หัวข้อ: พัฒนาการทางความคิดของ พุทธศาสนามหายาน [1] เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 03 มกราคม 2554 14:59:56 (http://www.siamesegamefowl.com/web-news/forum/attachments/sunrise%5B16561%5D.jpg) พัฒนาการทางความคิด ของ พุทธศาสนามหายาน [1] คอลัมน์ หน้าต่างความจริง โดย ผศ. ดร. ทวีวัฒน์ ปุณฑริกวิวัฒน์ อาจารย์ประจำภาควิชามนุษยศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล (http://www.praphansarn.com/new/forum/uploads//2009-09-23_190229_jas.jpg) ภายหลังจากที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว พุทธศาสนาได้เจริญรุ่งเรืองในอินเดียอย่างต่อเนื่อง กระทั่งถึงยุคพระเจ้าอโศกมหาราชพุทธศาสนาได้เจริญรุ่งเรืองอย่างสูงสุด โดยแผ่ไปทั่วทั้งชมพูทวีปอย่างกว้างขวาง มีศิลาจารึกและเสาหินพระเจ้าอโศกมหาราชเป็นประจักษ์พยานอันสำคัญ หลังสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชไม่มีพระเจ้าแผ่นดินอินเดียที่ทรงทำนุบำรุงพุทธ ศาสนาอย่างจริงจัง พุทธศาสนาจึงเสื่อมถอยมาเป็นลำดับ มูลเหตุแห่งความเสื่อมของพุทธศาสนาในอินเดียได้แก่ ประการแรกเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานนานวันเข้า ชาวพุทธอินเดียเกิดความประมาท หันเหออกจากหลัก "การพึ่งตนเอง" ไปพึ่งอำนาจศักดิ์สิทธิ์ภายนอก จึงเป็นทีของศาสนาพราหมณ์ซึ่งมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่เต็มไปหมด ในที่สุดชาวพุทธก็ค่อยๆ ถูกกลืนหายไป ประการที่สองขณะเมื่อพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองอยู่นั้น มีพราหมณ์จำนวนมากเข้ามาบวชเรียนในพุทธศาสนา พราหมณ์พวกหนึ่งมีความเลื่อมใสศรัทธาอย่างแท้จริงหลังจากอุปสมบทแล้ว ก็กลายมาเป็นกำลังสำคัญของพุทธศาสนา พราหมณ์อีกพวกหนึ่งต้องการที่จะเข้ามาศึกษาเรียนรู้จุดอ่อนจุดแข็ง ของพุทธศาสนา เพื่อนำไปปรับปรุงศาสนาพราหมณ์ของตนให้เข้มแข็งขึ้น เพื่อมา "ต่อสู้ทางความคิด" กับพุทธศาสนา ศาสนาพราหมณ์ที่ได้ผ่านการปฏิรูปแล้วได้กลายมาเป็นศาสนาฮินดูในที่สุด เมื่อพุทธศาสนามาถึงจุดเสื่อมถอย ชาวพุทธอินเดียจำนวนหนึ่ง ได้ใช้วิธี "หนามยอกเอาหนามบ่ง" โดยเข้าไปศึกษาจุดอ่อนจุดแข็งของศาสนาฮินดูบ้าง เพื่อนำมาปรับปรุงพุทธศาสนาให้อยู่ในสถานะ ที่จะสามารถ "แข่งขัน" กับศาสนาฮินดูได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในด้านความศรัทธา ในที่สุดพุทธศาสนาก็ได้นำเสนอ "ทฤษฎีตรีกาย" (Trikaya) (http://www.matichon.co.th/news-photo/matichon/2009/05/bud02100552p1.jpg) หรือกายทั้งสามของพระพุทธเจ้าออกมา ซึ่งมีสาระสำคัญโดยสังเขปดังนี้ 1."