หัวข้อ: พระเถรีสมัยพุทธกาล เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 23 มีนาคม 2553 10:39:57 (http://www.tamroiphrabuddhabat.com/chaiwat/img/pimpa.jpg) พระเถรี... สมัย... พุทธกาล (http://www.vcharkarn.com/uploads/117/117706.jpg) หัวข้อ: Re: พระเถรีสมัยพุทธกาล เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 23 มีนาคม 2553 11:03:09 (http://www.larnbuddhism.com/atatakka/tere/Buddha01.JPG) พระโสณาเถรี เอตทัคคะในฝ่ายผู้ปรารถนาความเพียร พระโสณาเถรี เกิดในตระกูลเศรษฐี ในเมืองสาวัตถี ได้ชื่อว่า “โสณา” เมื่อเจริญวัยแล้ว ได้มีคู่ครองที่มีฐานะเสมอกัน อยู่ร่วมกันมามีบุตร ๗ คน มีธิดา ๗ คน จากเศรษฐีเป็นอนาถา เมื่อบุตรธิดาทั้งหลายเจริญวัยแล้วได้แต่งงานมีคู่ครองเรือนแยกย้ายกันออกไปอยู่ตาม ลำพัง ต่างก็มีฐานะความเป็นอยู่สุขสบายตามสมควรแก่อัตภาพฆราวาสวิสัย ต่อมาสามีของนาง ถึงแก่กรรมลง นางได้ปกครองดูแลทรัพย์สมบัติทั้งหมดโดยยังมิได้จัดสรรแบ่งปันให้แก่บุตรธิดา เลย และต่อมา บุตรธิดาเหล่านั้นได้พากันพาพูดกับนางบ่อย ๆ ว่า:- “คุณแม่ บิดาของพวกข้าพเจ้าก็ตายไปแล้ว ทรัพย์สมบัติเหล่านี้แม่จะเก็บเอาไว้ทำไม หรือแม่เกรงว่าพวกเราทั้ง ๑๔ คนนี้จะเลี้ยงแม่ไม่ได้” นางโสณาได้ฟังคำของลูก ๆ มาพูดกันอยู่บ่อย ๆ ก็คิดว่า “เมื่อเราแบ่งทรัพย์สมบัติให้ แล้ว ลูก ๆ ก็คงจะเลี้ยงดูเราให้มีความสุขได้ ไม่ต้องลำบาก” เมื่อคิดอย่างนี้แล้ว นางก็แบ่งทรัพย์สมบัติให้แก่ลูกชายหญิงทั้ง ๑๔ คน ๆ ละเท่า ๆ กัน แล้วนางก็ไปอยู่อาศัยกับลูกชายคนโต เมื่อไปอยู่ใหม่ ๆ ก็ได้รับการปฏิบัติ ดูแลอย่างดี แต่เมื่อ นานไปลูกสะใภ้ก็เริ่มมีความรังเกียจ พูดจาเสียดสีขึ้นวันละเล็กวันละน้อย พร้อมทั้งไปยุแหย่ให้สามี รังเกียจแม่ของตนเอง เมื่อพูดบ่อย ๆ เข้า สามี ก็เห็นคล้อยตามด้วย จนกระทั่งวันหนึ่ง ลูกสะใภ้ได้พูดกับนางว่า:- “คุณแม่ความจริงแม่ก็มีลูกชายลูกหญิงตั้งหลายคน ทรัพย์สมบัติทั้งหลายแม่ก็แบ่งให้ เท่า ๆ กัน มิใช่ว่าฉันจะได้ ๒ ส่วนมากกว่าคนอื่น ๆ แต่ทำไมแม่จึงมาอยู่มากินแต่ที่บ้านฉัน คนเดียว แม่ไม่รู้จักทางไปบ้านลูกคนอื่นเลยหรือ ?” หัวข้อ: Re: พระเถรีสมัยพุทธกาล เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 23 มีนาคม 2553 11:53:22 (http://i46.photobucket.com/albums/f112/thavee/PC09000-4.jpg) (:SL:) (:SL:) (:SL:) หัวข้อ: Re: พระเถรีสมัยพุทธกาล เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 23 มีนาคม 2553 11:54:09 (http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/138/138/images/award25.jpg) ไร้ที่พึ่งพาจึงออกบวช นางโสณา ได้ฟังคำของลูกสะใภ้แล้ว อีกทั้งลูกชายก็ดูท่าทีคล้อยตามภรรยาของตน นางจึงจำใจห่อของใช้ส่วนตัวไปอาศัยลูกคนต่อ ๆ ไป และเหตุการณ์ก็เป็นไปทำนองเดียวกัน นางไม่สามารถจะพึ่งพาอาศัยลูกชายและลูกหญิงทั้ง ๑๔ คนนั้นได้ จึงคิดว่า “จะมีประโยชน์อะไร กับการอาศัยลูกเหล่านี้ เราไปบวชเป็นภิกษุณีจะดีกว่า” นางโสณา ได้ไปยังสำนักภิกษุณีสงฆ์ ขอบรรพชาอุปสมบทเป็นภิกษุณี เพราะความที่ นางเป็นผู้มีลูกมาจึงได้ชื่อว่า “พหุปตติกาเถรี” นางเองก็คิดว่า “เราบวชในวัยชราไม่ควรที่จะอยู่ ด้วยความประมาท” จงได้ช่วยนางภิกษุณีทั้งหลายทำวัตรปฏิบัติตามกิจของภิกษุณีสงฆ์ แต่เพราะความเป็นผู้บวชใหม่ และอยู่ในวัยชราจึงทำกิจบกพร่อง นางภิกษุณีทั้งหลายจึงกระทำทัณฑกรรม ลงโทษแก่เธอโดยให้เธอทำหน้าที่ ต้มน้ำอุ่นให้ภิกษุณีทั้งหลายสรง ทั้งเช้า-เย็นเป็นประจำ บุตรธิดาของเธอได้มาเห็น ก็พากันพูดจาเยาะเย้ยจนเธอรู้สึกสลดใจ วันหนึ่ง พระโสณาเถรี ได้ไปหาฟืนและตักน้ำมาไว้ในโรงครัว แต่ยังมิได้ก่อไฟ พระเถรีก็คิดว่า “เราไม่ควรประมาท ควรจะอาศัยเวลาและสถานที่อันสงบสงัดนี้ บำเพ็ญสมณธรรม ทั้งกลางวันและกลางคืน” คิดดังนี้แล้วก็ได้พิจารณาอาการ ๓๒ ท่องบ่นภาวนาไป เดินจงกรมไป โดยยึดเสาโรงครัวเป็นแกนกลาง เดินวนรอบเสา สำรวมจิตเจริญวิปัสสนา หัวข้อ: Re: พระเถรีสมัยพุทธกาล เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 23 มีนาคม 2553 12:15:28 (http://www.all4humor.com/images/files/Duck%20Suicide.jpg) สำเร็จอรหันต์แสดงอภินิหาริย์ ขณะนั้น สมเด็จพระบรมศาสดา ประทับอยู่ในพระคันธกุฎี ทรงทราบด้วยพระฌาณ จึงทรงเปล่งพระโอภาสรัศมีปานประหนึ่งว่าประทับอยู่ตรงหน้าพระเถรีนั้น แล้วตรัสสอนว่า:- “ดูก่อนพหุปุตติกา ชีวิตความเป็นอยู่เพียงวันเดียวครู่เดียว ของผู้ที่เห็นธรรมอันสูงสุด ที่เราได้แสดงแล้ว ดีกว่าประเสริฐกว่าชีวิตความเป็นอยู่ตั้ง ๑๐๐ ปี ของผู้ไม่เห็นธรรม” พอสิ้นสุดพุทธดำรัสพระเถรีก็ได้บรรลุพระอรหัตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย และเมื่อสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว จึงคิดว่า “เมื่อภิกษุณีเหล่านั้นมาเพื่อต้องการน้ำอุ่น พอเห็นเราแล้วไม่ทันได้ใคร่ครวญ ก็จะพูดล่วงเกินดูหมิ่นเราเหมือนก่อน ก็จะได้รับบาปกรรมอันหนัก เราควรจะทำอะไรพอเห็นที่สังเกต ให้พวกเขากำหนดรู้สักอย่างหนึ่ง” แล้วนางก็ยกภาชนะต้มน้ำขึ้นตั้งบนเตาไฟ แต่มิได้ก่อไฟเพียงแต่ใส่ฟืนเข้าไว้ เมื่อนางภิกษุณีทั้งหลาย มาที่โรงครัว เพื่อจะนำน้ำอุ่นไปสรง เห็นมีแต่ภาชนะต้มน้ำอยู่บนเตาไฟแต่ไม่เห็นไฟ จึงกล่าวว่า:- “พวกเราบอกให้หญิงแก่คนนี้ต้มน้ำถวายภิกษุณีเพื่อนำไปสรง จนบัดนี้นางก็ยังไม่ได้ใส่ไฟในเตาเลย ไม่ทราบว่านางมัวทำอะไรอยู่” หัวข้อ: Re: พระเถรีสมัยพุทธกาล เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 23 มีนาคม 2553 12:27:25 (http://www.bloggang.com/data/treehousedream/picture/1249529590.jpg) พระโสณาเถรี จึงกล่าวว่า:- “ข้าแต่แม่เจ้า ถ้าท่านทั้งหลายต้องการน้ำอุ่นไปสรง ก็จงตักเอาจากภาชนะนั้นเถิด” แล้วพระเถรี ก็อธิษฐานเตโชธาตุทำให้น้ำนั้นอุ่นขึ้นทันที ภิกษุณีทั้งหลายได้ฟังคำของนางแล้วก็คิดว่า “คงจะมีเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นแน่” จึงทดลองใช้มือจุ่มลงในภาชนะ ก็ทราบว่าเป็นน้ำอุ่น จึงตักเอาไปสรงทั่วกัน แต่ว่าตักสักเท่าใด น้ำก็ยังปรากฏเต็มภาชนะอยู่เช่นเดิม ภิกษุณีทั้งหลายจึงทราบชัดว่า พระเถรีนี้ สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ต่างก็พากันตกใจ นางภิกษุณี ผู้มีวัยอ่อนกว่า ก็ก้มกราบแทบเท้ากล้าวขอขมาโทษว่า “ข้าแต่พระแม่เจ้า พวกข้าพเจ้าได้พูดจาดูหมิ่นล่วงเกินท่าน เพราะความเขลาเบาปัญญา มิได้พิจารณาให้รอบคอบตลอดกาลนานมาแล้ว ขอพระแม่เจ้าจงเมตตาอดโทษแก่พวกข้าพเจ้าด้วยเถิด” ส่วนนางภิกษุณีผู้มีวัยแก่กว่า ก็นั่งกระหย่ง (นั่งคุกเข่า) กล่าวขอขมาให้ อดโทษานุโทษให้เช่นกัน โดยขอขมาโทษด้วยคำว่า “ข้าแต่พระแม่เจ้าพวกข้าพเจ้าได้พูดจาดูหมิ่นล่วงเกินท่าน โดยมิได้พิจารณาให้รอบคอบตลอดกาลนานมาแล้ว ขอท่านจงเมตตา อดโทษให้พวกข้าพเจ้าด้วยเถิด” หัวข้อ: Re: พระเถรีสมัยพุทธกาล เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 23 มีนาคม 2553 12:47:56 (http://deskarati.files.wordpress.com/2010/07/enlightenment.jpg?w=300&h=225) ได้รับการยกย่องเป็นเลิศทางความเพียร ตั้งแต่นั้นมา คุณงามความดีของพระโสณาเถรี ก็ปรากฏเป็นที่ทราบกันทั่วไปว่า “พระเถรี ผู้แม้บวชในเวลาแก่เฒ่า ก็ยังสามารถดำรงอยู่ในพระอรหัตผล ได้ในเวลาไม่นาน เพราะอาศัยความเป็นผู้ปรารภความเพียรไม่เกียจคร้าน” พระบรมศาสดา ขณะประทับอยู่ ณ พระเชตะวันมหาวิหาร เมื่อทรงสถาปนาภิกษุณีทั้งหลาย ในตำแหน่งต่าง ๆ ตามลำดับแล้ว อาศัยความเป็นผู้ปรารภความเพียร ขยัน ไม่เกียจคร้านของพระเถรีนี้ จึงได้ทรงสถาปนาพระนางโสณาเถรี นี้ ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุณีทั้งหลายในฝ่าย ผู้เป็นผู้ปรารถนาความเพียร (http://t1.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcQIms3cg9P9VYfm1Wywz0gvs750BKpyYPA0bl5gc_eSboLj_rs1) อภิญญา ปัญญาเป็นเครื่องรู้ยิ่ง มี ๖ อย่าง ๑. อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ได้ ๒. ทิพยโสต หูทิพย์ ๓. เจโตปริยญาณ ญาณที่ให้ทายใจคนอื่นได้ ๔. ปุพเพนิวาสานุสสติ ญาณที่ทำให้ระลึกชาติได้ ๕. ทิพยจักขุ ตาทิพย์ ๖. อาสวักขยญาณ ญาณที่ทำให้อาสวะสิ้นไป ( ๕ อย่างแรกเป็นโลกิยอภิญญา ข้อสุดท้ายเป็นโลกุตตรอภิญญา ) หัวข้อ: Re: พระเถรีสมัยพุทธกาล เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 23 มีนาคม 2553 13:43:40 (http://mediacenter.mcu.ac.th/data/caipyo/m3/Unit3/B_hist44.jpg) พระเขมาเถรี เอตทัคคะในฝ่ายผู้มีปัญญา พระเขมาเถรี เกิดในราชสกุล กรุงสาคละ แคว้นมัททะ พระประยูรญาติ ได้ให้พระนามว่า “เขมา” เพราะพระนางมีผิวพรรณเลื่อมเรื่อดังสีน้ำทอง เมื่อเจริญพระชันษาแล้วได้อภิเษกสมรสเป็นมเหสีของพระเจ้าพิมพิสารแห่งนครราชคฤห์ เมื่อพระบรมศาสดาประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน ใกล้กรุงราชคฤห์นั้น พระนางได้สดับข่าวว่า พระพุทธองค์ทรงแสดงโทษในรูปสมบัติและเพราะความที่พระนาง เป็นผู้หลงมัวเมาในรูปโฉมของตนเอง จึงไม่กล้าไปเข้าเฝ้าพระทศพล ด้วยเกรงว่าพระพุทธองค์จะแสดงโทษในรูปโฉมของพระนาง หัวข้อ: Re: พระเถรีสมัยพุทธกาล เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 23 มีนาคม 2553 14:21:18 (http://www.dhammajak.net/gallery/albums/userpics/480480.jpg) หลงอุบายถูกหลอกให้ไปวัด ฝ่ายพระเจ้าพิมพิสาร ก็ทรงดำริว่า “เราเป็นอัครอุปัฏฐากของพระศาสดา แต่อัครมเหสี ของอริยสาวกเช่นเรานี้กลับไม่ไปเฝ้าพระทศพล ข้อนี้เราไม่ชอบใจเลย” ดังนั้น พระองค์จึงคิดหาอุบาย ด้วยการให้พวกนักกวีผู้ฉลาด แต่งบทกวีประพันธ์ถึงคุณสมบัติความงดงามของพระวิหารเวฬุวันราชอุทยาน แล้วรับสั่งให้นำไปขับร้องใกล้ ๆ ที่พระนางเขมาเทวีประทับ เพื่อให้ทราบ สดับบทประพันธ์นั้น พระนางได้สดับคำพรรณนาความงดงามของพระราชอุทยานแล้ว ก็มีพระประสงค์จะเสด็จไปชม จึงเข้าไปกราบทูลพระราชาผู้สามี ซึ่งท้าวเธอ ก็ทรงยินดีให้เสด็จไปตามพระประสงค์ เมื่อพระนางได้เสด็จชมพระราชอุทยาน จนสิ้นวันแล้วใคร่จะเสด็จกลับ พวกราชบุรุษทั้งหลายได้นำพระนางไปยัง สำนักของพระบรมศาสดาทั้ง ๆ ที่พระนางไม่พอพระทัยเลย พระบรมศาสดา ทอดพระเนตรเห็นพระนางกำลังเสด็จมา จึงทรงเนรมิตนางเทพอัปสรนางหนึ่ง ซึ่งกำลังถือพัดก้านใบตาลถวายงานพัดให้พระองค์อยู่เบื้องหลัง พระนางเขมาเทวี เห็นนางเทพอัปสรนั้นแล้วถึงกับตกพระทัยดำริว่า “แย่แล้วสิเรา สตรีที่งามปาน เทพอัปสรเห็นปานนี้ยืนอยู่ใกล้ ๆ พระทศพล แม้เราจะเป็นบริจาริกา หญิงรับใช้ของนาง ก็ยังไม่คู่ควรเลย เพราะเหตุไร เราจึงเป็นผู้ตกอยู่ในอำนาจจิต คิดชั่วหลงมัวเมาอยู่ในรูปเช่นนี้หนอ” พระนางยืนทอดพระเนตรเพ่งดูสตรีนั้นอยู่ ในขณะนั้นเอง พระบรมศาสดา ได้ทรงอธิษฐานให้สตรีนั้นมีสรีระเปลี่ยนแปลงล่วงเลยปฐมวัยแล้วย่างเข้าสู่มัชฌิมวัย ล่วงจากมัชฌิมวัย แล้วย่างเข้าสู่ปัจฉิมวัย เป็นผู้มีหนังเหี่ยวย่น ผมหงอก ฟันหัก แก่หง่อม แล้วล้มลงกลิ้งพร้อมกับพัดใบตาลนั้น พระนางเขมาเทวี ได้ทอดพระเนตรเห็นรูปสตรีนั้นโดยตลอดแล้ว จึงดำริว่า “สรีระที่สวยงามเห็นปานนี้ ยังถึงวิบัติอย่างนี้ได้ แม้สรีระของเราก็จักมีคติเป็นไป อย่างนี้เหมือนกัน” ขณะที่พระนางกำลังมีพระดำริอย่างนี้อยู่นั้น พระพุทธองค์ได้ตรัสพระคาถาภาษิตว่า:- “ชนเหล่าใดถูกราคะย้อมแล้ว ย่อมตกไปในกระแสราคา เหมือนแมลงมุม ตกไปในข่ายใยที่ตนทำเอง เมื่อชนเหล่านั้น ตัดกระแสนั้นได้ โดยไม่มีเยื่อใยแล้ว ละกามสุขเสียได้ ย่อมออกบวช” เมื่อจบพระพุทธดำรัสคาถาภาษิตแล้ว พระนางเขมาเทวี ได้บรรลุพระอรหัตผล พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย ในอิริยาบถที่ประทับยืนอยู่นั่นเอง หัวข้อ: Re: พระเถรีสมัยพุทธกาล เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 23 มีนาคม 2553 14:39:32 (http://gallery.palungjit.com/data/557/medium/m149092.jpg) พระอรหันต์ฆราวาสเป็นได้ไม่นาน ธรรมดาผู้อยู่ครองเรือน เมื่อบรรลุพระอรหัตแล้วจำต้องปรินิพพานหรือไม่ก็บวชเสีย ในวันนั้น เพราะเพศฆราวาสไม่สามารถจะรองรับความเป็นพระอรหัตถ์ได้ แต่พระนางรู้ว่าอายุสังขารของตนยังเป็นไปได้ จึงเสด็จกลับพระราชนิเวศน์ให้ พระเจ้าพิมพิสารพระสวามีทรงอนุญาตการบวชก่อน แม้พระราชาก็ทรงทราบโดยสัญญาณ คืออาการที่พระนางแสดงว่าบรรลุอริยธรรมแล้ว ทรงพอพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ให้พระนางประทับบนวอทองแล้วนำไปอุปสมบท ในสำนักของภิกษุณีสงฆ์ เมื่อพระนางบวชแล้วได้นามว่า “พระเขมาเถรี” เพราะอาศัยเหตุที่พระนางมีปัญญามาก บรรลุพระอรหัตผลทั้ง ๆ ที่อยู่ในเพศฆราวาส พระบรมศาสดาจึงทรงยกย่องเธอไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่า ภิกษุณีทั้งหลายในฝ่าย ผู้มีปัญญา และทรงแต่งตั้งให้เป็น อัครสาวิกาฝ่ายขวา (http://www.oknation.net/blog/user_icon/606/19606?1269331603) วิชชา ความรู้แจ้ง ความรู้วิเศษ มี ๘ คือ ๑. วิปัสสนาญาณ ญาณอันนับเข้าในวิปัสสนา ๒. มโนมยิทธิ ฤทธิ์ทางใจ ๓. อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ได้ ๔. ทิพยโสต หูทิพย์ ๕. เจโตปริยญาณ รู้จักกำหนดใจผู้อื่นได้ ๖. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติได้ ๗. ทิพยจักขุ ตาทิพย์ (จุตูปปาตญาณ) ๘. อาสวักขยญาณ รู้จักทำอาสวะให้สิ้น หัวข้อ: Re: พระเถรีสมัยพุทธกาล เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 23 มีนาคม 2553 15:46:01 (http://27.media.tumblr.com/tumblr_l0pcbvHF4U1qbz4yio1_500.jpg) พระอุบลวรรณาเถรี เอตทัคคะในฝ่ายผู้มีฤทธิ์ พระอุบลวรรณาเถรี เกิดในตระกูลเศรษฐี ในกรุงสาวัตถี บิดามารดาได้ตั้งชื่อให้นางว่า “อุบลวรรณา” ตามนิมิตลักษณะที่นางมีผิวพรรณ เหมือนกับดอกอุบลเขียว เพราะสวยบาดใจจึงต้องให้บวช เมื่อนางเจริญวัยเข้าสู่วัยสาว นอกจากจะมีผิวงามแล้วรูปร่างลักษณะยังงดงาม สุดเท่าที่จะหาหญิงอื่นทัดเทียมได้ จึงเป็นที่หมายปองต้องการของพระราชาและมหาเศรษฐี ทั่วทั้งชมพูทวีป ซึ่งต่างก็ส่งเครื่องบรรณาการอันมีค่าไปมอบให้พร้อมกับสู่ขอ เพื่ออภิเษกสมรสด้วย ฝ่ายเศรษฐีผู้บิดาของนางรู้สึกลำบากใจด้วยคิดว่า “เราไม่สามารถที่จะรักษา น้ำใจของคนทั้งหมดเหล่านี้ได้ เราควรจะหาอุบายทางออกสักอย่างหนึ่ง” แล้วจึงเรียกลูกสาวมาถามว่า:- “แม่อุบลวรรณา เจ้าจะสามารถบวชได้ไหม ?” นางได้ฟังคำของบิดาแล้วรู้สึกร้อนทั่วสรรพางค์กายเหมือนกับมีคนนำเอา น้ำมันที่เคี่ยวให้เดือด ๑๐๐ ครั้ง ราดลงบนศีรษะของนาง ด้วยว่านาง ได้สั่งสมบุญมาแต่อดีตชาติ และการเกิดในชาตินี้ก็เป็นชาติสุดท้ายของนาง ดังนั้น นางจึงรับคำของบิดาด้วยความปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง เศรษฐีผู้บิดาจึงพานางไปยังสำนักของภิกษุสงฆ์แล้วให้บวชเป็นที่เรียบร้อย เมื่อนางอุบลวรรณาบวชได้ไม่นาน ก็ถึงวาระที่จะต้องไปทำความสะอาดโรงอุโบสถ (http://www.skdeitch.com/Get-Stupid/jhova10/candle.gif) (http://www.skdeitch.com/Get-Stupid/jhova10/candle.gif) เธอได้จุดประทีปเพื่อขจัดความมืดแล้วกวาดโรงอุโบสถ เห็นเปลวไฟ ที่ดวงประทีป แล้วยึดถือเอาเป็นนิมิตร ขณะที่กำลังยืนอยู่นั้นได้เข้าฌานมีเตโช กสิณเป็นอารมณ์ แล้วกระทำฌานนั้น ให้เป็นฐานเจริญวิปัสสนา ก็ได้บรรลุพระอรหัตผล พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาและอภิญญาทั้งหลาย ณ ที่นั้น นั่นเอง เมื่อพระเถรีสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ได้เที่ยวจาริกไปยังชนบทต่าง ๆ แล้วกลับมาพักที่ป่าอันธวัน สมัยนั้นพระผู้มีพระภาคยังมิได้ทรงบัญญัติห้ามภิกษุณีอยู่ในป่าเพียงลำพัง ประชาชนได้ช่วยกันปลูกกระท่อมไว้ในป่า พร้อมทั้งเตียงตั่งกั้นม่าน แล้วถวายเป็นที่พักแก่พระเถรีนั้น (http://i300.photobucket.com/albums/nn9/mookwarin/medium_resize.jpg) หัวข้อ: Re: พระเถรีสมัยพุทธกาล เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 