนเอง เราจะ
ดูอะไรให้เข้าใจ ศึกษาธรรมะให้เข้าใจ พระธรรมคำสอนของ
พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้นี้ ให้พวกเรานี้เกิดขึ้นมาเพื่อทำ
ประโยชน์เท่านั้นเอง ไม่มีเกิดขึ้นมาทำอะไร ต้องถามตนเอง
ว่าตนเองเกิดขึ้นมาทำอะไร ตนเองถามให้รู้ให้เข้าใจ
พระพุทธเจ้าว่าเกิดขึ้นมาแล้ว ควรทำประโยชน์ ทำ
ประโยชน์ให้ได้ประโยชน์ตนเองให้ได้ จิตใจยังไม่สงบ
ก็รีบฝึกฝนจิตใจของตน ตนเองไม่มีสติปัญญาก็รีบ
ศึกษาให้มีสติปัญญาเกิดขึ้น เพื่อจะให้รู้ดีรู้ชั่ว ให้รู้อะไร
เป็นบาปนำความทุกข์มาให้ รู้อะไรเป็นบุญนำความ
สุขมาให้แก่ตน อย่างนี้ก็เรียกว่าหัดเป็นคนฉลาด หากพวก
เราไม่อยากเป็นคนที่เสียการเสียเวลาเปล่าประโยชน์ อยู่ที่
ไหน ยืนเดินนั่งนอนอยู่ที่ใดก็ควรจะใช้สติปัญญาไตร่ตรอง
ใคร่ครวญพินิจพิจารณา เพื่อจะให้รู้ให้เข้าใจทำกิจการงานทุก
อย่างเราทำเพื่ออะไร เราทำเพื่อประโยชน์ เพื่อดูแลเพื่อประ
คบประหงมร่างกายเท่านั้น...................เหตุฉะนี้ ร่างกายของคนเรา
นี้เกิดขึ้นมาแล้วต้องเป็นธรรมชาติของเขา แล้วก็ต้องดูแลเขา............................


หัวข้อ: Re: ความตายคืออะไร ?
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2553 16:19:43
(http://image.ohozaa.com/iq/p2090018.jpg)


เป็นธรรมดา อยู่กับโลกเขาไปอย่างนี้ ถ้าเรียกว่าเราอยาก
ศึกษาให้รู้แจ้งเห็นจริงเหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ
เจ้า พระอริยสงฆ์สาวกทั้งหลาย ท่านรู้โลกท่านเข้าใจโลก
ของคนเกิดขึ้นมาเกิดแก่เจ็บตาย ท่านก็รู้แจ้งเห็นจริงว่าโลก
เขาอยู่กันยังไง ตั้งแต่ยังไม่เกิด เกิดมาแล้วเป็นยังไง เราตาย
ไปแล้วจะเป็นยังไงเป็นตามธรรมชาติ....................................
การที่เราจะศึกษาให้รู้โลก ชัดเจนแจ่มแจ้งเรื่องโลกนี้
เอง เราจึงจะพ้นทุกข์ได้ ถ้าหากเราไม่รู้โลกนี้เราจะพ้น
ทุกข์จากโลกได้ยังไง ทุกสิ่งทุกอย่างถ้าเราไม่รู้ เราก็ต้องติด
อยู่กับสิ่งที่ไม่รู้ ยึดสิ่งที่ไม่รู้ ถ้าเรารู้แล้ว สิ่งนั้นเรารู้แล้ว เราก็
ออกห่างไปได้ อยู่กันได้ เหมือนบุคคลรู้กันนี่แหละ เมื่อรู้กัน
แล้วก็เวลาจะกลับบ้านใครบ้านมันก็ไปได้ เวลาไปหากันก็มี
ความสมานสามัคคีกันเป็นกายสามัคคีได้ เวลาหนีจากกันก็
หนีได้ ก็เรียกว่าคนรู้ เหมือนกับน้ำอยู่บนใบบัว น้ำมันก็อยู่
กับใบบัวแต่ก็ไม่ติดใบบัว เราเคยเห็นไหมใบบัวใหญ่ๆ น้ำมัน
ค้างอยู่บนใบบัวแล้วมันติดใบบัวไหม ถ้าเราไปเอียงใบบัวน้ำ
มันก็ตกออกจากใบบัวทันที จะไม่มีติดอยู่กับใบบัว ฉันใดก็ดี................................


หัวข้อ: Re: ความตายคืออะไร ?
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2553 16:22:15
(http://image.ohozaa.com/iq/p2090018.jpg)


บุคคลที่มีสติปัญญาแล้ว เหมือนพระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่าน
ไม่ติดบุคคลใดในโลกนี้ อันนี้เรียกว่าบุคคลที่พ้นทุกข์แล้ว
คนรู้แจ้งโลกแล้ว ท่านไม่ยึดมั่นถือมั่นกับบุคคลผู้ใด เพราะ
ท่านรู้อย่างนั้นเอง เพราะตัวของท่าน ท่านก็ยังไม่ยึดมั่นถือ
มั่น ท่านจะไปยึดมั่นถือมั่นกับบุคคลอื่นได้อย่างไร ไม่เหมือน
พวกเรา พวกเรานี้ยังเป็นคนที่ไม่มีสติปัญญา ยังไม่เฉลียว
ฉลาดยังไม่รู้แจ้งเห็นจริงถึงโลก เราก็ต้องติดพันถึงกันและ
กันวนอยู่ในโลก และติดกันกับโลกเป็นธรรมดา อาตมาก็
อยากให้น้อมนำไปพินิจพิจารณา ศรัทธาญาติโยมทั้งหลาย
ทั้งสามีภรรยาก็ดีลูกก็ดีหลานก็ดีเหลนก็ดี เราควรที่จะไตร่
ตรองใคร่ครวญให้ถี่ถ้วนนี่เป็นอะไร เป็นของเราจริงๆ ไหม
หรือมันไม่ใช่ของเรา ตัวของเรานี้มันจริงไหม เป็นของเรา
จริงไหม ? หรือไม่ใช่ของเรา ลองทบทวนอยู่อย่างนี้ เมื่อทบ
ทวนอยู่ก็ระลึกถึงความตายเป็นคู่กันเอาไว้ว่า...................เอ......................
สักวันหนึ่งคงจะตายจากลูกจากหลานไป ถ้าเราตายจากลูกจากหลาน
จากสามีภรรยาไป เราจะได้อะไรเป็นที่พึ่งของตน ตรงนี้ซิ
วัน ๆ ภาวนาควรพิจารณาว่าเราเอาอะไรเป็นที่พึ่งของตน
ถ้าเราไม่เจริญ เมตตาภาวนาฝึกฝนอบรมตนให้เป็นผู้มีสมาธิ........................................


หัวข้อ: Re: ความตายคืออะไร ?
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2553 16:24:17
(http://image.ohozaa.com/iq/p2090018.jpg)


มีสติปัญญาเกิดขึ้น เราจะพึ่งอะไร ถ้าเราจะพึ่งวัตถุสมบัติ
มันเอาอะไรไปไม่ได้วัตถุสมบัติ หรือเราจะคอยพึ่งคนอื่น จะ
ไปพึ่งคนอื่นได้อย่างไร เราตายไปมันก็ต้องมีจิตวิญญาณ
ของตนเองไปสู่ภพใหม่ แต่ที่จะนำไปคือคุณงามความดี ถ้า
ใครทำความดีก็จะไปกับความดี ถ้าใครทำบาปความชั่วก็จะ
ไปกับความชั่วของเขา นี้เป็นหลักที่พวกเราจะเดินทางไป
สู่ภพใหม่ถ้าหากเรามีความรู้มีสติปัญญาว่องไวเฉลียวฉลาด
รู้แจ้งเห็นจริง เหมือนพระอริยเจ้าทั้งหลายนั่นแหละ
จนเรารู้โลกเข้าใจแจ่มแจ้งชัด เราไม่ติดโลกนั่นแหละ
เราถึงจะถือว่าเหมือนกับน้ำอยู่บนใบบัว อยู่กับโลก
แต่เขาก็ไม่ติดกับโลก อยู่กับขันธ์แต่เขาก็ไม่ติดกับขันธ์
ตรงนี้ควรพากันศึกษาว่า อยู่กับโลกไม่ผิดกับโลกนั้นอย่างไร
ก็คือรู้โลก ก็โลกเขาอยู่อย่างนี้จะไปผิดกับเขาทำไม โลก
เขาอยู่นี่ ร้อนเขาก็อยู่นี่ หนาวเขาก็อยู่นี่ หิวกระหายก็มีอยู่
ในโลก เกิดแก่เจ็บตายเขาก็มีอยู่ในโลกนี่เป็นธรรมดา รูป
ร่างกายของพวกเราก็เป็นโลกอันหนึ่งเหมือนกัน เหตุฉะนี้..................................