นิรมาณกาย" (Nirmana-kaya) หรือ "กายเนื้อ" ได้แก่ร่างกายของเจ้าชายสิทธัตถะ หรือพระพุทธเจ้าในประวัติศาสตร์ซึ่งมีชีวิตอยู่ได้ 80 ปี ก็เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน 2."ธรรมกาย" (Dharma-kaya) หรือ"กายธรรม" ได้แก่ คุณสมบัติที่ทำให้เจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า หรือพระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบนั่นเอง ("ธรรมกาย"ในที่นี้แตกต่างจากคำสอนของวัดพระธรรมกาย ที่อ้างว่า นิพพานคืออัตตาและจุดหมายสูงสุดในพุทธศาสนา คืออายตนะนิพพานที่อยู่บนฟ้าบนสวรรค์ สามารถวัดขนาดความกว้าง ยาว และสูงได้ คำว่า "ธรรมกาย" เป็นแนวความคิดของพุทธศาสนามหายานที่เกิดขึ้นในอินเดียกว่า 2,000 ปีมาแล้ว โดยมีความหมายแตกต่างจากวัดพระธรรมกายอย่างสิ้นเชิง) 3."สัมโภคกาย"(Sambhokha-kaya) หรือ "กายทิพย์" ได้แก่ กายแห่งนามธรรมของพระพุทธเจ้า ซึ่งยังดำรงอยู่ในจักรวาลนี้ต่อไปภายหลังการเสด็จดับขันธ์ โดยชาวพุทธกลุ่มใหม่อธิบายว่า พระพุทธเจ้าเมื่อใกล้เสด็จดับขันธ์แล้วก็ยังทรงห่วงใยสรรพสัตว์ที่อยู่ เบื้องหลัง และด้วยพระมหาเมตตากรุณาที่ยิ่งใหญ่ จึงทรงตัดสินพระทัยไม่เสด็จสู่ปรินิพพาน (สภาพที่ขาดสูญไปจากจักรวาลนี้อย่างสิ้นเชิง) แต่ยังทรงดำรงอยู่ในฐานะ "กายทิพย์" แห่งสัมโภคกาย คอยสดับตรับฟังทุกข์สุขของสรรพสัตว์ที่อยู่เบื้องล่าง เมื่อมีผู้เดือดร้อนเป็นทุกข์สวดมนตร์อ้อนวอน ก็จะทรงได้ยินและจะทรงประทานความช่วยเหลือลงมาให้ (http://www.212cafe.com/freeguestbook/user_gbook/kcvittaya2/picture/02874.jpg) การนำเสนอทฤษฎี "ตรีกาย" ของพุทธศาสนาอย่างใหม่ ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่า "พุทธศาสนามหายาน" (Mahayana Buddhism) นี้ ทำให้พระพุทธเจ้าถูกยกสถานะให้เทียบเท่ากับ "พระเจ้า" ในศาสนาฮินดู นับเป็นการพลิกโฉมของพุทธศาสนาจากศาสนาประเภท "อเทวนิยม" (Atheism) มาเป็นศาสนาประเภท "เทวนิยม" (Theism) เลยทีเดียว แต่พระพุทธเจ้าในฐานะพระเจ้าก็มีอยู่เพียงพระองค์เดียว คงจะไม่สามารถต้านทานพระเจ้าในศาสนาฮินดูที่มีมากมาย ซึ่งมากันเป็น "กองทัพ" ได้ มหายานจึงได้พัฒนาแนวความคิดต่อไปว่า จักรวาลเป็นอนันตกาล (infinity) ในอดีตอันเป็นอนันตกาลนั้น เคยมีพระพุทธเจ้าเสด็จมานับครั้งไม่ถ้วน (ยิ่งกว่าจำนวนเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคาเสียอีก) โดยพระพุทธเจ้าสมณะโคดม (หรือ "พระพุทธเจ้าศากยมุนี" ตามคำเรียกของฝ่ายมหายาน) เป็นเพียงพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งเท่านั้น พระพุทธเจ้าเหล่านั้นล้วนแล้วแต่ทรงมีพระมหากรุณาที่ยิ่งใหญ่ เมื่อถึงคราวจะดับขันธ์ ก็ทรงเลือกที่จะดำรงอยู่ในจักรวาลนี้ต่อไปในฐานะ "สัมโภคกาย" ทั้งสิ้น โดยนัยยะนี้มหายานจึงมี "พระพุทธเจ้า" จำนวนมหาศาล (พอที่จะต่อกรกับ "กองทัพเทพเจ้า" ของศาสนาฮินดูได้) ในบรรดาพระพุทธเจ้าซึ่งมีอยู่อย่างมากมายนั้น พุทธศาสนามหายานได้ให้ความสำคัญกับพระพุทธเจ้าอมิตาภะ (Amitabha Buddha) ที่ประทับอยู่ ณ แดนสุขาวดี (Sukhavati) สวรรค์ทางทิศตะวันตก โดยมีสาวกเบื้องซ้ายและขวาที่ดำรงอยู่ในฐานะสัมโภคกายคือ พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร (Avalokitesvara) ผู้ยิ่งด้วย "เมตตา-กรุณา" และพระโพธิสัตว์มหาสถามปราปต์ (Mahasathamaprapta) ผู้ยิ่งด้วย "มุทิตา-อุเบกขา" เนื่องจากคุณสมบัติของพระโพธิสัตว์ดังกล่าว ชาวพุทธมหายานจึงนิยมสวดมนตร์อ้อนวอนต่อพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร (หรือ"กวนอิม" ในภาษาจีน) มากกว่า ขณะเดียวกันมหายานได้พัฒนาแนวคิดต่อไป อีกว่า ในอนาคตซึ่งก็เป็นอนันตกาลเช่นกันนั้น จะมีพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่มาอุบัติอีกนับจำนวนไม่ถ้วน (มากกว่าจำนวนเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคาเสียอีก) มีความเชื่อของชาวพุทธโดยทั่วไปที่ว่า ศาสนาของพระพุทธเจ้าสมณะโคดมนั้นจะมีอายุเพียง 5,000 ปี (ซึ่งเราก็ได้ฉลองกึ่งพุทธกาลไปแล้วในปี พ.ศ.2500) หลังจากนั้นจะมีพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่มาอุบัตินามว่า "พระพุทธเจ้าศรีอาริยเมตไตรย์" (หรือ "พระศรีอาริย์") และถ้าหากว่าจะมีพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่มาอุบัติในอีก 2,400 กว่าปีข้างหน้าแล้วไซร้ เวลานี้พระองค์ก็จะต้องกำลังเสวยพระชาติเป็น "พระโพธิสัตว์" อยู่ และเราก็ไม่อาจบอกได้ว่า เวลานี้พระองค์เป็นใครหรืออยู่ที่ไหน เมื่อเราไม่อาจระบุได้ว่าเวลานี้พระศรีอาริย์เป็นใครและอยู่ที่ไหนแล้ว มหายานก็ได้แนะนำว่า เราทุกคนสามารถที่จะเป็น "ผู้สมัครแข่งขันชิงชัย" (candidate) ได้ โดยแนะนำว่าเราทุกคนควรจะบำเพ็ญ "พระโพธิสัตวธรรม" (ธรรมะของพระโพธิสัตว์) เพื่อปรารถนาต่อพุทธภูมิในวันข้างหน้า และถ้าหากว่าเราพลาด "ตำแหน่ง"พระศรีอาริย์แล้วไซร้ ก็ยังมี "ตำแหน่ง" ของพระพุทธเจ้าในอนาคตให้เราได้ปรารถนาอีกมาก ดังนั้นอุดมคติของชาวพุทธมหายานจึงเปลี่ยนจาก "พระอรหันต์" มาเป็น "พระโพธิสัตว์" เพื่อที่จะได้ตรัสรู้เป็น "พระพุทธเจ้า" เสียเองในที่สุด (http://www.ssru.ac.th/linkssru/athovicha_web/church_glowing_sky_md_wht.gif) ที่มา http://www.buddhayan.com/board.php?subject_id=187&ss= (http://www.buddhayan.com/board.php?subject_id=187&ss=) Pics by : Google อกาลิโกโฮม * ใต้ร่มธรรมดอทเน็ต อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ |