หัวข้อ: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 27 มีนาคม 2553 09:57:26 (http://gallery.palungjit.com/data/500/p4030036ui8.jpg) พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา "ย้อนรอยกรรม ตำนานพระสุพรรณกัลยา" โดย หลวงปู่โง่น โสรโย (http://gotoknow.org/file/beone_01/UttaraTera.jpg) http://gotoknow.org/file/beone_01/view/414157 (http://gotoknow.org/file/beone_01/view/414157) (http://www.212cafe.com/freewebboard/user_board/tofriend/picture/00349_1.jpg) http://www.212cafe.com/freewebboard/view.php?user=tofriend&id=349 (http://www.212cafe.com/freewebboard/view.php?user=tofriend&id=349) คัดมาจากหนังสือ .. " ย้อนรอยกรรม ตำนานพระสุพรรณกัลยา " .. เขียนโดย หลวงปู่โง่น โสรโย ผู้โพส : แดดส่อง Credit by : http://www.agalico.com/board/showthread.php?t=2510 (http://www.agalico.com/board/showthread.php?t=2510) หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 27 มีนาคม 2553 15:06:18 (http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-ngon/lp-ngon-pic-07-01.jpg) สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จมาพระราชทานเพลิงศพ พิธีพระราชทานเพลิงศพ หลวงปู่โง่น โสรโย ณ เมรุชั่วคราว วัดพระพุทธบาทเขารวก อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร จาก หนังสือโลกทิพย์ ฉบับที่ ๓๘๘ ปีที่ ๒๒ ประจำเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๕ วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๔๕ คณะสงฆ์ คณะศิษยานุศิษย์และพุทธศาสนิกชนผู้มีความเคารพนับถือได้ร่วมกันประกอบพิธีในการพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่โง่น โสรโย ณ เมรุวัดพระพุทธบาทเขารวก ตำบลทับคล้อ อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จมาพระราชทานเพลิงศพ หลวงปู่โง่น โสรโย ในครั้งนี้ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่คณะสงฆ์ คณะศิษยานุศิษย์ มิตรญาติ อย่างหาที่สุดมิได้ หลวงปู่โง่น โสรโย ได้อุบัติมาใช้ชีวิตในสมณเพศ บำเพ็ญประโยชน์และคุณูปการแก่ประเทศชาติและพระพุทธศาสนา ตลอดถึงสังคมทุกระดับอย่างดียิ่ง เป็นเนติแบบอย่างอันงดงามของผู้ที่จะบำเพ็ญประโยชน์แก่ชาติบ้านเมืองด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ยุติธรรม มีความกตัญญูกตเวทีต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นชีวิตจิตใจ หลวงปู่มีอัธยาศัยเปี่ยมล้นด้วยเมตตา สันโดษ รักสงบ เสียสละ ตามวิสัยของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย เป็นผู้ฉลาดในอุบายแนะนำสั่งสอนเหล่าประชากรโดยพุทธวิธี มีกุศโลบายในการรักษาตนให้พ้นจากภัยพิบัติทั้งภายนอกและภายใน มีทัศนวิสัยในการปฏิบัติที่สมสมัย มีจิตใจใฝ่รู้วิชาทุกแขนง นำมาแก้ไขดัดแปลงก่อให้เกิดประโยชน์โสตถิผล ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น ทำความแช่มชื่นให้แก่ผู้ที่ได้พบเห็น มีความเยือกเย็นเป็นสุขใจแก่ผู้เข้าใกล้ ด้วยเมตตาบารมีธรรมของท่านอย่างน่าอัศจรรย์ หลวงปู่โง่น โสรโย อุปสมบทเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๒ ณ วัดศรีเทพประดิษฐาราม จังหวัดนครพนม โดยมี ท่านเจ้าคุณสารภาณมุนี เจ้าคณะจังหวัดนครพนมเป็นพระอุปัชฌาย์ มีพระมหาพรหมมา เป็นพระกรรมวาจาจารย์ เมื่ออุปสมบทปีแรก พระอุปัชฌาย์ และ พระอาจารย์ผู้อุปการะคือ หลวงพ่อวัง ได้ร้องขอและส่งให้ไปอยู่กับพระสหายของท่าน คือ เจ้ายอดแก้ว บุญทัน บุปผรัตน์ ธมมญาโณ ที่วัดสุวรรณารามราชมหาวิหาร นครหลวงพระบาง ราชอาณาจักรลาว ซึ่งต่อมา เจ้าบุญทัน บุปผรัตน์ ได้เลื่อนสมณศักดิ์ขึ้นเป็น สมเด็จพระสังฆราช แห่งราชอาณาจักรลาว ต่อมากรุงเวียงจันทน์แตกใน พ.ศ. ๒๕๑๘ พระองค์ได้เสด็จลี้ภัยเข้ามาอยู่ในประเทศไทย และสิ้นพระชนม์ใน พ.ศ. ๒๕๒๘ ส่วน หลวงปูโง่น โสรโยในขณะนั้นเป็นพระนวกะ ได้เรียนนักธรรมและบาลีแบบลาว ซึ่งเจ้ายอดแก้ว บุญทัน ทรงรักใคร่โปรดปรานมาก เพราะดั้งเดิมเป็นสายญาติกัน และใช้งานได้คล่อง พูดไทยได้เก่ง เว้าลาวได้ดี ภาษาอังกฤษ และฝรั่งเศสก็อาศัยได้ เพราะในระยะนั้นประเทศลาว ยังเป็นอาณานิคม เมืองขึ้นของฝรั่งเศส ท่านจึงต้องการให้พระภิกษุที่เข้ากับชาวต่างชาติรู้เรื่อง อยู่ด้วย เมื่อเวลาว่างท่านให้เข้าป่าเพื่อแสวงหาต้นไม้ที่เป็นยาสมุนไพร เพราะพระองค์ท่านทรงสนใจรับรู้ในเรื่องยาสมุนไพรมาก ตอนเข้าไปในป่าถึงเขตทุ่งไหหิน โดนทหารลาวและทหารฝรั่งจับในข้อหาเป็นจารชนจากเมืองไทยไปสืบความลับ ถูกขังคุกขี้ไก่ ๓๐ วัน พร้อมพระลาว ๒ รูป กับเด็กอีก ๑ คน เด็กคนนั้น คือ เจ้าสิงคำ ซึ่งต่อมาก็คือ ท่านมหาสิงคำ ผู้ทำงานช่วยพวกลาวอพยพร่วมกับสหประชาชาติ อยู่ที่วัดยานนาวา กรุงเทพฯ ท่านจึงไปมาหาสู่บ่อย เพื่อขอความช่วยเหลือให้พี่น้องชาวลาว หลวงปู่โง่นก็ได้ช่วยเหลือทุกอย่างเท่าที่ความสามารถจะมี เรื่องการติดคุกขี้ไก่อยู่เมืองทุ่งไหหินนั้นสนุกมาก เขาเอาไก่ไว้ข้างบน คนและพระอยู่ข้างล่าง ไก่ขี้ใส่หัวตลอดเวลา เหม็นก็เหม็น ทรมานก็ทรมาน สนุกก็สนุก ได้ศึกษาธรรมไปในตัว ความทราบถึงเจ้ายอดแก้ว พุทธชิโนรสสกลมหาสังฆปาโมกข์ ท่านได้ร้องขอให้ปล่อยตัว แต่ทหารปล่อยเฉพาะพระลาว ๒ รูป กับเด็ก ๑ คน ส่วนหลวงปู่โง่นเขาไม่ปล่อย เพราะเข้าใจว่าเป็นคนไทย ด้วยเหตุที่พูดไทยได้เก่ง ทั้งนี้ ขณะนั้นเป็นช่วงระหว่างสงครามอินโดจีน ฝรั่งยุให้คนไทยกับคนลาวเป็นศัตรูกัน เห็นคนไทยก็จับขังหรือฆ่าทิ้งเสีย จึงมารู้ตัวเข้าคราวหลังว่า เรามันคนปากเสีย ปากพาเข้าคุก เพราะพูดภาษาไทย ภายหลังสมเด็จพระสังฆราชลาว ท่านออกใบสุทธิให้ใหม่ โอนเป็นพระลาวเป็นคนลาวไป เขาจึงปล่อยตัวออกมา แต่ก็ยังไม่พ้นสายตาของพวกนักสืบอยู่นั่นเอง จึงกราบทูลลาผู้มีพระคุณ หาทางมุ่งกลับเมืองไทย แต่ไม่รู้จะมาอย่างไร จึงตัดสินใจไปพบคนที่รู้จักรักใคร่คือ ท้าวโง่น ชนะนิกรซึ่งเป็นข้าราชการลาวอยู่ในระยะนั้น ทั้งสองฝั่งแม่น้ำโขง มีแต่หลุมหลบภัยและเสียงปืน ที่พี่ไทยกับน้องลาวยิงกันไม่ขาดระยะ ต้องธุดงค์ปลอมแปลงตัว เดินเลียบชายฝั่งแม่น้ำโขงลงมาทางใต้ ถึงใกล้เมืองท่าแขก ได้รับความช่วยเหลือจากพระลาวที่รู้จักกัน คือ ครูบาน้อย หาทางให้ได้เกาะเรือของชาวประมงข้ามฝั่งมาไทย พอถึงแผ่นดินไทยก็โดนร้อยตำรวจเอกเดช เดชประยุทธ์ และ ร้อยตำรวจโทแฝด วิชชุพันธ์ จับในข้อหาเป็นพระลาวหลบเข้ามาสืบราชการลับในราชอาณาจักรไทย ถูกจับเข้าห้องขัง ฐานจารชน อยู่ ๑๐ วัน ร้อนถึงพระพนมคณานุรักษ์ ซึ่งเป็นอดีตเจ้าเมือง ได้เจรจาให้หลุดรอดออกมา พอพ้นจากห้องขังมาได้ ก็เข้ากราบพระอุปัชฌาย์คือ ท่านเจ้าคุณสารภาณมุณี สั่งให้ไปศึกษาปฏิบัติธรรมพระกรรมฐานกับ พระอาจารย์วัง ที่ถ้ำไชยมงคล ภูลังกา และไปหา พระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของ พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ตอนเข้าพรรษา พระอุปัชฌาย์ให้มาจำพรรษาอยู่วัดอรัญญิกาวาส จังหวัดนครพนม เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๕ สอบได้นักธรรมตรี พ.ศ. ๒๔๘๖ สอบได้นักธรรมโท พ.ศ. ๒๔๘๗ สอบได้นักธรรมเอก ต่อมาหนีออกธุดงค์เข้าถ้ำ จำพรรษาที่ถ้ำบ้านยางงอย อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม กับอาจารย์สน อยู่ ๑ ปี พระอุปัชฌาย์รู้ข่าวเรียกตัวกลับ สั่งให้มาอยู่วัดอรัญญิกาวาส จังหวัดนครพนม โดยบังคับให้เป็นครูสอนนักธรรมโท อยู่วัดศรีเทพ ๒ ปี เพราะวัดทั้งสองอยู่ใกล้กัน ไปกลับได้สบาย ผลของการสอนได้ผลดีมาก นักเรียนสอบได้ยกชั้นทั้ง ๒ ปี พระอุปัชฌาย์ชมเชยมาก และปีต่อมาได้เปลี่ยนเป็นครูสอนนักธรรมเวลาเช้า ส่วนเวลาบ่าย หลวงปู่เป็นนักเรียนบาลีไวยากรณ์ ปี พ.ศ. ๒๔๙๑ สอบเปรียญธรรม ป.ธ.๓ แต่ต้องตกโดยปริยาย เพราะข้อสอบรั่วทั่วประเทศ จึงต้องสอบกันใหม่ เกิดความไม่พอใจในวิธีการเรียนแบบสกปรก จึงย้อนกลับไปพึ่งใบบุญของสมเด็จพระสังฆราชแห่งประเทศลาว และได้ตั้งใจเรียนแบบลาว สอบเทียบได้เปรียญ ๕โดยสมเด็จพระยอดแก้วสกลมหาปรินายก ออกใบประกาศนียบัตรให้ จากนั้นท่านสั่งให้ไปเรียนต่อที่ประเทศพม่า พอดีขณะนั้นพระภิกษุสงฆ์ในพม่าพากันเดินขบวนขับไล่รัฐบาลของอูนุ มีการจับพระชาวต่างชาติเข้าคุก หลวงปู่โง่นก็พลอยโดนด้วย แต่โชคดีที่พระมหานายกของพม่า คือ ท่านอภิธชะมหา อัตฐะคุรุ ได้ขอร้องและทำใบเดินทางให้เข้าประเทศอินเดีย เลยเข้าไปเมืองฤๅษีเกษ แคว้นแคชเมียร์ ไปฝึกฝนอบรมวิชาโยคะ ๑ ปี เมื่อมีเพื่อนนักโยคะชักชวนขึ้นไปเมืองยางเซะ และเมืองลาสะ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศธิเบต เพื่อศึกษาภูมิประเทศ และหลักการทางพระพุทธศาสนามหายาน หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 27 มีนาคม 2553 15:14:41 (http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-ngon/lp-ngon-pic-08-01.jpg) พ.ศ. ๒๔๙๔ กลับมาเมืองไทย ท่านเจ้าคุณรัชมงคลมุนี วัดสัมพันธวงศ์ ส่งให้ไปเป็นหัวหน้าก่อสร้างพระอุโบสถจตุรมุขหลังใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออก ที่วัดสารนาถธรรมาราม อำเภอแกลง จังหวัดระยอง อยู่ได้ ๕ ปี พระอุโบสถจวนเสร็จ ขออำลาหนีไปพักผ่อนชั่วคราว ไปพักอยู่กับญาติๆ ที่เมืองอังกานุย ประเทศนิวซีแลนด์ แล้วไปอยู่แคนเบอร่า ประเทศออสเตรเลีย อยู่แห่งละ ๑ ปี แล้วไปอาศัยอยู่กับญาติโยมเก่า ที่เขาเคยอุปการะอยู่ประเทศลาว ที่เมืองรียอง ประเทศฝรั่งเศส พ.ศ. ๒๔๙๘ กลับเมืองไทย ไปช่วยท่านมหาโฮม คือ เจ้าคุณราชมุนี วัดสระประทุม ที่ปากช่อง จากนั้นเดินธุดงค์เข้าป่าเข้าถ้ำหลายแห่ง คือ ถ้ำเชียงดาว อำเภอเชียงดาว ถ้ำตับเต่า อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ แล้วล่องใต้ไปอยู่ถ้ำจัง อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง ถ้ำขวัญเมือง อำเภอสวี จังหวัดชุมพร แล้วมาถ้ำมะเกลือ เหมืองปิล็อก จังหวัดกาญจนบุรี จากนั้นขึ้นถ้ำฤๅษี (ถ้ำมหาสมบัติ) ถ้ำเรไร จังหวัดเพชรบูรณ์ ในปี พ.ศ. ๒๕๐๒ หลวงพ่อแพร คือ ท่านเจ้าคุณเพชราจารย์ เจ้าคณะจังหวัดเพชรบูรณ์องค์ก่อน ได้นิมนต์มาสร้างโรงเรียนประชาบาล วัดท่าข้าม และสร้างพระประธานใหญ่ ไว้ที่เขตอำเภอชนแดน แล้วท่านร้องขอให้ไปอยู่แคมป์สน เขตอำเภอหล่มสัก อยู่ได้ปีเดียว ท่านเจ้าคุณวิมลญาณเวที วัดมงคลทับคล้อ ซึ่งเป็นเครือญาติกันมาก่อน ขอให้มาสร้างฌาปนสถาน และบูรณะศาลาการเปรียญวัดมงคลทับคล้อ พอเสร็จเรียบร้อย ท่านร้องขอให้มาช่วยเหลือประจำอยู่วัดพระพุทธบาทเขารวก เมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๐๗ เพราะเป็นแดนทุรกันดาร หน้าแล้ง จะขาดแคลนน้ำดื่ม น้ำใช้ ด้วยความเห็นชอบและเลื่อมใสของท่านเจ้าอาวาส ตลอดจนญาติโยม ได้ลงมือพัฒนาสถานที่นี้ให้ได้รับความสะดวกสบายขึ้นหลายอย่าง อาทิ ได้ขุดสระกักเก็บน้ำไว้ในบริเวณหมู่บ้าน เก็บน้ำให้ชาวบ้านไว้ใช้ตลอดปี สร้างถนนจากบ้านวังหลุมถึงเขารวก เป็นระยะทาง ๕.๕ กิโลเมตร และสร้างโรงเรียนประถมศึกษา เป็นอาคารชั้นเดียว ยาว ๕๐ เมตร มีห้องเรียน ๘ ห้อง อีกทั้งปั้นหล่อรูปสมเด็จพระปิยมหาราชไว้ที่หน้าเสาธง มีขนาด ๑ เท่าครึ่ง ตั้งอยู่ตลอดจนถึงทุกวันนี้ วันที่ ๒๓ ตุลาคม ของทุกปี จะให้มีพิธีถวายบังคมพระบรมรูป และแจกทุนการศึกษาแก่เด็กยากจนไม่น้อยกว่าปีละ ๑๐๐ ทุน ทุนละ ๑,๐๐๐ บาท ตลอดมาจนทุกวันนี้ หลวงปู่ได้แปรผันสังขารของท่านเมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๔๒ รวมสิริชนมายุได้ ๙๔ ปีเศษ นับว่ามีอายุมากในปัจจุบัน แต่สังขารของหลวงปู่ไม่แก่เฒ่าอย่างที่ทุกคนคิด เพราะท่านมีวิธีรักษาจิต เพื่อชะลอความแก่ไว้ด้วยธรรมสมบัติ มีธรรมสมบัติเป็นจิตใจ จึงเป็นใจที่สงบ อันใจที่สงบนั้น ย่อมไม่แก่ชราคร่ำคร่าดังพระพุทธภาษิต ว่า สตญฺจ ธมโม นชรํ อุเปติ ธรรมของผู้มีใจสงบนั้น ย่อมไม่เข้าถึงความแก่ชราคร่ำคร่า ก็คือการชะลอความแก่ไว้ด้วยธรรมสมบัตินั่นเอง คนส่วนมากมักปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามยถากรรม แต่หลวงปู่ท่านใช้ชีวิตของท่านเดินย้อนรอยกรรม โดยการนำตัวแฝงเข้ามาเป็นอุปกรณ์การเดินทางเพื่อย้อนรอยกรรม จึงทำให้ชีวประวัติของท่านโดดเด่น โลดโผน เป็นวรธรรมคติแก่ผู้ศึกษาและปฏิบัติได้เป็นอย่างดี อันปฏิปทาของหลวงปู่โง่น โสรโย นั้น ตรงกับคำว่า “ปะฐะ วิปปะภาโส” แปลว่า ผู้ยังพื้นปฐพีให้สว่างไสว เหมือนดวงอาทิตย์อุทัยที่เป็นดวงตาของโลก มีความชื่นชมยินดีเป็นที่รวมใจ มีรัศมีสีทองผ่องอำไพส่องโลกนี้ เป็นคาถาที่ปรากฏใน โมรปริตร์ ถ้าคิดถึงหลวงปู่ก็ให้เจริญมนต์บทนี้ จะได้รับความคุ้มครองจากธรรมสมบัติตามปฏิปทาบารมีของหลวงปู่โง่น โสรโย เหมือนท่านอยู่กับเราในฐานะตัวแฝง ตลอดไป (ข้อมูลจากหนังสือ พระราชทานเพลิงศพ) (:LOVE:) http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-ngon/lp-ngon-his-02.htm หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 27 มีนาคม 2553 15:46:16 (http://2.bp.blogspot.com/_3OAzmvxqsqg/TRnRvpIUiMI/AAAAAAAAbHM/zsumRq1i7xk/S1600-R/65832_171219109567288_165078720181327_422474_905672_n.jpg) (http://www.buddhapoem.com/images/wbques_1238561174/__KTaksinP-WPS38k.jpg) ขอบคุณ คุณหยางอี้เซิน สำหรับข้อมูลหนังสือ พระสุพรรณกัลยาจากตำนานสู่หน้าประวัติศาสตร์ ที่กรุณานำมาแบ่งปันนะคะ อนุโมทนาค่ะ... (http://t1.gstatic.com/images?q=tbn:XMFpLzxfA60LHM:http://img120.imageshack.us/img120/4140/38432743yq5.jpg) หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 28 มีนาคม 2553 16:56:33 (http://images.palungjit.com/attachments/19771-พระนาง-สุพรรณกัลยา-cover12-jpg) พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา โดย หลวงปู่โง่น โสรโย วัดพระพุทธบาทเขารวก อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร (พ.ศ. ๒๕๔๑) อันเรื่องราวที่กล่าวถึง พระประวัติของ พระนางสุพรรณกัลยา ที่จะบรรยายต่อไปนี้ เป็นเรื่องข้าพเจ้าได้สัมผัส มาจากทางฝันโดยบังเอิญ และจากเกร็ดพงศาวดารที่คนต่างชาติ คือ พม่าเขาเขียนเอาไว้ก็ไม่มากนัก น้ำหนักก็อยู่ที่เรื่อง พระนางเลี้ยงน้อง และปกครองคนไทย เอาใจใส่พวกชาติเดียวกันเท่านั้น ท่านผู้อ่าน ท่านผู้ฟัง ถ้าท่านไม่ทำใจให้เปิดกว้างพอ พอที่จะรับฟังเหตุผล ก็คงจะนึกว่าเรื่องนี้มันเป็น impossible หรือ unbelievable นี่หว่า แต่เรื่องนี้มันก็เป็นไปแล้ว และก็น่าเชื่อถือ เพราะหลักฐานที่เป็นรูปธรรม และนามธรรม ก็ได้มาปรากฏ ดังที่จะได้กล่าวต่อไป เมื่อปี พ.ศ. 2490 ประเทศสหภาพพม่า ได้รับการปลดปล่อย จากการเป็นเมืองขึ้น ของมหาอำนาจตะวันตก เขายกพม่าให้ปกครองตัวเอง เป็นเอกราช ข้าพเจ้าได้ถูกเชิญ (ถูกนิมนต์) จาก ท่านมหาปีตะโก ภิกษุ ท่านเป็นพระมหาเถระ ที่คงแก่เรียนทางธรรม ท่านเรียนจบพระไตรปิฏก ทางโลก ท่านจบมหาบัณฑิต สาขา Philosophy จากอ๊อกฟอร์ด ลอนดอน ในสมัยที่เราอยู่ร่วมกัน ที่ประเทศอังกฤษ บ้านเกิดเมืองนอนของท่าน อยู่ที่เมืองหงสาวดีคือ เมืองพะโค อยู่ทางทิศเหนือของกรุงแรงกุน (เมืองย่างกุ้ง) ท่านได้นิมนต์ ให้ข้าพเจ้าไปช่วยงาน ด้านปติมากรรม คือเป็นช่างเขียนฝาผนัง ซ่อมแซมรูปลายฝาผนังที่ชำรุดให้ดีขึ้น อันการปรารภเรื่องติดต่อกันในต่างประเทศ ข้าพเจ้าเองก็แบ่งรับแบ่งสู้ อย่างไรก็ขอให้ได้กลับเมืองไทยก่อน หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 28 มีนาคม 2553 16:57:56 พอมาถึงเมืองไทย ได้รับความดลใจ ในคำสั่งของตุ๊เจ้าครูบาศรีวิชัยในทางฝัน จึงได้ออกเดินทางไป ดังที่จะกล่าวไว้ในตอนตามรอยกรรม ในระยะที่ข้าพเจ้าไปอยู่นั้น ก็เกิดเรื่อง ที่พระภิกษุสงฆ์ในประเทศพม่า ซึ่งประกาศไม่พอใจ ในนโยบายของรัฐบาล เกี่ยวเรื่องสมณศักดิ์ คือเขาจะยกฐานะให้พระสงฆ์พม่า มีสมณศักดิ์เหมือนพระสงฆ์ไทย พระสงฆ์ทั่วประเทศไม่พอใจ ในเรื่องลาภยศ จึงก่อเหตุเดินขบวนต่อต้าน รัฐจึงจำเป็นต้องยกธงขาวยอมแพ้ อนุโลมตามความต้องการ ของพระสงฆ์ทุกอย่างเรื่องก็จบ เท่าที่ข้าพเจ้าได้เคยเห็นมา ก็มีพระสงฆ์อยู่สองประเทศ คือ พระสงฆ์พม่า และศรีลังกา พระคุณท่านมีอำนาจในทางการเมือง เล่นการเมืองได้ สมัครเป็นผู้แทนได้ เข้าไปนั่งประชุมในสภาได้ เพราะพระคุณท่านไม่ยี่หระ ที่จะยอมรับเงินรับสินบน ค่าเงินเดือน เป็นค่าจ้าง เป็นพระลูกจ้าง อันเป็นค่านิยพัต ค่าตาลปัตพัดยศจากรัฐ ซึ่งถือว่าเป็นลูกจ้างจากทางรัฐ เขาไม่ยี่หระเหมือนพระสงฆ์ไทย อันเรื่องที่พระหม่องเดินขบวน ก็จบลงไปแล้ว แต่ข้าพเจ้าสิ โดนข้อกล่าวหาอย่างหนักว่า ความวุ่นวาย ของพระสงฆ์เมียนม่าที่ผ่านมานั้น มีข้าพเจ้าอยู่เบื้องหลัง เพราะข้าพเจ้าไปเดินกับเขาด้วย และเป็นนายทุนสนับสนุน ในเรื่องค่าอาหาร ค่าใช้จ่ายทุกอย่าง เราใช้ทรัพย์ส่วนตัวไปราวห้าหมื่น แต่ก็ยังโชคดีที่ระยะนั้น มหาอำนาจตะวันตก ผู้ปกครองเขายังไม่ว่า อันเรื่องพระสงฆ์องค์เจ้า อังกฤษเขาไม่เอามายุ่งด้วย และผู้หลักผู้ใหญ่ของอังกฤษ ก็รู้จักกับเราดี หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 28 มีนาคม 2553 16:59:42 เขาจึงเพียงกักสถานที่ ให้เราอยู่ในบริเวณ ของกระท่อมของเรานั้นเอง ซึ่งก็มีเพื่อนรักคือ อ้ายเจ้าเก่ง ภาษาพม่าเขาเรียกสุนัขว่า คย คย ข้าพเจ้าก็ได้ถูกเรียกเป็น พ๊งจีคย คำว่าพระภิกษุภาษาพม่าเขาเรียกว่า พ๊งจี จึงเป็นพ๊งจีคยมาตลอด เพราะมีสุนัขเป็นเพื่อน เขากักขังบริเวณ ไว้สอบสวน 15 วัน และอาศัยพระสงฆ์ คือพ๊งจีของพม่าช่วยไว้ ชีวิตหนอชีวิต อันการตกเป็นผู้ต้องหาทางการเมืองนั้น ในชีวิตการบวชของข้าพเจ้า ได้ประสบมาแล้วหลายครั้ง และครั้งนี้เป็นครั้งที่สี่แล้ว จึงไม่วิตกกังวลอะไรเป็นไรเป็นกัน ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2482 ถูกทหารลาวจับ อยู่เวียงจันทร์เมืองหลวงของลาว เขาจับในข้อหาว่า ข้าพเจ้าเป็นพระสงฆ์ไทย เข้าไปสืบความลับทางราชการ เป็นแนวที่ห้ามาจากเมืองไทย มันถามเป็นภาษาไทยว่า ท่านเป็นคนไทยหรือ ตอบมันว่าใช่ อาตมาเป็นพระสงฆ์ไทย เกิดเมืองไทย เป็นคนไทย เพราะระยะนั้น สมัยนั้นสงครามมหาเอเซียบูรพากำลังก่อตัวขึ้น อ้ายลาวไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น มันจับขังใส่คุกขี้ไก่ไว้สิบห้าวัน (มันแท้ๆ) คุกขี้ไก่คือไก่อยู่ข้างบน คนอยู่ข้างล่าง แต่ก็ยังโชคดีที่ระยะนั้น รัฐบาลไทย ได้ประกาศตัวเป็นกลาง ไม่ขึ้นกับฝ่ายใด ไม่เป็นศัตรูกับใคร เขาจึงปล่อยออกมา เมื่อข้ามมาฝั่งไทย ตำรวจไทยเห็นเข้า ถามเป็นภาษาลาวว่า (เจ้าหัวมาแต่ไส) ตอบมันว่า อาตมามาแต่ฝั่งซ้าย สำเนียงลาวแท้ๆ เขาเข้าใจว่าเป็นพระลาว มาสืบความลับจับเข้าอีก ขังไว้โรงพักสองวัน แก้ตัวออกมาได้ เพราะเรามีหลักฐาน ทางหนังสือสุทธิ หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 28 มีนาคม 2553 17:01:26 และต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2486 สงครามเอเซียบูรพาสงบ ทหารไทยได้ตีเมืองพระตะบอง เสียมราช ศรีโสภณ กำปงโสม ของเขมร คณะสงฆ์ไทย จะเข้าไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ในประเทศเขมร สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ติสโส (อ้วน) ท่านเป็นมหาสังฆนายกองค์แรก ในสมัยนั้น ท่านให้ข้าพเจ้าไปด้วย เพราะเป็นคนที่พูดภาษาเขมร และภาษาฝรั่งเศสได้ เพราะ เขมรเคยเป็นเมืองขึ้น ของฝรั่งเศสมาก่อน เมื่อขบวนท่านเสด็จกลับ ข้าพเจ้ายังไม่กลับ เพราะมีธุระหลายอย่าง คือ ต้องการเรียนภาษาเขมรให้แตกฉาน จึงเดินทาง เข้าไปเมืองพนมเปญ โดนทหารเขมรจับเข้าอีก ตั้งข้อหาว่า ข้าพเจ้าเป็นตัวการ ที่นำทหารไทยไปตีเอาบ้านเอาเมืองของมัน แก้ตัวออกมาได้เพราะ อาศัยบารมีของ เจ้าพระคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ และหลังจากนั้นมาอีกหกปี คือปี พ.