หัวข้อ: Re: ความตายคืออะไร ?
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2553 16:26:19
(http://image.ohozaa.com/iq/p2090018.jpg)


เราก็เรียนศึกษาว่าของไม่เที่ยงอยู่ในโลก ก็ศึกษาให้เข้าใจ
เรียกว่าศึกษาโลก แต่เราไม่เข้าใจเมื่อไหร่เราก็พ้นโลกไป
ไม่ได้เหตุฉะนี้.......................ทุกสิ่งทุกอย่างถ้าไม่เข้าใจแจ่มแจ้งชัดเจน
แล้ว เป็นอันว่าวางไม่ได้ทั้งนั้นแหละ ติดอยู่ในสิ่งนั้น พอวาง
ไม่ได้ก็ไม่เข้าใจ ไม่รู้แจ่มแจ้งก็ต้องมีความสงสัยอยู่นั่นแหละ
เมื่อไหร่เราจะหายสงสัยในเรื่องอย่างนี้ ว่ามันเป็นไตรลักษณ์
จริง ๆ มันเป็นของไม่เที่ยงจริง ๆ ของที่มีความทุกข์จริง ๆ
ของที่ไม่ใช่ของบุคคลผู้ใดจริง ๆ เหมือนของสภาวะตั้งอยู่กับ
โลกเคยเห็นไหม ถ้าไม่เชื่อก็ดี ถ้าเรามีบ้าน มีรถ มีเรือก็ดี
ถ้าเราตายไป เราทิ้งไว้กับโลกหรือเปล่า ทั้งพระภิกษุ สาม
เณรก็ดี มีโบสถ์มีวิหารหลังสวยๆ ก็แล้วแต่ มีกุฏิที่อยู่พักพา
อาศัยมีเครื่องใช้ต่าง ๆ ก็ดี มีบาตรสบงจีวรอะไรทุกสิ่งทุก
อย่างนี้ แม้ท่านมรณภาพ ท่านหอบท่านกอบโกยไปไหม เอา
ไปด้วยได้ไหม ? เอาไปด้วยไม่ได้สักองค์เดียว นี่เป็นอย่างนี้
แม้ท่านจะเอารูปร่างกายสังขารพระภิกษุสามเณรหลวงปู่
หลวงตาก็ดี ท่านมรณภาพไปแล้ว มีองค์ไหนบ้างท่านเอารูป
ร่างกายท่านไปด้วย มีบ้างไหม ไม่มี ถ้าไม่มีอย่างนี้ก็เป็น
สัจธรรมเป็นของจริง ท่านเอาไปด้วยไม่ได้ ท่านก็หวงแหน.............................................


หัวข้อ: Re: ความตายคืออะไร ?
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2553 16:27:50
(http://image.ohozaa.com/iq/p2090018.jpg)


อยู่ตั้งแต่ท่านยังไม่มรณภาพ ท่านก็ดูแลรักษาอย่างดีอยู่
แต่มันก็ดื้อดึงแตกสลายไป ถ้าเราเห็นอย่างนี้แล้ว ก็ทำใจให้
ชัดเจนว่า ของอะไรที่เรามีอยู่ในบ้านช่อง จะเก็บรักษาไว้ใช้
ก็เพื่อรูปร่างกายเท่านั้น เดี๋ยวนี้เราหาอะไรก็หามาเพื่อกาย
อะไรอะไรทุกอย่างมาประคบประหงมเรื่องกายนี่แหละ ทน
ทุกข์อยู่ทั้งโลกนี่ มันก็มารุงรังอยู่ที่ร่างกายนี่แหละ ถ้าเราไม่
พ้นรูปร่างกายไปเมื่อไร เราจะพ้นทุกข์ได้อย่างไร เราไม่รู้
แจ้งเห็นจริงเมื่อไร เหตุฉะนั้นร่างกายจึงเป็นโลกก็ต้องศึกษา
เพื่อให้เข้าใจแจ่มแจ้งจะได้พากันลดละปล่อยวาง หรือไม่ยึด
มั่นถือมั่น จนเป็นอุปาทานจนเหนียวแน่นเกินไป ให้เข้าใจ
อยู่เรื่อย ๆ ถ้าไม่รู้ ก็ลูบแข้งลูบขาลูบแขนเจ้าของ ดูหน้าดูตา
ดูตนตัวเจ้าของบ่อย ๆ ว่ามันเป็นของใครจริง ๆ แล้วเราก็ต้อง
ดูให้เข้าใจ ให้มีธรรมะเกิดขึ้นภายในใจ เพื่อจะได้รู้สิ่งเหล่านี้
แล้วจะได้สบายใจ พระอริยเจ้าทั้งหลายก็ดี หลวงปู่ก็ดี
ที่ท่านศึกษามาแล้ว ท่านเฒ่า ท่านแก่ชราภาพ ท่านจะเดิน
ไปไหนไม่ไหว ถ้าถามท่านว่าสบายไหม ท่านก็บอกว่าสบาย
ไม่เห็นองค์ไหนท่านว่าไม่สบาย นักปฏิบัติท่านบอกว่าสบาย
มรณานุสติ 28
สบายอะไร สังขารร่างกายเฒ่าแก่ทรุดโทรมลุกก็ลุกไม่ได้.........................................


หัวข้อ: Re: ความตายคืออะไร ?
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2553 16:29:21
(http://image.ohozaa.com/iq/p2090018.jpg)


ท่านก็ยังบอกว่าสบาย ยิ้มได้ เพราะท่านสบายใจท่าน
เพราะท่านรู้แจ้งเห็นจริงในรูปขันธ์ของท่านชัดเจน ในโลก
มันก็เหมือนกันท่านรู้จริง ท่านไม่ติด เขาเรียกว่าเหมือนน้ำ
อยู่บนใบบัวไม่ติดใบบัวนั้นเอง อยู่กับโลกแต่ท่านไม่ติด เมื่อ
ได้เห็นภิกษุสามเณรก็ดี ท่านก็แนะนำสั่งสอนแค่นั้น ถ้าไม่
เอาท่านก็ทิ้ง ท่านก็ไม่ติดใคร ปัญหาตรงนี้แหละ การที่ศึก
ษาธรรมที่จะรู้ เราอยู่ด้วยกันเป็นหมู่เป็นกลุ่มก็ดี ถ้าหากเรา
ศึกษาธรรมะ ก็ถือเป็นกายสามัคคีอยู่ด้วยกันสร้างคุณงาม
ความดีด้วยกันเท่านั้น ถ้าหากถึงกาลถึงสมัยแล้ว ถึงเวลา
ความตายมาถึงแล้ว บอกให้ไม่แยกมันก็แยก ไม่อยากแยก
มันก็แยก แยกจากกันไปคนละทิศละทางแล้ว อันนี้เป็น
สัจธรรม ที่พวกเราจะนำมาพินิจพิจารณา เพราะเราเห็น
แจ่มแจ้งแล้วว่า รูปร่างกายของคนเรานี้เป็นไตรลักษณ์แน่
นอน และถึงความแตกสลาย คือความตายเป็นแน่นอน
เหตุฉะนั้น จึงอยากสอนให้พวกเราท่านทั้งหลาย เป็น
ภิกษุสามเณรก็ดี หรืออุบาสกอุบาสิกาทั้งหลายควรจะ
เจริญมรณานุสติทุกวัน ทุกวัน วันละร้อยครั้งหรือสาม............................................