23 มีนาคม 2553 16:04:09 (http://palungjit.com/feature/data/504/buddha-rainbow.jpg) บวชแล้วยังถูกข่มขืน ฝ่ายนันทมาณพ ผู้เป็นลูกชายของลุงของพระเถรีนั้น มีจิตหลงรักนางตั้งแต่ยังไม่บวช เมื่อทราบข่าวว่าพระเถรีมาพักที่ป่าอันธวันใกล้เมืองสาวัตถี จึงได้ถือโอกาสขณะที่พระเถรีเข้าไปบิณฑบาตในเมืองสาวัตถีนั้น ได้เข้าไปในกระท่อม หลบซ่อนตัวอยู่ใต้เตียง เมื่อพระเถรีกลับมาแล้ว เข้าไปในกระท่อมปิดประตูแล้วนั่งลงบนเตียง ขณะที่สายตา ยังไม่ปรับเข้ากับความมืดในกระท่อม นันทมาณพก็ออกมาจากใต้เตียงตรงเข้าปลุกปล้ำข่มขืนพระเถรี ถึงแม้พระเถรีจะร้องห้ามว่า:- “เจ้าคนพาล เจ้าอย่าพินาศฉิบหายเลย เจ้าคนพาล เจ้าอย่าพินาศฉิบหายเลย” นันทมาณพ ก็ไม่ยอมเชื่อฟัง ได้ทำการข่มขืนพระเถรีสมปรารถนาแล้วก็หลีกหนีไป พอเขาหลบหนีไปได้ไม่ไกล แผ่นดินใหญ่ก็มีอาการประหนึ่งว่า ไม่สามารถจะรองรับน้ำหนักของเขาเอาไว้ได้ จึงอ่อนตัวยุบลง แล้วนันทมาณพก็จมดิ่งลงในแผ่นดิน ไปเกิดในอเวจีมหานรก ฝ่ายพระอุบลวรรณาเถรี ก็มิได้ปิดบังเรื่องราวที่เกิดขึ้น ได้บอกแจ้งเหตุที่เกิดขึ้นกับตนนั้น แก่ภิกษุณีทั้งหลาย ต่อจากนั้นเรื่องราวของพระเถรีก็ทราบถึงพระบรมศาสดา (http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/458/16458/images/mom1/lotus20.jpg) พระพุทธองค์ได้ตรัสพระคาถาภาษิตว่า:- “คนพาล ย่อมร่าเริงยินดีในบาปกรรมลามกที่ตนกระทำ ประดุจว่าดื่มน้ำผึ้งที่มีรสหวาน จนกว่าบาปกรรมนั้นจะให้ผลจึงจะได้ประสบกับความทุกข์ เพราะกรรมนั้น” หัวข้อ: Re: พระเถรีสมัยพุทธกาล เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 23 มีนาคม 2553 16:36:45 (http://thephotoeclectic.com/thephotoeclectic/Buddha_Nature_1_files/Buddha%20Cactus.jpg) พระขีณาสพเหมือนไม้แห้งไม้ผุ เมื่อกาลเวลาล่วงไปภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมเกี่ยวกับเหตุการณ์ ของพระอุบลวรรณาเถรี นั้นว่า:- “ท่านทั้งหลาย เห็นทีพระขีณาสพทั้งหลาย คงจะยังมีความยินดีในกามสุข คงจะยังจะพอใจในการเสพกาม ก็ทำไมจะไม่เสพเล่า เพราะท่านเหล่านั้นมิใช่ไม้ผุ มิใช่จอมปลวก อีกทั้งเนื้อหนังร่างกายทั่วทั้งสรีระ ก็ยังสดอยู่ ดังนั้น แม้จะเป็นพระขีณาสพก็ชื่อว่ายังยินดีในการเสพกาม” (http://i190.photobucket.com/albums/z306/i_am_carolina_girl/beautifulflowerwithdewdrops.jpg) พระบรมศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามทรงทราบเนื้อความที่พวกภิกษุเหล่านั้นสนทนากันแล้ว จึงตรัสว่า:- “ภิกษุทั้งหลาย พระขีณาสพทั้งหลายนั้นไม่ยินดีในกามสุข ไม่เสพกาม เปรียบเสมือนหยาดน้ำ ตกลงในใบบัวแล้วไม่ติดอยู่ ย่อมกลิ้งตกลงไป และเหมือนกับเมล็ดพันธุ์ผักกาด ย่อมไม่ติดตั้งอยู่บนปลายเหล็กแหลม ฉันใด ขึ้นชื่อว่ากามก็ย่อมไม่ซึมซาบ ไม่ติดอยู่ในจิตของพระขีณาสพ ฉันนั้น” หัวข้อ: Re: พระเถรีสมัยพุทธกาล เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 23 มีนาคม 2553 18:09:47 (http://gotoknow.org/file/boonrung/DSC02426.jpg) ห้ามภิกษุณีอยู่ป่า ต่อมาพระบรมศาสดา ทรงพิจารณาเห็นภัยอันจะเกิดแก่กุลธิดา ผู้เข้ามาบวชแล้วพักอาศัยอยู่ในป่า อาจจะถูกคนพาลลามกเบียดเบียนประทุษร้าย ทำอันตราย ต่อพรหมจรรย์ได้ จึงรับสั่งให้เชิญพระเจ้าปเสนทิโกศลมาเฝ้า ตรัสให้ทราบพระดำริ แล้ว ขอให้สร้างที่อยู่อาศัยเพื่อนางภิกษุณีสงฆ์ ในที่บริเวณใกล้ ๆ พระนคร และตั้งแต่นั้นมา ภิกษุณีก็มีอาวาส อยู่ในบ้านในเมืองเท่านั้น พระอุบลวรรณาเถรี ปรากฏว่าเป็นผู้ชำนาญในการแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ดังจะเห็น ได้ในวันที่ พระบรมศาสดาทรงกระทำยมกปาฏิหาริย์นั้น พระเถรีก็กราบทูลอาสาขอแสดงฤทธิ์เพื่อต่อสู้กับพวกเดียรถีย์แทนพระพุทธองค์ด้วย และทรงอาศัยเหตุนี้จึงได้ทรงสถาปนาพระอุบลวรรณาเถรีนี้ ไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุณีทั้งหลาย ในฝ่าย ผู้มีฤทธิ์ และเป็น อัครสาวิกาฝ่ายซ้าย (http://www.thongthailand.com/private_folder/purua10.jpg) ข้อมูลด้านล่างส่วนนี้นำมาจาก : http://www.atriumtech.com/cgi-bin/hilightcgi?Home=/home/InterWeb2000&File=/home2/searchdata/Forums/http/www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y3676330/Y3676330.html พระอุบลวรรณาเถรีได้กล่าวแก่ที่ประชุมว่า พระพุทธเจ้าทรงพอพระทัยในคุณสมบัตินั้น จึงทรงตั้ง นางไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะในหมู่พุทธบริษัทว่า " อุบลวรรณา " " อุบลวรรณาภิกษุณี เป็นผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุณีที่มีฤทธิ์ " คราวหนึ่งพระอุบลวรรณาเถรี มีความสุขอยู่ด้วยณานและสมาบัติ วันหนึ่งท่านพิจารณาเห็นโทษของกามทั้งหลายที่โลกียชนพากันวุ่นวายเดือดร้อนในเรื่องดังกล่าวว่าเป็นเครื่องทำให้ตกต่ำเศร้าหมอง เป็นที่น่าสลดใจ ยิ่งท่านระลึกถึงชาติหนหลังของท่าน ที่ได้ประพฤติตัวเลวทราม เพราะกามเป็นเหตุท่านได้เล่าชีวิตของท่านในชาติก่อนแก่เพื่อนภิกษุณีทั้งหลาย ( ปรากฏอยู่ในอรรถกถาแห่งเถรีคาถา ) ดังนี้... กาม ทำความเสื่อมเสียให้แก่มนุษย์อย่างน่าสลดใจน่าขยะแขยง เพราะกามไม่มีชาติ ไม่มีสกุล เป็นเรื่องเลวทราม เมื่อครั้งที่นางอุบลวรรณายังท่องเที่ยวอยู่ในกาม ยังบริโภคกามอยู่ นางได้บุตรชายเป็นสามี และเกิดไปมีสามีคนเดียวกันกับลูกสาว ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ก็เป็นไปแล้ว ก็เพราะกามนั้นแหละ การที่พระอุบลวรรณาเถรี สามารถระลึกชาติก่อน ๆ ได้ ทิพยจักษุ เจโตปริยญาณ และ ทิพโสต ธาตุชำระ ให้หมดจด กระทั่งฤทธิ์ก็ทำได้สำเร็จแล้ว ความสิ้นอาสวะ ก็ได้บรรลุแล้ว รวมทั้งได้อภิญญา ๖ ด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นพระอุบลวรรณาเถรีก็ได้ทำเสร็จสิ้นแล้ว เมื่อคราวที่พระพุทธเจ้าทรงทำยมกปาฏิหาริย์ พระอุบลวรรณาเถรีได้เนรมิตรถเทียมด้วยม้า ๔ ตัว นั่งเข้าไปถวายบังคมพระยุคลบาท ณ ที่นั้นด้วย เรื่องราวทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ย่อมแสดงถึงความเป็นยอดภิกษุณีของพระอุบลวรรณาเถรี ซึ่งมีฤทธิ์เทียบเท่ากับพระมหาโมคคัลลานะ อัครสาวกเบื้องซ้าย ของพระพุทธองค์ แม้จะต้องผ่านเหตุการณ์เลวร้ายในชีวิตขนาดถูกข่มขืนในกุฏิของท่านเอง แต่ท่านหาได้หวั่นไหวหรือท้อถอยแต่ประการใดไม่ ท่านได้เป็นกำลังสำคัญของพระพุทธเจ้าช่วยประกาศพระศาสนาแก่มวลพุทธบริษัททั้งหลาย จนมีผลงานเป็นที่ยอมรับทั่วไปได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าให้เป็นอัครสาวิกา เบื้องซ้ายของพระบรมศาสดาทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เพราะท่านเป็นพระองค์อรหันต์ที่แท้จริงนั่นเอง หัวข้อ: Re: พระเถรีสมัยพุทธกาล เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 23 มีนาคม 2553 19:00:48 (http://www.bloggang.com/data/srisurang/picture/1183261502.jpg) พระปฏาจาราเถรี พระปฏาจาราเถรี เป็นธิดาของมหาเศรษฐีในเมืองสารวัตถี เมื่ออายุย่างได้ ๑๖ ปี เป็นหญิงมีความงดงามมาก บิดามารดาทะนุถนอมห่วงใยให้อยู่บนปราสาท ชั้น ๗ เพื่อป้องกัน การคบหากับชายหนุ่ม (http://www.mornor.com/2009/forum/customavatars/000/00/00/28.gif) ดอกฟ้าได้ยาจก แม้กระนั้น เพราะนางเป็นหญิงโลเลในบุรุษ จึงได้คบหาเป็นภรรยาคนรับใช้ในบ้านของตน ต่อมาบิดามารดาของนางได้ตกลงยกนางให้แก่ชายคนหนึ่ง ที่มีชาติสกุลและทรัพย์เสมอกัน เมื่อใกล้กำหนดวันวิวาห์ นางได้พูดกับคนรับใช้ผู้เป็นสามีว่า:- “ได้ทราบว่า บิดามารดาได้ยกฉันให้กับลูกชายสกุลโน้น ต่อไปท่านก็จะไม่ได้พบกับฉันอีก ถ้าท่านรักฉันจริง ท่านก็จงพาฉันหนีไปจากที่นี่ แล้วไปอยู่ร่วมกันที่อื่นเถิด” เมื่อตกลงนัดหมายกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วชายคนรับใช้ผู้เปลี่ยนฐานะมาเป็นสามีนั้น ได้ไปรออยู่ข้างนอก แล้วนางก็หนีบิดามารดาออกจากบ้าน ไปร่วมครองรักครองเรือนกันในบ้านตำบลหนึ่งซึ่งไม่มีคนรู้จัก ช่วยกันทำไร่ ไถนา เข้าป่าเก็บผักหักฟืนหาเลี้ยงกันไปตามอัตภาพ นางต้องตักน้ำตำข้าว หุงต้ม ด้วยมือของตนเอง ได้รับความทุกข์ยากแสนสาหัส เพราะตนไม่เคยทำมาก่อน หัวข้อ: Re: พระเถรีสมัยพุทธกาล เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 23 มีนาคม 2553 19:49:48 (http://www.thongthailand.com/private_folder/purua13.jpg) คลอดลูกกลางทาง กาลเวลาผ่านไป นางได้ตั้งครรภ์บุตรคนแรก เมื่อครรภ์แก่ขึ้นนางจึงอ้อนวอนสามี ให้พานางกลับไปยังบ้านของบิดามารดาเพื่อคลอดบุตร เพราะการคลอดบุตรในที่ไกล จากบิดามารดาและญาตินั้นเป็นอันตราย แต่สามีของนางก็ไม่กล้าพากลับไป เพราะเกรงว่าจะถูกลงโทษอย่างรุนแรง จึงพยายามพูดจาหน่วงเหนี่ยวเธอไว้ จนนางเห็นว่าสามีไม่พาไปแน่ วันหนึ่ง เมื่อสามีออกไปทำงานนอกบ้าน นางจึงสั่งเพื่อนบ้าน ใกล้เคียงกันให้บอกกับสามีด้วยว่านางไปบ้านของบิดามารดาแล้วนางก็ออกเดินทาง ไปตามลำพัง เมื่อสามีกลับมาทราบความจากเพื่อนบ้านแล้ว ด้วยความห่วงใยภรรยาจึงรีบ ออกติดตามไปทันพบนางในระหว่างทาง แม้จะอ้อนวอนอย่างไรนางก็ไม่ยอมกลับ ทันใดนั้น ลมกัมมัชวาต คือ อาการปวดท้องใกล้คลอด ก็เกิดขึ้นแก่นาง จึงพากันเข้าไปใต้ร่มริมทาง นางนอนกลิ้งเกลือกทุรนทุรายเจ็บปวดทุกข์ทรมานอย่างหนัก ในที่สุดก็คลอดบุตรออกมา ด้วยความยากลำบาก เมื่อคลอดบุตรโดยปลอดภัยแล้ว ก็ปรึกษากันว่า “กิจที่ต้องการไปคลอด ที่เรือนของบิดามารดานั้นก็สำเร็จแล้ว จะเดินทางต่อไปก็ไม่มีประโยชน์” จึงพากันกลับบ้านเรือนของตน อยู่ร่วมกันต่อไป (http://t3.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcTBKVR8ij-YQ_wiuvJHna92747K6_v7RAbIUdzfE3ARGVAeH14&t=1&usg=__D3QZ7Rypo10BtPAcR301fa1775A=) สามีถูกงูกัดตาย ต่อมาไม่นานนักนางก็ตั้งครรภ์อีก เมื่อครรภ์แก่ขึ้นตามลำดับนางจึงอ้อนวอนสามี เหมือนครั้งก่อน แต่สามีก็ยังคงไม่ยินยอมเช่นเดิม นางจึงอุ้มลูกคนแรกหนีออกจากบ้านไป แม้สามีจะตามมาทันชักชวนให้กลับก็ไม่ยอมกลับ จึงเดินทางร่วมกันไป เมื่อเดินทาง มาได้อีกไม่ไกลนัก เกิดลมพายุพัดอย่างแรงและฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก พร้อมกันนั้นนางก็ปวดท้องใกล้จะคลอดขึ้นมาอีก จึงพากันแวะลงข้างทาง ฝ่ายสามีได้ไป หาตัดกิ่งไม้ เพื่อมาทำเป็นที่กำบังลมและฝน แต่เคราะห์ร้ายถูกงูพิษกัดตายในป่านั้น นางทั้งปวดท้องทั้งหนาวเย็น ลมฝนก็ยังคงตกลงมาอย่างหนัก สามีก็หายไป ไม่กลับมา ในที่สุดนางก็คลอดบุตรคนที่สองอย่างน่าสังเวช ลูกของนางทั้งสองคน ทนกำลังลมและฝนไม่ไหว ต่างก็ร้องไห้กันเสียงดังลั่นแข่งกับลมฝน นางต้องเอาลูกทั้งสองมาอยู่ใต้ท้อง โดยนางใช้มือและเข่ายืนบนพื้นดิน ในท่าคลาน ได้รับ ทุกขเวทนาอย่างมหันต์สุดจะรำพันได้ เมื่อรุ่งอรุณแล้วสามีก็ยังไม่กลับมา จึงอุ้มลูกคนเล็กซึ่งเนื้อหนังยังแดง ๆ อยู่ จูงลูกคนโตออกตามหาสามี เห็นสามีนอนตายอยู่ข้างจอมปลวก จึงร้องไห้รำพันว่า สามีตายก็เพราะ นางเป็นเหตุ เมื่อสามีตายแล้ว ครั้นจะกลับไปที่บ้านทุ่งนา ก็ไม่มีประโยชน์ จึงตัดสินใจไปหาบิดามารดาของตนที่เมืองสาวัตถี โดยอุ้มลูกคนเล็ก และจูงลูกคนโต เดินไปด้วยความทุลักทุเล เพราะความเหนื่อยอ่อนอย่างหนักดูน่าสังเวชยิ่งนัก (http://www.bloggang.com/data/treehousedream/picture/1240882633.jpg) หัวข้อ: Re: พระเถรีสมัยพุทธกาล เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 23 มีนาคม 2553 21:20:52 (http://webserv.kmitl.ac.th/~tree/Picture/patajara.jpg) หัวใจสลายเพราะสูญเสียลูกน้อยทั้งสอง นางเดินทางมาถึงริมฝั่งแม่น้ำจิรวดี มีน้ำเกือบเต็มฝั่งเนื่องจากฝนตกหนัก เมื่อคืนที่ผ่านมา นางไม่สามารถจะนำลูกน้อยทั้งสองข้ามแม่น้ำไปพร้อมกันได้ เพราะนางเองก็ว่ายน้ำไม่เป็น แต่อาศัยที่น้ำไม่ลึกนักพอที่เดินลุยข้ามไปได้ จึงสั่งให้ลูกคนโตรออยู่ก่อน แล้วอุ้มลูกคนเล็กข้ามแม่น้ำไปยังอีกฝั่งหนึ่ง เมื่อถึงฝั่งแล้วได้นำใบไม้มาปูรองพื้นให้ลูกคนเล็กนอนที่ชายหาดแล้วกลับไปรับ ลูกคนโตด้วยความห่วงใยลูกคนเล็ก นางจึงเดินพลางหันกลับมาดูลูกคนเล็กพลาง ขณะที่มาถึงกลางแม่น้ำนั้น มีนกเหยี่ยวตัวหนึ่งบินวนไปมาอยู่บนอากาศ มันเห็นเด็กน้อยนอนอยู่มีลักษณะเหมือนก้อนเนื้อ จึงบินโฉบลงมาแล้วเฉี่ยวเอา เด็กน้อยไป นางตกใจสุดขีดไม่รู้จะทำอย่างไรได้ จึงได้แต่โบกมือร้องไล่ตามเหยี่ยว ไป แต่ก็ไม่เป็นผล เหยี่ยวพาลูกน้อยของนางไปเป็นอาหาร ส่วนลูกคนโตยืนรอแม่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง เห็นแม่โบกมือทั้งสองตะโกนร้องอยู่ กลางแม่น้ำ ก็เข้าใจว่าแม่เรียกให้ตามลงไป จึงวิ่งลงไปในน้ำด้วยความไร้เดียงสา ถูกกระแสน้ำพัดพาจมหายไป (http://www.bloggang.com/data/treehousedream/picture/1240882647.jpg) ทราบข่าวการตายของบิดามารดาถึงกับเสียสติ เมื่อสามีและลูกน้อยทั้งสองตายจากนางไปหมดแล้วเหลือแต่นางคนเดียว นางจึงเดินทางมุ่งหน้าสู่บ้านเรือนของบิดามารดา ทั้งหิวทั้งเหนื่อยล้า ได้รับความบอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจ รู้สึกเศร้าโศกเสียใจสุดประมาณ พลางเดินบ่นรำพึงรำพันไปว่า:- “บุตรคนหนึ่งของเราถูกเหยี่ยวเฉี่ยวเอาไป บุตรอีกคนหนึ่งถูกน้ำพัดไป สามีก็ตายในป่าเปลี่ยว” นางเดินไปก็บ่นไปแต่ก็ยังพอมีสติอยู่บ้างได้พบชายคนหนึ่งเดินสวนทางมา สอบถามทราบว่ามาจากเมืองสาวัตถี จึงถามถึงบิดามารดาของตนที่อยู่ในเมืองนั้น ชายคนนั้นตอบว่า:- “น้องหญิงเมื่อคืนนี้เกิดลมพายุและฝนตกอย่างหนัก เศรษฐีสองสามีภรรยาและลูกชายอีกคนหนึ่ง ถูกปราสาทของตนพังล้มทับ ตายพร้อมกันทั้งครอบครัวเธอจงมองดูควันไฟที่เห็นอยู่โน่น ประชาชนร่วมกันทำการ เผาทั้ง ๓ พ่อ แม่ และลูกบนเชิงตะกอนเดียวกัน” นางปฏาจารา พอชายคนนั้น กล่าวจบลงแล้ว ก็ขาดสติสัมปชัญญะไม่รู้สึกตัวว่าผ้านุ่งผ้าห่มที่นางสวมใส่อยู่หลุด ลุ่ยลงไป เดินเปลือยกายเป็นคนวิกลจริตร้องไห้บ่นเพ้อรำพันเซซวนคร่ำครวญว่า:- “บุตรสองคนของเราตายแล้ว สามีของเราก็ตายที่ทางเปลี่ยว มารดาบิดา และพี่ชายของเราก็ถูกเผาบนเชิงตะกอนเดียวกัน” นางเดินไปบ่นไปอย่างนี้ คนทั่วไป เห็นแล้วคิดว่า “นางเป็นบ้า” พากันขว้างปาด้วยก้อนดินบ้าง โรยฝุ่นลงบนศีรษะ นางบ้าง และนางยังคงเดินต่อเรื่อยไปอย่างไร้จุดหมายปลายทาง หัวข้อ: Re: พระเถรีสมัยพุทธกาล เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 23 มีนาคม 2553 21:51:35 (http://uppic.net/full/cf21e09caaaaa1bdd4cc448cf6d323c5) หายบ้าแล้วได้บวช ขณะนั้น พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมอยู่ท่ามกลางพุทธบริษัท ทรงทราบด้วยพระฌาณ ว่านางปฏาจารามีอุปนิสัยแห่งพระอรหัตต์ จึงบันดาลให้นางเดินทางมายังวัดพระเชตวัน นางได้เดินมายืนใกล้เสาศาลาโรงธรรมอยู่ท้ายสุด พุทธบริษัทหมู่คนทั้งหลาย พากันขับไล่นางให้ออกไป แต่พระบรมศาสดาตรัสห้ามไว้ แล้วตรัสกับนางว่า “จงกลับได้สติเถิด น้องหญิง” ด้วยพุทธานุภาพ นางกลับได้สติในขณะนั้นเอง มองดูตัวเองเปลือยกายอยู่ รู้สึกอายจึงนั่งลง อุบาสกคนหนึ่งโยนผ้าให้นางนุ่งห่ม นางเข้าไปกราบถวายบังคมพระศาสดา ที่พระบาท แล้วกราบทูลเคราะห์กรรมของนางให้ทรงทราบโดยลำดับ (http://wallbase1.org/thumbs/rozne/thumb-13316.jpg) พระพุทธองค์ได้ตรัสพระดำรัสว่า:- “แม่น้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ ก็ยังน้อยกว่าน้ำตา ของคนที่ถูกความทุกข์ความเศร้าโศกครอบงำ ปฏาจารา เพราะเหตุไร เธอจึงยังประมาทอยู่” ปฏาจารา ฟังพระดำรัสนี้แล้วก็คลายความเศร้าโศกลง พระบรมศาสดา ทรงทราบว่านาง หายจากความเศร้าโศกลงแล้ว จึงตรัสต่อไปว่า:- “ปฎาจารา ขึ้นชื่อว่าบุตรสุดที่รัก ไม่อาจเป็นที่พึ่ง เป็นที่ต้านทานหรือเป็นที่ป้องกัน แก่ผู้ไปสู่ปรโลกได้ บุตรเหล่านั้น ถึงจะมีอยู่ก็เหมือนไม่มี ส่วนผู้รู้ทั้งหลายรักษาศีลให้บริสุทธิ์แล้ว ควรชำระทางไปสู่พระนิพพานของตนเท่านั้น” เมื่อจบพระธรรมเทศนา นางปฏาจาราดำรงอยู่ในโสดาปัตผล เป็นพระอริยบุคคล ชั้นพระโสดาบัน แล้วกราบทูลขออุปสมบท พระพุทธองค์ทรงอนุญาตแล้ว จึงบวชเป็น ภิกษุณี ไม่นานนักก็ได้บรรลุพระอรหัตผล เมื่อนางปฏาจาราได้อุปสมบทแล้ว ปรากฏว่าเป็นพระเถรีผู้มีความรอบรู้ในเรื่องพระวินัยเป็นอย่างดี อาศัยเหตุนี้ พระบรมศาสดาจึงทรงยกย่องเธอไว้ ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่า ภิกษุณีทั้งหลาย ในฝ่าย ผู้ทรงพระวินัย (http://www.vcharkarn.com/uploads/179/179845.png) ข้อมูลเพิ่มเติมด้านล่าง ส่วนนี้นำมาจาก : http://www.dharma-gateway.com/bhikunee/pra-pata-jara.htm (http://www.dharma-gateway.com/bhikunee/pra-pata-jara.htm) นางได้ตั้งความปรารถนาไว้ในชาติก่อน ได้ยินว่า ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าปทุมุตตระ นางปฏาจารานั้น เห็นพระเถรีผู้ทรงวินิจฉัยรูปหนึ่ง อันพระปทุมุตตรศาสดาทรงตั้งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ จึงทำคุณความดีแล้ว ตั้งความปรารถนาไว้ว่า “แม้หม่อมฉันพึงได้ตำแหน่งเอตทัคคะผู้เลิศกว่า พระเถรีผู้ทรงวินิจฉัยทั้งหลายในสำนักพระพุทธเจ้าเช่นกับด้วยพระองค์.” พระปทุมุตตรพุทธเจ้าทรงเล็งอนาคตตั้งญาณไป ก็ทรงทราบความปรารถนาจะสำเร็จ จึงทรงพยากรณ์ว่า “ในอนาคตกาลหญิงผู้นี้จักเป็นผู้เลิศกว่าพระเถรีผู้ทรงวินิจฉัยทั้งหลาย มีนามว่าปฏาจาราในศาสนาของพระโคดมพุทธเจ้า.” พระศาสดา ทรงเห็นนางผู้มีความปรารถนาตั้งไว้แล้วอย่างนั้น ผู้สมบูรณ์ด้วยอภินิหาร กำลังเดินมาแต่ที่ไหนเทียว ทรงดำริว่า “เว้นเราเสีย ผู้อื่นชื่อว่าสามารถจะเป็นที่พึ่งของหญิงผู้นี้ได้ ไม่มี” จึงได้ทรงบันดาลให้นางเดินบ่ายหน้ามาสู่วิหาร พวกพุทธบริษัทเห็นนางแล้วจึงกล่าวว่า “ท่านทั้งหลาย อย่าให้หญิงบ้านี้มาที่นี้เลย.”พระศาสดาตรัสว่า “พวกท่านจงหลีกไป อย่าห้ามเธอ” ในเวลานางมาใกล้ จึงตรัสว่า “จงกลับได้สติเถิด น้องหญิง.” นางกลับได้สติด้วยพุทธานุภาพในขณะนั้นเอง. ในเวลานี้ นางกำหนดความที่ผ้านุ่งหลุดได้แล้ว ให้เกิดหิริโอตัปปะขึ้น จึงนั่งกระโหย่ง. ลำดับนั้น บุรุษผู้หนึ่งจึงโยนผ้าห่มไปให้นาง. นางนุ่งผ้านั้นแล้วเข้าเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์ แทบพระบาททั้งสองซึ่งมีพรรณะดังทองคำแล้วทูลว่า “ขอพระองค์จงทรงเป็นที่พึ่งแก่หม่อมฉันเถิด พระเจ้าข้า เพราะว่าเหยี่ยวเฉี่ยวบุตรคนหนึ่งของหม่อมฉันไป คนหนึ่งถูกน้ำพัดไป สามีตายที่ทางเปลี่ยว มารดาบิดาและพี่ชายถูกเรือนทับตายเขาเผาเชิงตะกอนเดียวกัน.” พระศาสดาทรงสดับคำของนาง จึงตรัสว่า “อย่าคิดเลยปฏาจารา เธอมาอยู่สำนักของผู้สามารถจะเป็นที่พึ่งพำนักอาศัยของเธอได้แล้ว เหมือนอย่างว่า บัดนี้ บุตรคนหนึ่งของเธอถูกเหยี่ยวเฉี่ยวไป คนหนึ่งถูกน้ำพัดไป สามีตายแล้วที่ทางเปลี่ยว มารดาบิดาและพี่ชายถูกเรือนทับฉันใด น้ำตาที่ไหลออกของเธอ ผู้ร้องไห้อยู่ในสังสารนี้ ในเวลาที่ปิยชนมีบุตรเป็นต้น ตาย ยังมากกว่าน้ำแห่งมหาสมุทรทั้ง ๔ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน” ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า:- “น้ำในสมุทรทั้ง ๔ มีประมาณน้อย น้ำตาของคนผู้อันทุกข์ถูกต้องแล้ว เศร้าโศก ไม่ใช่น้อย มากกว่าน้ำในมหาสมุทรนั้น เหตุไร เธอจึงประมาทอยู่เล่า? แม่น้อง.” เมื่อพระศาสดาตรัสอนมตัคคปริยายสูตรอยู่อย่างนั้น ความโศกในสรีระของนาง ได้ถึงความเบาบางแล้ว.ลำดับนั้น พระศาสดาทรงทราบที่นางผู้มีความโศกเบาบางแล้ว ทรงเตือนอีก แล้วตรัสว่า “ปฏาจารา ขึ้นชื่อว่าปิยชนมีบุตรเป็นต้น ไม่อาจเพื่อเป็นที่ต้านทาน เป็นที่พึ่ง หรือเป็นที่ป้องกันของผู้ไปสู่ปรโลกได้;เพราะฉะนั้น บุตรเป็นต้นเหล่านั้นถึงมีอยู่ ก็ชื่อว่าย่อมไม่มีทีเดียว ส่วนบัณฑิตชำระศีลแล้ว ควรชำระทางที่ยังสัตว์ให้ถึงนิพพานของตนเท่านั้น” เมื่อจะทรงแสดงธรรม ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า:- “บุตรทั้งหลาย ไม่มีเพื่อต้านทาน บิดาก็ไม่มี ถึงพวกพ้องก็ไม่มี เมื่อบุคคลถูกความตาย ครอบงำ แล้ว ความต้านทานในญาติทั้งหลาย ย่อมไม่มี; บัณฑิตทราบอำนาจประโยชน์นั้นแล้ว สำรวมในศีล พึงชำระทางไปนิพพานโดยเร็วทีเดียว.” ในกาลจบเทศนา นางปฏาจาราเผากิเลสมีประมาณเท่าฝุ่นในแผ่นดินใหญ่แล้ว ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล ชนแม้เหล่าอื่นเป็นอันมาก บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล. นางปฏาจาราทูลขอบวช ฝ่ายนางปฏาจารานั้นเป็นโสดาบันแล้ว ทูลขอบรรพชากะพระศาสดา. พระศาสดาทรงส่งนางไปยังสำนักของพวกภิกษุณีให้บรรพชาแล้ว. นางได้อุปสมบทแล้วปรากฏชื่อว่า “ปฏาจารา” เพราะนางกลับความประพฤติได้. วันหนึ่ง นางกำลังเอาหม้อตักน้ำล้างเท้า เทน้ำลง.น้ำนั้นไหลไปหน่อยหนึ่งแล้วก็ขาด. ครั้งที่ ๒ น้ำที่นางเทลง ได้ไหลไปไกลกว่านั้น. ครั้งที่ ๓ น้ำที่เทลง ได้ไหลไปไกลกว่าแม้นั้น ด้วยประการฉะนี้. นางถือเอาน้ำนั้นนั่นแลเป็นอารมณ์ กำหนดวัยทั้ง ๓ แล้ว คิดว่า “สัตว์เหล่านี้ ตายเสียในปฐมวัยก็มี เหมือนน้ำที่เราเทลงครั้งแรก ตายเสียในมัชฌิมวัยก็มี เหมือนน้ำที่เราเทลงครั้งที่ ๒ ไหลไปไกลกว่านั้น ตายเสียในปัจฉิมวัยก็มี เหมือนน้ำที่เราเทลงครั้งที่ ๓ ไหลไปไกลแม้กว่านั้น.” พระศาสดาประทับในพระคันธกุฎี ทรงแผ่พระรัศมีไป เป็นดัง ประทับยืนตรัสอยู่เฉพาะหน้าของนาง ตรัสว่า “ปฏาจารา ข้อนั้นอย่างนั้น ด้วยความเป็นอยู่วันเดียวก็ดี ขณะเดียวก็ดี ของผู้เห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมแห่งปัญจขันธ์เหล่านั้น ประเสริฐกว่าความเป็นอยู่ ๑๐๐ ปี ของผู้ไม่เห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมแห่งปัญจขันธ์” ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า:- “ก็ผู้ใด ไม่เห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อม อยู่พึงเป็นอยู่ ๑๐๐ ปี ความเป็นอยู่วันเดียวของผู้เห็นความเกิดและความเสื่อม ประเสริฐกว่าความเป็นอยู่ของผู้นั้น.” นางครั้นบวชแล้ว ไม่นานนักก็บรรลุพระอรหัตต์ เรียนพุทธวจนะ. ท่านเป็นผู้ช่ำชองชำนาญในวินัยปิฏก. (http://t1.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcQz9L5v6rwkT8t4c9H4lqne9ZwLrDTIKPecHS2Zy1-wEWNy5tCL) หัวข้อ: Re: พระเถรีสมัยพุทธกาล เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 23 มีนาคม 2553 22:20:17 (http://webserv.kmitl.ac.th/~tree/Picture/rubanan.jpg) พระนันทาเถรี เอตทัคคะในฝ่ายผู้แพ่งด้วยฌาน พระนันทาเถรี เป็นธิดาของพระเจ้าสุทโธทนะกับพระนางมหาปชาบดีโคตมี เป็น กนิษฐภคินีของเจ้าชายนันทะ พระนามเดิมว่า “นันทา” แต่เพราะนางมีพระสิริโฉมงดงามยิ่งนัก น่าทัศนา น่ารัก น่าเลื่อมใส พระประยูรญาติจึงพากันเรียกว่า “รูปนันทา” บ้าง “อภิรูปนันทา” บ้าง “ชนปทกัลยาณี” บ้าง เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะ ผู้นับเนื่องเป็นพระเชษฐาของนาง เสด็จออกบรรพชา ได้ตรัสรู้ เป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้าแล้ว เสด็จมาโปรดพระประยุรญาติ ณ พระนครกบิลพัสดุ์ เทศนาสั่งสอนให้ได้บรรลุมรรคผลตามวาสนาบารมี ทรงนำพาศากยกุมารทั้งหลายมีพระนันทะ พระราหุล และพระภัททิยะ เป็นต้น ออกบรรพชา ครั้นกาลต่อมา พระเจ้าสุทโธทนะมหาราชพุทธบิดา เสด็จเข้าสู่พระนิพพานแล้ว พระนางมหาปชาบดี โคตรมีพระมารดา และพระนางยโสธราพิมพาพระมารดาของพระราหุล ต่างก็พาสากิยกุมารีออกบวชในพระพุทธศาสนาด้วยกันทั้งสิ้น นางจึงมีพระดำรัสว่า “เหลือแต่เรา เพียงผู้เดียว ประหนึ่งไร้ญาติขาดมิตร จะมีประโยชน์อะไรกับการดำรงชีวิตในฆราวาสวิสัย สมควรที่เราจะไปบวชตามพระประยูรญาติผู้ใหญ่ของเราจะประเสริฐกว่า” หัวข้อ: Re: พระเถรีสมัยพุทธกาล เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 23 มีนาคม 2553 22:53:24 (http://gallery.palungjit.com/data/557/390Nelumbo_nucifera_alba2.jpg) เพราะรักญาติจึงออกบวช เมื่อพระนางมีพระดำริดังนี้แล้ว จึงจัดเตรียมผ้ากาสาวพัสตร์ เสด็จไปสู่สำนักพระมหาปชาบดีโคตมีเถรี กราบแทบเท้ากล่าวขอบรรพชาอุปสมบทพระเถรี ก็โปรดให้บรรพชา ตามปรารถนา แต่การบวชของพระนางนันทานั้นมิใช่บวชด้วยความศรัทธา แต่อาศัยความรักใน หมู่ญาติจึงออกบวชครั้นบวชแล้ว พระรูปนันทาเถรีได้ทราบว่า พระพุทธองค์ทรงตำหนิติเตียน เรื่องรูปกาย จึงไม่กล้าไปเฝ้าพระศาสดา เพื่อรับพระโอวาท เมื่อถึงวาระที่ตนจะต้องไปรับโอวาท ก็สั่งให้ภิกษุณีรูปอื่นไปรับแทน พระบรมศาสดาทรงทราบว่าพระนางหลงมัวเมาในพระสิริโฉม ของตนเอง จึงตรัสรับสั่งว่า:- “ต่อแต่นี้ ภิกษุณีทั้งหลาย ต้องมารับโอวาทด้วยตนเอง จะส่งภิกษุณีรูปอื่นมารับแทนไม่ได้” ตั้งแต่นั้น พระรูปนันทาเถรี ไม่มีทางอื่นที่จะหลีกเลี่ยงไปได้ จึงจำเป็นและจำใจไปรับพระโอวาท ทั้ง ๆ ที่ไม่ปรารถนา ไปเฝ้าพระบรมศาสดาพร้อมกับภิกษุณีทั้งหลาย แต่มิกล้าแม้กระทั่ง จะนั่งอยู่แถวหน้า จึงนั่งหลบอยู่ด้านหลัง พระพุทธองค์ทรงเนรมิตรูปหญิงสาววัยรุ่นคนหนึ่ง ให้มีรูปสิริโฉมสวยงามสุดที่จะหาหญิงใดในปฐพีมาเปรียบได้ ให้หญิงนั้นดูประหนึ่งว่า ถือพัดวีชนีถวายงานพัดอยู่เบื้องหลังของพระพุทธองค์ และให้สามารถมองเห็นเฉพาะพระพุทธองค์ กับพระรูปนันทาเถรีเท่านั้น พระรูปนันทาเถรีได้เห็นหญิงรูปเนรมิตนั้นแล้วก็คิดว่า เราหลงผิด คิดมัวเมาอยู่ในรูปโฉมของตนเองโดยใช่เหตุ จึงมิกล้ามาเฝ้าพระพุทธองค์ หญิงคนนี้มีความสนิมสนม อยู่ในสำนักพระบรมศาสดา รูปโฉมของเรานั้นเทียบไม่ได้ส่วนเสี้ยวที่ ๑๖ ของหญิงนี้เลย ดูนาง ช่างงามยิ่งนัก ผมก็สวย หน้าผากก็สวย หน้าตาก็สวย ทุกสิ่งทุกอย่างช่างสวยงามพร้อมทั้งหมด (http://t0.gstatic.com/images?q=tbn:iy10HsyGxa33GM) หัวข้อ: Re: พระเถรีสมัยพุทธกาล เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 24 มีนาคม 2553 12:04:39 (http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2008/10/Y7111061/Y7111061-0.jpg) พอเบื่อหน่ายก็ได้สำเร็จ เมื่อพระรูปนันทาเถรี กำลังเพลิดเพลินชื่นชมโฉมของรูปหญิงเนรมิตอยู่นั้น พระพุทธองค์ทรงอธิษฐานให้รูปหญิงนั้นปรากฏอยู่ในวัยต่าง ๆ ตั้งแต่เป็นหญิงวัยรุ่น เป็นหญิงสาววัยมีลูก หนึ่งคน มีลูก ๒ คน จนถึงวัยกลางคน วัยชราและวัยแก่หง่อม ผมหงอก ฟันหัก หลังค่อม และล้มตายลงในขณะนั้น ร่างกายมีหมู่หนอน มาชอนไชเจาะกินเหลือแต่โครงกระดูก พระพุทธองค์ทรงทราบว่าพระรูปนันทาเถรี เกิด ความสังเวชสลดจิตเบื่อหน่ายในรูปกายที่ตนยึดถือแล้วจึงตรัสว่า:- “ดูก่อนนันทา เธอจงดูอัตภาพร่างกายอันเป็นเมืองแห่งกระดูกนี้ (อฏฺฐีนํนครํ) อันกระสับกระส่าย ไม่สะอาด อันบูดเน่านี้เถิด เธอจงอบรมจิตให้แน่วแน่มั่นคง มีอารมณ์เดียว ในอสุภกรรมฐาน จงถอนมานะละทิฏฐิให้ได้แล้วจิตใจของเธอก็จะสงบ จงดูว่ารูปนี้เป็นฉันใด รูปของเธอก็เป็นฉันนั้น รูปของเธอเป็นฉันใดรูปนี้ก็เป็นฉันนั้น รูปอันมีกลิ่นเหม็นบูดเน่านี้ ย่อมเป็นที่เพลิดเพลินอย่างยิ่งของผู้โง่เขลาทั้งหลาย” พระรูปนันทาเถรี ส่งกระแสจิตไปตามพระพุทธดำรัส เมื่อจบลงก็สิ้นกิเลสาสวะ บรรลุพระอรหัตผลเป็นพระอเสขบุคคลในพระพุทธศาสนา ปรากฏว่าเมื่อพระนางสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วเป็นผู้มีความชำนาญพิเศษในการเพ่งด้วยฌาน ด้วยเหตุนี้ พระบรมศาสดาจึงทรงยกย่องเธอไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุณีทั้งหลาย ในฝ่าย ผู้แพ่งด้วยฌาน หรือ ผู้ทรงฌาน (http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2008/10/Y7111061/Y7111061-2.jpg) ฌาน การเพ่งอารมณ์จนใจแน่วแน่เป็นอัปปนาสมาธิ มี ๔ คือ ๑. ปฐมฌาน ฌานที่ ๑ มีองค์ ๕ คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา ๒. ทุติยฌาน ฌานที่ ๒ มีองค์ ๓ ปีติ สุข เอกัคคตา ๓. ตติยฌาน ฌานที่ ๓ มีองค์ ๒ คือ สุข เอกัคคตา ๔. จตุถฌาน ฌานที่ ๔ มีองค์ ๒ คือ อุเบกขา เอกัคคตา (http://www.grathonbook.net/book/images2/L10_3.jpg) หัวข้อ: Re: พระเถรีสมัยพุทธกาล เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 มีนาคม 2553 11:27:02 Peaceful Nature Part 1 (http://www.youtube.com/watch?v=AxKzTowWxko&feature=related#) พระธรรมทินนาเถรี เอตทัคคะในฝ่ายผู้เป็นธรรมกถึก พระธรรมทินนาเถรี เกิดในตระกูลเศรษฐี ในเมืองราชคฤห์ เมื่อเจริญวัยแล้ว ได้เป็นภริยาของวิสาขเศรษฐี ผู้ซึ่งเป็นพระสหายของพระเจ้าพิมพิสาร แห่งพระนครราชคฤห์นั้น หัวข้อ: Re: พระเถรีสมัยพุทธกาล เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 มีนาคม 2553 11:57:56 (http://www.exoticindiaart.com/details/oils/lady_with_fan_os54.jpg) ถูกสามีตัดเยื่อใยจึงออกบวช วิสาขเศรษฐี ได้ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ครั้งแรกโดยการชักชวนของพระเจ้าพิมพิสาร และได้ร่วมฟังพระธรรมเทศนาด้วยกัน เมื่อจบพระธรรมเทศนาลงแล้ว วิสาขเศรษฐีได้บรรลุโสดาปัตติผล ต่อมาภายหลัง ได้ไปฟังธรรมจากพระพุทธองค์อีกและได้บรรลุเป็นพระอนาคามี เมื่อกลับจากวัดมายังบ้าน โดยปกติทุก ๆ ครั้ง นางธรรมทินนา จะยืนคอยท่าอยู่ที่เชิงบันได เมื่อวิสาขเศรษฐีมาถึงก็ยื่นมือให้เกาะกุม แล้วขึ้นบันไดไปด้วยกัน แม้วันนั้นนางธรรมทินนาก็ยังปฏิบัติเช่นเดิม แต่ฝ่ายวิสาขเศรษฐีผู้สามีไม่เกาะมือ และไม่แสดงอาการยิ้มแย้ม ดังเช่นเคยทำมา แม้แต่เวลาบริโภคอาหาร ซึ่งนางคอยนั่งปฏิบัติอยู่ ท่านเศรษฐีก็ไม่ยอมพูดจาอะไรทั้งสิ้น ทำให้นางคิดหวั่นวิตกว่า “ตนคงจะทำผิดต่อสามี” ครั้นวิสาขเศรษฐีผู้สามี บริโภคอาหารเสร็จแล้วนางจึงถามว่า:- “ข้าแต่นาย ดิฉันทำสิ่งใดผิดหรือ วันนี้ท่านจึงไม่จับมือและพูดจาอะไรเลย ?” ท่านเศรษฐีกล่าวตอบว่า:-“ธรรมทินนา เธอไม่มีความผิดอะไรหรอก แต่นับตั้งแต่วันนี้ เราไม่ควรนั่งไม่ควรยืนในที่ใกล้เธอ ไม่ควรถูกต้องสัมผัสเธอ และไม่ควรให้เธอนำอาหารมาให้ แล้วนั่งเคี้ยวกินในที่ใกล้ ๆ เธอ ต่อแต่นี้ไป ถ้าเธอประสงค์จะอยู่ที่เรือนนี้ ก็จงอยู่ต่อไปเถิด แต่ถ้าไม่ประสงค์จะอยู่ก็จงรวบรวม เอาทรัพย์สมบัติตามความต้องการ แล้วกลับไปอยู่ที่ตระกูลของเธอเถิด” นางธรรมทินนา จึงกล่าวว่า “ข้าแต่นาย ดิฉันไม่ขอรับเอาขยะหยากเยื่อ อันเปรียบเสมือนน้ำลายที่ท่านถ่มทิ้งแล้วมาเทินบนศีรษะหรอก เมื่อเป็นเช่นนี้ขอท่านได้โปรดอนุญาตให้ดิฉันบวชเถิด” วิสาขเศรษฐี ได้ฟังคำของนางแล้วก็ดีใจ ได้กราบทูลพระเจ้าพิมพิสาร ขอพระราชทานวอทอง นำนางธรรมทินนา ไปยังสำนักของนางภิกษุณี เพื่อขอบรรพชาอุปสมบท เมื่อนางธรรมทินนา ได้บรรพชาอุปสมบทสมดังความปรารถนาแล้ว อยู่ในสำนักของอุปัชฌาย์ (ภิกษุณีสงฆ์) เพียง ๒-๓ วัน ก็ลาไปจำพรรษา อยู่ในอาวาสใกล้หมู่บ้านแห่งหนึ่ง บำเพ็ญเพียรเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ไม่นานนักก็ได้บรรลุพระอรหัตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย (http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2008/10/Y7111061/Y7111061-5.jpg) หัวข้อ: Re: พระเถรีสมัยพุทธกาล เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 มีนาคม 2553 13:54:50 (http://www.teachenglishinasia.net/files/u2/white_water_lily_pad.jpg) พระเถรีถูกอดีตสามีลองภูมิ ต่อมาพระนางธรรมทินนาเถรี คิดว่า “กิจของเราบรรลุถึงความสิ้นสุดแล้ว เราควรกลับไปกรุงราชคฤห์ เพื่อหมู่ญาติได้อาศัยเราแล้วทำบุญกุศลให้กับตนเอง” วิสาขอุบาสก ทราบว่านางกลับมาจึงไปหานางยังที่พัก มีความประสงค์ที่จะทราบว่า นางได้บรรลุคุณธรรมวิเศษอย่างใดหรือไม่ แต่มิกล้าถามตรง ๆ จึงเลี่ยงถามปัญหาว่าด้วยเรื่องเบญจขันธ์ พระนางธรรมทินนาเถรี ก็วิสัชนาอย่างคล่องแคล่วชัดเจนทุกประเด็นปัญหา วิสาขอุบาสกก็ทราบว่า พระนางธรรมทินนาเถรี มีฌานแก่กล้า จึงถามปัญหา ในลำดับของพระอนาคามีที่ตนได้บรรลุแล้ว เมื่อพระเถรีวิสัชนาได้อีก จึงก้าวล้ำถามปัญหาในวิสัยพระอรหัตมรรค พระเถรีทราบว่า อุบาสกมีวิสัยเพียงอนาคามีนั้น แต่ถามปัญหา เกินวิสัยของตน จึงกล่าวเตือนว่า:- “วิสาขะ ท่านยังไม่อาจกำหนดที่สุดแห่งปัญหาได้ ถ้าท่านยังหวังที่จะ ก้าวหยั่งลงสู่ประตูพระนิพพานแล้ว ขอท่านจงไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคแล้วกราบทูลถามข้อความนั้นเถิด เมื่อพระพุทธองค์ทรงพยากรณ์อย่างไร ก็จงจำไว้อย่างนั้น” วิสาขอุบาสกทำตาม คำแนะนำของพระเถรี ไปเฝ้าพระบรมศาสดาแล้วกราบทูลเนื้อความ ตามนัยแห่งปุจฉาและวิสัชนาถวายให้ทรงสดับทุกประการ (http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/72/24072/blog_entry1/blog/2008-06-01/comment/265789_images/6_1212363874.jpg) ทรงยกย่องเป็นผู้เลิศทางแสดงธรรม พระผู้มีพระภาค ทรงสดับแล้วตรัสว่า:- “ธรรมทินนาเถรีธิดาของเรานี้ ไม่มีตัณหาในขันธ์ทั้งหลาย ทั้งในอดีตปัจจุบัน และอนาคต เธอเป็นบัณฑิต มีปัญญามาก ถ้าวิสาขอุบาสก ถามข้อความนั้นกับเรา แม้เราเอง ก็จะพยากรณ์ เหมือนอย่างที่ธรรมทินนาเถรีพยากรณ์แล้วนั้นทุกประการ ขอท่านจงจำเนื้อความนั้นไว้เถิด” ต่อมา เมื่อพระบรมศาสดาประทับอยู่ ณ พระเชตะวันมหาวิหาร เมื่อทรงสถาปนาบรรดาภิกษุณีในตำแหน่งต่าง ๆ ตามลำดับ ทรงพิจารณาความสามารถในการวิสัชนาปัญญาของพระนางธรรมทินนาเถรี ในครั้งนั้นเป็นเหตุ จึงทรงสถาปนาพระเถรีนี้ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุณีทั้งหลายในฝ่าย ผู้เป็นธรรมกถึก หัวข้อ: Re: พระเถรีสมัยพุทธกาล เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 มีนาคม 2553 17:32:11 Peaceful Nature Part 2 (http://www.youtube.com/watch?v=sJDvrQkSUfI&feature=related#) พระสกุลาเถรี เอตทัคคะในฝ่ายผู้มีทิพยจักษุ พระสกุลาเถรี เกิดในตระกูลพราหมณ์ ผู้มีฐานะอยู่ในขั้นมหาเศรษฐี บิดามารดาตั้งชื่อว่า “สกุลา” เป็นผู้มีจิตศรัทธา น้อมไปในการบรรพชาอันเป็นผลมาจากบุญกุศลเก่าในอดีตชาติอยู่แล้ว (http://uppic.net/thumbnail/d76a6f0d3ceba375b4b4f5ae1c08ae18) ออกบวชเพราะเบื่อโลก ครั้นเมื่อ พระบรมศาสดา เสด็จเที่ยวจาริกเทศนาสั่งสอนเวไนยสัตว์ไปตามคามนิคมน้อยใหญ่ต่าง ๆ ยังหมู่สัตว์ทั้งหลายให้บรรลุมรรคผล ตามอุปนิสัยอำนาจวาสนาบารมีของแต่ละคน เสด็จมายังพระนครสาวัตถี ประทับ ณ พระมหาวิหารเชตวันที่อนาถบิณฑิกเศรษฐีสร้างถวาย นางได้เห็นพระบรมศาสดาผู้สมบูรณ์ด้วยมหาปุริสลักษณะ เสด็จเข้าไปบิณฑบาตในเมืองสาวัตถี แล้วเกิดศรัทธาเลื่อมใส ได้แสดงตนเป็นอุบาสิกา ขอถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ต่อมาภายหลัง ได้ฟังธรรมในสำนักของพระอรหันต์องค์หนึ่งแล้วเกิดความสลดใจในโลกสันนิวาส จึงได้ออกบรรพชาในสำนักของภิกษุณี อุตส่าห์บำเพ็ญเพียรเจริญวิปัสสนา ไม่นานนัก ก็ได้บรรลุพระอรหัตผล พร้อมทั้งวิชชา ๓ และอภิญญา ๖ (http://www.dhammavariety.com/_files/news/2010_05_09_210037_3tnfam1m.jpg) หัวข้อ: Re: พระเถรีสมัยพุทธกาล เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 มีนาคม 2553 17:45:35 (http://images.thaiza.com/33/33_20081129162818..jpg) ได้รับการยกย่องเป็นเลิศทางทิพยจักษุ พระสกุลาเถรี เมื่อได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ปรากฏว่า เป็นผู้มีความชำนาญในฤทธิ์ทั้งหลาย มีทิพยจักขุญาณ ทิพยโสตญาณ และบุพเพนิวาสานุสสติญาณ เป็นต้น ทั้งนี้ ก็ด้วยอานิสงส์จากอดีตชาติ ครั้งพระศาสนาพระพุทธเจ้านามว่า กัสสปะ นางได้บวชเป็นปริพาชิกา คือ นักบวชนอกพระพุทธศาสนา นางได้จุดประทีบโคมไฟถวายบูชาพระเจดีย์ของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยศรัทธาเลื่อมใส จึงเป็นผลส่งให้นางมีความชำนาญในทิพยจักขุญาณ สามารถมองทะลุฝ่า ทะลุกำแพง และภูเขาได้ตามความปรารถนา ด้วยเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคจึงทรงประกาศยกย่องพระสกุลาเถรีนี้ไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุณีทั้งหลายในฝ่าย ผู้มีทิพยจักษุ วิชชา ความรู้แจ้ง ความรู้วิเศษ มี ๓ คือ ๑. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ความรู้ที่ให้ระลึกชาติได้ ๒. จุตูปปาตญาณ ความรู้จุติและอุบัติเกิดของสัตว์ทั้งหลาย ๓. อาสวักขยญาณ ความรู้ที่ทำอาสวะให้สิ้น (http://www.kroobannok.com/thumbnail_v.php?im=news_pic/p48691320610.jpg) หัวข้อ: Re: พระเถรีสมัยพุทธกาล เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 มีนาคม 2553 18:45:16 (http://photos-h.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc1/hs270.snc1/9727_126393109567_49437804567_2267780_6988506_n.jpg) พระภัททากุณฑลเกสาเถรี เอตทัคคะในฝ่ายผู้ตรัสรู้เร็วพลัน พระภัททากุณฑลเกสาเถรี เป็นธิดาของเศรษฐี ในกรุงราชคฤห์ บิดามารดาตั้งชื่อให้ว่า “ภัททา” (http://connect.krishna.com/sites/connect.krishna.com/files/imagecache/avatar-high/sites/connect.krishna.com/files/pictures/picture-9636.jpg) ลูกปุโรหิตเกิดฤกษ์โจร ในวันที่นางเกิดนั้น ได้มีบุตรของปุโรหิตในกรุงราชคฤห์เกิดในวันเดียวกันนี้ด้วย ขณะที่ เขาคลอดจากครรภ์มารดา ได้เกิดเหตุอัศจรรย์ คือ บรรดาอาวุธทั้งหลายในบ้านของปุโรหิตเอง และในบ้านคนอื่น ๆ ตลอดจนถึงในพระราชนิเวศน์ต่าง ๆ ก็เกิดแสงประกายรุ่งโรจน์ไปทั่วพระ นครตลอดคืนยันรุ่งปุโรหิตทราบในบุพนิมิตดีว่า บุตรของตนเกิดฤกษ์โจร เมื่อเขาโตขึ้นจะต้อง เบียดเบียนทำความเดือดร้อนฉิบหายแก่ชาวเมือง จึงเข้าเฝ้าพระราชาแต่เช้าตรู่กราบทูลความ ให้ทรงทราบโดยตลอดแล้วทูลเสนอแนะว่า ขอพระองค์โปรดรับสั่งให้ประหารชีวิตเขาเสีย เพื่อ มิให้เป็นภัยแก่ชาวเมืองในอนาคต แต่พระราชาตรัสว่า เมื่อเขายังไม่ได้เบียดเบียนเราก็ไม่เป็นไร อย่าไปฆ่าเขาเลย ปุโรหิตจึงเลี้ยงดูบุตรต่อไป โดยได้ตั้งชื่อให้ว่า “สัตตุกะ” สัตตุกะเมื่อโตขึ้นอยู่ในวัยเด็ก นายสัตตุกะก็ได้ ตัดช่องย่องเบาลักขโมยทรัพย์และสิ่งของมีค่า น้อยบ้างมากบ้างตามแต่จะได้มาเป็นเครื่องเลี้ยงชีพจนได้ชื่อว่าไม่มีบ้างหลังใดที่ไม่ถูกย่องเบา ลักขโมยเลย ความเดือดร้อนของชาวเมืองทราบไปถึงพระราชา จึงรับสั่งให้หน้าที่ติดตาม จับกุมโจรชั่วนั้นให้ได้ พวกเจ้าหน้าที่ทั้งหลายจึงออกติดตามสืบพบหาจนจับตัวได้แล้วนำมา ถวายพระราชาเพื่อทรงวินิจฉัยตัดสินโทษ พระราชา รับสั่งให้โบยโจรพร้อมทั้งนำตัวตระเวนออก ไปตามถนน ให้ทั่วทั้งพระนครก่อนแล้วจึงนำออกไปประหารที่เหวสำหรับทิ้งโจร (http://www.encyclopediathai.org/lotus2/jokonnee/jokonnee1.jpg) หัวข้อ: Re: พระเถรีสมัยพุทธกาล เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 มีนาคม 2553 18:59:53 (http://img510.imageshack.us/img510/4535/98ace1dc996f448ddb4088e.jpg) ดอกฟ้าในมือโจร ขณะนั้น นางภัททา ธิดาเศรษฐีมีอายุย่างเข้าวัย ๑๖ ปี มีรูปร่างสวยงาม บิดามารดาจึง ระวังรักษาให้อยู่บนปราสาทชั้นที่ ๗ ให้หญิงรับใช้หนึ่งคนคอยดูแลรับใช้ของนาง ก็เป็นธรรมดาของหญิงสาวในวัยนี้ ย่อมมีความฝักใฝ่ในชายหนุ่ม ดังนั้น เมื่อเจ้าหน้าที่นำโจรหนุ่ม ตระเวนมาทางบ้านของนาง พอนางเปิดหน้าต่างมองลงไป (http://t1.gstatic.com/images?q=tbn:YjmpedcPcfpstM:http://img27.imageshack.us/img27/3925/85594516.jpg) เห็นโจรเท่านั้นก็เกิดจิตปฏิพัทธ์รักใคร่ในตัวโจรทันทีคิดว่า “ชาตินี้ถ้าไม่ได้โจรหนุ่มมาเป็นคู่ครอง ก็จะไม่ขอมีชีวิตอยู่” และรู้ว่าพวกเจ้าหน้าที่กำลังนำโจรไปประหาร ความรู้สึกของนางเหมือนกับกำลังสูญเสียสามีสุดที่รัก ความทุกข์เศร้าโศกเสียใจสุดจะห้ามก็ตามมา ฝ่ายสาวใช้ เห็นเช่นนั้นจึงรีบแจ้งให้เศรษฐีผู้เป็นบิดามาดาทราบโดยด่วน บิดามารดาของนางพอมาถึง ก็ได้ไต่ถามทราบจากปากของธิดาว่า “ถ้าไม่ได้โจรหนุ่มคนนั้นมาเป็นคู่ ก็จะไม่ขอมีชีวิตอยู่อีกต่อไป” แล้วก็นอนกลิ้งเกลือกอยู่บนเตียงนอนนั้น มารดาจึงพูดอ้อนวอนว่า:- “ภัททา ลูกแม่ อย่าทำอย่างนี้เลย อีกไม่นานเจ้าก็จะได้สามีที่มีทรัพย์สมบัติ และชาติสกุลเสมอกัน” “คุณแม่ค่ะ ดิฉันไม่ต้องการชายอื่น ถ้าไม่ได้ชายคนนี้จะขอตายดีกว่า” บิดามารดาทั้งสอง ช่วยกันพูดอ้อนวอนอยู่เป็นเวลานาน แต่ก็ไม่เป็นผลด้วยความรักและห่วงใยในลูกสาว จึงติดสินบนเจ้าหน้าที่ด้วยทรัพย์จำนวนหนึ่งพันกหาปณะ ขอไถ่ชีวิตโจรหนุ่มคนนั้นโดยให้นำมา ส่งที่บ้าน ฝ่ายเจ้าหน้าที่ราชบุรุษทั้งหลาย รับทรัพย์ไปแล้วทำเป็นถ่วงเวลารอจนมืดค่ำ จากนั้นได้นำโจรหนุ่มคนนั้นมามอบให้แก่เศรษฐีแล้ว นำนักโทษอีกคนหนึ่งไปประหารชีวิตแทนแล้ว กราบทูลพระราชว่าฆ่าโจรสัตตุกะเรียบร้อยแล้ว เศรษฐีรับตัวโจรหนุ่มสัตตุกะไว้แล้ว ให้อาบน้ำชำระร่างกายและมอบเสื้อผ้าชั้นดีสวมใส่ พร้อมทั้งอาภรณ์เครื่องประดับชั้นดีต่าง ๆ นำไปยัง ปราสาทของลูกสาว ทำพิธีส่งตัวให้เป็นคู่ผัวเมียกันแล้ว บิดามารดาทั้งสองก็กลับไปยังที่พักของตน หัวข้อ: Re: พระเถรีสมัยพุทธกาล เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 มีนาคม 2553 19:29:09 (http://fwmail.teenee.com/strange/img2/m107168jpeg) สันดานโจรไม่เจือจาง โจรสัตตุกะมีความสุขอยู่ในบ้านของเศรษฐีซึ่งมีให้พรั่งพร้อมทุกอย่างได้ทั้งภรรยาที่ แสนสวย ทรัพย์สินเงินทองก็มีให้ใช้อย่างสุขสบายไม่ขัดสน การงานก็มีคนรับให้ทำให้ ไม่ต้อง ดิ้นรนขวนขวยใด ๆ ทั้งสิ้น แต่เขาก็อยู่ได้ไม่นานเพราะนิสัยสันดานโจรอดที่จะทำชั่วไม่ได้ เขา คิดวางแผนฆ่าภรรยาเพื่อจะนำเอาเครื่องประดับอันมีค่านั้นไปขายแล้วนำเงินมาหาความสุขด้วย การดื่มสุรา แล้วเขาก็เริ่มดำเนินการตามแผน ด้วยการแสดงกิริยาให้ภรรยาพอใจแล้วกล่าวว่า:- “น้องหญิง การที่พี่รอดชีวิตจากการถูกประหารอย่างหนึ่ง และการที่ได้มาแต่งงานอยู่ กับน้องหญิงอีกอย่างหนึ่ง ก็ด้วยอานุภาพของเทวดาที่สิงสถิต ณ ภูเขาทิ้งโจร เพราะพี่ได้บนบาน บวงสรวงกับท่านเข้าไว้ ขณะนี้ก็สำเร็จสมประสงค์ทั้ง ๒ ประการแล้ว พี่เห็นว่าควรจะทำการแก้ บนถวายเครื่องพลีกรรมแก่เทวดานั้น ขอให้น้องหญิงจงจัดเครื่องพลีกรรมสังเวยให้พร้อมแล้ว ประดับอาภรณ์ให้สวยงามไปร่วมทำพิธีพลีกรรมที่ภูเขาทิ้งโจรนี้กับพี่เถิด” นางภัททา ด้วยความรักสามีสุดหัวใจ จึงเห็นชอบเชื่อตามคำสามีทุกประการ โดยให้ ทาสชายหญิงจัดเครื่องพลีกรรมเรียบร้อยแล้ว ขึ้นนั่งรถคันเดียวกันกับสามีไปยังเหวที่ทิ้งโจร เมื่อมาถึงเชิงเขา โจรสัตตุกะบอกกับภรรยาว่า “ให้เหล่าบริวารที่ติดตามมานั้นกลับไปก่อน เราสอง คนเท่านั้นที่จะขึ้นไปทำพลีกรรม” เมื่อบริวารแยกทางกลับไปแล้วก็ช่วยกันถือเครื่องสักการะสังเวยขึ้นไปบนยอดเขา นางภัททา รู้สึกมีความสุข ความอิ่มใจที่ได้ช่วยกิจของสามี และได้โอกาสมาทัศนาโลกภายนอก แต่พอถึง ยอดเขา โจรสัตตุกะก็พูดกับนางด้วยเสียงอันแข็งกร้าวเด็ดขาดว่า:- “ภัททา เจ้าจงเปลื้องผ้าห่มออกแล้วถอดเครื่องประดับทั้งหมดมัดห่อรวมกันไว้เดี๋ยวนี้” นางภัททา ได้ฟังคำและเห็นกิริยาของสามีเปลี่ยนไปเช่นนั้นก็ตกใจ ทำอะไรไม่ถูก ละล่ำละลักถามสามีว่า:- “นายจ๋า ดิฉันทำอะไรผิดหรือ ?” “นางหญิงโง่ ความจริงเราจะควักตับกับหัวใจของเจ้า ถวายแก่เทวดาที่นี่ แล้วยึดเอา เครื่องอาภรณ์ของเจ้าทั้งหมดไปใช้จ่ายหาความสุข” “นายจ๋า ก็ทั้งตัวดิฉันกับเครื่องประดับทั้งหมดนี้ ก็เป็นของท่านอยู่แล้ว ทำไมท่าน จะต้องฆ่าฉัน เพื่อยึดเครื่องประดับด้วยอีกเล่า” (http://img150.imageshack.us/img150/5395/bab35686266f77ee6be1d6d.gif) หัวข้อ: Re: พระเถรีสมัยพุทธกาล เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 มีนาคม 2553 20:05:04 (http://www.marian2000.org.uk/images/practitioner-right-lotus-flower.jpg) ปัญญามิได้มีไว้เพื่อต้มแกงกิน แม้นางจะอ้อนวอนชี้แจงอย่างไร เจ้าโจรโง่ใจร้ายก็ไม่ยอมรับฟัง ตั้งหน้าแต่จะฆ่านาง เอาเครื่องประดับอย่างเดียว นางตกอยู่ในสถานการณ์จนตรอกมองเห็นความตายอยู่แค่เอื้อม จึงรวบรวมสติไว้แล้วคิดว่า “ขึ้นชื่อว่าปัญญาที่ติดกับตัวมาตั้งแต่เกิดนั้น มิได้มีไว้เพื่อต้มแกงกิน แต่มีไว้เพื่อพิจารณาหาหนทางดำเนินชีวิตและแก้ปัญหาชีวิต เราควรจะทำอะไรสักอย่างเพื่อเอาชีวิตรอด” เมื่อคิดดังนี้แล้ว จึงกล่าวกับสามีโจรชั่วว่า:- “เอาละนายจ๋า วันท่านท่านถูกราชบุรุษเจ้าหน้าที่บ้านเมืองจับกุม พาตระเวนประจานไปทั่วเมืองก่อนนำมาประหารที่ภูเขาทิ้งโจรนี้ ดิฉันได้อ้อนวอนบิดามารดา ให้สละทรัพย์เป็นอันมากไถ่ชีวิตท่านแล้วนำมาแต่งงานกับดิฉัน และดิฉันก็มีความรักต่อท่านอย่างสุดหัวใจ วันนี้ท่านมีความประสงค์จะฆ่าดิฉันให้ได้ เพื่อต้องการเครื่องประดับ แต่ก็ไม่เป็นไร ก่อนที่ดิฉันจะตายขอให้ดิฉันได้แสดงความรักต่อท่านเป็นครั้งสุดท้ายสักหน่อยเถิด เพราะเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะได้ใกล้ชิดท่าน ขอให้ท่านจงยืนตรงนั้นแล้วดิฉันจะขอสวมกอดท่านทั้ง ๔ ทิศหลังจากนั้นท่านก็จงประหารดิฉันเถิด” (http://wallbase1.org/thumbs/rozne/thumb-31268.jpg) หัวข้อ: Re: พระเถรีสมัยพุทธกาล เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 มีนาคม 2553 20:49:01 (http://www.hiclasssociety.com/hiclass/pic_other/thumb280409172953.jpg) โจรชั่วสิ้นชีพ โจรชั่วสัตตุกะเห็นกิริยาอาการและฟังคำพูดของนางดูเป็นปกติสมจริง จึงอนุญาตให้นางกระทำตามที่ขอ แล้วไปยืนตรงที่นางบอกบนยอดเขา ขณะนั้น นางภัททาผู้เป็นภรรยา ได้ทำการ ประทักษิณเดินเวียนขวารอบสามี ๓ รอบ แล้วไหว้ทั้ง ๔ ทิศ พร้อมกับกล่าวว่า “นายจ๋า นี่เป็นการเห็นท่านเป็นครั้งสุดท้าย นับต่อแต่นี้การที่ดิฉันจะได้เห็นท่าน และท่านจะได้เห็นดิฉันก็คงไม่มีอีกแล้ว” เมื่อกล่าวจบนางก็สวมกอดข้างหน้าแล้วก็เปลี่ยนมากอดข้างหลัง ขณะที่โจรชั่วเผลอตัวอยู่นั้น นางได้ผลักโจรตกลงไปในเหว ร่างของโจรชั่ว แหลกเหลวเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย จบชีวิตอันชั่วร้ายของเขาที่เหวทิ้งโจรนั้น นางภัททา หลังจากผลักโจรชั่วผู้สามีตกลงไปในเหวแล้ว คิดว่า “ถ้าเรากลับบ้านไป บิดามารดาก็จะถามว่า สามีเจ้าหายไปไหน ถ้าเราบอกความจริง ว่าเราฆ่าเขาตายแล้ว ก็จะพากันประณามติเตียนว่า นางเด็กดื้อ เจ้าอ้อนวอนพ่อแม่ให้เสียทรัพย์เพื่อไถ่ชีวิตโจรเอามาทำผัว แต่พอได้เขามาแล้ว กลับฆ่าเขาตาย เจ้าทำอย่างนี้ได้อย่างไร แม้เราจะบอกว่าเขาต้องการฆ่าดิฉัน เพื่อต้องการเครื่องประดับท่านทั้งสองก็จักไม่เชื่อเรา เมื่อเป็นเช่นนี้ เราไม่ควรกลับบ้าน ควรจะไปบวชในสำนักใดสำนักหนึ่งดีกว่า” (http://www.trisarana.org/bimages/awb_image29255025422.jpg) หัวข้อ: Re: พระเถรีสมัยพุทธกาล เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 26 มีนาคม 2553 07:24:41 (http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/173/3173/images/22-10-2007/08.jpg) ถอนผมบวชเป็นเดียรถีย์ ครั้นนางภัททาคิดดังนี้แล้ว ก็ทิ้งห่อเครื่องประดับไว้บนยอดเขานั้นแล้วเดินลงจากภูเขาไป เดินลัดเลาะไปตามป่า ได้พบสำนักของพวกนิครนถ์ (นักบวชนอกพระพุทธศาสนา) ขอบรรพชาในสำนักนั้น พวกนิครนถ์ถามนางว่า “จะบวชโดยวิธีไหน ?” นางจึงตอบว่า “วิธีใดที่จัดว่าเป็นสิ่งสูงสุดในสำนักของท่าน ก็ขอให้ดิฉันบรรพชาด้วยวิธีนั้นนั่นแหละ” พวกนิครนถ์จึงเอาก้านตาลถอนผมนางจนหมดศีรษะ ถือว่าเป็นวิธีบวชที่สูงสุดของสำนัก เมื่อนางบวชแล้วผมที่งอกขึ้นมาใหม่ก็ม้วนกลมเป็นกลุ่มเป็นก้อนไม่เหยียดยาวเหมือนเดิม ดังนั้น นางจึงได้ชื่อว่า “กุณฑลเกสา” เมื่อนางบวชแล้ว ได้ศึกษาศิลปะวิทยาการต่าง ๆ ในสำนักนั้นจนจบสิ้นนางเห็นว่าสำนักนี้ไม่มีศิลปะวิทยาที่สูงไปกว่านี้อีกแล้ว จึงออกเที่ยวแสวงหาบัณฑิตผู้รู้ทั้งหลาย แล้วขอศึกษาสิ่งที่บัณฑิตเหล่านั้นรู้ทั้งหมด นางเที่ยวแสวงหาบัณฑิตด้วยการโต้วาทะ โดยวิธีใช้กิ่งหว้าปักบนกองทราย แล้วประกาศว่า “ถ้าผู้ใดสามารถที่จะโต้วาทะกับเราได้ก็จงเหยียบกิ่งหว้านี้” โดยมีข้อตกลงกันว่า “ถ้าผู้ที่โต้วาทะชนะนางเป็นคฤหัสถ์ นางก็จะขอยอมเป็นทาสรับใช้ แต่ถ้าผู้โต้วาทะชนะเป็นนักบวช นางก็จะขอบวชเป็นศิษย์ในสำนักนั้น” นางถือกิ่งหว้า เที่ยวประกาศท้าได้วาทะไปตามหมู่บ้านตำบลต่าง ๆ ชาวบ้านพอได้ทราบข่าวว่า นางภัททามาทางบ้านของตนก็จะพากันหลีกหนีไป นางเข้าไปถึงตำบลใดก็จะปักกิ่งหว้าบนกองทราย แล้วนั่งรอผู้ที่รับคำท้า