ศ. 2490 โดนอ้ายหม่องพม่าจับเข้าอีก ครั้งนี้เป็นครั้งที่สี่แล้ว จึงไม่วิตกกังวล ไม่สะทกสะท้าน ในเหตุการณ์แม้แต่น้อย เพราะเรื่องอย่างนี้ เคยโดนมาครั้งแล้วครั้งเล่า อันการติดคุกขี้ไก่ในประเทศลาวนั้น เท่าที่สืบดูในจำนวน พระสงฆ์ไทยก็มีอยู่สองท่าน คือตัวข้าพเจ้าเองติดก่อน ติดอยู่ถึง 15 วัน ท่านที่สองคือ พระอาจารย์สมชาย วัดเขาสุกิม แต่ท่านสมชายติดทีหลัง ติดกี่วันไม่ได้ถามท่าน ติดเรื่องเดียวกัน ที่เขาถือว่าเป็นแนวที่ห้า แต่คนละวาระคนละแห่ง ทุกครั้งที่ถูกจับกุมคุมขังนั้น เราไปช่วยเขา เราไปทำประโยชน์ให้เขา เราขนเอาเงินทองของส่วนตัวทั้งนั้น ไปช่วยเขาไปให้เขา พอเรามีเรื่องขึ้นมาจะหาใครๆ ช่วยเหลือไม่มีเลย นี้แหละหนา สัจจะธรรมกรรมแท้ๆ จึงได้คิดเป็นโคลงกลอนสอนใจตัวเองว่า (เมื่อมั่งมี ผีผอม ตอมกันแดก เมื่อโลงแตก ผีอ้วนชวนกันหนี เมื่อมั่งมีมากมาย มิตรหมายมอง เมื่อมัวหมอง มิตรมองเหมือนหมูหมา เมื่อไม่มี มวลมิตรไม่มองมา เมื่อมอดม้วย แม้หมูหมาไม่มามอง) จะมีก็แต่เจ้าเก่งที่แสนรู้คู่บุญ ที่ติดตามมาเท่านั้นเอง ที่ไม่ยอมห่าง มันนอนขวางทาง ทำท่าตาเขม็งเบ่งใส่ คนที่มันไม่ใว้ใจทุกคน จนพวกพม่ามันเรียกข้าพเจ้าว่า พ๊งจีคย (พระหมา) จึงได้ความคิดติดใจมาตลอดว่าเลี้ยงหมาดีกว่าเลี้ยงคน หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 28 มีนาคม 2553 17:02:18 อันสถานที่ที่เขาให้อยู่ และกักบริเวณ เขาก็ให้อยู่ในสถานที่เดิม คือกระท่อมที่เขาจัดสร้างให้เอง แต่ก็อากาศดี มีสถานที่อยู่กว้างขวาง ไม่ได้ถูกผูกมัดพันธนาการอะไร มันให้อยู่ในบริเวณขอบเขต ที่มันกำหนดให้ เราก็สบาย ทุกๆ วันมันก็ให้ เจ้าหน้าที่บ้านเมืองมาสอบ สอบแล้วสอบอีก เราทำเป็นไม่ยอมพูดกับมัน เพราะมันจะบีบคั้นเอาแต่เงิน เงินลูกเดียว ถ้าเราไม่ให้มัน มันจะปล่อยให้อดข้าวตาย ก็จะเอาอะไรมาให้ มันยึดเอาไปหมดแล้ว และยังจะมาบีบเอาอะไรอีก บ้าจริงๆ เสร็จแล้วมันก็หายไป วันหลังก็เปลี่ยนคนใหม่มาเฝ้า มาสังเกตุการณ์ ตอนนี้เอง ข้าพเจ้าจึงมาถามตัวเองว่า เอาอย่างไรกันดี เราจะหันหน้าไปพึ่งใครไม่ได้อีกแล้ว (คนหนอคน) ยามอับจนคนเคียดแค้นชิงชัง ยามมั่งคั่ง คนประดังนอบน้อม ชีวิตหนอชีวิตคิดดูเถิด ตั้งแต่เกิดถึงตายกลายเป็นผี จะประสบทั้งซวยโชคโศกโศกี ตามวิถีของบุญกรรมที่ทำมา จึงได้ปรัชญาของชีวิตว่า (อันชีวิตที่ไม่เคยเจอกับความทุกข์ เป็นชีวิตที่โง่) ความโง่คือ ความที่จิตติดอยู่กับสุข ที่ติดยึดอยู่กับสุข ที่เป็นโลกียะ ผู้ฉลาดย่อมนำเอาความทุกข์ ที่ประสบมาเป็นบทเรียน ในบทปฐมเทศนา ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงสอนให้รู้จักทุกข์ ทุกข์มันเป็นผลของสมุทัย คือความสมมุติของคน ความสมมุติสังคมของโลก จึงมาพบกับหลักสัจจะธรรมข้อหนึ่งว่า ในขณะที่ชีวิตประสบ กับภาวะที่วิกฤตอย่างรุนแรงนั้น ชีวิตจะมีความเข้มแข็งขึ้น อีกหลายเท่าตัว ดังนั้นข้าพเจ้า จึงได้สอนตัวเองว่า เราจงสร้างจิตตานุภาพไว้ให้มากๆ เพราะจิตตานุภาพที่เราสร้างไว้นั้น จะช่วยเหลือเราได้ในยามยาก ชีวิตที่ไม่มีการต่อสู้ เป็นชีวิตที่อ่อนแอ บุคคลที่ไม่เคยมีศัตรู จะเป็นคนเข้มแข็งได้ยาก เหล็กที่ผ่านการตี การทุบ ทุบจนแท่งเหล็กเป็นมีดเป็นพร้าขึ้นมา แล้วผ่านน้ำผ่านไฟมาแล้ว จึงกลายเป็นเหล็กแข็ง และเหนียวใช้การได้ดี ชีวิตเราก็เหมือนกัน ถ้าชีวิตใดที่ผ่านความสมบุก สัมบัน ผ่านความทุกข์ความลำเค็ญ ผ่านเย็นร้อนอ่อนแข็งมาแล้ว เป็นชีวิตที่มีบทเรียนมามาก มีความรู้มาก อันความรู้ มันมีอยู่สองอย่างคือ ความรู้จำ กับความรู้จริง อันความรู้จำนั้น เกิดขึ้นจากการเรียน เรียนจากครู จากตำรา รู้มาเรียนมาไม่ถึงใจ เพราะไม่รู้ว่า รสชาติธาตุแท้ของชีวิตนั้น มันเป็นอย่างไร แต่ความรู้จริงนั้น คือรู้จากประสบการณ์ ที่เกิดจากชีวิตจริงของเราเอง มันมีรสชาติธาตุแท้แห่งความทรงจำ ไปอีกนานเท่า นานเชียวล่ะ และเป็นรากฐาน ในการที่จะได้ปรับปรุงวิถีชีวิตของตนเอง ให้เข้มแข็งขึ้นอีก หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 28 มีนาคม 2553 17:03:38 อันการที่ข้าพเจ้า ถูกอ้ายหม่องเล่นงานคราวนั้น มันเป็นผลดีที่ทำให้ข้าพเจ้า ได้เข้าถึงและเข้าใจ ในชีวิตของตัวเองอย่างถ่องแท้ วิธีแก้ของเราก็คือ สอนและเตือนตัวเองว่า ผู้ฉลาด มีปัญญา ย่อมไม่สร้างความทุกข์ให้แก่ใจ ในสิ่งที่สุดทางแก้ จึงตั้งอธิษฐานจิต ทำความเพียรทางจิต แบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ตายเป็นตาย จิตวิญญาณหลังตาย สบายกว่ามีชีวิตอยู่ จะอยู่ไปทำไม ตายดีกว่าจะได้สบาย จึงค้นคิดว่าความตายคืออะไร แล้วตอบเองว่าความตายคือ การหมดความรู้สึกนึกคิด ชีวิตอินทรีย์ขาดจากกัน หัวใจหยุดเต้น มันสมองหยุดสั่งงาน จิตวิญญาณออกจากร่าง อยู่ที่ความว่างเปล่า สักครู่จิตวิญญาณก็ลอยละล่องไปสู่ภพใหม่ นั่นแหละคือความตายที่รู้กันทั่วไป จึงสนใจขึ้นมาว่า อันภาวะเช่นนั้น มันเป็นอย่างไรกันแน่ จึงอยากตั้งหน้าฝึกจิต ฝึกใจให้รู้จักวิธีตายก่อนตาย อันภาวะของความตายนั้น ตามหลักของกายวิภาควิทยาว่า หัวใจหยุดเต้น ลมหายใจไม่มีคือตาย แต่เราจะยังไม่ตายอย่างนั้น เราไม่ต้องไปยุ่งกับมัน มันจะเต้นหรือไม่เต้น ก็เป็นเรื่องของมัน เรามาจับจดอยู่ที่ลมหายใจดีกว่า เที่ยวทัวร์ทางลม เอาลมเป็นไกด์ ลมหายใจเข้า หายใจออกนี้เอง เป็นเครื่องจูงจิต เอาความวิกฤตของชีวิต ที่กำลังประสบอยู่ มาเป็นผู้สอน สอนว่า ตาย ตาย ตาย ลมหายใจเข้าก็ว่าตาย ลมออกก็ว่าตาย เป็นอุบายสกดจิตตัวเอง ให้เข้าสู่สภาวะแห่งความหลับ (หลับทางจิต) จับเอาตัวนิมิต คือตัวฝันนั่นเอง มาสร้างเป็นตัวแฝง พลังแฝงขึ้นตามคำแนะนำ ของพระผู้เฒ่าหลวงปู่โลกอุดร สอนให้สมัยที่ถูกฝังตัวอยู่ในหิมะ เพราะมันถล่มมาทับ ที่ภูเขาหิมาลัยโน้น ท่านสอนเตือนว่า ตัวเรามันมีอยู่ 3 ตัวคือ ตัวจริง ตัวเป็น และ ตัวแฝง ทั้งสองตัวแรกนั้น อย่ายึดมั่นในมัน รีบสละละทิ้งให้หมด กำหนดเอาตัวแฝง คือตัวพลังภายในจิตใจเท่านั้น เพราะตัวจริงยิ่งใช้ยิ่งโทรม ส่วนตัวเป็นยิ่งใช้ยิ่งยุ่งยิ่งทุกข์ แต่ตัวแฝง พลังแฝงนั้นยิ่งใช้ยิ่งดี มีพลังจะกำบังความทุกข์ ให้เกิดความปิติสุขที่ใจ เราจำคำสอนของท่านคำนี้ไว้แล้ว เอาสติเป็นนายเวร คอยจ้องดูลมเข้าลมออก อย่างไม่ลดละ ทีแรกจะรู้สึกว่า อันเจ้าลมที่เข้าๆ ออกๆ นั้นมันหยาบ แล้วมันจะค่อยละเอียดลงๆ แผ่วเบาลง ละเอียดลงๆ จนเกิดความรู้สึกว่าไม่มีอะไร ไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว ดวงจิตมันจะผ่องแผ้วสงบเย็น ในดวงจิตมันจะเข้าสู่มิติหนึ่ง อีกโลกหนี่งเป็นสภาวะที่มีความสงบที่สุด ที่เรียกว่าปิติ ความสุขทางใจละเอียดที่สุด อันสภาวะอย่างนี้ ไม่สามารถที่จะสรรหาภาษามนุษย์ มาอธิบายให้คนอื่นเข้าใจได้เลย มันเป็นภาษาของจิตวิญญาณ ภาษาของโลกทิพย์ แบบรู้เองเห็นเอง เป็นปัจจัตตัง รู้เฉพาะตนเท่านั้น อันการที่ถูกเจ้าหม่องเล่นงาน อย่างสาหัสสากรรจ์ แบบข้าวไม่ให้ฉัน น้ำไม่ให้ดื่ม ในครั้งกระนั้นเอง ที่ทำให้ข้าพเจ้า ต้องตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว ก็จะสมัครเข้าสำมะโนครัว ร่วมเป็นสมาชิกของยมบาล โดยไม่คาดฝัน นึกภาวนาเสมอ ทุกลมหายใจเข้าออกว่า ตาย ตาย อันกลอุบายนี้เอง ที่ทำให้ข้าพเจ้าได้ไต่เต้า เข้าถึงกระแสวิญญาณ ของพวกโอปาติกะตลอดลอดได้ ลอดเข้าถึงด่านของทวยเทพเทวา คือ พระวิญญาณของพระสุพรรณกัลยา ตลอดได้สัมผัสกับสรรพวิญญาณต่างๆ ดังที่จะพรรณาต่อไป การทำความเพียรทางใจคราวนี้ เราเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ตายเป็นตาย ข้าวไม่กิน น้ำไม่ดื่ม ก็จะฉันจะดื่มได้อย่างไร เพราะไม่มีจะดื่มจะฉัน อันหนทางที่เราจะเข้าสู่โลกวิญญาณนั้น เรากรุยไว้แล้ว รู้แล้วว่าต้องไปทางไหน ที่รู้ทางใจ ดังในระยะที่กล่าวไว้นั่นเอง ก็คือไปกับลม เที่ยวโลกวิญญาณด้วยลม หายใจให้สติคือผู้รู้ รู้ตัว จ้องลมที่เข้าๆ ออกๆ เมื่อมันละเอียดเข้าจริงๆ มันก็หลุดเข้าไปสู่สภาวะอันโล่งแจ้ง เห็นเป็นแสงสว่าง เหมือนแก้วลูกโต โตเอามากๆ แล้วลูกแก้วนั้นก็เล็กลงๆ เล็กลง แล้วโตขึ้นๆ อีก เห็นเป็นแสงสว่างจ้า เหมือนแก้วลูกโตๆ โตเอามากๆ แล้วลูกแก้วนั้นก็เล็กลงๆ เล็กลงแล้วก็โตขึ้นๆ อีก เป็นอย่างนี้อยู่หลายครั้ง แล้วเจ้าลูกแก้วนั้นก็ลอยเข้ามา ลอยเข้ามา มาอยู่ใกล้ๆ เฉพาะหน้า แล้วก็มาห่อหุ้มเอาตัวเราไว้ อันลูกแก้วนั้นเรามีเอาไว้แล้ว ถือติดตัวไปเพื่อเพ่งกสิณ เพื่อจูงใจไปไหนเอาไปด้วย เดี๋ยวนี้ก็ยังใช้มันอยู่ ลูกแก้วลูกนี้ เราได้มาแต่ประเทศยูโกสลาเวีย ขอซื้อจากหมอดูทางลูกแก้ว และเราก็ได้เห็นอะไรๆ หลายๆ เรื่องกับลูกแก้วลูกนี้เอง ในขณะที่เข้าไปอยู่ในลูกแก้ว เป็นเกราะหุ้มไว้ ตัวเราอยู่ข้างใน แล้วมองออกไปข้างนอก จะเห็นฉากต่างๆ อะไรสลับซับซ้อน และเห็นทิวทัศน์ที่สวยงาม บางฉากก็เห็นปราสาทราชมณเฑียรมีวัดเวียงวัง เจดีย์วิหารดูตระการตาน่าชม และบางฉาก ก็เห็นฝูงชนจำนวนมาก เดินไปมาขวักไขว่ ในจำนวนผู้คนเหล่านั้น ทุกคนรู้สึกว่า เขาจะมีแต่ความสุขสันต์กัน เพราะแต่ละคน มีแต่ความยิ้มความแย้ม หรรษาร่าเริงเบิกบาน มีหน้าตาสวยงาม ผิวพรรณผุดผ่องยิ้มย่อง ประดับประดาด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์หลากสี สวยสดงดงามมาก ... หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 28 มีนาคม 2553 17:06:26 (http://www.paifahtaledao.com/wp-content/uploads/2009/11/spd_20070902194943_b.jpg) สัมผัสทางวิญญาณกับพระสุพรรณกัลยา ในทันใดนั้นเอง สายตาทางจิตวิญญาณของเรา ก็มองเห็นหญิงสาวพราวเสน่ห์ ท่านหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ๆ ท่านยิ้มให้ ยิ้มแล้วยิ้มอีก แล้วเอ่ยปากว่า ท่านขาท่านชื่อโสรโย ที่เป็นพระสงฆ์ หลงมาจากเมืองสยามไทยใช่ไหม ถ้าใช่ท่านไม่ต้องร้อนใจ ฉันก็เป็นคนไทย เช่นเดียวกับท่าน ฉันจะหาทางช่วยท่านให้พ้นภัย เพราะท่านเคยอยู่กับฉันมาแต่ก่อน เราเคยมีบุญคุณต่อกันมานานแล้ว ท่านเคยช่วยเหลือ ดูแลฉันมาตลอด เพราะท่านเป็นผู้ใหญ่ในคณะเรา เราได้พึ่งพาอาศัยท่าน เวลาจะถูกเขารังแก ท่านต้องมาขัดขวางเอาไว้ ท่านหายไปไหนมา รีบมากับฉันเดี๋ยวนี้ ทันใดนั้นเอง ท่านก็นำพาข้าพเจ้าเข้าไปสู่อีกมิติหนึ่ง ซึ่งมีสภาวะที่สูงขึ้นไปกว่า ละเอียดกว่า ซึ่งเป็นมิติสถานเก่า ที่ซึ่งพวกเราจำนวนมาก ถูกพม่ากวาดต้อนไปเป็นเชลย เมื่อสมัย กรุงศรีอยุธยาแตกครั้งแรก แล้วสุภาพสตรีท่านนั้นก็บอกว่า ฉันเองชื่อสุพรรณกัลยา จำได้ไหม พวกเรามาด้วยกันจำนวนมาก ท่านก็ถูกเขากวาดต้อนมาด้วย เพราะท่านเก่งมีฝีมือเป็นนายช่าง เก่งทางสร้างอาคารบ้านเรือน ให้พวกเราอยู่ ในจำนวนหมู่ของเชลย และสร้างวัดเวียงวังให้พม่าด้วย แล้วท่านก็ชี้มือให้เราดู แล้วว่าโน่นแน่ะคือหมู่บ้านที่ท่านสร้าง ก็มองเห็นหมู่บ้าน ที่มีกาแลไว้บนหน้าจั่ว เป็นทิวแถว ทรงไทย เรียงรายกันอยู่อย่างมีระเบียบ ท่านบอกว่า ยังมีอีกหลายที่ยังสร้างไม่เสร็จ โน้นน่ะวัดที่ท่านสร้างให้เขา ก็ยังไม่เสร็จอีก ท่านจึงต้องมาทำต่อในคราวนี้ เมื่อวานนี้ท่านหายไปไหน มีใครเขาบอกว่า ท่านกลับไปช่วยพระยาตาก กู้เมืองกรุงศรีอยุธยาใช่ไหม เมื่อกลับมาวันนี้ แต่งตัวเป็นนักบวชเสียแล้ว คงจะหาวิธีหนีเอาตัวรอดละซี หนีไปทำไม ไม่คิดถึงพวกฉันหรือ เราทุกข์ยาก พลัดพรากจากบ้านเมืองมาด้วยกัน ทุกข์ด้วยกัน สุขด้วยกัน มากินข้าวกันเถอะ หลังจากนั้น สุภาพสตรีท่านนั้น ก็จัดอาหารหวานคาว และท่านก็นั่งกินด้วย เราได้เห็นผู้คนที่รู้จักมักคุ้นกัน จำนวนมากเข้ามาหา มาถามข่าว และพูดจาล้อเลียน กระเซ้าเย้าหยอกกัน อย่างสนุกสนาน ดูแล้วแต่ละคน เขาแสดงความเคารพนับถือ ในท่านสุภาพสตรี คนที่นั่งกินข้าวอยู่กับเรามาก ท่านออกปากพูดว่า ฉันได้ส่งข่าว ไปทางเมืองสยามไทยแล้ว ให้เขามาช่วยท่าน แล้วอีกไม่นาน ท่านก็จะพ้นภัย หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 28 มีนาคม 2553 17:10:26 ขณะนั้น ความรู้สึกตัวจากความหลับฝัน อันเป็นสมาธิน้อยๆ ที่เป็นตัวแฝงของเราก็ตื่นขึ้น รู้สึกตัว (ตื่นจากหลับฝัน) ฝันสนุกเสียด้วย เพราะเห็นคนสวยๆ มาปลอบใจ แล้วจะไม่ให้สุขได้อย่างไรว๊า แล้วก็ลุกขึ้นเดิน เดินจงกรม กลับไปมานานพอสมควร เพื่อยืดเส้นยืดสาย หายใจให้เต็มปอด แล้วก็ได้ยิน เสียงคนข้างนอกพูดกันว่า พระนายช่างองค์นี้ ท่านเข้านั่งทำสมาธิได้หลายวันแล้ว นั่งตัวตรงแข็งทื่ออยู่กับที่ ไม่ยอมลุก ไม่กิน ไม่ถ่าย นึกว่าแข็งตายไปแล้ว โอ้ยอย่างพึ่งตายเลย ขี้เกียจทำศพ และจะเกิดเรื่องยุ่งด้วย เพราะเป็นพระต่างชาติพลาดท่า รัฐบาลก็ยุ่งด้วยอีกดูๆ แล้วมิใช่คนที่จะตายแล้วสูญ เพราะเขามาเป็นนักวิชาการ เพราะท่านอภิธชะมหาอัตฐคุรุ ประมุขสงฆ์ของพม่า ก็นับถือเขาด้วย ไม่แน่จริง เขาคงไม่นิมนต์เข้ามาเมืองเรา จากนั้นเขาก็จัดหาอาหารมาให้ฉัน เราก็โบกมือปฏิเสธไม่รับไม่ฉัน จึงมานึกคิดหวนจิต กับไปในความฝันที่ผ่านมา เราไปเห็นสุภาพสตรีสาวสวยคนหนึ่ง ชื่อสุพรรณกัลยาที่บอกว่า เราเคยอยู่กับท่าน เราเคยช่วยท่าน เราเคยเป็นเชลย เราเคยเป็นนายช่าง สร้างบ้านให้เชลยอยู่ เราหายหน้าไปช่วยพระเจ้าตากกู้เมือง เมื่อวานนี้ และเราได้เห็น ได้คุยกับสุภาพสตรี ชื่อสุพรรณกัลยา แสดงความห่วงใยในเรามากๆ อยากทราบว่า สุภาพสตรีที่ชื่อสุพรรณกัลยา สุพรรณกัลยาคือใครกันแน่ และท่านบอกว่า เราหายไปเมื่อวันวาน ไปช่วยงานพระยาตากกู้เมือง อะไรกันแน่ อีกเช่นกันอันกาลเวลาของโลกมนุษย์ ห่างกับโลกวิญญาณนั้น ถึงสองร้อยกับสองปี คือกรุงศรีแตก แตกครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2112 แล้วมาเสียอีก ครั้งหลังเมื่อ พ.ศ. 2310 อันกาลเวลามันห่างกันเหลือเกิน คือห่างกันเท่ากับ หนึ่งร้อยปีต่อหนึ่งวัน แต่กาลเวลาของโลกวิญญาณนั้น มันห่างกันแค่สองวันเท่านั้นเอง คือเมื่อวานนี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราสนใจมาก อยากจะศึกษาทางโลกวิญญาณ ให้มันชัดเจนมากขึ้นไปอีก คือวันนั้นเอง เป็นคืนวันเพ็ญเดือน 12 ตรงกับวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2491 วันจันทร์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 เป็นวันลอยกระทงพอดี มีชาววัด ชาวบ้านละแวกนั้น เขามาจุดธูป จุดเทียนบูชาพระไว้ริมสระน้ำ ซึ่งไม่ห่างไกล จากที่เราอยู่ เรายึดเอาแสงสีของไฟ ที่ระยิบระยับกับผิวน้ำ ให้สะท้อนเข้ากับลูกแก้วอันศักดิ์สิทธิ์ของเรา มาเป็นอารมณ์ของจิต ติดอยู่ให้เป็นเตโช และวาโยกสิญ เป็นเครื่องจูงจิต ให้ติดอยู่ในอารมณ์เดียว เหนี่ยวเอาเรื่องราวที่ผ่านมา หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 28 มีนาคม 2553 17:12:40 เมื่อวันก่อนให้เกิดขึ้นในมโนทวาร ในกาลนั้นเอง ภาพลักษณ์ของพระนางสุพรรณกัลยา ก็มาปรากฏขึ้น ในมโนทวารอีกอย่างชัดเจน ท่านเป็นสุภาพสตรีที่เลอโฉม แต่งตัวด้วยชุดไหมสีทอง แพรวพราวด้วยอัญมณีที่ล้ำค่า แต่งตัวแบบสาวพม่าในยุคนั้น ใส่ผ้านุ่งสีทอง รัดเข็มขัด มีลูกปัดที่คอสองชั้น สวมเสื้อแขนยาวคอกว้างได้สัดส่วน ประทับยืน มือขวาค้ำสะเอว มือซ้ายหย่อนลง แล้วท่านกล่าวว่า พระคุณเจ้าจะพ้นภัยแล้ว แต่ท่านก็ต้องช่วยฉันเช่นกัน จะให้ท่านช่วยเรื่องอะไร เดี๋ยวจะบอกให้ เพราะฉันเองก็ถูกเขาเล่นงาน ถูกพันธนาการ ด้วยวิธีการทางไสยศาสตร์ ฉันเองชื่อสุพรรณกัลยา เป็นธิดาคนโตของ พระมหาธรรมราชา มีน้องชายสองคน คือเจ้าองค์ดำ และเจ้าองค์ขาว เป็นชาวสยามไทย ได้ถูกกวาดต้อนมา เมื่อกรุงศรีอยุธยาแตก มาเป็นเชลย อยู่ที่เมืองหงสาวดีนี้ ดังที่ท่านทราบมาก่อนแล้ว ท่านก็ถูกเขากวาดต้อนมาด้วย เขาเกณฑ์ท่านมาเป็นช่าง สร้างบ้านให้พวกเราอยู่กัน แต่ท่านเก่งทำอะไรเป็นทุกอย่าง ฉันไว้ใจท่าน เพราะท่านซื่อสัตย์ และกตัญญู ท่านช่วยดูแลฉันและน้องๆ ตลอดพวกพ้องที่เป็นเชลย ตลอดเวลา มาวันนี้ท่านแต่งตัวเป็นนักบวช คงจะมีมนต์ขลังดี ช่วยแก้ด้ายสายสิญจน์ ออกจากมือและขาให้ฉันด้วย หมอผีพม่ามันผูกเอาไว้ เพื่อกันฉันจะหนี ฉันจึงหนีไปไหนมาไหนไกลๆ ไม่ได้ มันจะเหนี่ยวกลับทันที ถ้าหนีได้ฉันจะไปกับท่าน แล้วข้าพเจ้าก็ดึงด้ายสายสิญจน์ ที่เขาทำด้วยแผ่นทองคำ ความยาวห้าคืบ กว้างหนึ่งนิ้ว ลงอักขระคาถา ขณะนี้ ข้าพเจ้ายังนำมาเก็บไว้ ออกจากแขนและขา ของท่านเจ้าหญิงด้วยการเสกคาถาดังๆ ว่า ตัสสะตัสสา คัจฉะคัจฉา อามุมหิโอกาเสติฏฐาหิ เป่าลงไปแรงๆ แล้วด้ายก็ขาดออก ปลิวหายไปเลยไม่มีอีกแล้ว เห็นท่านดีใจเอามากๆ สวมกอดข้าพเจ้าทันที (เรื่องนี้ถ้ามิใช่ฝัน หรือสัมผัสด้วยฝัน อาบัตคงกินตายแน่ๆ เพราะสาวสวยๆ อย่างนี้มากอด ใครเล่าจะทำใจได้ เพราะเราก็ยังมีกิเลสหนาอยู่นี่ แต่มันก็เป็นความฝันเท่านั้น จะเอาจริงเอาจังอะไรกับความฝันเล่า) อันชีวิตทุกชีวิต ก็คือความฝันเช่นกัน และจะเอาอะไรแน่นอนกับชีวิตเล่า ตายไปแล้ว ก็ตกอยู่ในภาวะแห่งความว่างเปล่าทั้งนั้น เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่างเดียว แก้ผ้ามาตอนเกิด เมื่อวันตายก็ต้องกลับสภาพเดิม ชีวิตหนอชีวิตคิดดูเถิด ตั้งแต่เกิดถึงตายกลายเป็นผี จะประสพพบโชคและโศกโศกี ตามวิถีของบุญกรรมที่ทำมา จงอย่าครวญโอดโทษใครในยามทุกข์ จงปลุกปลอบดวงใจให้แก่กล้า มิใช่พรหมินทร์อินทร์เซียน เขียนให้มา เรานี้นากระทำไว้ในตนเอง หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 28 มีนาคม 2553 17:13:56 เรื่องพระนางสุพรรณกัลยา เทพธิดาที่มองเห็นทางฝันนั้น ท่านบอกว่า ท่านขาท่านเก่งมาก ที่ท่านช่วยแก้เครื่องผูกมัดออกให้ฉัน ฉันจะได้เป็นอิสระเสียที ฉันจะไปอยู่กับท่านตลอดไป ท่านต้องการอะไรบอกฉัน เมื่อท่านจะไปไหนมาไหน หรือทำอะไรบอกฉันด้วย ฉันจะช่วยแบ่งเบา เท่าที่ความสามารถของฉันจะทำได้ และท่านก็จะพ้นภัยภายในเร็วๆ นี้ พอรู้สึกตัวขึ้นมาจากการหลับฝัน ความทรงจำที่ติดอยู่กับมโนทวาร ก็ยังกัองกังวาลอยู่ที่หูทั้งสองข้าง ของข้าพเจ้าว่า สุพรรณกัลยา สุพรรณกัลยา สุพรรณกัลยา อยู่ไม่ลืมเลือน แม้จะลืมตา หลับตา เดินไป เดินมา ทางตาก็เห็นรูป หูก็ได้ยินเสียงตลอดเวลา เลยเกิดความสุข เอิบอิ่มเบิกบาน ยิ้มแย้มร่าเริงอยู่คนเดียว ข้าวไม่กินน้ำไม่ดื่ม เป็นเวลา 10 คืน 10 วัน ก็ไม่รู้สึกหิว ไม่รู้สึกเพลีย เพราะอิ่มใจ ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เพราะมันเกิดความสุขทางใจเอามากๆ จึงนึกถึงพระคาถา ของท่านอาภัชชราพราหมณ์ว่า ปีติภักสา ภะวิสสามิ เทวานัง อะภัสสรายะถะ คาถานี้เสกน้ำกินบ่อย จะเป็นอาหารทิพย์ ไม่ได้กินก็ไม่หิว อยู่ได้หลายๆ วันแล จำไว้เนอ จึงออกปากพูดเองว่า สุขอะไรอย่างนี้ สุขหนอ สุขหนอ แต่ที่เราสังเกตดูผู้คน คนภายนอกตลอดทั้งเจ้าหน้าที่ ที่ควบคุมดูแลเราอยู่ เขาพูดกันว่า เราเร่งความเพียรทางจิตมากเกินไปเลยเสียสติ คงจะเป็นโรคจิตวิปลาสไปแล้ว ขืนปล่อยไว้นานก็บ้าแน่ๆ บ้าจริงๆ อย่าเข้าไปใกล้มันนะมันจะทำร้ายเอา เพราะเขาเห็นเรานั่งยิ้ม นอนยิ้มอยู่คนเดียว แล้วก็พูดพึมพำว่าสุขหนอๆ (อย่างนี้ก็บ้าละซี) พอถึงวันที่ 25 พฤศจิกายน เดือนเดียวกัน พวกเจ้าหน้าที่ ที่ควบคุมดูแลข้าพเจ้าอยู่ มาตะโกนดังๆ บอกว่าท่านไม่ต้องบ้าหรอก เลิกบ้าเสียที ท่านพ้นโทษ พ้นข้อกล่าวหาทุกอย่างแล้ว ผู้ใหญ่ทางเมืองสยามไทย คือท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ร้องขอให้นายกอุนุ ปลดปล่อยท่านแล้ว ท่านจะไปไหนก็ไป ท่านเป็นอิสระแก่ตัวทุกอย่างแล้ว เมื่อข้าพเจ้าได้ยินเข้าก็ยิ้ม ยิ้มแล้วยิ้มอีก ยิ้มไม่เลิก ยิ้มเรื่อยๆ เขาก็ยิ่งหาว่าบ้าหนักเข้าไปอีก ถึงอย่างไรก็ดี อันภาพที่เห็นในทางจิตวิญญาณ มันบันดาลให้เกิดความสุขทางใจ อิ่มใจมากๆ จึง ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม ใครๆ เขาจะหาว่าบ้าก็เอา (อันความยิ้มแย้มแจ่มใส จิตใจ ร่าเริงเบิกบาน ไม่มีทุกข์ เป็นยารักษาโรคขนานเอก) จำไว้เน้อ เมื่อมาถึงตอนนี้ท่านผู้อ่าน อ่านแล้วคงจะนึกว่าเรื่องนี้ มันเป็น unbelievable นี่หว่า แต่ข้าพเจ้า ก็เชื่อของข้าพเจ้าอย่างเต็มร้อย หรือท่านจะคิดว่ามันเป็น nearly Impossible แต่ข้าพเจ้าก็เห็นว่า มันเป็นไปได้และมันก็เป็นไปแล้ว เพราะข้าพเจ้าค้นคว้า และเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา เพียงเพื่อเสนอแนวคิดในแง่มุมต่างๆ ที่ได้สัมผัสมาด้วยตนเอง ทั้งด้านนามธรรม และด้านรูปธรรม มิใช่จะกะเกณฑ์ให้ท่านเชื่อหรอก ขอบอกว่าอันคนที่เชื่ออะไรง่ายๆ และปฏิเสธอะไรง่ายๆ โดยไม่ดูเหตุผล (คือคนโง่) เพราะสิ่งเร้นลับซับซ้อนต่างๆ ที่มีอยู่ใต้หล้าฟ้ากว้างในโลกนี้ ซึ่งมนุษย์ยังค้นไม่พบ ยังมีมากเหลือที่จะพรรณนา สิ่งนั้นคือเรื่องจิตวิญญาณ หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 28 มีนาคม 2553 17:15:56 (http://reocities.com/TheTropics/resort/5675/topics/topics_img/supan.jpg) อันเรื่องราวของพระสุพรรณกัลยา ที่ท่านบอกว่า ท่านเป็นพระธิดาองค์ใหญ่ ในพระมหาธรรมราชานั้น เป็นใครกันแน่ เพราะแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว ข้าพเจ้าเองไม่ได้เอาใจใส่ ไม่ได้สนใจ ในเรื่องเกี่ยวกับเจ้าๆ จักรๆ วงศ์ๆ อะไรทั้งนั้น เพราะเหตุว่าข้าพเจ้ามี config ติดอยู่ในใจมาแต่กำเนิด คือไม่ชอบเจ้า เพราะสถานที่ข้าพเจ้าอยู่ไม่ว่าที่ใด จะไม่ไกลจากหมู่บ้านของพวกคณะลิเก อันคนจำพวกนั้นมันจะซ้อม มันจะแสดง มันจะสอนกันแต่เรื่องเจ้า จักรๆ วงศ์ๆ ทุกวี่ทุกวันเป็นประจำ หนวกหูจะตาย เลยเกิดโรคความเกลียด ความชังในระบบเจ้า ของพวกลิเกขึ้นมา เมื่อพวกมันเลิกเล่น เลิกแสดง มันก็มานั่งกินข้าว กับหัวปลาทูกรอบๆ กับหมาอีก นี่แหละหนาโลกแห่งมายา โลกแห่งการสมมุติ แต่มนุษย์ก็ยังมายึดติดกับมัน อนิจจังอนิจจาน่าทุเรศแท้ๆ แต่เรื่องของพระนางสุพรรณกัลยา ที่กล่าวมาตลอดนี้ ท่านเป็นเจ้าประเภทไหน ทำไมจึงเป็นภาพที่ติดตา ตรึงใจ ในห้วงแห่งความรู้สึกนึกคิด ของเราตลอดเวลา ก็เพราะท่านได้นำพา ให้เราได้เข้าถึง ได้รับรู้เรื่องโลกวิญญาณ โลกลี้ลับ ในคราวที่ชีวิตตกอับคับขัน จะหันหน้าไปพึ่งใครๆ มนุษย์หน้าไหนไม่ได้อีกแล้ว ขณะที่จิตของเราผ่องแผ้ว เข้าสู่ภวังค์ได้หยั่งรู้ หยั่งเห็นท่านเป็นอุปทายรูป อันเลอโฉมของท่าน และท่านก็นำพาเข้าสู่มิติเก่าๆ ที่เป็นอดีตกาล ซึ่งผ่านมาแล้ว แม้จะนานแสนนาน ก็ได้รับรู้เหตุการณ์ต่างๆ ดังได้กล่าวต่อไป อันมิติสภาวะที่ท่านอยู่ที่ลี้ลับแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสภาวะที่โปร่งใส ไม่มีพระอาทิตย์ ไม่มีแสงจันทร์ แต่มันสว่าง เนื้อตัวก็เบา เคลื่อนย้ายไปมาไม่ต้องก้าวขา ก็ไปถึงทันใจ นึกอยากได้อะไร สิ่งนั้นก็มาถึง อันสถานบ้านเรือนที่เราดู เราเห็นด้วยตา ว่ามีสภาพชำรุดทรุดโทรมนั้น กลับเห็นเป็นของยังใหม่เช่นเดิม แล้วท่านนำพากลับเข้าไป ดูภาวะการณ์ที่ท่านและเรา ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยนั้น ก็เห็นว่า เราเป็นผู้ชายมีอายุกลางคนแล้ว และมีร่างกายแข็งแรง เป็นผู้ใหญ่อายุมากกว่าท่าน และยังได้ช่วยเหลือ ท่านทุกอย่างที่ท่านขอร้อง แม้แต่พระอนุชาของท่าน คือท่านองค์ดำ และองค์ขาว ก็เห็นท่านเป็นเด็ก จนโตเป็นหนุ่มแน่น และเห็นท่านทั้งสามองค์ อยู่ กิน นอน ด้วยกันตลอดเวลา และพระอนุชาทั้งสอง ท่านก็ใฝ่ใจในการศึกษาศิลปศาสตร์ทุกสาขา และท่านก็เมตตาต่อเราเอามากๆ และบางครั้งเรายังรับทำงานแทนท่าน อันเป็นงานที่ท่านไม่ถนัด เพราะพวกที่ตกเป็นเชลยนั้น คนทุกชั้นก็คือเชลยหมด จึงหมดภาวะแห่งความเป็นนาย เป็นบ่าวกันแล้ว แต่เราเก่งทางสร้างบ้าน สร้างเรือน เราจึงได้ชื่อว่า ขุนอนุรักษ์ ศักดิ์เสนา อันนี้เป็นการสัมผัส ด้วยจิตใจอีกมิติหนึ่ง มิตินี้เป็นมิติที่ละเอียดมาก ที่เรียกว่าตัวแฝงตัวพลังนั่นเอง ยากที่จะอยู่ได้นาน เพราะภาวะการของจิต มันจะถอยออกมา อยู่สู่มิติทางสัมผัสด้วยใจอีกต่อไป จากนั้นท่านก็เล่าให้ฟังว่า พวกเราถูกกวาดต้อน มาเป็นเชลย จนฉันโตเป็นสาว ดังที่ท่านเห็นอยู่นี้ อายุราวๆ เบญจเพศ ไอ้เจ้าบุเรงนอง มันก็ปองรัก จะหักด้ามพร้าด้วยเข่า เอาฉันทำเมีย มันทำระร่ำ ระเหรี่ยในทางมายา แต่พระอนุชาของฉันทั้งสองไม่ยินยอม และตัวท่านเองก็ไม่ยอมด้วย ดังนั้นจึงพร้อมกันออกอุบายว่า ขอให้ฉันได้รับอนุญาต จากท่านผู้บังเกิดเกล้า คือบิดามารดาเสียก่อน เพราะประเพณีของไทย ถ้าผู้ใดแต่งงานก่อนได้รับอนุญาต จะอายุสั้น เจ้าบุเรงนองมันตาฝาด ด้วยอำนาจกิเลสตัณหา จึงจัดแจงโยธาไพร่พล พร้อมด้วยตัวเขา และน้องชายทั้งสองของฉัน และตัวท่านเองก็ได้กลับไปด้วย แต่การไปของท่าน เขาให้ไปถึงแค่เขตแดน แล้วเขาสั่งให้สร้างบ้านเรือน อยู่ตรงเมืองมะริด และเจ้าบุเรงนองก็เกรงใจท่านมาก เพราะท่านเป็นผู้ใหญ่ที่เขานับถือ เรียกว่ามือชั้นครู มีบางคนคงสงสัยว่า ฉันเองจะต้องไปทำไม เพราะปกติข้าศึก จะไม่จับเอาผู้หญิงที่ไม่พ้นนิติภาวะ ไปเป็นเชลย จึงขอตอบว่า เหตุที่ฉันจะต้องไปเพราะ น้องของฉันทั้งสองพระองค์ เขาติดพันฉันมาก ฉันเป็นทั้งพี่จริง และพี่เลี้ยง ฉันเลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เยาว์วัย ในคราวที่เราร่อนเร่มา อย่างเมื่อยล้า น้องคนเล็กไม่ยอมเดิน ฉันต้องอุ้มกระเตงคนเล็ก ไว้ที่เอวข้างขวา จูงคนโตด้วยมือซ้าย ตอนข้ามน้ำ ท่านยังเห็นว่าขำแท้ๆ ท่านจึงทำจำแลง แกะสลักรูปของฉันอุ้มน้อง เพื่อล้อเลียนไว้ดูเล่น ขอให้ท่านเอากลับไปด้วยนะ เอาไว้ไปดูเล่นเป็นขวัญตา และของที่เราเคารพบูชา ที่ท่านเอาเก็บไว้ ก่อนออกเดินทางกลับ คือ พระนารายณ์ และพระแม่อุมา ที่พวกเราสักการะบูชา ก็ให้ท่านเอากลับไปด้วย และของเหล่านั้น ข้าพเจ้าก็นำเอากลับมาเก็บรักษาไว้ เท่าทุกวันนี้ นี่แหละคือสักขีพยาน ในด้านรูปธรรมที่พอยืนยันได้ .... หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 28 มีนาคม 2553 17:41:21 (http://topicstock.pantip.com/rajdumnern/topicstock/P2394074/P2394074-19.jpg) กลับบ้านเกิดเมืองนอนครั้งแรก กล่าวย้อนไปถึงการเดินทางกลับ อำลาท่านผู้บังเกิดเกล้า ที่เมืองอยุธยา จำเดิม แต่ได้พลัดพราก จากบ้านเกิดเมืองนอน มาเป็นเวลาร่วมสิบปี มีครั้งเดียวเท่านี้ ที่ฉันได้กลับไปเห็นหน้าบิดา มารดา ตลอดทั้งพระประยูรญาติ เมื่อได้ทำพิธีอำลา ท่านผู้บังเกิดเกล้าแล้ว เจ้าบุเรงนองก็พากลับ และให้กลับทุกคน แม้แต่พระอนุชาของฉัน เพราะเจ้าบุเรงนอง มันใช้อำนาจบาทใหญ่ พระราชบิดาของฉัน จะร้องขออะไรมันก็ไม่ยอม แม้แต่ท่านจะขอกำลังทหารไทย ไว้ป้องกันประเทศ มันก็ด่าว่าเอา มันบอกว่าไม่จำเป็น ไม่เห็นใครที่ไหนจะใหญ่ จะมีกำลังเหนือมัน มันเคี่ยวเข็ญ เย็นค่ำ ร่ำไป ตามวิสัยเชิงเช่นผู้เป็นนาย พระราชบิดาของฉัน ก็กลัวมันยิ่งกว่าเสือ เหลือร้ายจริงอ้ายบุเรงนอง เมื่อกลับถึงถิ่นเมืองหงสาวดีแล้ว พิธีการการอภิเษกสมรส ระหว่างฉัน กับเจ้าบุเรงนองก็เกิดขึ้น ฉันก็ตกเป็นของเจ้าบุเรงนอง ตามประเพณีของเขา แต่น้องชายของฉันสิเหงา เพราะดูกิริยาท่าทางของเขา เศร้าสร้อยหงอยเหงาจริงๆ เพราะเขาเคยอยู่กับฉัน เราอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เกิดก็ว่าได้ ฉันฟูมฟักเลี้ยงดูเขามาด้วยมือ เลี้ยงเขามาแต่เล็กๆ ฉันสงสารน้องชายที่ว้าเหว่ ฉันจึงวางเล่ห์กลอุบาย กับเจ้าบุเรงนองว่า ท่านเจ้าขา อันพระอนุชาทั้งสองของฉันนั้น เขาได้เติบใหญ่ เป็นหนุ่มเป็นแน่นรักษาตัวได้ และเอาตัวรอดได้แล้ว ฉันจึงอยากจะขอร้อง ให้น้องชายทั้งสองคน กลับไปช่วยราชการ ของพระราชบิดาที่เมืองไทย เพราะได้รับข่าวว่า พญาละแวก คือพวกขอม (เขมร) ได้ยาตราทัพอันเกรียงไกร มาประชิดติดแดนไทยแล้ว และก็ตีได้แล้วหลายเมือง ทางทิศตะวันออกของไทย ถ้าเราช้าไปจะต้องเสียใจ เพราะเมืองไทย ได้ตกเป็นเมืองขึ้นของพญาละแวก เราจะสูญเสียประเทศราชของเราไปอีก ฉันเชื่อแน่ว่า พระน้องยาเธอของฉันทั้งสอง เขาจะเอาชนะพญาละแวกได้ เพราะไพร่พลคนไทย ก็จะมีกำลังใจ ในอันที่จะต่อสู้ กับพญาละแวกได้ เมื่อเจ้าบุเรงนองได้ฟัง มันก็เชื่ออย่างสนิทใจ มันจึงปล่อยให้เจ้าองค์ดำพี่ชาย กับเจ้าองค์ขาว กลับเมืองไทย พร้อมด้วยบริวารอีกจำนวนหนึ่ง ท่านขาตอนที่น้องทั้งสองของฉัน ที่ฉันได้ทนุถนอม กล่อมเกลี้ยงเขามาแต่แบเบาะ มีเคราะห์กรรมอะไรหนอ ที่จะมาพรากให้ฉันต้องอยู่เดียวดาย ในขณะที่น้องชายของฉันจากไปนั้น ฉันมีความรู้สึกสังหรณ์ใจว่า จากนี้ไปภายหน้าตลอดชีวิต ฉันจะไม่ได้เห็นน้องชายทั้งสอง ของฉันอีกแล้ว จึงได้ยินแต่สั่งคำเดียวว่า ไปนะแม่ ไปนะแม่ น้องทั้งสองจะจดจำคำว่า แม่ แม่ แม่ ไว้ในห้วงแห่งดวงใจตลอดไป ท่านขา ในคราวนั้นเอง ฉันรู้สึกว่าดวงตา ดวงใจของฉัน มันหลุดลอยออกจากร่าง มันทำให้จิตใจเวิ้งว้าง ว้าเหว่ ไม่มีฟ้า ไม่มีดิน ได้ยินแต่เสียงน้องสั่งว่า ไปนะแม่ ไปนะแม่ ถึงเขาจะออกเดินไปแลัว จนสุดสายตา แต่เสียงสั่งลาของน้อง ก็ยังก้อง อยู่ในโสตประสาทของฉัน ไม่มีวันลืมเลือน ฉันจึงยืนขึ้น เอามือขวาค้ำสะเอว ส่งกระแสจิตให้รุนแรงว่า ไปดีเน้อน้อง ไปดีเน้อน้อง หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 28 มีนาคม 2553 17:42:47 (http://t2.gstatic.com/images?q=tbn:8nQWZOmzfgJyoM:http://www.cscm4u.com/shop/c/cscm/img-lib/spd_20070831105321_b.jpg) มันเป็นเคล็ดลับอย่างหนึ่งนะท่าน ที่พระราชบิดาของฉัน สอนเอาไว้ว่า ถ้าจะอวยชัยให้พรใคร เมื่อเขาจากไป ถ้าเป็นผู้หญิงให้ใช้มือซ้าย ถ้าเป็นผู้ชายให้ใช้มือขวา ถ้าเป็นทั้งหญิงทั้งชาย ให้ใช้ทั้งสองมือ ดูแต่คราวที่พวกคณะเราจะจากท่านมา ทั้งสองครั้ง ท่านก็ใช้พระหัตถ์ ทั้งสองข้างของท่านค้ำสะเอว เราจึงไปมาอย่างปลอดภัย เมื่อเขากลับไปแล้ว ได้ตั้งตัวเป็นหัวหน้าทัพ แล้วเปลี่ยนคำว่า หัวหน้าใหญ่ ให้เป็นแม่ทัพ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา แล้วประกาศเป็นพระราชอาญาว่า หากมันผู้ใดมันอุตริ เปลี่ยนชื่อแม่ทัพ ให้เป็นศัพท์อื่นๆ นามอื่นขอให้บุคคลผู้นั้น มันถึงซึ่งความวิบัติ ฉิบหายวายวอดเถิด นี่แหละท่านน้องที่กตัญญู เขาเอาชื่อแม่ที่เขารัก และมีพระคุณกับเขา ไปตั้งเป็นแม่ แม่ แม่ อยู่กับตัวเขาตลอดไป (กองทัพไทยเราจึงมีแม่ทัพ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา) และกาลต่อมาภายหลัง เมื่อน้องชายฉันกลับไปแล้ว ได้ตั้งตัวเป็นแม่ทัพ ได้รวบรวมสรรพกำลังให้เกรียงไกร แล้วขับไล่กองทัพ ของพญาละแวก ให้แตกกระเจิง แล้วรวบรวมไพร่พล ของพญาละแวก เข้าเป็นกำลังเสริม ร่วมกันเล่นงานกองทัพอ้ายหม่อง ให้ม่องเท่งไปไม่เป็นกระบวน แต่การเอาชนะกับเจ้าหม่องนั้น ล่าช้ามากๆ ส่วนน้องชายฉันเขารู้ รู้ว่าเจ้าหม่อง มันส่งชายฉกรรจ์ แต่งตัวปลอมตัวเป็นพระ มาสืบความลับว่า จุดอ่อน จุดแข็งของกองทัพไทย อยู่ตรงไหน เจ้าพวกแต่งตัวเป็นพระนี้เอง คนไทยไม่รู้ว่าเป็นพระพม่า หรือพระไทย เพราะเหมือนกันหมด ดูไม่ออกว่าพระพม่า หรือพระไทย พอน้องชายทั้งสองของฉันกลับไป ก็ขอร้องให้ท่านพระพลรัตน์ วัดป่าแก้ว ที่สอนคาถาปราบศึกให้ สั่งให้พระสงฆ์ไทยทั้งประเทศ โกนคิ้วทิ้งให้หมด เพื่อให้คนไทยรู้ว่า พระพม่า หรือพระสงฆ์ไทย องค์ไหนไม่โกนคิ้ว องค์นั้นเป็นพระหม่อง ขับออกไปจากเมืองไทยให้หมด คนไทยกำหนดรู้ รู้กันโกนคิ้วไม่โกนคิ้วนี่เอง ฉันเห็นท่านมาวันนี้ ท่านโกนคิ้วจึงรู้ว่า ท่านเป็นพระสงฆ์ไทย พอเขาแก้ไขได้ทุกอย่างแล้ว ก็จะหวนกลับมา ตีเอาเมืองหงสาวดี และปริมณฑล เพื่อยึดเอาตัวฉันกลับไป ท่านขา พอเจ้าบุเรงนองมันสืบรู้ว่า เหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้น มีฉันเป็นผู้วางแผน ในระยะนั้น ก็มีความไม่สงบเกิดขึ้น เพราะตัวพระคุณเจ้าเอง วางแผนให้เจ้าบุเรงนอง ผู้ครองความเป็นใหญ่ อันเจ้านันทบุเรงนั้น มันมักมากในกามคุณ มีเมียมากนับไม่ถ้วน แต่มีคนหนี่งชื่อ สุวนันทา เป็นภรรยาคนที่สาม ชาวไทยใหญ่ เป็นคนสวย เจ้านันทบุเรง ก็หลงใหลมันมาก มันอยากเป็นราชินี จึงบังคับให้สามี วางแผนแย่งอำนาจ แย่งสมบัติจากพระราชบิดา มาเป็นใหญ่เสียเอง เจ้าบุเรงนองผู้บิดา จึงทรงตรอมพระทัย ในที่สุดก็ขาดใจตายดังกล่าวแล้ว ให้ทะเลาะกันกับเจ้ามังไชยสิงหะราช ผู้เป็นลูกชาย เลยเกิดโรคหัวใจวายตายไป อย่างกระทันหัน มันคือเจ้ามังไชยสิงหะราช ผู้เป็นอุปราชขึ้นครองเมือง ชื่อเจ้านันทบุเรง มันได้ครองราชย์เป็นใหญ่ และเป็นระยะที่เขาเปลี่ยนแผ่นดินใหม่ ความวุ่นวายมีอยู่ทั่วไป หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 28 มีนาคม 2553 17:43:55 กอปรกับมารู้ข่าวว่า กองทัพของไทย ขึ้นไปประชิดที่เมืองอังวะไว้แล้ว ไอ้เจ้ามังไชยสิงหะราช (นันทบุเรง) จึงสั่งจับจำจองแม่เลี้ยงของมัน คือฉันเอง ให้ลงโทษทัณฑ์อย่างหนัก มันสั่งให้คนจับฉัน มัดมือ มัดเท้า แล้วลงมือชก ต่อย ตบ ตี เตะ ถีบ โบยด้วยแส้หวาย โบยแล้วโบยอีก แล้วปล่อยให้ฉันอดข้าว อดน้ำ ให้ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส (มันเลวยิ่งกว่าหมา เพราะธรรมดาแล้ว หมาตัวผู้จะไม่กัดหมาตัวเมีย อันคนจำพวกที่ชอบรังแกหญิง เอาเปรียบผู้หญิง ซึ่งเป็นเพศตัวเมียนั้น จึงเป็นบุคคล จำพวกที่มีสันดานเลว ยิ่งกว่าหมาเสียอีก) ท่านขา เมื่อมันเห็นว่าฉัน อ่อนเปลี้ยเพลียแรงแล้ว มันก็ฟันฉันด้วยดาบเล่มนี้ (และขอให้ท่านเอากลับไปด้วยนะ) แล้วฉันก็ตายไป พร้อมกับลูก อยู่ในท้องแปดเดือน แล้วมันก็ให้หมอผี มาทำพิธีทางไสยศาสตร์ ด้วยการผูกรัดรึง ตรึงฉันด้วยไม้กางเขน ตรากระสัง ให้วิญญาณของฉัน ไปไหนมาไหนไม่ได้ ต้องวนเวียนอยู่ในละแวกนี้เท่านั้น ฉันขอขอบใจท่านมาก ที่ท่านได้มาช่วย แก้เครื่องพันธนาการออกให้ฉัน อันเรื่องนี้เอง ก็เป็นวิบากกรรม ที่ทำให้ข้าพเจ้า ต้องไปรับรู้รับเห็น เรื่องของเจ้าหญิงทุกอย่าง และท่านกล่าวว่า ในกาลต่อไปข้างหน้า ฉันตั้งปณิธานไว้ว่า (ฉันจะไปอุบัติบังเกิด ช่วยบ้านเมืองในสตรีเพศ เมื่อบ้านเมืองเดือดร้อน แต่จะไปอุบัติ ในสกุลสุขุมาลย์ชาติ ในวงศ์สกุลกษัตริย์ไทย และจะไม่เยื่อใยในการมีคู่ครอง) ฉันจะสร้างบารมีทำแต่ความดี ให้นั่งอยู่บนหัวใจ ของคนไทยทั้งประเทศ เพื่อแก้ลำที่คนไทยลืมฉัน โดยจะไม่สนใจใยดี กับการที่จะอภิเษกสมรสเลย เพราะฉันเข็ดแล้วเข็ดอีก เรื่องผู้ชาย แต่นี่ฉันก็เป็นอิสระแล้ว เมื่อท่านกลับไปเมืองไทย ฉันจะไปด้วย ฉันจะไปช่วยงานท่าน ท่านมีธุรกิจอะไรเพื่อสังคม เพื่อส่วนรวม เพื่อชาติ ศาสนกษัตริย์แล้ว บอกฉัน และฉันขอฝากรูปลักษณ์ของฉัน ที่อยู่ในห้วงแห่งความทรงจำของท่าน ออกเผยแพร่ให้คนอื่นๆ ที่อยากรู้อยากเห็นฉัน ให้เป็นแบบรูปธรรมขึ้นมา ให้เขาได้เห็นฉันด้วย แต่ฉันเชื่อแน่ว่า คนไทยทั้งประเทศ เขาคงจำฉันได้ไม่กี่คน เพราะประวัติจริงๆ ที่พระน้องยาเธอ ของฉันจารึกไว้ ก็คงจะสลายหายสูญ ไปกับกรุงแตกครั้งหลังสุดแล้ว ขอให้ท่านหวนจิต คิดย้อนกลับไปดู ภาวะของฉันที่ได้กำเนิดเกิดมา เป็นธิดาองค์ใหญ่ ในวงศ์สุดท้ายของวงศ์สุโขทัย พระราชบิดา ได้ไปครองเมืองอยุธยา ได้รับสมญาว่า เจ้าฟ้าหญิงพระสุพรรณกัลยา มีความสุขจากทรัพย์โภคา อย่างล้นเหลือ มีข้าทาสบริวารนับไม่ถ้วน นับว่าฉันเองได้สถิต อยู่ในมไหยสมบัติ อยู่ในดินแดนเมืองมนุษย์ มีความสุขสุดที่จะพรรณา แต่ต่อมา พม่าตีเมืองได้ ฉันกับน้องชาย ต้องตกเป็นเชลย ที่ถูกกวาดต้อนไปเป็นขี้ข้าเขา แล้วได้มาเป็นเมียบุเรงนอง แล้วถูกจำจอง ด้วยเครื่องพันธนาการ ฉันเองได้รับแต่ความทุกข์ทรมาน ทั้งกายและจิตใจตลอดมา จำเดิมแต่ได้พลัดพราก จากบ้านเมืองพ่อแม่มา ข้ามภูผาที่กันดาร ยังมาทุกข์ ทรมานในการจำจากน้องทั้งสอง อันเป็นที่รักที่สุด ดุจกับว่าดวงตา ดวงใจ มันหลุดลอยออกไปจากร่าง ออกไป สุดท้ายก็มาถูกเจ้านันทบุเรง บุตรบุญธรรมของฉันนั้นเอง เฆี่ยนตีทำโทษ จนถึงแก่ความตาย อย่างทรมานที่สุด ซึ่งไม่มีมนุษย์คนใดๆ จะเหมือนฉัน แต่ฉันก็กระทำไป เพื่อความอยู่รอด ของประเทศชาติบ้านเมือง ฉันเสียใจ ที่คนไทยลืมฉัน ฉันจะหาที่เกิดเป็นกุลสตรี ที่ได้นั่งอยู่บนหัวใจ ของคนทั้งชาติ โดยปราศจากการมีครอบครัว หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 28 มีนาคม 2553 17:44:41 (http://picdb.thaimisc.com/s/shalawan/2137-951.jpg) แล้วฉันก็จะเป็นคนหมดเวรภัย ไปสู่สถานที่ ที่ไม่มีการเกิด การตายอีกแล้ว แต่เรื่องนั้นจะมีขึ้นได้จริง ก็ต้องพึ่งพิงอาศัย กระแสดวงใจของคนจำนวนมาก ช่วยค้ำจุนหนุนส่งให้ ดังนั้น จึงอยากจะขอร้องท่าน ช่วยเอารูปลักษณ์ของฉัน ออกให้ปรากฏแก่สายตาของคนทั่วไป ที่เขาอยากรู้ อยากเห็นด้วย นี้แหละท่านอันชีวิตคนเราทุกๆ คน จะคละเคล้าไปด้วยสุข และทุกข์ เสียงหัวเราะและน้ำตา เสียงสนุกเฮฮา และร้องไห้โหยหวน ชวนให้คิดว่า นี่แหละโลก นี่แหละชีวิตคิดดูเถิด ตั้งแต่เกิดถึงตายกลายเป็นผี ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน ทุกชีวิตก็ตกเป็นทาส เพราะตกอยู่ใต้อำนาจ ของความปรารถนา ชีวิตที่ถูกความโง่เขลา ปลูกสร้างขึ้นมา แล้วก็ยึดถือหวงแหนไว้ ด้วยความเข้าใจผิด คิดว่าเป็นของกู ตัวกูไปทุกสิ่ง ได้ครอบครองสิ่งใดแล้ว ก็ชื่นชมยินดี เทิดทูน และผูกติดกับสิ่งนั้น ไว้ด้วยความหลงผิด หารู้ไม่ว่าตัวเองกำลังบ้า แบกภาระอันหนักหน่วง เอาไว้ไม่รู้จักวาง ทางออกที่ดีก็คือ การไม่เกิดแล้วก็ไม่ตาย และท่านกล่าวต่อไปว่า อันความยึดมั่นถือมั่น ในตัวกูของกูนี่เอง ที่ทำให้คนเราโง่ ทำให้คนโง่เขลา พากันมัวเมาหลงผิด คิดว่าเป็นของตัวเองทุกอย่างไป ดวงใจมันก็ได้รับแต่ความทุกข์ แต่ฉันเองรู้สึกเสียใจมาก ที่บ้านเมืองของเราหลายๆ แห่ง ได้ถูกกองทัพเจ้าพม่า มันฆ่าทารุณผู้คน ขนมาเมืองมัน จนไม่เหลืออะไรแล้ว มันก็สั่งให้คนไทย จุดไฟเผาบ้านเรือน ตลอดพระราชฐาน วัดวาอารามที่สวยๆ งามๆ ให้เหลือแต่ซากสลักหักพัง พินาศสันตะโร แต่กรุงศรีอยุธยา ยังไม่สิ้นคนดี ก็มีพระยาตากมากู้เอาไว้ ท่านองค์นี้มีสายตาไกล ท่านไม่ยอมเอาเมืองหลวงเก่าเป็นราชธานี ท่านกลัวว่ามวลหมู่ ผีร้ายๆ จะก่อกวน จึงชักชวนพวกอพยพ ไปตั้งราชธานีที่เมืองบางกอก แต่พวกพม่านั้น มันก็ได้รับผลกรรม ตอบแทนอย่างคุ้มค่า เรียกว่ากรรมตามทัน ทำให้มันต้องรบราฆ่าฟันกัน เพื่อแย่งชิงอำนาจกัน ไม่มีเวลาสิ้นสุด แต่การรบราฆ่าฟันกันนั้น จะติ หรือใส่ร้าย แต่พวกพม่าก็ไม่ได้ ส่วนมากก็คนไทยนั่นแหละ เป็นไส้ศึกเป็นตัวการ ช่วยเผาผลาญ บ้านเมืองตัวเองให้พินาศ เพราะจิตใจคิดอาฆาต ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม แล้วแบ่งพรรคแบ่งพวก จนเจ้าเหนือหัวคือ พระมหินทราธิราช พระราชบิดาของฉัน มาเป็นมหาอุปราช ผลสุดท้าย ของพระราชบิดาของฉัน ก็ได้ครองราชแทน เพราะพระเจ้ามหินทราธิราช ได้มาสิ้นพระชนม์ชีพที่เมืองอังวะ ก็พระคุณท่านนั่นเองแหละ ได้รวบรวมหมู่เชลยไทย ช่วยกันถวายพระเพลิงศพท่าน แล้วเอาพระอัฐิท่านมาไว้ที่โน้น อันการเกิดกุลียุค เผาผลาญบ้านเมืองในคราวนั้น ผู้ลงมือเอง ส่วนมากคือคนไทยเอง ที่เขาเคืองแค้น ไม่ได้รับความเป็นธรรม จากผู้เป็นใหญ่ผู้มีอำนาจ ที่หลงอำนาจ บ้ายศ หลงตัว ถือตัว มหาภัยยุคเข็ญ มันก็ต้องเกิด ดังนี้ จะหาโทษพม่าเป็นคนทำลาย ไม่ถูกหรอก ท่านจงให้ความเป็นธรรมกับเขาบ้าง ก็คนไทยนั่นแหละ เป็นตัวการเผาผลาญบ้านเมืองตัวเอง เขาเผาเพราะความแค้น หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 29 มีนาคม 2553 11:11:23 ส่วนพญาละแวก คือพวกขอม ขะแม มันก็ตัวศัตรูคู่แค้น คู่อริกับคนไทยมาตลอด จิตใจมันมืดบอด ไม่เห็นบาปกรรม ที่มันทำลายล้างผลาญ สังหารคนไทย นับครั้งไม่ถ้วน การที่มันกระทำนั้นเอง จึงเป็นมรดกตกทอด มาถึงลูกหลานของมัน และมันก็เข่นฆ่าทารุณกันเอง เพื่อแย่งชิงอำนาจ ก่อความวินาศฉิบหาย จนสูญสิ้นชาติขอม มาเป็นขะแม สิ้นขะแมมาเป็นเขมร เขมรก็รบกัน เหลือแต่หัวกะโหลกกองไว้ ให้ชาวโลกได้เย้ยหยัน นี่แหละคือผลของความบ้าอำนาจ บ้ายศ จำไว้เน้อ ผู้มีอำนาจทั้งหลาย อย่าบ้านัก และอย่าลืมตัว ส่วนเมืองสยามไทย ไทยเราก็จะมีการเปลี่ยนแปลง ครั้งยิ่งใหญ่ให้คนไทยทั้งชาติ ตกอยู่ในยุคทั้งสิบ แบ่งเป็นยุคละยี่สิบปี คือยุคพระกาฬ พานยักษ์ รักบัณฑิต สถิตธรรม จำแขนขาด ราชโจน นนทุกข์ ยุคทมิฬ ถิ่นตาขาว ยุคชาววิไล ขอให้ท่านดูไปก็แล้วกัน แต่ดีอย่างหนึ่ง ที่คนไทยไม่เคยเป็นศัตรูกับใคร ชอบจะเป็นมิตรกับคนทุกชาติ แต่เสียอย่างเดียว ที่คนไทยมีนิสัย ไม่ผิดกับหมาไทย คือถ้ามีใครมารังแก มันจะไม่ยอมแพ้ มันจะแห่กันเล่นงานทันที แต่ยามไม่มีใครมาเข่นฆ่าราวี มันก็ตีกันเอง คือพวกบ้าอำนาจ บ้ายศ บ้าจี้ มันนึกว่ามันดีกว่าทุกคน เมื่อถึงยุคราชโจน อาจจะมีนักปกครองปัญญาอ่อน แต่บ้าอำนาจ จะเอาบ้านเอาเมืองไปขายกิน ก็อาจจะเกิดมีได้ดูไปเถอะ แต่กรุงรัตนโกสินทร์ยังไม่สิ้นคนดี คนไทยเขาคงไม่ยอมแน่ เพราะเขามีพระดี หลวงพ่อดี หลวงพ่อองค์นั้นก็คือท่าน ผู้ประทับอยู่บนหัวใจ ของคนไทยทั้งชาติ คงจะเป็นพระยาธรรมมิกราช คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั่นเอง แต่อยากถามว่า พระคุณเจ้าจะกลับเมืองไทยเมื่อไหร่ ฉันจะตามไปด้วย ไปช่วยสร้างบารมี มุณีทั้งหลาย ท่านจึงหาทางออกจากวัฏสงสาร ด้วยการทำความดีแก่ตน และสั่งสมให้มากที่สุด ที่จะมากได้ แล้วท่านจึงตรัสถามข้าพเจ้าว่า เมื่อพระคุณเจ้าถูกจับกุม ในข้อหาที่หนักๆ ทางการเมืองมาตั้งหลายครั้ง หลายคราวนั้น ท่านมีทุกข์ใจมากไหม เพราะเท่าที่ฉันรู้มาว่า ท่านโดนเขาเล่นงานมาถึงสี่ครั้งแล้ว ก็ตอบท่านว่า ทุกครั้งที่อาตมาเจอกับความทุกข์ เราจะไม่ยอมแพ้มัน คือเรารู้จักวิธีฝึก ให้จิตอยู่เหนือความทุกข์ ไม่ให้ความทุกข์อยู่เหนือจิต สร้างความรู้สึกนึกคิด ประดิษฐ์สิ่งที่ร้าย ให้เป็นสิ่งที่ดีเอาไว้ (เราเอ๋ยเรา) อดรนทนไว้เถิด นานๆ ไปมันจะชินไปเอง ผู้มีความฉลาด มีปัญญา ย่อมไม่สร้าง ทุกขเวทนาให้แก่ใจ ในสิ่งที่สุดทางแก้ ฉันก็ดี โยมก็ดี ก็มีทุกข์ไม่แพ้กัน แต่ตัวฉันนี้เอง เป็นคนที่มีความขยันที่สุด ที่ฉันจะล่วงรู้อะไรได้ ก็เพราะได้มาเจอท่าน ท่านหญิงเป็นมัคคุเทศก์ อย่างวิเศษในดวงใจ และดวงตาของฉัน ที่ได้นำพาให้ฉัน กลับไปรู้ไปเห็นว่า ฉันเคยเป็นอะไร อยู่ที่ไหน ทำอะไร ที่บอกท่านว่า เป็นคนขยันนั้นคือ ขยันเกิด แล้วก็ขยันตาย ท่านหญิงยังสบาย เสวยสุขอยู่ในทิพย์วิมาน อันแสนจะสำราญอยู่ที่นี้ ที่โลกทิพย์นี่ สองสามราตรีเท่านั้นในพิภพนี้ แต่โลกมนุษย์ ปาเข้าไปห้าร้อยปีแล้ว ตัวอาตมาเองได้ดับชีวี จากเมืองผีไปเมืองคน วนเวียนอยู่หลายชาติแล้ว แต่ชาติก่อนๆ สมัยท่าน ฉันก็ถูกจับมาเป็นเชลย เป็นขี้ข้าเขา ต่อมาอีกชาติ เป็นนายทวาร เป็นขุนคลัง เขาสั่งประหารหนีตาย ขนเอาสมบัติไปฝังดินไว้ เข้าร่วมวงศ์ไพบูลย์ กู้เมืองช่วยพระยาตาก แล้วติดตามฝรั่ง ไปตายที่กรุงโรม และก่อนตาย ก็ไปสร้างกรรม หาความร่ำรวย สร้างความมั่งมี เอาไว้ที่เมืองฝรั่ง แล้วมาเกิดเมืองไทย กลับไปเอาในสมบัติเก่า เข้าบวชในศาสนาคริสต์ เป็นถึงบัณฑิตครูสอน แล้วย้อนกลับมาบวช ในศาสนาพุทธที่เมืองไทย อะไรกันนี่สนุกเหลือเกิน เราจะมาเพลิดเพลิน ในเรื่องเวียนว่ายตายเกิดอยู่หรือไง เป็นเพราะไอ้ตัวกิเลส ตัณหาบ้าบอแท้ๆ ที่ได้จองจำ นำพาให้เรา ต้องมาเวียนว่ายตายเกิด เทียวไล้เทียวขื่อ พอมาถึงตอนนี้ ท่านหญิงก็หัวเราะ เพราะท่านเองก็รู้ ตระหนักดีว่า เราเป็นคนขยัน คือขยันเกิด แล้วก็ขยันตาย แต่ในโลกทิพย์ เขาอยู่กันเพียงสองวัน เพราะมันมีความสุข วันคืนก็เลยยาว จึงได้ความว่า เวลาเร็ว คือเวลาที่ต้องการ แต่เวลานาน คือเวลาที่รอคอย คือโลกมนุษย์นี้ร้อยปี มีเวลาเท่ากับ หนึ่งวันของโลกทิพย์ มันห่างกันเหลือเกิน เราได้สัมผัสทางฝัน คุยกับท่านหญิงจนเพลิน ท่านก็บอกว่า พระคุณเจ้าอย่าลืมนะ เรื่องฉันร้องขอคือ ให้ท่านนำเอารูปลักษณ์ ที่ประจักษ์อยู่ใน มโนทวารของท่าน ให้ปรากฏแก่สายตา ของผู้คนที่เขาคิดถึงฉัน ให้ฉันได้ไปช่วยเขาด้วย และก็รับปากท่าน เพราะท่านเชื่อแน่ว่า เราทำได้ จึงมาคิดดูว่าจะเอาอย่างไรดี กับเรื่องที่ได้ให้สัญญาท่านไว้ หากเราจะเขียนสเก็ต ให้เป็นรูปร่างขึ้นมาจากกิ๊ฟ (Give) ให้ใกล้กับความจริง เราทำได้ เพราะเราเป็นช่างเขียน เรียนมาจากเมืองฝรั่ง ฝั่งแม่น้ำแชร์ ที่กรุงปารีส แต่นั่นมันเกิดขึ้นจากฝีมือเรา มิใช่เงา หรือภาพจริงของท่าน ที่มาปรากฏให้เห็นอย่างจริงจัง ฝรั่งเขาถือมาก ถือว่ารูปใด ที่เรารับจ้างเขียนให้ เขาไม่ได้มานั่งให้ดู ในเวลาเขียน เขาจะไม่เอา เพราะเป็นรูปที่ไม่มีเงาของเขา เข้าไปติดอยู่ในมโนภาพ แล้วภาพนั้น จะไม่มีชีวิตชีวา ถือว่าไม่ขลัง ดังนั้น อันการสร้างรูปท่านขึ้นมา จะด้วยวิธีการอย่างใด ก็ต้องให้ได้สัมผัส ทางจิตวิญญาณให้ได้ หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 29 มีนาคม 2553 11:50:56 อันการสัมผัสได้ ด้วยทางจิตวิญญาณนั้น แบบเรารู้เอง เราเห็นเองเป็นปัจจัตตัง รู้เฉพาะตน คนอื่นๆ เขาไม่ได้สัมผัส เขาไม่ได้เห็น เขาก็ไม่เชื่อ จึงมาใช้ความพินิจพิเคราะห์ดูว่า เราจะทำอย่างไรหนอ เราจะเอาสิ่งที่เห็นด้วยตาใจ ให้มาเห็นด้วยตาจริง เพื่อที่จะได้สิ่งอ้างอิง ให้เป็นรูปธรรม ได้ปรากฏแก่สายตา คนภายนอกได้ จึงมาค้นคิดขึ้นได้ว่า เราต้องใช้วิธีการ ถึงสองระบบ ได้แก่ ระบบนามธรรม คือทางจิต ไสยศาสตร์ทางจิตวิญญาณ และทางรูปธรรม คือเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งได้แก่กล้องถ่ายรูป จึงหากล้องถ่ายรูปมาสองตัว สองยี่ห้อ คือ กล้องโอลิมปัส Olimpus ของเยอรมัน (ตามที่มีผู้อ่านบางท่าน โต้แย้งมาเรื่องกล้อง Olympus ของเยอรมัน ว่าเขียนผิด ผู้เขียนเองรู้ที่มา ที่ไปของกล้องยี่ห้อนี้ เพราะผู้เขียนเองอยู่เยอรมัน ก่อนคนค้านจะเกิดอีก คือเมื่อ พ.