หัวข้อ: Re: ความตายคืออะไร ?
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2553 16:31:06
(http://image.ohozaa.com/iq/p2090018.jpg)


ร้อยครั้ง ห้าร้อยครั้ง ก็ระลึกอยู่บ่อย ๆ โดยตลอด มัน
จึงจะขยันขันแข็ง ไม่ประมาทสร้างคุณงามความดี
รีบเร็วๆหน่อยนะ ชีวิตของเรามันน้อยนิดเดียว มันน้อย
นิดเดียวเท่านั้นนะ มันไม่นานนะ ดูว่าวันหนึ่งๆ ผ่านไปทุก
วันทุกวัน เราพากันทำอะไรอยู่ วันคืนล่วงไปล่วงไป เราทำ
อะไรอยู่เดี๋ยวนี้ เราสอนตนเองเราทำอะไร เราทำบาปความ
ชั่วหรือเราทำความดี เราได้อะไรวันนี้ วันนี้เราได้ปฏิบัติดี
บ้างไหม ได้อะไรให้ความสุขใจเกิดขึ้นมาบ้างไหม หรือมีแต่
ความเศร้าหมองขุ่นมัววุ่นวายอยู่ เราก็ต้องดูซิความขุ่น
หมองหมองใจวุ่นวายใจอยู่ ก็นี่เราเสียเปรียบซิเนี่ย วันหนึ่ง
เราก็ควรพัฒนาปรับปรุงใจของเรา ให้มันแช่มชื่นเบิกบาน
ให้เรามีความสุขอยู่กับคุณงามความดี เราจึงจะได้ที่พึ่งเป็น
ที่พึ่งของตนเหตุฉะนั้น เมื่อทุกท่านทุกองค์ก็ดี เราจำพรรษาแล้วอยู่ที่นี่
ควรผูกความพอใจ อยากสร้างคุณงามความดีให้เกิดขึ้น
ศรัทธาญาติโยมก็ดี เข้าพรรษาแล้ว ควรที่เข้าวัดฟังธรรม
จำศีลทุกวันพระ วันโกนก็ดีก็รีบขวนขวาย ถ้าอยู่บ้านตนเอง.................................................


หัวข้อ: Re: ความตายคืออะไร ?
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2553 16:33:05
(http://image.ohozaa.com/iq/p2090018.jpg)


ยังไม่ได้มา ก็พยายามเจริญภาวนา รีบทำคุณงามความดี
เร็ว ๆ หน่อย อย่าชะล่าใจ อย่าปล่อยปละละเลยให้เสียการ
เสียเวลาเปล่านะ ถ้าเราตั้งใจทำคุณงามความดีแล้ว ไม่ประ
มาทแล้ว คุณงามความดีก็จะเกิดมีขึ้นแก่ตนเอง ผลแล้ว
ความสุขก็เกิดกับใคร ตนเองเป็นคนได้ ไม่ใช่คนอื่นได้ ตน
เองเป็นคนได้รับความสุข เมื่อได้รับความสุขรู้อยู่บ่อย ๆ แล้ว
เขาก็สบายสบายอยู่อย่างนั้น เหมือนหลวงปู่หลวงตา ท่าน
สบาย ๆ ใจของท่าน สบายใจของท่านไม่ติด บัดนี้แต่ร่างกาย
ของท่านมันอยู่กับโลกเป็นธรรมดาเหตุฉะนั้นอยู่กับโลกไม่ติดกับโลก
อยู่กับขันธ์ก็ไม่ติดกับขันธ์
ก็คืออยู่กับร่างกายไม่ติดกับรูปร่างกายนั้นเอง เขาเรียกว่า
ขันธ์ รูปขันธ์ เหตุฉะนั้นการบรรยายธรรมเรื่องมรณานุสติ
เตือนให้ไม่มีความประมาท และเรื่องไตรลักษณ์ควบคู่กันไป
ให้เข้าใจแจ่มแจ้งพอสมควร ก็ขอยุติการบรรยายธรรมไว้
เพียงแค่นี้..............................เอวัง...................ก็มีด้วยประการฉะนี้แล...................................