มาเหยียบกิ่งหว้าของนาง บางตำบลนางรอถึง ๗ วัน ก็ไม่มีผู้ใดกล้ามาเหยียบกิ่งหว้า ของนางเลย นางจึงต้องถอนกิ่งหว้าแล้วหลีกต่อไปที่อื่น นางได้ถือกิ่งหว้าท่องเที่ยวไป โดยทำนองนี้ จนได้ชื่อใหม่ว่า “นางชัมพุปริพาชิกา” (นางปริพาชิกาไม้หว้า, ชัมพุ = ไม้หว้า) (http://wallbase1.org/thumbs/rozne/thumb-402673.jpg) หัวข้อ: Re: พระเถรีสมัยพุทธกาล เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 26 มีนาคม 2553 07:40:57 (http://i3.photobucket.com/albums/y91/Khunnai/Water%20Lily/IMG_0135.jpg) โต้วาทีกับพระสารีบุตร ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จประทับอยู่ที่พระเชตะวันวิหาร กรุงสาวัตถี ฝ่ายนางกุณฑลเกสา ก็ดินทางมาถึงกรุงสาวัตถี แล้วปักกิ่งหว้าบนกองทรายประกาศท้าโต้วาทะเหมือนเดิม แล้วออกไปหาอาหารบริโภค ขณะนั้น พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร เดินผ่านมาเห็นเด็ก ๆ กำลังยืนรุมล้อมดูกิ่งหว้า บนกองทรายพร้อมกับวิจารณ์กันเซ็งแซ่ เกิดความสงสัยจึงเข้าไปถามเด็ก ๆ ได้ทราบความโดยตลอดแล้วจึงบอกกับเด็ก ๆ ว่า :- “เจ้าหนูทั้งหลาย ถ้าอย่างนั้น พวกเจ้าจงเหยียบกิ่งหว้านั้นเถิด” “พวกกระผมกลัวขอรับ พระคุณเจ้า” “ไม่ต้องกลัวหรอก พวกเจ้าเป็นคนเหยียบ เราจะเป็นผู้แก้ปัญหาเอง” เด็กบางพวกไม่กล้า บางพวกก็กลัว ๆ กล้า ๆ แต่ผลที่สุดก็ช่วยกันเหยียบกิ่งหว้า และกองทรายนั้นจนกระจัดกระจาย นางชัมพุปริพาชิกา มาเห็นแล้ว ก็ดุต่อว่าเด็กเหล่านั้น แต่พอเด็ก ๆ บอกว่า “พระคุณเจ้ารูปนั้น ใช้ให้เหยียบ” นางจึงเข้าไปถามพระเถระว่า:- “พระคุณเจ้าผู้เจริญ ท่านจักโต้วาทะถามปัญหากับดิฉันหรือ ?” “ใช่แล้ว น้องหญิง” พระเถระตอบ นางฟังคำของพระเถระแล้วคิดว่า “เราควรจะให้ชาวพระนครสาวัตถีได้รู้กำลังปัญญาของเราว่ายิ่งใหญ่หาผู้เทียมทานไม่ได้” จึงแจ้งให้ชาวเมืองมาชมมาฟังกันให้มาก ๆ ชาวพระนครพอทราบข่าว ต่างก็พากันไปห้อมล้อมจนแน่นขนัด ลำดับนั้น พระเถระได้ให้โอกาสแก่นางชัมพุปริพาชิกา เป็นผู้ถามปัญหาขึ้นก่อน นางก็ถามศิลปวิทยาที่ตนเรียนรู้มาตามลัทธิตน ถามจนหมดความรู้ที่นางมีอยู่ พรเถระก็ตอบแก้ได้ทั้งหมด นางก็ตกใจ เพราะไม่เคยถามใครมากอย่างนี้มาก่อนเลย จึงนิ่งเฉยอยู่ พระเถระจึงกล่าวว่า “ท่านถามเราหมดแล้ว ต่อไปนี้เราจะขอถามท่านบ้าง” “ถามเถิด พระคุณเจ้า” “ที่ชื่อว่า หนึ่ง นั้นคืออะไร ?” “พระคุณเจ้า ดิฉันไม่ทราบ เจ้าข้า” (http://t2.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcT-YeJBFUDFwxkyXVgsW-hx36vjmLKMIYsc-HWwq5fAvhY7OAgA) หัวข้อ: Re: พระเถรีสมัยพุทธกาล เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 26 มีนาคม 2553 13:46:46 (http://www.thaitravelhealth.com/blog/wp-content/uploads/2008/04/thai-lotus-museum.jpg) ขอบวชในพระพุทธศาสนา นางชัมพุปริพาชิกา ยอมพ่ายแพ้ต่อพระเถระด้วยปัญหาเพียงข้อเดียวเท่านั้น นางหมอบลงกราบแทบเท้าพระเถระ ขอศึกษาวิชาพุทธมนต์ในพระพุทธศาสนา พร้อมทั้งขอบรรพชาและถึงพระเถระเป็นสรณะ แต่พระเถระบอกว่าขอให้นางถึงพระพุทธองค์เป็นสรณะเถิด แล้วพานางไปยังพระวิหารเชตวัน นำเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค พระพุทธองค์ทรงทราบจริยาอัธยาศัยของนางดีแล้ว จึงตรัสพระธรรมเทศนาคาถาภาษิตว่า:- “ผู้ใดกล่าวคาถาที่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ แม้ตั้ง ๑,๐๐๐ คาถา ผู้กล่าวคาถาที่ประกอบด้วยประโยชน์ แม้เพียง คาถาเดียว ยังผู้ฟังให้สงบระงับได้ ชื่อว่า ประเสริฐกว่าแล” (http://wallbase1.org/thumbs/rozne/thumb-250194.jpg) พอจบพระธรรมเทศนาคาถาภาษิต ทั้งที่นางกำลังยืนอยู่นั้น ยังไม่ทันจะนั่งลง ก็ได้บรรลุพระอรหัตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย ในขณะนั้น แล้วกราบทูลขอบรรพชา พระพุทธองค์ทรงอนุญาตแล้วส่งนางให้ไปบวชในสำนักภิกษุณีสงฆ์ เมื่อนางบวชแล้ว ได้ชื่อว่า “กุณฑลเกสาเถรี” ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมว่า “พระภัททากุณฑลเกสาเถรีนี้ ยิ่งใหญ่จริงหนอ บรรลุพระอรหัตผลในเวลาจบคาถาเพียง ๔ บาทเหล่านั้น” พระศาสดาทรงปรารภเหตุนี้ จึงทรงสถาปนาพระภัททากุณฑลเกสาเถรี ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุณีทั้งหลายในฝ่าย ผู้ตรัสรู้เร็วพลัน (http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/W3010804/W3010804-51.jpg) หัวข้อ: Re: พระเถรีสมัยพุทธกาล เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 26 มีนาคม 2553 16:30:59 (http://farm4.static.flickr.com/3217/2843844362_6337ec9b5e.jpg) พระภัททกาปิลานีเถรี เอตทัคคะในฝ่ายผู้มีบุพเพนิวาสานุสสติญาณ พระภัททกาปิลานีเถรี เป็นธิดาของเศรษฐีชื่อโกสิยพราหมณ์ ในนครสาคลนคร มารดาชื่อสุจิบดี เมื่อเจริญวัยขึ้นมาได้ทำอาวาหมงคลเป็นภรรยาของปิปผลิมานพ ตระกูลสัสสปะ เรียกชื่อตามตระกูลว่า “กัสสปะ” นับว่าเป็นสามีภรรยาที่แปลกเพราะทั้งคู่ไม่ยินดี ในการถูกเนื้อต้องตัวกัน แม้จะนอนบนเตียงเดียวกันแต่ก็ขึ้นคนละข้าง และมีแจกันดอกไม้กั้นตรงกลาง อยู่ครองคู่กันจนบิดามารดาของทั้งส่องฝ่ายถึงแก่กรรม ทรัพย์สมบัติทั้งหลายจึงตกอยู่ในปกครองดูแลรับผิดชอบของคนทั้งสอง ไม่ทำบาปแต่ต้องคอยรับบาป เนื่องด้วยตระกูลทั้งสองนั้น เป็นตระกูลเศรษฐีมีทรัพย์มาก เมื่อรวมเป็นตระกูลเดียวกัน ก็ยิ่งมากมายมหาศาล มีสัตว์เลี้ยง และคนงานจำนวนมาก ทั้งสองสามีภรรยาต้องบริหารสั่งการทุกอย่าง วันหนึ่ง ขณะที่กัสสปะผู้สามีออกไปตรวจดูการทำไร่ไถนาอยู่นั้น เห็นนกกาจิกกินสัตว์เล็กสัตว์น้อย แล้วรู้สึกสลดใจที่ตนเองจะต้องคอย รับบาปกรรมที่คนอื่นทำ แม้นางภัททกาปิลานี ใช้ให้ทาสและกรรมกรนำเมล็ดถั่วเมล็ดงามาตากที่ลานหน้าบ้าน เห็นนกกามาจิกกินตัวหนอนก็เกิดสลดใจเช่นกัน ดังนั้น เมื่อสองสามีภรรยาอยู่กันพร้อมหน้าจึงปรึกษากันแล้วมีความเห็นตรงกันว่า ไม่ควรจะมานั่งคอยรับบาปกรรมที่คนอื่นกระทำเพื่อตนเลย จึงพร้อมใจกันมอบทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้แน่หมู่ญาติและทาสกรรมกรแบ่งกันไปดูแล ส่วนตนทั้งสองได้ปลงผมแล้วนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ อธิษฐานเพศบรรพชิต บวชอุทิศต่อพระอรหันต์ในโลกแล้วเดินทางออกจากบ้านไปด้วยกัน พอถึงทางแยกสองแพร่ง กัสสปะได้ไปทางขวา และได้พบพระบรมศาสดา ที่ใต้ร่วมพหุปุตตนิโครธ แล้วกราบทูลขออุปสมบทในพระพุทธศาสนา (http://www.thaipoem.com/forever/img/poemmember/78494.jpg) หัวข้อ: Re: พระเถรีสมัยพุทธกาล เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 26 มีนาคม 2553 16:43:16 (http://photos4.hi5.com/0079/525/719/rvI67Q525719-02.jpg) บวชในสำนักปริพาชก ส่วนนางภัททกาปิลานี แยกไปทางซ้าย เดินทางไปพบสำนักของปริพาชก จึงบวชอยู่ในสำนักนั้นถึง ๕ ปี เนื่องด้วยขณะนั้นพระพุทธองค์ยังมิทรงอนุญาตให้สตรีบวชในพระพุทธศาสนา ต่อมาเมื่อพระนางปชาบดีโคตมีได้บวชแล้ว นางจึงได้มาบวชในสำนักของนางภิกษุณี ได้ศึกษาพระกรรมฐานบำเพ็ญวิปัสสนา ก็ได้บรรลุพระอรหัตผลพร้อมด้วยวิชชา ๓ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๓ อภิญญา ๖ เป็นผู้ชำนาญในบุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือ ญาณเป็นเครื่องระลึกชาติ ดังนั้นพระบรมศาสดา ขณะประทับอยู่ ณ พระเชตะวันมหาวิหาร เมื่อ ทรงสถาปนา ภิกษุณีทั้งหลายไว้ในตำแหน่งต่าง ๆ ตามลำดับ จึงทรงสถาปนาพระภัททกาปิลานีเถรี ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุณีทั้งหลายในฝ่าย ผู้มีบุพเพนิวาสานุสสติญาณ (http://www.dmc.tv/forum/uploads/monthly_03_2009/post-15721-1237783686.jpg) วิโมกข์ ความหลุดพ้นจากกิเลส มี ๓ ประการ ๑. สุญญตวิโมกข์ หลุดพ้นด้วยเห็นอนัตตาคือความว่าง ๒. อนิมิตตวิโมกข์ หลุดพ้นด้วยเห็นอนิจังแล้วถอนนิมิตได้ ๓.อัปปณิหิตวิโมกข์ หลุดพ้นด้วยเห็นทุกข์แล้วถอนความปรารถนาได้ (http://wallbase1.org/thumbs/rozne/thumb-125813.jpg) หัวข้อ: Re: พระเถรีสมัยพุทธกาล เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 26 มีนาคม 2553 17:16:53 สาธุ ๆ อนุโมทนาครับ
งดงามทั้งสาระ และภาพประกอบ หัวข้อ: Re: พระเถรีสมัยพุทธกาล เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 28 มีนาคม 2553 09:46:50 (http://www.dhammajak.net/gallery/albums/userpics/lotus-012.jpg) พระภัททากัจจานาเถรี เอตทัคคะในฝ่ายผู้ทรงอภิญญา พระภัททากัจจานาเถรี เป็นราชธิดาของพระเจ้าสุปปพุทธะ แห่งโกลิยวงศ์ ในพระนครเทวทหะ เป็นพระกนิษฐภคินีของพระเทวทัต บรรดาพระประยูรญาติ ได้ขนานพระนามว่า “ภัททากัจจานา” หรือที่นิยมเรียกพระนามว่า “ยโสธราพิมพา” (http://www.khonmuangchon.com/_files/news/2011_04_22_145251_unr6vmo7.jpg) พอประสูติโอรสพระสามีก็หนีบวช เมื่อพระนางเจริญวัยขึ้นจนมีพระชนมายุ ๑๖ พรรษา ได้รับอภิเษกเป็นอัครมเหสี ของเจ้าชายสิทธัตถะ บรมโพธิสัตว์ แห่งศากยวงศ์ ในพระนครกบิลพัสดุ์ และเมื่อพระชนมายุ ๒๙ พรรษา ได้ประสูติพระโอรสพระนามว่า “พระราหุลกุมาร” ในวันที่พระราหุลกุมารประสูตินั้นเจ้าชายสิทธัตถะบรมโพธิสัตว์ได้เสด็จออกทรงผนวช และทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ ๖ ปี ก็ได้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณ ที่โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์ จากนั้นพระพุทธองค์ ก็ทรงจาริกไปตามคามนิคมต่าง ๆ เพื่อเทศนาสั่งสอนเวไนยสัตว์ ให้ได้บรรลุอมฤตธรรม ตามสมควรแก่อำนาจวาสนาบารมี แล้วได้เสด็จสงเคราะห์ พระประยูรญาติ ณ กบิลพัสดุ์บุรี ยังพระประยูรญาติศากยวงศ์ มีพระเจ้าสุทโธทนะ พุทธบิดาเป็นประธาน ได้ดื่มน้ำอมฤตธรรม จนได้บรรลุอริยภูมิตั้งแต่พระโสดาบันจนถึง พระอรหันต์เป็นจำนวนมาก ในคราวที่พระบรมศาสดา เสด็จโปรดพระประยูรญาติครั้งนี้ พระราหุลกุมาร ก็ได้ติดตามองค์พระบิดาบรรพชาเป็นสามเณร นอกจากนี้ศากยกุมารทั้งหลาย จากสกุลอื่น ๆ ก็เสด็จออกบวชเป็นจำนวนมาก ครั้นกาลต่อมา พระเจ้าสุทโธทนะพุทธบิดาเข้าสู่พระปรินิพพานแล้ว จากนั้น พระนางมหาปชาบดีโคตมี พร้อมด้วยขัติยนารีชาวศากยะ ๕๐๐ นาง ก็พากันเสด็จออกบรรพชาในสำนักพระศาสดากันทั้งสิ้น ทางด้านพระนครกบิลพัสดุ์ ก็ว่างเว้นกษัตริย์ที่จะปกครองดูแล หมู่อำมาตย์ราชปุโรหิต ทั้งหลายได้ประชุมปรึกษาเห็นพ้องต้องกัน ได้ทำพิธีราชาภิเษกอัญเชิญเจ้าชายมหานามศากยราช ผู้เป็นพระเชษฐโอรสของพระเจ้าอมิโตทนะ ขึ้นครอบครองราชย์สมบัติในกรุงกบิลพัสดุ์สืบต่อไป (http://wallbase1.org/thumbs/rozne/thumb-588062.jpg) หัวข้อ: Re: พระเถรีสมัยพุทธกาล เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 28 มีนาคม 2553 09:57:54 (http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=738133&d=1256740539) ออกบวชตามพระสวามีและโอรส ฝ่ายพระนางยโสธราพิมพาราชเทวี พระชนนีของพระราหุลกุมาร ทรงว้าเหว่าโศกาดูร ด้วยพระดำริว่า “โลกสันนิวาสนี้ มิมีอะไรแน่นอน พระสวามีและลูกน้อยต่างก็ได้เสด็จออกบรรพชา อีกทั้งพระประยูรญาติทั้งชายหญิง ก็พากันออกบวชตามเสด็จ เมื่อเป็นเช่นนี้ จะมีประโยชน์อะไรแก่เราในเพศฆราวาส เราควรสละสมบัติทั้งปวงแล้วออกบวชโดยเสด็จพระภัสดาในบัดนี้ จะประเสริฐกว่า” พระนางจึงเสด็จเข้าไปกราบทูลลาพระเจ้ามหานามะ แล้วพร้อมด้วยพระนางรูปนันทาชนบทกัลยาณี และสาวสนมกำนัล รวมประมาณ ๕๐๐ นาง เสด็จไปยังพระวิหารเชตวัน เมืองสาวัตถี ถวายอัญชลีแล้วกราบทูลขออุปสมบท สมเด็จพระบรมศาสดาประทานสงเคราะห์ ด้วยครุธรรม ๘ ประการ พระนาง ครั้นบวชแล้วได้นามปรากฏว่า “ภัททากัจจานาเถรี” ได้เรียนพระกรรมฐาน ในสำนักพระบรมศาสดาแล้วเจริญวิปัสสนา ได้บรรลุพระอรหัตผล พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้ง ๔ ประการ เมื่อบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว ปรากฏว่าพระเถรีเป็นผู้เชี่ยวชาญชำนาญในอภิญญาทั้งหลาย นั่งขัดสมาธิครั้งเดียว สามารถระลึกชาติได้ถึงหนึ่งอสงไขยยิ่งด้วยแสนกัป เมื่อคุณความสามารถปรากฏเช่นนั้น พระบรมศาสดา ได้ทรงสถาปนาแต่งตั้งพระเถรีนี้ ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุณีสาวิกาทั้งหลายในฝ่าย ผู้ทรงอภิญญา (http://t3.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcS8tF3MLjY6wADWsPctTCybvcry1zWaoHk4OQAEhx6Px0ukxUJtAQ) หัวข้อ: Re: พระเถรีสมัยพุทธกาล เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 28 มีนาคม 2553 10:27:21 (http://i18.photobucket.com/albums/b121/Zantha/YunGang/YG21.jpg) พระกีสาโคตมีเถรี เอตทัคคะในฝ่ายผู้ทรงจีวรเศร้าหมอง พระกีสาโคตมีเถรี ถือกำเนิดในสกุลคนเข็ญใจในกรุงสาวัตถี บิดามารดาตั้งชื่อให้นางว่า “โคตมี” แต่เพราะความที่นางเป็นผู้มีรูปร่างผอมบอบบาง คนทั่งไปจึงพากัน เรียกนางว่า “กีสาโคตมี” เงินทองของเศรษฐีกลายเป็นถ่าน ในกรุงสาวัตถีนั้น มีเศรษฐีคนหนึ่งมีทรัพย์สินเงินทองมากมายถึง ๔๐ โกฏิ แต่ต่อมา ทรัพย์เหล่านั้นกลายสภาพเป็นถ่านไปทั้งหมด เศรษฐีจึงเกิดความเสียดาย เศร้าโศกเสียใจ กินไม่ได้นอนไม่หลับ ร่างกายซูบผอมไปจากเดิม มีสหายคนหนึ่ง มาเยี่ยมเยียนได้ทราบสาเหตุความทุกข์ของเศรษฐีแล้ว จึงแนะนำอุบายที่จะให้ถ่านเหล่านั้นกลับมาเป็นเงินเป็นทองดังเดิมว่า:- “แน่ะสหาย ท่านจงนำถ่านทั้งหมดนี้ออกไปวางที่ริมถนนในตลาด ทำทีประหนึ่งว่า นำสินค้าออกมาขาย ถ้ามีคนผ่านไปผ่านมาพูดว่า “คนอื่น ๆ เขาขายผ้า ขายน้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย เป็นต้น แต่ท่านกลับเงินเอาทองมานั่งขาย” ถ้าคนที่พูดนั้นเป็นหญิงสาว ท่านก็จงสู่ขอนางมาเป็นสะใภ้ แล้วมอบทรัพย์ทั้งหมดนั้นให้แก่เธอ ท่านก็จงอาศัยเลี้ยงชีพอยู่กับเธอนั้น แต่ถ้าคนที่พูดเป็นชายหนุ่ม ท่านก็จงยกธิดาของท่าน ให้แก่เขาแล้วมอบทรัพย์ทั้งหมดให้แก่เขาโดยทำนองเดียวกัน (http://uppic.net/full/927dde335b4e155c61ec9cbe168cf6b8) หัวข้อ: Re: พระเถรีสมัยพุทธกาล เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 28 มีนาคม 2553 10:40:01 (http://i18.photobucket.com/albums/b121/Zantha/YunGang/YG.jpg) ถ่านกลับเป็นเงินเป็นทองดังเดิม เศรษฐีได้ฟังสหายแนะนำแล้วเห็นดีด้วย จึงทำตามสหายแนะนำทุกอย่าง ประชาชนที่ผ่านไปผ่านมาต่างก็พูดกันว่า ““คนอื่น ๆ เขาขายผ้า ขายน้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย เป็นต้น แต่ท่านกลับมานั่งขายถ่าน” เศรษฐีตอบว่า “ก็เรามีแต่ถ่านอย่างเดียว สิ่งอื่น ๆ ของเราไม่มี” วันนั้น นางกีสาโคตมีเดินเข้าไปธุระในตลาดเห็นเศรษฐีแล้วนึกประหลายใจ จึงถามว่า “คุณพ่อ คนอื่น ๆ คนอื่น ๆ เขาขายผ้า ขายน้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย เป็นต้น แต่ทำไมคุณพ่อกลับเงินเอาทองเล่า” “เงินทองที่ไหนกัน แม่หนู” เศรษฐีกล่าว “คุณพ่อ ก็ที่กองอยู่นี่ไง” พูดแล้วนางก็กอบเต็มมือให้เศรษฐีดู ทันใดนั้น เศรษฐีก็เห็นถ่านในกำมือของนางกลายเป็นเงินเป็นทองจริง ๆ จากนั้น เศรษฐีได้สอบถามถึงสถานที่อยู่และตระกูลของนางแล้ว ได้สู่ขอนาง มาทำพิธี อาวาหมงคลกับบุตรชายของตนแล้วมอบทรัพย์ ๔๐ โกฏินั้น ให้แก่นาง ทรัพย์เหล่านี้ก็กลับเป็นเงินเป็นทองดังเดิม (http://uppic.net/full/13aebaf83272eb5c7904e3e2399b6e61) อุ้มศพลูกหาหมอรักษา นางได้อยู่ร่วมกับสามีจนมีบุตรหนึ่งคนในขณะที่บุตรของนางอยู่ในวัยพอเดินได้ เท่านั้นก็ถึงแก่ความตาย นางห้ามมิให้คนนำบุตรของนางไปเผาหรือไปทิ้งในป่าช้า เพราะนางไม่เคยเห็นคนตาย จึงอุ้มร่างบุตรชายที่ตายแล้วนั้นเที่ยวเดินถาม ตามบ้านเรือนต่าง ๆ ว่ามียารักษาบุตรของนางบ้างหรือไม่ คนทั้งหลายพากันคิดว่า “นางคงจะเป็นบ้า จึงเที่ยวหายารักษาคนตายให้ฟื้น” อุบาสกผู้มีปัญญาคนหนึ่งเห็นกิริยาของนางแล้วก็คิดว่า “นางคงจะมีบุตรคนแรก จึงรักบุตรมาก และคงจะไม่เคยเห็นคนตาย จึงไม่รู้ว่าความตาย เป็นอย่างไร เราควรจะแนะนำทางให้นางดีกว่า” จึงกล่าวกับนางว่า:- “แม่หนู ฉันเองไม่รู้จักยารักษาลูกของเธอหรอก แต่พระสมณโคดม ขณะนี้ ประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน พระองค์ท่านรู้จักยาที่รักษาลูกของเธอได้” นางรู้สึกดีใจที่ทราบว่ามีคนสามารถรักษาลูกของนางให้หายได้ จึงอุ้มลูกน้อย รีบมุ่งหน้าตรงไปยังพระวิหารเชตวัน เข้าไปกราบถวายบังคมพระบรมศาสดา แล้วทูลถามหายาที่จะมารักษาลูกของนางให้หายได้ พระพุทธองค์รับสั่งให้นางไปหาเมล็ดพันธุผักกาดหยิบมือหนึ่ง มาเป็นเครื่อปรุงยา แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องเป็นเมล็ดพันธุ์ผักกาด ที่ได้จากบ้านที่ไม่เคยมีคนตายมาก่อนเท่านั้นจึงสามารถใช้เป็นเครื่องปรุงยาได้ (http://wallbase1.org/thumbs/rozne/thumb-979119.jpg) หัวข้อ: Re: พระเถรีสมัยพุทธกาล เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 28 มีนาคม 2553 10:54:22 (http://i18.photobucket.com/albums/b121/Zantha/YunGang/Lotus03.jpg) พระศาสดาบอกยาให้ ในดวงจิตของนางคิดว่า ของสิ่งนี้หาไม่ยาก นางอุ้มร่างลูกน้อยเข้าไปในหมู่บ้าน ออกปากขอเมล็ดพันธุ์ผักกาดตั้งแต่บ้านหลังแรกเรื่อยไป ปรากฏว่าทุกบ้าน มีเมล็ดพันธุ์ผักกาดทั้งนั้น แต่พอถามว่าที่บ้านนี้เคยมีคนตายหรือไม่ เจ้าของบ้าน ต่างก็ตอบเหมือนกันอีกว่า “ที่บ้านนี้ คนที่ยังเหลือยู่นี้น้อยว่าคนที่ตายไปแล้ว” เมื่อทุกบ้านต่างก็ตอบนอย่างนี้นางจึงเข้าใจว่า “ความตายนั้นเป็นอย่างไร และคนที่ตาย ก็มิใช่ว่าจะตายเฉพาะลูกของเธอเท่านั้น ทุกคนเกิดมาก็ต้องตายเหมือนกันหมด” นางจึงวางร่างลูกน้อยไว้ในป่า แล้วกลับไปกราบทูลพระบรมศาสดาว่า “ไม่สามารถจะหาเมล็ดพันธุ์ผักกาดจากบ้านเรือนที่ไม่เคยมีคนตายได้” พระพุทธองค์ได้สดับคำกราบทูลของนางแล้วตรัสว่า:- “โคตมี เธอเข้าใจว่าลูกของเธอเท่านั้นหรือที่ตาย อันความตายนั้น เป็นของธรรมดาที่มีคู่กับสัตว์ทั้งหลายที่เกิดมาในโลก เพราะว่ามัจจุราชย่อมฉุดคร่าสัตว์ทั้งหมด ผู้มีอัธยาศัยเต็มเปี่ยม ไปด้วยกิเลสตัณหา ให้ลงไปในมหาสมุทรคือ อบายภูมิ อันเป็นเสมือนว่าห้องน้ำใหญ่ ฉะนั้น” นางได้ฟังพระดำรัสของพระบรมศาสดาจบลงก็ได้บรรลุอริยผลดำรงอยู่ ในพระโสดาบัน แล้วกราบทูลขอบรรพชา พระบรมศาสดา รับสั่งให้ไปบรรพชาในสำนักของภิกษุณีสงฆ์ นางบวชแล้วได้นามว่า “กีสาโคตมีเถรี” วันหนึ่งพระเถรีได้ไปทำความสะอาดโรงอุโบสถ เห็นแสงประทีปที่จุดอยู่ ลุกโพลงขึ้นแล้วหรี่ลงสลับกันไป นางจึงถือเอาดวงประทีปนั้นเป็นอารมณ์กรรมฐานว่า “สัตว์โลกก็เหมือนกับแสงประทีปนี้ มีเกิดขึ้นและดับไป แต่ผู้ถึงพระนิพพานไม่เป็นอย่างนั้น” (http://www.thechaicenter.com/media/images/199/xnzI1994926.gif) ขณะนั้น พระผู้มีประภาคประทับอยู่ภายในพระคันธกุฎิ ทรงทราบด้วยพระญาณว่า นางกำลังยึดเอาเปลวดวงประทีปเป็นอารมณ์กรรมฐานอยู่นั้น จึงทรงแผ่พระรัศมีไปปรากฏประหนึ่งว่าพระองค์ประทับนั่งตรงหน้าของนางแล้วตรัสว่า:- “อย่างนั้นแหละโคตมี สัตว์ทั้งหลายย่อมเกิดขึ้นและดับไป เหมือนเปลวดวงประทีปนี้ แต่ผู้ถึงพระนิพพานแล้ว ย่อมไม่ปรากฏอย่างนั้น ความเป็นอยู่แม้เพียงชั่วขณะเดียวของผู้เห็นพระนิพพาน ย่อมประเสริฐกว่าความเป็นอยู่ตั้ง ๑๐๐ ปี ของผู้ไม่เห็นพระนิพพานนั้น” เมื่อสิ้นสุดพระพุทธดำรัส นางก็ได้บรรลุพระอรหัตผล ดำรงตนเป็นพระเถรี ผู้เคร่งครัดในการใช้สอยบริขาร ยินดีเฉพาะผ้าไตรจีวร ที่มีสีปอน ๆ และเศร้าหมองเที่ยวไปทุกหนทุกแห่ง ด้วยเหตุนี้ พระบรมศาสดา จึงได้ประทานแต่งตั้งพระเถรีนี้ ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุณีสาวิกาทั้งหลายในฝ่าย ผู้ทรงจีวรเศร้าหมอง (http://wallbase1.org/thumbs/rozne/thumb-409237.jpg) หัวข้อ: Re: พระเถรีสมัยพุทธกาล เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 28 มีนาคม 2553 11:22:40 (http://board.trekkingthai.com/board/upload/photo/2002-01/travel_0794-5.jpg) พระสิงคาลมาตาเถรี เอตทัคคะในฝ่ายผู้พ้นกิเลสด้วยศรัทธา พระสิงคาลมาตาเถรี เกิดในตระกูลเศรษฐี ในกรุงราชคฤห์ เดิมมีชื่ออย่างไรไม่ปรากฏ เมื่อเจริญวัยได้แต่งงานกับชายหนุ่มผู้มีชาติตระกูลและทรัพย์เสมอกัน อยู่ครองเรือน จนมีบุตรหนึ่งคน บรรดาหมู่ญาติได้ตั้งชื่อบุตรชายของนางวา “สิงคาลกุมาร” ด้วยเหตุนี้ ชนทั้งหลายจึง เรียกนางว่า “สิงคาลมาตา” สิงคาลกุมารไหว้ทิศ ๖ สิงคาลกุมาร เมื่อเจริญวัยเติบโตขึ้น เป็นผู้เคร่งครัดในการปฏิบัติไหว้ทิศทั้ง ๖ เป็นประจำ ทุกวัน คือ ๑. ทิศเบื้องหน้า (ทิศตะวันออก) ๒. ทิศเบื้องขวาง (ทิศใต้) ๓. ทิศเบื้องหลัง (ทิศตะวันตก) ๔. ทิศเบื้องซ้าย (ทิศเหนือ) ๕. ทิศเบื้องล่าง ๖. ทิศเบื้องบน วันหนึ่ง พระบรมศาสดาเสด็จออกจากพระวิหารเวฬุวันเข้าไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ ได้ทอดพระเนตรเห็นสิงคาละ ผู้ลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ มีผมและเสื้อผ้าเปียก กำลังประคองอัญชลีไว้ ทิศทั้ง ๖ อยู่จึงตรัสถามว่า “สิงคาละ เพราะเหตุไร เธอจึงลุกขึ้นแต่เช้า ทั้งผมและเสื้อผ้าเปียกชุ่มทำการไหว้ทิศทั้ง ๖ อยู่อย่างนี้ สิงคาลกุมาร กราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก่อนที่บิดาของพระพุทธเจ้าจะตายได้สั่งให้ข้าพระองค์ไหว้ทิศทั้ง ๖ เหล่านี้ ข้าพระองค์สักการะ เคารพ นับถือ และบูชาคำสั่งของบิดา จึงทำอย่างนี้พระเจ้าข้า” สิงคาละ ตามธรรมเนียมแบบแผนของพระอริยะนั้น เขาไม่ไหว้ทิศ ๖ กัน อย่างนี้ แต่ ทิศทั้ง ๖ ของพระอริยะนั้น คือ ๑. ทิศเบื้องหน้า ได้แก่ มารดาบิดา ๒. ทิศเบื้องขวาง ได้แก่ ครูอาจารย์ ๓. ทิศเบื้องหลัง ได้แก่ บุตรภรรยา ๔. ทิศเบื้องซ้าย ได้แก่ มิตรสหาย ๕. ทิศเบื้องล่าง ได้แก่ ทาสกรรมกร ๖. ทิศเบื้องบน ได้แก่ สมณพราหมณ์ ซึ่งกุลบุตรจะต้องบำรุงดูแลรักษาและป้องกันตามสมควรแก่ฐานะ และหน้าที่อย่างถูก ต้องเหมาะสม แล้วพระพุทธองค์ได้ตรัสพระคาถาภาษิต ยังสิงคาละให้รื่นเริงบันเทิงใจ เกิด ศรัทธาเลื่อมใสประกาศตนเป็นอุบาสกถึงพระรัตนตรัย เป็นสรณะตลอดชีวิต แล้วเสร็จกลับสู่ พระเวฬุวัน หัวข้อ: Re: พระเถรีสมัยพุทธกาล เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 28 มีนาคม 2553 11:51:08 (http://www.photographyblog.com/gallery/data/3058/994Sunrise_at_Lonidaw.jpg) สิงคาลมาตาออกบวช ต่อมา สิงคาลมาตา หลังจากที่สามีได้ถึงแก่กรรมแล้ว และบุตรชายของนางก็เข้าถึงพระ รัตนตรัย นางได้ฟังพระธรรมกถาของพระบรมศาสดาแล้วเกิดศรัทธาเลื่อมใสอย่างแรงกล้า จึง เข้าไปกราบทูลขอบรรพชาอุปสมบทในพระพุทธศาสนาต่อพระผู้มีพระภาค พระพุทธองค์ทรง อนุญาตให้ไปบวชในสำนักภิกษุณีสงฆ์ ครั้นบวชแล้วศรัทธาของนางกลับเพิ่มทวียิ่งขึ้น วันหนึ่ง นางไปยังพระวิหารที่ประทับของพระบรมศาสดาเพื่อฟังธรรม เมื่อเห็นพระ พุทธองค์เท่านั้น ยังมิทันที่จะเข้าไปกราบถวายบังคม ได้แต่ยืนเพ่งมองดูพระสิริสมบัติของ พระทศพล อยู่ด้วยกำลังศรัทธาอย่างแรงกล้า ขณะนั้น พระบรมศาสดาทรงทราบว่านางเป็นผู้ดำรงมั่นในศรัทธา จึงตรัสพระธรรม เทศนาอันเป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส แม้นางเองก็อาศัยศรัทธาเป็นที่ตั้ง ส่งจิตไปตามกระแสพระ ธรรมเทศนา ได้บรรลุพระอรหัตผลในขณะที่ยืนอยู่นั้น ในสมัยที่พระพุทธองค์ประทับอยู่ที่พระเชตวัน เมื่อทรงสถาปนาภิกษุณีทั้งหลายใน ตำแหน่งต่าง ๆ ตามลำดับ ได้ทรงสถาปนา พระสิงคาลมาตาเถรี ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศ กว่าภิกษุณีสาวิกาทั้งหลายในฝ่ายศรัทธาวิมุตติ คือ ผู้หลุดพ้นกิเลสด้วยศรัทธา (http://t2.gstatic.com/images?q=tbn:o5g2Y-Bcsm_GyM:http://www.dhammajak.net/gallery/albums/userpics/lotus-012.jpg) ที่มา www.84000.org (http://www.84000.org) Credit by : http://www.puansanid.com/forums/showthread.php?s=01240d71241e01926ba1b75189f2a204&t=8994&page=2 (http://www.puansanid.com/forums/showthread.php?s=01240d71241e01926ba1b75189f2a204&t=8994&page=2) Pics by : Google ขอบพระคุณที่มาทั้งหมดมากมาย อนุโมทนาสาธุค่ะ หัวข้อ: Re: พระเถรีสมัยพุทธกาล เริ่มหัวข้อโดย: winmaxlove ที่ 09 เมษายน 2553 23:13:47 พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี .......พระเถรีแม้รูปนี้ ครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า ปทุมุตระ ก็ยังเกิดในเรือนผู้มีสกุล กรุงหังสวดี รู้เดียงสาแล้วกำลังฟังธรรมในสำนักของพระศาสดา เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุณีรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นเลิศของภิกษุณีผู้รัตตัญญู ทำกุศลกรรมให้ยิ่งยวดขึ้นไปแล้วปรารถนาตำแหน่งนั้น ทำบุญมีทานเป็นต้นจนตลอดชีวิต เที่ยวเวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์ตลอดแสนกัป ได้บังเกิดเป็นหัวหน้าทาสี ๕๐๐ ในกรุงพาราณสี ในโลกซึ่งว่างพระพุทธเจ้าในระหว่างพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่า กัสสปะ กับพระผู้มีพระภาคเจ้าแห่งเราทั้งหลาย ครั้งนั้นนางได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ๕ องค์ในวันเข้าพรรษา ลงจากเงื้อมเขานันทมูลกะมาที่อิสิปตนะ แล้วเที่ยวบิณฑบาตในเมือง ก็กลับไปอิสิปตนะอีก แสวงหาหัตถกรรมเพื่อสร้างกุฏิใน วันเข้าพรรษา ได้ชักชวนหญิงรับใช้เหล่านั้นและสามีของตนให้ช่วยกันสร้างกุฏิ ๕ หลัง พร้อมด้วยบริวารมีที่จงกรมเป็นต้น ตั้งเตียงตั่งน้ำฉันน้ำใช้และภาชนะเป็นต้นไว้เสร็จ นิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าเพื่ออยู่ จำพรรษาตลอดไตรมาสในที่นั้นนั่นเอง จึงตั้งภิกษาไว้ถวายตามวาระกัน หญิงคนใดไม่สามารถจะถวายภิกษาในวันที่ถึงวาระของตนได้ นางก็นำเอาภิกษาจากเรือนของตนไปถวายแทน นางปฏิบัติอยู่อย่างนี้ตลอดไตรมาส เมื่อถึงวันปวารณาให้นางทาสีแต่ละคนสละผ้าสาฏกคนละผืน รวมเป็นผ้าสาฏก เนื้อหยาบ ๕๐๐ ผืน ให้จัดผ้าเหล่านั้นทำเป็นไตรจีวรถวายแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า ๕ องค์ พระปัจเจก-พุทธเจ้าทั้ง ๕ องค์ ได้เหาะไปสู่ภูเขาคันธมาทน์ต่อหน้าหญิงเหล่านั้นแล หญิงเหล่านั้นทุกคนได้ทำกุศลจนตลอดชีวิตแล้วไปบังเกิดในเทวโลก หัวหน้าหญิงเหล่านั้นจุติจากเทวโลกนั้นไปบังเกิดในเรือนของหัวหน้าช่างหูกในหมู่บ้านช่างหูก กรุงพาราณสี รู้เดียงสาแล้วได้พบพระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ องค์ ซึ่งเป็นพระโอรสของพระนางปทุมวดี รู้สึกนึกรัก ไหว้ท่านทุกองค์แล้วถวายภิกษา ท่านฉันเสร็จ ก็กลับไปยังภูเขาคันธมาทน์ หญิงหัวหน้าทาสีนั้น ทำกุศลจนตลอดชีวิต เที่ยวเวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์ ถือปฏิสนธิในพระราชมณเฑียรของพระเจ้ามหาสุปปพุทธะ กรุงเทวทหะ ก่อนแต่พระศาสดาของเราทั้งหลายเสด็จอุบัติ ได้มีพระนามตามโคตรว่า โคตมี เป็นกนิษฐภคนีของ พระนางมหามายา แม้พวกหมอดูลักษณะได้พยากรณ์ไว้ว่า ทารกทั้งหลายที่อยู่ในท้องของหญิงทั้งสองนี้จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ พระเจ้าสุทโธทนมหาราชทรงทำมงคลทั้งสองพระองค์แล้ว นำไปยังพระราชมณเฑียรของพระองค์ในเวลาเจริญพระชนม์ ต่อมาเมื่อพระศาสดาของเราทั้งหลายเสด็จอุบัติขึ้น ทรงประกาศธรรมจักรอันประเสริฐ ทำการอนุเคราะห์โปรดเวไนยสัตว์ทั้งหลายในที่นั้นๆ โดยลำดับ ทรงอาศัยกรุงเวสาลี ประทับอยู่ ณ กูฎาคารศาลา พระเจ้าสุทโธทนมหาราชทรงทำให้แจ้งพระอรหัตแล้ว เสด็จปรินิพพานภายใต้พระมหาเศวตฉัตร .......ครั้งนั้นพระนางมหาปชาบดีโคตมีมีพระประสงค์จะผนวช เมื่อทูลขอบรรพชากะพระศาสดาครั้งแรกไม่ได้ ครั้งที่สองให้ตัดพระเกศาแล้วทรงนุ่งห่มผ้ากาสายะ พอจบการแสดง "กลหวิวาทสูตร" ได้เสด็จไปกรุงเวสาลีกับพวกหญิงบาทปริจาริกาของศากยกุมาร ๕๐๐ ซึ่งประสงค์จะบวชด้วยกัน ได้ให้พระอานนท์ทูลอ้อนวอนพระศาสดา จึงได้บรรพชาและอุปสมบทด้วย ครุธรรม ๘ ประการ ส่วนหญิงนอกนี้ได้อุปสมบทพร้อมกันทั้งหมด ฝ่ายพระนางมหาปชาบดีโคตมีได้อุปสมบทอย่างนี้แล้ว ได้เข้าไปเฝ้าพระศาสดาถวายอภิวาทแล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้งนั้นพระศาสดาทรงแสดงธรรมแก่พระนางแล้ว พระนางทรงเรียนพระกรรมฐานในสำนักพระศาสดา พากเพียรภาวนาอยู่ไม่นานนัก ก็ได้บรรลุพระอรหัตที่แวดล้อมด้วยอภิญญาและปฏิสัมภิทา ส่วนภิกษุณี ๕๐๐ ที่เหลือได้อภิญญา ๖ เมื่อจบ นันทโกวาทสูตร ภายหลังวันหนึ่ง พระศาสดาประทับนั่งท่ามกลางหมู่พระอริยะในพระเชตวันมหาวิหาร กำลังทรงสถาปนาภิกษุณีไว้ในตำแหน่ง จึงทรงสถาปนาพระมหาปชาบดีโคตรมีเถรีไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นเลิศของภิกษุณี ฝ่ายรัตตัญญู ผู้รู้ราตรีนาน พระนางทรงยับยั้งอยู่ด้วยผลสุข และด้วยนิพพานสุข ดำรงอยู่ในความกตัญญู ในวันหนึ่ง เมื่อจะทรงพยากรณ์พระอรหัตโดยมุข คือทำการสรรเสริญพระคุณและความที่มีอุปการะก่อนแก่พระศาสดาให้แจ่มแจ้งจึงได้ตรัสคาถาเหล่านี้ว่า “ข้าแต่พระพุทธเจ้าผู้แกล้วกล้า ผู้สูงสุดกว่าสัตว์ทั้งปวง หม่อมฉันขอนอบน้อมแด่พระองค์ผู้ทรงช่วยปลดเปลื้องหม่อมฉันและชนอื่นเป็นอันมากให้พ้นจากทุกข์ หม่อมฉันกำหนดรู้ทุกข์ทั้งปวงแล้ว เผาตัณหาอันเป็นเหตุแห่งทุกข์ให้เหือดแห้งแล้ว ได้เจริญมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ได้บรรลุนิโรธแล้ว ชนทั้งหลายเป็นมารดา เป็นบุตร เป็นธิดา เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นปู่ย่าตายายกันมาในชาติก่อนๆ หม่อมฉันไม่รู้ตามความเป็นจริง ไม่พบที่พึ่ง จึงท่องเที่ยวไป ก็หม่อมฉันได้พบพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นแล้ว อัตภาพนี้เป็นอัตภาพสุดท้ายชาติสงสารสิ้นไปแล้ว บัดนี้ภพใหม่มิได้มี ขอพระองค์โปรดทอดพระเนตรพระสาวกทั้งหลายผู้ปรารภความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยว มีความบากบั่นมั่นคงเป็นนิตย์ มีความพร้อมเพรียงกัน การทำโลกุตรธรรมให้ประจักษ์แก่ตนอย่างนี้ เป็นการถวายบังคมต่อพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระนางเจ้ามหามายาเทวีได้ประสูติพระโคดมมา เพื่อประโยชน์แก่ชนเป็นอันมากหนอ เพราะพระองค์ได้ทรงบรรเทากองทุกข์ของชนทั้งหลายผู้ถูกพยาธิและมรณะทิ่มแทงแล้ว” บางคราว พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน กรุงเวสาลี พระองค์เองก็ประทับอยู่ สำนักภิกษุณี กรุงเวสาลี ในเวลาเช้าเสด็จเที่ยวบิณฑบาต เสวยภัตตาหารแล้วก็ยับยั้งอยู่ด้วยสุขในผลสมาบัติตามเวลาที่กำหนดไว้ในสถานที่พักกลางวันของพระองค์ ออกจากผลสมาบัติ พิจารณาการปฏิบัติของพระองค์เกิดโสมนัส รำพึงอายุสังขารของพระองค์อยู่ ก็ทรงรู้ว่าอายุสังขารเหล่านั้นสิ้นแล้ว ทรงดำริอย่างนี้ว่า ถ้ากระไรจำเราจะไปพระวิหาร ขอให้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตแล้ว อำลาพระเถระทั้งหลายและเพื่อนสหพรหมจารีทุกรูป ซึ่งเป็นที่เจริญใจของตน พึงมาปรินิพพานเสียในที่นี้นี่แหละ ภิกษุณี ๕๐๐ รูป ผู้เป็นบริวารของพระนางก็ได้มีความปริวิตกเหมือนพระเถรี ครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นประทีปส่องโลกให้สว่างไสวเป็นสารถีฝึกนรชน ประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลาป่ามหาวัน กรุงเวสาลี ครั้งนั้น พระมหาโคตมีภิกษุณีพระมาตุจฉาของพระชินพุทธเจ้า อยู่ในสำนักนางภิกษุณีในพระบุรีอันรื่นรมย์นั้นพร้อมด้วยภิกษุณี ๕๐๐ รูป ซึ่งพ้นจากกิเลสแล้ว พระมหาปชาบดีโคตมีนั้น อยู่ในที่สงัดตรึกนึกคิดอย่างนี้ว่า การปรินิพพานของพระพุทธเจ้าก็ดี ของพระอัครสาวกก็ดี ของพระราหุล พระอานนท์ และพระนันทะก็ดี เราจะไม่ได้เห็น จำเราที่พระโลกนาถผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ ทรงอนุญาตแล้ว พึงปลงอายุสังขารแล้ว นิพพานก่อนการปรินิพพานของพระพุทธเจ้าหรือคู่พระอัครสาวก พระมหากัสสป พระนันทะ พระอานนท์ และพระราหุล พระภิกษุณีทั้ง ๕๐๐ รูป ก็ได้ตรึกอย่างนั้นเหมือนกัน แม้พระเขมาภิกษุณีเป็นต้น ก็ได้ตรึกเช่นนี้เหมือนกัน ครั้งนั้นเกิดแผ่นดินไหว กลองทิพย์ บันลือลั่นขึ้นเอง ทวยเทพที่สิงอยู่ในสำนักภิกษุณี ถูกความโศกบีบคั้น พร่ำเพ้ออยู่อย่างน่าสงสาร หลั่งน้ำตาแล้วในที่นั้น ภิกษุณีทุกๆ รูป พร้อมด้วยทวยเทพเหล่านั้นเข้าไปหาพระมหาโคตมีภิกษุณี ซบศีรษะแทบพระบาทแล้วกล่าวว่า “ข้าแต่พระแม่เจ้า พวกเราถูกหยดน้ำคือวิมุตติรดแล้วในสำนักพระภิกษุณีนั้นมาด้วยกัน อยู่ในที่ลับ แผ่นดินนั้นก็ไหวหวั่นสั่นสะเทือน กลองทิพย์ ก็บันลือลั่นขึ้นเอง และเราได้ยินเสียงคร่ำครวญ ข้าแต่พระโคตมีจะต้องมีเหตุอะไรเกิดขึ้นแน่” ครั้งนั้นพระมหาปชาบดีโคตมีภิกษุณีได้ตรัสบอกถึง เหตุตามที่ตนปริวิตกแล้วทุกประการ ลำดับนั้นพระภิกษุณีทุกๆ รูป ก็ได้บอกถึงเหตุที่ตนปริวิตกแล้วกล่าวว่า “ข้าแต่พระแม่เจ้า ถ้าพระแม่เจ้าชอบใจการนิพพานอันเกษมอย่างยิ่งไซร้ ถึงข้าพเจ้าทั้งหลายก็จักนิพพานกันหมด ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะทรงพระอนุญาต พวกข้าพเจ้าได้ออกจากเรือนจากภพพร้อมด้วยพระแม่เจ้า ก็จักไปสู่นิพพานบุรี อันยอดเยี่ยมพร้อมๆ กันกับพระแม่เจ้า ข้าพเจ้าทั้งหลายก็จักไปพร้อมกับพระแม่เจ้าเหมือนกัน พระมหาปชาบดีโคตมีได้ตรัสว่า เมื่อท่านทั้งหลายจะไปนิพพานเราจักว่าอะไรเล่า” แล้วได้ออกจากสำนักภิกษุณีไปพร้อมกับภิกษุณีทั้งหมด ในครั้งนั้นพระมหาปชาบดีโคตมีภิกษุณีได้กล่าวกะทวยเทพทั้งหลายที่สิงอยู่ ณ สำนักภิกษุณีว่า “จงอดโทษแก่เราเถิด การเห็นสำนักภิกษุณีของเรานี้ เป็นการเห็นครั้งสุดท้าย ในที่ใดไม่มีความแก่หรือความตาย ไม่มีการประกอบด้วยสัตว์และสังขารอันไม่เป็นที่รัก ไม่มีการพลัดพรากจากสัตว์และสังขารอันเป็นที่รัก ที่นั้นนักปราชญ์กล่าวว่า เป็นอสังขตสถาน” พระโอรสของพระสุคตทั้งหลายที่ยังไม่ปราศจากราคะ ได้สดับคำของพระนางนั้นเป็น ผู้โศกกำสรดปริเทวนาการว่า น่าสังเวชหนอ พวกเราเป็นคนมีบุญน้อย สำนักนางภิกษุณีนี้จะว่างเปล่า เว้นภิกษุณีเหล่านั้น ภิกษุณีผู้ชิโนรสจะไม่ปรากฏ เปรียบเหมือนดวงดาวทั้งหลายไม่ปรากฏในเวลาสว่างฉะนั้น พระโคตมีภิกษุณีจะไปสู่นิพพานพร้อมกับภิกษุณี ๕๐๐ รูป เหมือนกับแม่น้ำคงคาไหลไปสู่สาครพร้อมกับแม่น้ำ ๕๐๐ สาย ฉะนั้น อุบาสิกาทั้งหลายผู้มีศรัทธาเห็นพระโคตมีภิกษุณีนั้น กำลังเสด็จไปตามถนนได้พากันออกจากเรือนหมอบแทบเท้าแล้วกล่าวว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายเลื่อมใสในพระแม่เจ้า พระแม่เจ้าจะละทิ้งข้าพเจ้าทั้งหลายไว้ให้เป็นคนอนาถาเสียแล้ว พระแม่เจ้ายังไม่สมควรที่จะปรินิพพาน” อุบาสิกาเหล่านั้นถูกความอยากให้ท่านอยู่บีบคั้น แล้วเพื่อจะให้อุบาสิกาเหล่านั้นละเสียซึ่งความโศก พระเถรีจึงได้กล่าวอย่างเพราะพริ้งว่า “อย่าร้องไห้ไปเลยลูกเอ๋ย วันนี้เป็นเวลารื่นเริงของท่านทั้งหลาย ความทุกข์เราก็กำหนดรู้แล้ว ตัณหาอันเป็นเหตุแห่งทุกข์เราก็เว้นขาดแล้ว ความดับทุกข์เราก็ได้ทำให้แจ้งแล้ว ทั้งมรรค เราก็ได้อบรมดีแล้ว พระศาสดาเราก็ได้บำรุงแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้าเราก็ได้ทำเสร็จแล้ว ภาระอันหนักเราก็ปลงลงแล้ว ตัณหาอันนำไปในภพเราก็ถอนเสียแล้ว คนทั้งหลายออกจากเรือนบวชไม่มีเรือน เพื่อประโยชน์ใด ประโยชน์นั้นเราก็บรรลุแล้วโดยลำดับ สังโยชน์ทุกอย่างก็หมดไป พระพุทธเจ้าและพระสัทธรรมของพระองค์มิได้บกพร่อง ยังดำรงอยู่ตราบใด กาลเวลาที่เรานิพพานก็ดำรงอยู่ตราบนั้น ลูกเอ๋ย อย่าได้ เศร้าโศกถึงเราเลย พระโกณฑัญญะ พระอานนท์และพระนันทะเป็นต้นก็ยังอยู่ พระราหุลพุทธชิโนรสก็ยังอยู่ พระสงฆ์ก็อยู่ร่วมกันเป็นสุข พวกเดียรถีย์ก็ยังโง่ หายกระด้างแล้ว” “ลูกเอ๋ย..ยศของพระผู้เป็นวงศ์ของพระเจ้าโอกกากราช ถูกยกย่องว่า ย่ำยีผู้เป็นมาร กาลเวลาสำหรับการนิพพาน เป็นสมบัติของเรามิใช่หรือ?” “ลูกเอ๋ย..ความปรารถนาอันใดของเรา มีมาเป็นเวลาช้านาน ความปรารถนาอันนั้น ก็สำเร็จแก่เราในวันนี้ เวลานี้เป็นเวลาที่จะลั่นกลองอานันทเภรี (ตีกลองแสดงความยินดี) น้ำตาของท่านทั้งหลายจะมีประโยชน์อะไรเล่า ถ้าท่านทั้งหลายจะมีความเอ็นดู ทั้งมีความกตัญญูในเราไซร้ ขอให้ท่านทุกคน จงทำความเพียรมั่น เพื่อความดำรงอยู่แห่งพระสัทธรรมเถิด พระสัมพุทธเจ้าอันเราทูลอ้อนวอน จึงได้ประทานบรรพชาแก่สตรีทั้งหลาย เพราะฉะนั้นเราร่าเริงฉันใด ท่านทั้งหลายก็จงเจริญรอยตามซึ่งความร่าเริงนั้นฉันนั้นเถิด” ครั้นพระเถรีพร่ำสอนอุบาสิกาเหล่านี้แล้ว เสด็จนำหน้าภิกษุณีทั้งหลาย เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าถวายบังคมแล้ว ได้กราบทูลดังนี้ว่า “ข้าแต่พระสุคต หม่อมฉันเป็นพระมารดาของพระองค์ ข้าแต่พระธีรเจ้า พระองค์เป็นพระบิดาของหม่อมฉัน” “ข้าแต่พระโลกนาถ พระองค์เป็นผู้ประทานความสุข อันเกิดจากพระสัทธรรมให้หม่อมฉัน” “ข้าแต่พระโคดม หม่อมฉันเป็นผู้อันพระองค์ทรงทำให้เกิด” “ข้าแต่พระสุคต รูปกายของพระองค์นี้อันหม่อมฉันทำให้เจริญเติบโต ธรรมกายอันน่าเพลิดเพลินของหม่อมฉัน อันพระองค์ก็ทรงทำให้เจริญเติบโตแล้ว พระองค์อันหม่อมฉันให้ดูดดื่มนม อันระงับเสียได้ซึ่งความอยากชั่วครู่ ส่วนหม่อมฉัน พระองค์ก็โปรดให้ดูดดื่มน้ำนมคือธรรมอันสงบอย่างยิ่งแล้ว” “ข้าแต่พระมหามุนี พระองค์ชื่อว่า มิได้ทรงเป็นหนี้หม่อมฉัน เพราะการรักษาไว้ซึ่งพันธะ อันสตรีทั้งหลายผู้อยากได้บุตรวอนขออยู่ ก็ย่อมจะได้บุตรเช่นนั้น สตรีที่เป็นพระมารดาของพระนราธิบดีมีพระเจ้ามันธาตุราชเป็นต้น ชื่อว่าเป็นมารดาในห้วงมหรรณพคือภพ” “ข้าแต่พระโอรส หม่อมฉันผู้จมดิ่งอยู่ในห้วงมหรรณพคือภพ อันพระองค์ให้ข้ามสาครคือภพแล้ว พระนามว่ามเหสีพันปีหลวง สตรีทั้งหลายได้ง่าย พระนามว่า พระพุทธมารดา สตรีทั้งหลายได้ยากอย่างยิ่ง ข้าแต่พระมหาวีระ ก็พระนามว่าพระพุทธมารดานั้นหม่อมฉันได้แล้ว ความปรารถนาไม่ว่าน้อยใหญ่ของหม่อมฉันทั้งหมดนั้น หม่อมฉันได้บำเพ็ญแล้วกับพระองค์ หม่อมฉันปรารถนาเพื่อจะทิ้งร่างนี้นิพพาน” “ข้าแต่พระมหาวีระผู้ทำที่สุดทุกข์ เป็นผู้นำ ขอพระองค์โปรดทรงอนุญาตแก่หม่อมฉันเถิด ขอได้โปรดทรงเหยียดออกซึ่งพระยุคลบาท อันเกลื่อนกล่นไปด้วยลายจักร และธงอันละเอียดอ่อนเหมือนกับดอกบัวเถิด หม่อมฉันจะถวายบังคมพระยุคลบาทนั้น จะขอทำความรักเยี่ยงโอรสแด่พระองค์” “ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงเป็นผู้นำ ขอพระองค์โปรดทรงแสดงพระวรกายทำพระสรีระที่สุกปลั่ง ดังกองทองให้เป็นเหตุปรากฏ หม่อมฉันจึงจะเข้าสู่ปรินิพพานพระเจ้าข้า” พระชินพุทธเจ้าก็ได้ทรงแสดงพระวรกาย ที่ประกอบด้วยพระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ ประดับด้วยพระรัศมี อันงามเหมือนดวงอาทิตย์ส่องแสงอ่อนๆ ในยามสนธยา กะพระมาตุจฉาเจ้า ลำดับนั้นพระมหาปชาบดีโคตมีเถรี ได้ซบพระเศียรลงแทบพื้นพระบาทอันเป็นประกาย คล้ายดอกบัวบานมีพระรัศมีงามดังดวงอาทิตย์ทอแสงอ่อนๆ พระนางได้กราบทูลว่า “หม่อมฉันขอน้อมนมัสการ พระผู้เป็นอาทิตย์วงศ์จอมนรชน ผู้ทรงเป็นธงไชยแห่งอาทิตยวงศ์ หม่อมฉันมรณะเป็นครั้งสุดท้าย หม่อมฉันจะไม่ได้เห็นพระองค์อีก ข้าแต่พระองค์ผู้เลิศแห่งโลก ธรรมดาสตรีทั้งหลายล้วนแต่ก่อโทษทุกอย่างแล้ว ก็พากันตายไป ถ้าโทษไรๆ ของหม่อมฉันมีอยู่ ก็ขอพระองค์ได้โปรดกรุณาอดโทษแก่หม่อมฉันด้วยเถิด” “อนึ่ง หม่อมฉันได้ทูลซ้ำๆ ซากๆ ให้สตรีทั้งหลายได้บวช ข้าแต่พระนราสภ ถ้าโทษของ หม่อมฉันในข้อนี้มีอยู่ ขอได้โปรดอดโทษนั้นด้วยเถิด ข้าแต่พระมหาวีระทรงไว้ซึ่งการอดโทษ ภิกษุณีทั้งหลายอันหม่อมฉันสั่งสอนแล้ว ตามที่พระองค์ทรงอนุญาต ถ้าในข้อนั้นมีการแนะนำยาก ขอได้โปรดทรงอดโทษข้อนั้นด้วยเถิด” พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสว่า “ดูก่อนโคตมี ผู้ประดับไปด้วยคุณโทษที่พึงอดยังจะมีอะไรในเมื่อบอกกล่าวเสีย เมื่อท่านจะไปนิพพาน ตถาคตจักกล่าวอะไรแก่ท่านให้มากไปเล่า เมื่อภิกษุสงฆ์ของตถาคตบริสุทธิ์ไม่บกพร่อง ท่านจะออกไปเสียจากโลกนี้ก็ควร เหมือนเพราะเห็นในเวลาที่ยังมีแสงสว่างของอาทิตย์ที่อัสดงคตแล้ว รอยในดวงจันทร์ก็ออกไป” ฉะนั้นภิกษุณีทั้งหลายนอกจากพระมหาปชาบดีโคตมีเถรีพากันทำประทักษิณพระชินพุทธเจ้าผู้เลิศ พระองค์เหมือนหมู่ดาวที่ติดตามดวงจันทร์ เวียนขวาภูเขาสิเนรุ ฉะนั้น หมอบลงแทบพระบาทแล้ว ยืนจ้องดูพระพักตร์ของพระพุทธเจ้ากราบทูลว่า “จักษุของหม่อมฉันทั้งหลาย ไม่เคยอิ่มด้วยการเห็นพระองค์ โสตของหม่อมฉันทั้งหลาย ไม่เคยอิ่มด้วยภาษิตของพระองค์ จิตของหม่อมฉันทั้งหลายดวงเดียวเท่านั้น อิ่มด้วยรสแห่งธรรมของพระองค์ ข้าแต่พระผู้เป็นจอมนรชน เมื่อพระองค์บันลืออยู่ในบริษัท กำจัดเสียซึ่งทิฏฐิและมานะชนเหล่าใดเห็นพระพักตร์ของพระองค์ ชนเหล่านั้นชื่อว่าเป็นผู้มีบุญ ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงมีพระคุณ ชนเหล่าใดประณตน้อมพระยุคลบาทของพระองค์ซึ่งมีพระองคุลียาว มีพระนขาแดงงดงาม มีส้นพระบาทยาว แม้ชนเหล่านั้นก็ชื่อว่าเป็นผู้มีบุญ” “ข้าแต่พระนโรดม ชนเหล่าใดได้สดับพระดำรัสของพระองค์อันไพเราะน่าปลื้มใจ กำจัดโทษเป็นประโยชน์เกื้อกูล ชนเหล่านั้นก็ชื่อว่าเป็นผู้มีบุญ ข้าแต่พระมหาวีระ หม่อมฉันเอาใจใส่การบูชาพระบาทของพระองค์ ข้ามพ้นทางกันดารคือสงสารได้ ด้วยพระสุนทรกถาของพระองค์ผู้ทรงศิริ จึงชื่อว่าเป็นผู้มีบุญ” ลำดับนั้นพระมหาปชาบดีโคตมีเถรีผู้มีวัตรอันงามประกาศในหมู่พระภิกษุสงฆ์แล้ว ไหว้ พระราหุล พระอานนท์ และพระนันทะ และได้ตรัสดังนี้ว่า “ลูกเอ๋ย แม่เบื่อหน่ายในร่างกายซึ่งเสมอด้วยที่อยู่ของอสรพิษ เป็นที่พักของโรค เป็นเรือนร่างของทุกข์ เป็นที่โคจรของชราและมรณะ อาเกียรณ์ไปด้วยมลทินโทษต่างๆ ต้องอาศัยผู้อื่นปราศจากเรี่ยวแรง ด้วยเหตุนั้น แม่จึงปรารถนาจะนิพพานเสีย” “ลูกเอ๋ย พ่อจงเข้าใจแม่เถิด พระนันทเถระและพระราหุลผู้น่ารัก เป็นผู้ปราศจากความโศก ไม่มีอาสวะ ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว มีปัญญามีความเพียรก็ได้คิดถึงธรรมดาว่าน่าติโลก ที่ปัจจัยปรุงแต่ง ปราศจากแก่นสาร เปรียบด้วยต้นกล้วย เช่นเดียวกับมายากลและพยัพแดด นอกจากนี้ยังไม่มั่นคง” พระปชาบดีโคตมีเถรี พระมาตุจฉาของพระชินพุทธเจ้าพระองค์นี้เป็นผู้เลี้ยงดูพระพุทธเจ้าก็ต้องถึงมรณะ ซึ่งไม่เที่ยงเป็นสังขตธรรมทุกอย่างในที่ใด ก็ครั้งนั้นท่านอานนท์พุทธอนุชา ซึ่งเป็น พระอุปัฏฐากของพระชินพุทธเจ้าเป็นพระเสขบุคคล (ผู้ยังต้องศึกษา) อยู่ ท่านหลั่งน้ำตาร้องไห้ คร่ำครวญอย่างน่าสงสาร ณ ที่นั้นว่า พระโคตมีเถรีตรัสอยู่หลัดๆ ก็เสด็จไปนิพพานไม่นานเลย เปรียบเหมือนไฟที่หมดเชื้อแล้วฉะนั้น พระโคตรมีเถรีได้ตรัสกะท่านพระอานนท์ผู้มีสุตะคือปริยัติอันล้ำลึก ดังสาคร (พหูสูตร) เอาใจใส่ในการอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าซึ่งพร่ำรำพันอยู่ดังกล่าวว่า “ลูกเอ๋ย เมื่อกาลร่าเริงปรากฏขึ้นแล้ว พ่อไม่ควรที่จะเศร้าโศกถึงการตายของแม่ การนิพพานของแม่ใกล้เข้ามาแล้วลูกเอ๋ย พระศาสดา พ่อได้ทูลเชื้อเชิญแล้วจึงได้ทรงอนุญาตให้แม่บวช ลูกเอ๋ย พ่ออย่าเสียใจไปเลย ความยากลำบากของพ่อมีผล มีบทใดอาจารย์ฝ่ายเดียรถีย์เก่าๆ ไม่เห็น บทนั้นเด็กหญิงซึ่งมีอายุ ๗ ขวบก็รู้แจ้งประจักษ์แล้ว พ่อจงรักษาพระพุทธศาสนาไว้ แม่เห็นพ่อครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย บุคคลไปในทิศใดแล้วไม่ปรากฏ แม่ก็จะไปในทิศนั้นนะลูก” “ในกาลบางคราว พระนายกผู้เลิศในโลกกำลังทรงแสดงธรรมอยู่ทรงไอแล้ว ครั้งนั้นแม่เกิดสาสารกล่าววาจาถวายพระพรว่า ข้าแต่พระมหาวีระ ขอพระองค์จงมีพระชนม์อยู่นานๆ ข้าแต่พระมหามุนีขอพระองค์จงดำรงพระชนม์อยู่ตลอดกัป เพื่อความเกื้อกูลและประโยชน์แก่โลกทั้งปวงเถิด ขออย่าให้พระองค์ทรงพระชราและปรินิพพานเลย” “พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นได้ตรัสกะแม่ผู้กราบทูลเช่นนั้นอย่างนี้ว่า ดูก่อนโคตมี พระพุทธเจ้าทั้งหลายมิใช่บุคคลจะพึงไหว้เหมือนอย่างที่เธอไหว้อยู่ดอก แม่ได้ทูลถามว่า ก็แลด้วยประการไรเล่า พระพุทธเจ้าจึงชื่อว่าอันบุคคลไม่พึงไหว้ พระองค์อันหม่อมฉันทูลถามแล้ว โปรดตรัสบอกเหตุนั้นแก่หม่อมฉันเถิด พระองค์ตรัสตอบว่า เธอจงดูพระสาวกทั้งหลายผู้ปรารภความเพียรมีใจเด็ดเดี่ยว มีความบากบั่นมั่นคงเป็นนิตย์พร้อมเพรียงกัน นี้เป็นการไหว้พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ต่อแต่นั้นแม่ก็ไปสำนักภิกษุณีอยู่ผู้เดียว ก็คิดได้ว่า พระนาถะผู้ถึงที่สุดแห่งไตรภพ ทรงป้องกันบริษัทที่สามัคคีกัน เอาเถิด แม่จักปรินิพพานเสีย ขออย่าได้เห็นความวิบัตินั้นเลย” “แม่ครั้นคิดดังนั้นแล้วได้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พระผู้เป็นฤาษีพระองค์ที่ ๗ แล้วได้กราบทูลถึงกาลเป็นที่ปรินิพพานกะพระผู้นำพิเศษ ลำดับนั้นพระองค์ได้ทรงอนุญาตว่า จงรู้กาลเอาเองเถิดโคตมี แม่เผากิเลสทั้งหลายแล้ว ถอนภพทั้งปวงขึ้นได้แล้ว ตัดกิเลสเครื่องผูกได้เหมือนช้างพังตัดเชือกแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่ การที่แม่มาในสำนักของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุดเป็นการมาดีแล้วหนอ วิชชาสาม แม่ก็บรรลุแล้วโดยลำดับ คำสอนของพระพุทธเจ้าแม่ได้ทำเสร็จแล้ว คุณวิเศษเหล่านี้คือปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ แม่ทำให้แจ้งแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้า แม่ได้ทำเสร็จแล้ว” พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสแล้ว “ดูก่อนโคตมี คนพาลเหล่าใดสงสัยในการตรัสรู้ธรรมของสัตว์ทั้งหลาย เธอจงแสดงอิทธิฤทธิ์เพื่อให้คนพาลเหล่านั้นและทิฏฐิเสีย” ครั้นนั้นพระมหาปชาบดีโคตมีเถรีถวายบังคมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว เหาะขึ้นไปสู่อัมพรแสดงฤทธิ์เป็นอันมากตามพระพุทธานุญาต คือองค์เดียวเป็นหลายองค์ก็ได้ หลายองค์เป็นองค์เดียวก็ได้ ทำให้ปรากฏก็ได้ ทำให้หายไปก็ได้ ทะลุฝากำแพงภูเขาไปได้ไม่ติดขัดเหมือนไปในที่ว่างก็ได้ ผุดขึ้นดำลงแม้ในแผ่นดินเหมือนในน้ำก็ได้ เหาะไปในอากาศเหมือนนกก็ได้ ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้ ทำภูเขาสิเนรุให้เป็นคัน พลิกมหาปฐพีพร้อมด้วยราก ทำให้เป็นร่ม กั้นร่มเดินจงกรมในอากาศ ทำโลกให้เป็นควันประหนึ่งเวลาอาทิตย์ ๖ ดวง อุทัยขึ้น และทำโลกนั้นเกลื่อนด้วยพวงดอกไม้ตาข่ายเหมือนคล้องพวงดอกไม้ไว้ยอดเขายุคนธร เอาพระหัตถ์ข้างเดียวกำภูเขามุจลินท์ ภูเขาสิเนรุ ไว้ในระหว่างมูลนทีทั้งหลาย เหมือนดังกำเมล็ดพันธุ์ผักกาดเอาปลายนิ้วบังดวงอาทิตย์ พร้อมทั้งดวงจันทร์ไว้ ทัดทรงดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ไว้ตั้งพันดวง เหมือนทัดทรงพวงมาลัยฉะนั้น แบกน้ำในสาครทั้ง ๔ ไว้ได้ด้วยฝ่าพระหัตถ์ข้างเดียว บันดาลฝนตกห่าใหญ่มีอาการปานประหนึ่งหลั่งน้ำเหนือยอดเขายุคนธร พระเถรีนั้นเนรมิตเป็นพระเจ้าจักพรรดิพร้อมด้วยบริษัท ณ พื้นนภากาศ แสดงให้เป็นครุฑ คชสาร ราชสีห์ ต่างบันลือเสียงกึกก้องอยู่ องค์เดียวเนรมิตให้เป็นคณะภิกษุณีนับไม่ถ้วน แล้วก็อันตรธานกลับเป็นองค์เดียว กราบทูลพระมหามุนีว่า “ข้าแต่พระมหาวีระผู้มีพระจักษุ พระมาตุจฉาของพระองค์เป็นผู้ทำตามคำสอนของพระองค์ บรรลุประโยชน์ของตนโดยลำดับแล้ว ขอถวายบังคมพระยุคลบาทของพระองค์” พระเถรีนั้นครั้นแสดงฤทธิ์ต่างๆ แล้วลงจากพื้นนภากาศถวายบังคมพระผู้ส่องโลกแล้ว ประทับนั่ง ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง กราบทูลว่า “ข้าแต่พระมหามุนีผู้นำโลก หม่อมฉันมีอายุได้ ๑๒๐ ปีนับแต่เกิด เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว หม่อมฉันจักขอทูลลานิพพาน” ครั้งนั้น บริษัททั้งหมดนั้นต่างพิศวงยิ่งนักจึงได้พากันกระทำอัญชลีถามว่า “ข้าแต่พระแม่เจ้า เป็นอย่างไรพระแม่เจ้า จึงบากบั่นแสดงฤทธิ์ที่ไม่มีอะไรเทียบได้” พระมหาปชาบดีเถรีได้กล่าวบุรพจรรยาของพระองค์ดังต่อไปนี้ว่า ในแสนกัปนับแต่กัปนี้ไป พระชินพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ ผู้มีจักษุในธรรมทั้งปวง เป็นผู้นำ ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้วครั้งนั้น ข้าพเจ้าเกิดในตระกูลอำมาตย์ซึ่งสมบูรณ์ด้วยเครื่องอุปการะทุกสิ่ง มั่งคั่ง รุ่งเรือง ร่ำรวย ในกรุงหังสวดี บางครั้งข้าพเจ้าพร้อมด้วยบิดานำหน้าหมู่ทาสีมีบริวารมาก เข้าไปเฝ้าพระนราสภพระองค์นั้น ได้เห็นพระชินพุทธเจ้าผู้ปานดังท้าววาสวะ ยังฝนคือธรรมให้ตกอยู่ พระองค์เป็นผู้ไม่มีอาสวะเกลื่อนกล่นไปด้วยระเบียบแห่งรัศมี เช่นกับดวงอาทิตย์ในสรทกาลแล้ว ทำจิตให้เลื่อมใส และสดับสุภาษิตของพระองค์ เห็นพระผู้นำนรชนทรงสถาปนานางภิกษุณีผู้เป็นพระมาตุจฉาไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ จึงถวายปัจจัยเป็นอันมากเป็นมหาทาน แด่พระผู้เลิศกว่านรชนผู้คงที่พระองค์นั้น พร้อมทั้งพระสงฆ์ตลอด ๗ วัน แล้วได้หมอบลงแทบพระบาทมุ่งปรารภตำแหน่งนั้น สมเด็จพระปทุมุตตระตรัสพยากรณ์ ลำดับนั้นองค์สมเด็จพระปทุมุตตระได้ตรัสในบริษัทใหญ่ว่า สตรีใดได้นิมนต์พระผู้นำโลกพร้อมด้วยพระสงฆ์ ให้ฉันตลอด ๗ วัน เราจักพยากรณ์สตรีนั้น ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าวไว้ให้ดี ในแสดกัปนับแต่กัปนี้ไป พระศาสดาพระนามว่าโคดม ซึ่งทรงสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากาช จักเป็นศาสดาในโลก สตรีผู้นั้น จักได้เป็นธรรมทายาทของพระศาสดาพระองค์นั้น จักเป็นโอรสอันธรรมนิรมิต จักได้เป็นสาวิกาของพระศาสดามีพระนามว่า โคตมี จักได้เป็นพระมาตุจฉาบำรุงเลี้ยงชีวิตของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น จักได้ความเป็นเลิศของภิกษุณีทั้งหลายฝ่ายผู้รู้ราตรีนาน ครั้งนั้นข้าพเจ้าได้สดับพุทธพยากรณ์นั้นแล้ว มีใจปราโมทย์บำรุงพระชินพุทธเจ้าด้วยปัจจัยทั้งหลายตราบเท่าสิ้นชีวิต ต่อจากนั้นข้าพเจ้าได้ทำกาลกิริยา (ตาย) ไปบังเกิดในพวกเทพเหล่าดาวดึงส์ ผู้ซึ่งให้สำเร็จสิ่งน่าใคร่ได้ทุกประการ ล่วงล้ำทวยเทพอื่นๆ ด้วยองค์ ๑๐ ประการ คือ ด้วยรูป เสียง กลิ่น รส ผัสสะ อายุ วรรณะ สุข ยศและรุ่งเรืองล้ำทวยเทพอื่นๆ ด้วยอธิปไตยความเป็นใหญ่ ข้าพเจ้าได้เป็นพระมเหสีผู้น่าเอ็นดูของท้าวอมรินทร์ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้น ก็ข้าพเจ้าท่องเที่ยวอยู่ในสงสารเป็นผู้อันพายุคือกรรมพัดพาไปเกิดในตำบลบ้านของทาสในอาณาเขตของพระเจ้ากาสี ครั้งนั้นทาส ๕๐๐ ถ้วนอาศัยอยู่ในบ้านนั้น พระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ องค์ได้เข้าไปบ้านเพื่อบิณฑาต ข้าพเจ้ากับญาติทุกคน เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นก็มีความยินดีช่วยกันสร้างกุฏิ ๕๐๐ หลัง อุปัฏฐากอยู่ ๔ เดือน แล้วถวายไตรจีวร ข้าพเจ้ากับสามีก็พากันท่องเที่ยวไป จุติจากนั้นข้าพเจ้าพร้อมกับสามีก็ได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ บัดนี้ภพสุดท้ายข้าพเจ้าเกิดในกรุงเทวทหะ พระชนกของข้าพเจ้าพระนามว่า อัญชนศากยะ พระชนนีของข้าพเจ้า พระนามว่า สุลักขณา ต่อมาข้าพเจ้าได้ไปพระราชนิเวศน์ของพระจ้าสุทโธทนะในกรุงกบิลพัสดุ์ สตรีนอกนั้นเกิดในตระกูลศากยะ แล้วก็ไปเรือนของพวกเจ้าศากยะด้วยกัน แต่ข้าพเจ้าประเสริฐกว่าสตรีทุกคน ได้เป็นผู้บำรุงเลี้ยงพระชินพุทธเจ้า พระโอรสของข้าพเจ้าเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์แล้วได้เป็นพระพุทธเจ้า เป็นผู้นำพิเศษ ภายหลังข้าพเจ้าพร้อมด้วยเจ้าสากิยาณี ๕๐๐ จึงได้บวช แล้วก็ได้ประสบสันติสุขพร้อมด้วยเจ้าสากิยาณีผู้เป็นบัณฑิต สามีของข้าพเจ้าที่ได้ทำบุญร่วมกันมาแต่ชาติก่อนในครั้งนั้น เป็นผู้ทำมหาสมัยประชุมใหญ่อันพระสุคตทรงอนุเคราะห์แล้ว ก็พากันบรรลุพระอรหัต ภิกษุณีทั้งหลาย นอกจากพระมหาปชาบดีเถรีนั้นได้พากันเหาะขึ้นสู่นภากาศเป็น ผู้ประกอบด้วยมหิทธิฤทธิ์รุ่งโรจน์เหมือนดวงดาวทั้งหลาย อันโคจรเป็นกลุ่มกันไป ครั้งนั้นภิกษุณีเหล่านั้นได้แสดงฤทธิ์มิใช่น้อยเหมือนนายช่างทองผู้ชำนาญการทำทองแสดงเครื่องประดับหลากชนิด ฉะนั้น ในครั้งนั้น ภิกษุณีเหล่านั้นแสดงปาฏิหาริย์ได้วิจิตรหลายอย่าง ทำพระมุนีผู้เป็นพระศาสดา ผู้ประเสริฐ พร้อมทั้งบริษัทให้ชอบใจแล้ว ได้พากันลงจากนภากาศถวายบังคมพระศาสดาพระผู้เป็นฤาษีพระองค์ที่ ๗ อันพระศาสดาผู้เป็นยอดของนรชน ทรงอนุญาตแล้วจึงได้นั่ง ณ สถานที่อันสมควรแล้วได้กราบทูลว่า “ข้าแต่พระมหาวีระ โอหนอ...พระโคตมีเถรี เป็นผู้อนุเคราะห์ข้าพระองค์ทุกๆ คน พวกข้าพระองค์อันบุญบารมีของพระองค์อบรมแล้ว จึงพากันบรรลุธรรมเป็นที่สิ้นอาสวะ ข้าพระองค์ทั้งหลายเผากิเลสได้แล้ว ถอนภพทั้งปวงได้แล้ว ตัดกิเลสเครื่องผูกเหมือนช้างตัดเชือกแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่ การที่ข้าพระองค์ทั้งหลายมาในสำนักของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด เป็นการมาดีแล้วหนอ วิชชาสาม พวกข้าพระองค์บรรลุมาแล้วโดยลำดับ คำสอนของพระพุทธเจ้า พวกข้าพระองค์ก็ได้ทำเสร็จแล้ว คุณวิเศษเหล่านี้คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ ข้าพระองค์ทั้งหลายทำให้แจ้งแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้าอันข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทำเสร็จแล้ว ข้าพระองค์ทั้งหลายมีความชำนาญในฤทธิ์และทิพโสตธาตุ” “ข้าแต่พระมหามุนี ข้าพระองค์ทั้งหลายชำนาญเจโตปริยญาณ รู้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณชำระทิพยจักษุได้แล้ว สิ้นอาสวะหมดแล้ว บัดนี้ภพใหม่ไม่มี ข้าแต่พระมหาวีระ ข้าพระองค์ทั้งหลายมีญาณในอรรถธรรมนิรุตติและปฏิภาณ ญาณนั้นเกิดที่สำนักของพระองค์ ข้าแต่พระมหามุนี หัวข้อ: Re: พระเถรีสมัยพุทธกาล เริ่มหัวข้อโดย: winmaxlove ที่ 09 เมษายน 2553 23:24:39 ข้าแต่พระมหามุนีผู้ทรงเป็นผู้นำ พระองค์เป็นผู้อันข้าพระองค์ทั้งหลายผู้มีเมตตาจิต บำรุงแล้ว ขอพระองค์โปรดทรงอนุญาตให้ข้าพระองค์ทั้งหมดนิพพานเถิด”
พระชินพุทธเจ้าตรัสว่า “เธอทั้งหลายเมื่อพูดอย่างนี้ว่า จักนิพพาน ตถาคตจักไปว่าอะไร ก็บัดนี้เธอทั้งหลายจงสำคัญกาลเวลาของเธอเอาเองเถิด” ครั้งนั้นภิกษุณีเหล่านั้นมีพระปชาบดีโคตมีเถรีเป็นต้น ถวายบังคมพระชินพุทธเจ้า แล้วได้พากันลุกจากที่นั่งนั้นมา พระธีรเจ้าผู้นำเลิศของโลกพร้อมด้วยหมู่ชนเป็นอันมาก ได้เสด็จไปส่งพระมาตุจฉาจนถึงซุ้มประตู ครั้งนั้นพระปชาบดีโคตมีเถรีพร้อมด้วยภิกษุณีทั้งหมด ได้พากันหมอบลงแทบพระยุคลบาทของพระศาสดา ผู้เป็นพงศ์พันธุ์ของโลกกราบทูลว่า “นี้เป็นการถวายบังคมพระยุคลบาทครั้งสุดท้ายของหม่อมฉัน การได้เห็นพระองค์ผู้เป็นนาถะของโลกครั้งนี้ ก็เป็นครั้งสุดท้าย หม่อมฉันจักไม่ได้เห็นพระพักตร์ของพระองค์ซึ่งมีอาการดุจอมตะอีก ข้าแต่พระมหาวีระผู้เลิศของโลก การถวายบังคมของหม่อมฉันไม่สัมผัสพระยุคลบาทของพระองค์ ซึ่งละเอียดอ่อนดี วันนี้หม่อมฉันจะนิพพาน” พระศาสดาตรัสว่า “ประโยชน์อะไรของเธอ ด้วยรูปนี้ในปัจจุบัน รูปนี้ล้วนปัจจัยปรุงแต่ง ไม่น่ายินดีเป็นของต่ำทราม” พระมหาปชาบดีเถรีพร้อมด้วยภิกษุณีเหล่านั้นไปสำนักของภิกษุณีของตนแล้ว นั่งพับเพียบบนอาสนะอันประเสริฐ ครั้งนั้น อุบาสิกาทั้งหลายในพระนครนั้นผู้มีความเคารพรักในพุทธศาสนา ได้สดับประพฤติเหตุของพระเถรี ก็พากันเข้าไปหา นมัสการแทบบาทมูลร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าสงสาร เต็มกลั้นด้วยความโศกเศร้า ก็ล้มลงที่พื้นพสุธาดุจเถาวัลย์รากขาดฉะนั้น พากันรำพันว่า “ข้าแต่พระแม่เจ้าผู้เป็นนาถะให้ที่พึ่งแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย พระแม่เจ้าอย่าละทิ้งข้าพเจ้าทั้งหลายไปสู่นิพพนเลย ข้าพเจ้าทุกคนขอซบเกล้าอ้อนวอน” พระมหาปชาบดีเถรีลูบศีรษะของอุบาสิกา ผู้มีศรัทธา มีปัญญาซึ่งเป็นหัวหน้าของอุบาสิกาเหล่านั้นกล่าวดังนี้ว่า “ลูกเอ๋ย ความโศกสลด ซึ่งตกอยู่ในบ่วงแห่งมารไม่ควรเลย สังขารทั้งปวงล้วนไม่เที่ยง การพลัดพรากกันเป็นที่สุด หวั่นไหวไปมา” ต่อแต่นั้นพระเถรีก็สละอุบาสิกาเหล่านั้น เข้าปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุตตถฌาน แล้วเข้ากาสานัญจายตนฌาน วิญาณัญจายตนฌาน อากิญจัญญายตนฌาน และเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ตามลำดับแล้ว พระปชาบดีโคตมีเถรีก็เข้าฌานทั้งหลายโดยปฏิโลมแล้ว ก็เข้าปฐมฌานไปตราบเท่าถึงจตุตถฌาน ออกจากจตุตถฌานนั้นแล้วก็ดับ เหมือนเปลวประทีปที่ปราศจากเชื้อแล้วดับไปฉะนั้น ได้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ สายฟ้าก็ตกลงจากนภากาศ กลองทิพย์ก้บันลือลั่นขึ้นเอง ทวยเทพพากันคร่ำครวญและฝนดอกไม้ก็ตกจากอากาศลงยังพื้นแผ่นดิน แม้ขุนเขาเมรุราชก็กัมปนาทหวั่นไหวเหมือนนักฟ้อนรำในท่ามกลางเวทีฟ้อนรำ ฉะนั้น สาครก็ปั่นป่วนตีฟองคะนองเพราะความโศก ทวยเทพ นาค อสูร และพรหมต่างก็พากันสลดใจ กล่าวขึ้นในทันใดนั้นเองว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ เหมือนอย่างพระนางปชาบดีโคตมีเถรี ถึงความย่อยยับไปแล้ว และพระเถรีทั้งหลายผู้ทำตามคำสอนของพระศาสดา ซึ่งแวดล้อมพระนางปชาบดีโคตมีเถรีนี้ก็พากันนิพพาน เหมือนเปลวประทีปหมดเชื้อฉะนั้น โอ้..ความพบกัน ก็มีความพลัดพรากจากกันเป็นที่สุด..! โอ้..สิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งล้วนแต่ไม่เที่ยง..! โอ้..ชีวิตมีความหายสูญเป็นที่สุด..! ความพิไรรำพัน ได้มีแล้วด้วยประการฉะนั้น ลำดับนั้นเทวดาและพรหม ต่างก็ทำความประพฤติตามโลกธรรมตามสมควรแก่กาลแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้เป็นยอดฤาษี พระองค์ที่ ๗ ครั้งนั้น พระศาสดาได้ตรัสเรียกท่านพระอานนท์ผู้พหูสูตมาสั่งว่า “อานนท์ เธอจงไปประกาศให้ภิกษุทั้งหลาย ทราบถึงการนิพพานของพระมารดา” เวลานั้นท่านพระอานนท์ผู้ร่าเริง ก็ไร้ความร่าเริง มีดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตาได้กล่าวด้วยเสียงร้องไห้ว่า “ขอภิกษุทั้งหลายผู้เป็นโอรสของพระสุคต ซึ่งอยู่ในทิศตะวันออก ทิศใต้ ทิศตะวันตก และ ทิศเหนือ จงมาประชุมกัน ภิกษุณีผู้ทำพระสรีระสุดท้ายของพระมุนีให้เติบโตด้วยน้ำนม มีนามว่า พระมหาปชาบดีโคตมีเถรีนิพพานถึงความสงบเหมือนดวงดาวทั้งหลาย เหมือนดวงอาทิตย์อุทัยฉะนั้น พระเถรีตั้งบัญญัติทำให้รู้กันทั่วไปว่า เป็นพระพุทธมารดา นิพพานแล้วในที่ใด ถึงคนมี ๕ ตาก็แลไม่เห็น ในที่นั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าซึ่งเป็นผู้นำ ทรงเห็นได้ ขอพระโอรสของพระสุคตผู้มีความเชื่อในพระสุคต หรือเป็นศิษย์ของพระมหามุนี จงทำสักการะแด่พระพุทธมารดาเถิด ภิกษุทั้งหลายถึงอยู่ไกล ได้ฟังคำประกาศนั้นแล้วก็รีบมา บางพวกมาด้วยพุทธานุภาพ บางพวกที่ฉลาดในฤทธิ์ก็มาด้วยฤทธิ์ ต่างช่วยกันยกเอาเตียงที่พระโคตมีเถรีหลับขึ้นไว้ในเรือนยอด (เมรุ) อันประเสริฐ น่ารื่นรมย์ ทำด้วยทองล้วนๆ งดงาม ท้าวโลกบาลทั้งสี่เอาบ่าเข้ารองรับเรือนยอด ทวยเทพที่เหลือมีท้าวสักกะเป็นต้นเข้าช่วยรับเรือนยอด ก็เรือนยอดทั้งหมดมี ๕๐๐ หลัง แท้จริงวิษณุกรรมเทพบุตรเนรมิตมีสีเหมือนดวงอาทิตย์ในสุรทกาล ทวยเทพทั้งหลายได้แบกภิกษุณีทุกๆ รูปที่นอนอยู่บนเตียงแล้ว นำเอาออกไปตามลำดับ พื้นนภากาศถูกเอาเพดานบังไว้ทั่วดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์พร้อมทั้งดวงดาวซึ่งสำเร็จด้วยทอง ได้ถูกยกขึ้นไว้เป็นอันมาก จิตกาธารทั้งหลายมีดอกไม้เป็นเครื่องปกคลุม ดอกบัวที่เกิดขึ้นในอากาศเอาปลายลงดอกไม้ผุดขึ้นจากแผ่นดิน ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ คนมองดูเห็นได้ และดาวทั้งหลายส่องแสงระยิบระยับ อนึ่ง ดวงอาทิตย์ถึงจะโคจรไปในเวลาเที่ยง ก็ไม่ทำใครๆ ให้ร้อนเหมือนดวงอาทิตย์ ทวยเทพทั้งหลายพากันบูชาด้วยของทิพย์คือของหอมและดอกไม้ที่หอมตระหลบและการฟ้อนรำขับร้องดีดสีตีเป่า พวกนาคอสูรและพรหม ต่างก็พากันบูชาพระพุทธมารดาผู้นิพพานแล้ว กำลังถูกเขานำไปตามสติกำลัง ภิกษุณีทั้งหลายผู้เป็นโอรสของพระสุคตซึ่งนิพพานแล้วทั้งหมดเชิญไปข้างหน้า พระปชาบดีโคตมีเถรีพุทธมารดา ผู้อันเทวดาและมนุษย์สักการะเชิญเอาไปข้างหลัง เทวดา มนุษย์ พร้อมด้วยนาค อสูรและพรหมไปข้างหน้า ข้างหลังพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสาวกเสด็จไปเพื่อบูชาพระมารดา การปรินิพพานของพระพุทธเจ้าหาได้เป็นเช่นนี้ไม่ การปรินิพพานของพระปชาบดีโคตมีเถรี อัศจรรย์ยิ่งนัก ในเวลาพระพุทธเจ้าเสด็จประนิพพานไม่มีพระพุทธเจ้าและภิกษุทั้งหลาย มีพระสารีบุตรเป็นต้น เหมือนในเวลาพระปชาบดีโคตมีเถรีนิพพาน ซึ่งมีพระพุทธเจ้าและภิกษุทั้งหลายมีพระสารีบุตรเป็นต้น ชนทั้งหลายช่วยกันทำจิตกาธารซึ่งสำเร็จด้วยของหอมล้วนและเกลื่อนไปด้วยจุรณแห่งเครื่องหอม แล้วเผาภิกษุณีเหล่านั้นบนจิตกาธารนั้น ส่วนแห่งสรีระนอกนั้นถูกไฟไหม้สิ้นเหลือแต่อัฐิ ในเวลานั้นท่านพระอานนท์ได้กล่าวว่าจาอันให้เกิดความสังเวชว่า “พระปชาบดีโคตมีเถรีเข้านิพพานแล้ว พระสรีระของพระเถรีก็ถูกเผาแล้ว การนิพพานของพระพุทธเจ้าน่าสังเกต อีกไม่นานก็คงจักมี” ต่อจากนั้นท่านพระอานนท์อันพระพุทธเจ้าทรงตักเตือนท่าน ได้น้อมพระธาตุของพระปชาบดีโคตมีเถรีซึ่งอยู่ในบาตรของพระเถรีเข้ามาถวายแด่พระโลกนาถ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ประคองพระธาตุเหล่านั้นด้วยฝ่าพระหัตถ์แล้วตรัสว่า “เพราะสังขารเป็นสภาพไม่เที่ยง โคตมีผู้เป็นใหญ่กว่าหมู่ภิกษุณียังต้องนิพพาน เหมือนลำต้นของต้นไม้ใหญ่ที่มีแก่นยืนต้นอยู่ ถึงจะใหญ่โตก็ต้องผุพังไปฉะนั้น ดูเอาเถิดอานนท์ พระพุทธมารดาแม้นิพพานแล้วเหลือแต่เพียงสรีระ ก็ไม่มีความเศร้าโศกปริเทวนาการ” ท่านพระอานนท์ทูลว่า “น่าอัศจรรย์จริงหนอ พระมารดาของข้าพระองค์ แม้นิพพานแล้วเหลือแต่เพียงสรีระ ก็ไม่มีความเศร้าโศกปริเทวนาการ” พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “โคตมีข้ามสาครคือสงสารไปแล้ว ละเว้นเหตุอันทำให้เดือดร้อนได้แล้ว เป็นผู้เยือกเย็นดับสนิทแล้ว อันผู้อื่นไม่ควรเศร้าโศกถึง โคตมีเป็นบัณฑิต มีปัญญามาก และมีปัญญากว้างขวาง ทั้งเป็นผู้รู้ราตรีนานกว่าภิกษุณีทั้งหลาย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงทรงจำไว้อย่างนี้เถิด โคตมีเป็นผู้ชำนาญในฤทธิ์ ทิพพโสตธาตุ และมีความชำนาญในเจโตปริยญาณ รู้ทั่วถึงปุพเพนิวาสสานุสสติญาณ ชำระทิพยจักษุให้หมดจด สิ้นอาสวะหมดแล้ว บัดนี้ภพใหม่ไม่มี ญาณในอรรถะธรรมะ นิรุตติและปฏิภาณบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรจะเศร้าโศกถึงโคตมีนั้น คติของไฟที่ลุกโพลง ถูกแผ่นเหล็กทับแล้วดับไปโดยลำดับ ใครๆ ก็รู้ไม่ได้ฉันใด คติของท่านที่หลุดพ้นจากกิเลสโดยชอบแล้ว ข้ามพ้นโอฆะ คือพันธะทางกาม บรรลุเอจลบท บทที่ไม่หวั่นไหวแล้ว ก็ไม่มีใครจะรู้ได้ฉันนั้น เพราะฉะนั้น เธอทั้งหลายจงมีตนเป็นที่พึ่ง มีสติปัฏฐานเป็นทางดำเนินเถิด เธอทั้งหลายอบรมโพชฌงค์ ๗ ประการแล้ว จักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้” หัวข้อ: Re: พระเถรีสมัยพุทธกาล เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 10 เมษายน 2553 10:02:29 (http://www.watkoh.com/forum/richedit/upload/2kc5ec175dbb.jpg) สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ ขอบพระคุณ คุณ winmaxlove สำหรับการแบ่งปันนะคะ (http://t3.gstatic.com/images?q=tbn:88t30OCXPnFb_M:http://61.19.248.235/uploads/a5cecf36f7.gif) หัวข้อ: Re: พระเถรีสมัยพุทธกาล เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 10 เมษายน 2553 10:17:12 (:LOVE:) (:LOVE:) (:LOVE:) (http://img148.imageshack.us/img148/1097/ace8b116abed0472f964b55.jpg) หัวข้อ: Re: พระเถรีสมัยพุทธกาล เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 08 ธันวาคม 2553 02:21:45 สาธุ ๆ ๆ
หัวข้อ: Re: พระเถรีสมัยพุทธกาล เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 15 มีนาคม 2554 20:27:05 สาธุ ๆ ๆ ๆ หัวข้อ: Re: พระเถรีสมัยพุทธกาล เริ่มหัวข้อโดย: tuckie ที่ 07 เมษายน 2555 11:35:21 ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ ;D
หัวข้อ: Re: พระเถรีสมัยพุทธกาล เริ่มหัวข้อโดย: godone108 ที่ 01 พฤศจิกายน 2555 23:19:44 ขอบคุณครับ ข้อมูลดีมากอิอิ
|