ศ. 2496 ทีแรกเป็นของเยอรมัน แต่ญี่ปุ่นลอกแบบมาทำ เมื่อ พ.ศ. 2479 เพราะกฎหมายลักลอบ ลอกเรียนทางปัญญา ของประชาคมโลก ยังไม่มีในยุคนั้น แต่กล้องที่ถ่ายนั้น เป็นของคนชาติเยอรมัน เขามาอยู่ด้วย เขาเขียนไว้ว่า MADE IN GERMANY เพราะเขาถือว่า ต้นตระกูลเขา ออกแบบมา แล้วก็ขายลิขสิทธิ์ให้ญี่ปุ่น เรื่องก็เท่านั้นเอง ข้าพเจ้าจึงเขียนอย่างนั้น ขอบอกตรงๆ ว่า ถ้าไม่อยากอ่าน ก็อย่าอ่านเลยดีกว่า ไม่ต้องเอามาอ่าน ให้รกสมองของตน ด้วยโดยไร้เหตุผล) และกล้องโพโตลอง Potolon ของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นกล้องเก่าแก่ที่สุด มาดัดแปลง ติดตั้งอันเด็บเตอร์ พ่วงเข้าใส่นาฬิกา ตั้งเวลาให้เป็นออโตเมติก ให้ถ่ายได้เองทุกสิบนาที การดัดแปลงทางอิเล็คทรอนิกส์ อย่างนี้เราถนัดมาก เพราะเราเรียนอิเล็คทรอนิกส์มาแล้ว แล้วจัดหาเครื่องพลีกรรมทางไสยศาสตร์ ซึ่งมีเครื่องบูชามีอาหารหวานคาว ผลหมากรากไม้ และเครื่องแต่งตัวของผู้หญิงมี เครื่องขัดแป้งแต่งตัว น้ำอบน้ำหอมผ้าถุงเสื้อนุ่ง เป็นสีทอง ดังที่เรามองเห็น จากมโนภาพทางฝัน เป็นเรื่องทางไสยศาสตร์ เสร็จแล้วก็เตรียมตัว เตรียมใจ ในอันที่จะทำพิธีการ ในสถานที่ที่เราถูกกักบริเวณ ที่เราฝันเห็นนั้นเอง เพราะตอนนั้นเราเข้าๆ ออกๆ ได้แล้ว หมดเรื่องกับผู้ต้องหา การถ่ายรูปเอาดวงวิญญาณ อันหลักการอย่างนี้ ท่านผู้อ่านและท่านผู้ฟัง ฟังแล้วก็คงไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ แต่มันก็เป็นไปแล้ว ในหลักของพระพุทธศาสนา ก็มีมาในบาลีว่า ยังกัมมังกริสสันติ กัลยานังวา ปาปะกังวา ตัสสะทายาทาภวิสสามิ ได้ใจความว่า ไม่ว่ากรรมใดๆ ที่บุคคลกระทำแล้ว กรรมนั่นจะไม่หายไปไหน และจะติดตามให้ผล แก่ผู้กระทำตลอดไป ไม่เร็วก็ช้า ไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้า และในทางวิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ ก็มีหลักยืนยันว่า E=MC2 สสาร ย่อมไม่หายไปจากโลก ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น มีขึ้นแล้วในโลก เมื่อถึงคราวแตกดับไป สลายตัวไป ก็จะกลายเป็นสสาร ยืนยงคงอยู่ตลอดไป (เพราะอุณหภูมิ คือความร้อนรักษาไว้ เมื่อเราได้จัดแจง อุปกรณ์ภายนอก ทุกอย่างที่กล่าวมาแล้ว หันหน้ากล้องทั้งสอง เข้าหาพานเครื่องเส้นทำใจให้สงบ หันหน้าตัวเอง ไปแนวเดียวกับกล้องถ่ายรูป แล้วสวดคาถาว่า เอหิภูโต มหาภูโต สะมะนุสโส สะเทวะโก กะโรหิ เทวะทิ ตานังอาคัจเฉยะ อาคัจฉาหิ เอหิวิญญานะสุพรรณกัลละยา เทวะทิตา อาคัจเฉยยะ อาคัจฉาหิ มานิมามา ภาวนาได้เจ็ดครั้ง แล้วก็หยุด เอาสติตามลม เข้าออก เข้าออก เข้ารู้ ออกรู้ จนลมที่ออกๆ เข้าๆ มีความละเอียดลง ละเอียดลง ใช้ความรู้สึกอย่างแรง ในขณะหายใจเข้า ดึงเอาภาพลักษณ์ ของพระสุพรรณกัลยา ให้มาปรากฏ แล้วจิตมันก็ว่าง อันรูปภาพของพระนาง ก็ปรากฏขึ้นใน มโนภาพเห็นชัดเจน อันกล้องถ่ายทั้งสอง มันก็ทำงานตามที่กำหนดไว้ ใช้เวลาอยู่สามชั่วโมงก็หยุด เอาฟิล์มออกมาล้างดู ล้างด้วยมือเอง เพราะเราเคยเป็นช่างถ่ายรูปมาก่อน ได้รูปออกมาเป็นที่น่าพอใจ ไม่ผิดอะไรกับที่เห็น ในสัมผัสทางฝัน แต่รูปอื่นๆ ก็ติดมาบ้าง ที่ไม่รู้จักเราไม่เอามา ถึงตรงนี้ท่านผู้อ่านคงสงสัยว่า มีรูปคนอื่น ผีอื่น วิญญาณอื่นบ้างหรือเปล่า ขอตอบว่ามีโลกเมืองผี กับโลกเมืองคน มันก็มีสับสน วุ่นวายพอๆ กัน แบบไทยมุงก็มี ผีมุงก็มาก มันอยากดู อยากเห็นเหมือนกัน เรามีพร้อมแต่ไม่เอาลงมาที่นี่ เราก็เลือกเอาเฉพาะ ที่เราต้องการเท่านั้น เมื่อได้ออกมาแล้ว ก็เก็บเอาไว้ดู อยู่มาอีกหลายสิบปี เมื่อจะทำงาน อะไรที่เห็นว่าเป็นงานใหญ่ และเป็นงานท้าทาย เกี่ยวกับสังคม ก็ระลึกนึกถึงท่าน เพราะเราถือว่าท่านเป็นเทพธิดา ผู้ซึ่งเคยปวารณา อาสากับเราไว้ ดังงานค้นหาเสาหลักเมือง จังหวัดพิจิตร เขาคิด เขาค้นกันมานานไม่พบ เขาบอกว่า ถ้าได้เสาหลักเมืองขึ้นมา จากตรงไหน ก็จะขอมอบที่ดินทั้งหมด ให้ทางราชการ เขาควานหากันหลายสมัยผู้ว่า ก็ไม่พบ พอเขามาร้องขอเราไปเดินดู นั่งดู นอนดู สองวันเจอเลย จึงได้ลงมือก่อสร้าง ศาลเสาหลักเมือง และอุทยานเมืองเก่าไว้ ทุกวันนี้ แต่ปี พ.ศ. 2510 มาแล้ว และที่เสาหลักเมือง จังหวัดน่าน อีกเช่นกัน ท่านก็ชี้บอกให้ว่าอยู่ตรงไหน เสาจริงที่เป็นไม้ เขาเอาไปฝังไว้ใต้โบสถ์ หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 29 มีนาคม 2553 12:01:39 และต่อมาทางราชการ กระทรวงศึกษาธิการ มีนโยบายให้โรงเรียน ทุกโรงเรียน ต้องมีเครื่องหมายทางศาสนา ไว้หน้าเสาธง และให้มีทั่วประเทศ ไม่เกินห้าปี ถ้าไม่รีบทำอะไรจะเกิดขึ้น ก็ไม้กางเขนละสิ มันง่ายดี เมื่อในโรงเรียน มีเครื่องหมายของศาสนาอื่น เด็กชาวพุทธ ก็ถูกกลืนหมดแน่นอน ข้าพเจ้าจึงรีบร้อนจัดทำ จัดสร้างพระพุทธวิโมกข์ ขนาดหน้าตัก 19 และ 29 นิ้ว ขึ้นแจกฟรีๆ โดยไม่คิดมูลค่าใดๆ ร่วมแสนกว่าองค์ ใช้ทุนรอนส่วนตัวไป หมดไปหลายล้าน โดยไม่ยอมรับ บริจาคเงินทุน ไม่ยอมบอกบุญ เอาทุนเอารอนจากใครทั้งนั้น เพราะมีพร้อมแล้ว เรื่องนี้งานทั้งหมด ยกให้ท่านพระสุพรรณกัลยา เมื่อเสร็จแล้วก็รู้สึกทึ่งใจ เพราะงานคราวนี้ เป็นงานท้าทายกับความสามารถที่สุด ที่มนุษย์ดีๆ เขาทำกันไม่ได้ แต่เราก็ทำได้ ทำให้สังคม สร้างให้พระพุทธศาสนา ใครจะไหว้ จะไม่นับถือ เราก็มีเครื่องคุ้มกัน กันศาสนาอื่น ไม่ให้ยื่นมือเข้ามายุ่งกับนักเรียน เมื่อครบกำหนด จำนวนหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นองค์ ดังที่ได้บอกพระนางท่านไว้ ก็จัดปั้นการหล่อ เราลงมือตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 แล้ว แต่ขณะนั้น ยังมีงานเรื่องสร้างเสาศาลหลักเมือง ให้จังหวัดสระแก้ว กับจังหวัดพิษณุโลกอยู่ และตอนหลักเมืองจะเสร็จ ก็ได้ปรารภกับ ท่านสวัสดิ์ ส่งสัมพันธ์ ซึ่งท่านเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก ในสมัยนั้น แต่ท่านก็มีอันที่จะต้อง ไปรับราชการเป็นรองปลัดมหาดไทย เสียก่อน ท่านจึงได้เรียนบอกท่าน พลโทถนอม วัชรพุทธ แม่ทัพภาคสาม ท่านแม่ทัพก็รับปากทันที ตกลงกันว่า เราจะอัญเชิญพระรูปของท่าน ให้ไปประดิษฐานไว้ที่ที่ท่าน จะทอดพระเนตรเห็น น้องยาเธอทั้งสองพระองค์ของท่าน ที่ท่านร่ำร้อง ต้องการอยากจะทัศนาทอดสายตา ดูน้องชายทั้งสองของท่าน ตลอดไปอีกนานเท่านาน ซึ่งไม่ไกลจากวังจันทร์เกษม ซึ่งถือเป็นถิ่นกำเนิดของท่าน รูปหล่อนี้ เราหล่อด้วยเนื้อทองเหลือง และทองแดง ส่วนมากจะเป็นทองของเก่า ที่ขุดมาได้จากอยุธยาเป็นส่วนมาก แล้วลงรัก ปิดทอง ประดับด้วยอัญมณี ที่เป็นสมบัติของท่านเอง แต่อดีตชาติ แล้วก็ลงมือ หล่อรูปบูชาขึ้นมาอีก และทำรูปเหรียญ ของท่านขึ้นมาอีกด้วย หลายพันเหรียญ เพื่อให้ท่านแม่ทัพ จะได้แจกจ่าย แก่ผู้เคารพนับถือ ในพระนางท่านอีกต่อไป เท่าที่ข้าพเจ้าได้สัมผัส มาด้วยตนเองเป็นเวลา ล่วงมาได้สี่สิบห้าปีแล้ว รู้สึกว่าได้อาศัย บารมีของท่านตลอดมา เฉพาะงานที่เสี่ยงๆ และท้าทาย ท่านทั้งหลาย ที่ได้อ่านหนังสือนี้เข้า ก็คงจะหาว่า เอาเข้าแล้วหลวงตาโง่น แกจะบ้าหรือไง ไปเลื่อมใสกับผี กับวิญญาณไม่เข้าเรื่อง ขอบอกท่านผู้อ่านอย่างตรงๆ ว่า อันข้าเอง ก็ยังไม่สำเร็จอรหันต์ อรหลอะไรนี้หว่า ในขณะที่เดินไป ตกหลุมเลนโดยไม่รู้ตัว กลัวจะจมลงไปลึกกว่านั้น มีอะไรที่จะค้ำยันไว้ก็ต้องเอา หรือกำลังลอยตุ๊บป่องๆ อยู่ในท้องทะเลอันกว้างไกล จะจมตายแหล่มิตายแหล่ เห็นอะไรลอยมา ถึงจะเป็นซากศพของผีตายโหง แต่พอที่จะเกาะไว้กันตายได้ก็เอาละ ขอให้พ้นจากความตายได้ก็พอ อันเรื่องที่ข้าพเจ้า จะได้ติดต่อสัมผัส กับโลกวิญญาณ โลกลี้ลับที่กล่าวมาแล้ว ก็เป็นเรื่องบังเอิญ ที่ไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้คิดฝันมาก่อน แต่เรื่องบังเอิญเรื่องนี้ เวลาร่วมห้าสิบปี ก็ยังไม่ลืมเลือน จะลืมได้อย่างไร เพราะถ้าไม่ฝันไปเห็นท่านเข้า เราก็คงติดคุกอ้ายหม่องจนหัวโต ตายในที่ที่เขากักขัง ป่านนี้ก็คงจะเป็นตายโหง อยู่เมืองพะโคไปแล้ว และถ้าไม่ฝันไปเห็นเจอท่าน เราก็คงจะไม่ได้ศึกษา เรื่องโลกวิญญาณ โลกลี้ลับ และก็คงโง่เง่าดักดาน คัดค้านเรื่องโลกลี้ลับ ตลอดมาอย่างเดิม เพราะเคยโง่มาเป็นเวลาครึ่งชีวิต และเมื่อเราจับทาง ที่ท่านนำพาให้รู้แล้ว จิตใจเราก็ผ่องแผ้วสงบเย็น และเห็นเหตุการณ์ต่างๆ ทางฝัน จึงถือว่า พระนางท่านเป็นสหาย เป็นมิตร อยู่ใกล้ชิดตลอดมา และเป็นผู้ให้ความสดชื่นอุรา ในเวลาหงอยเหงา เป็นผู้ช่วยแบ่งเบา ในคราวเจอกับงานหนักๆ เป็นผู้ให้ความพิทักษ์ ปกป้องในคราวเกิดอันตราย และหลายครั้งที่เจอกับอุบัติเหตุ ทั้งทางอากาศ ทางน้ำ ทางรถยนต์ เราได้รอดพ้นมาได้อย่างอภินิหาร คนอื่นๆ ที่ประสบพร้อมกับเรา เขาเหล่านั้น ก็เรียบร้อยโรงเรียนผีกันหมด เหลือแต่เราคนเดียว ต้องขึ้นศาลเป็นพยานโจทก์ และพยานจำเลย มาหลายครั้ง ครั้งที่ห้า และครั้งที่หก ที่ศาลจังหวัดพิจิตรนี้เอง เพราะทางศาล หาใครเป็นพยานบุคคลไม่ได้ มันตายหมด ดังนั้นข้าพเจ้า จึงอดที่จะไม่นำเอาเรื่องราว ของพระนางท่านมากล่าว ให้ผู้สนใจไม่ได้ ได้ใช้ดุลยพินิจคิดว่าคงมี สาระประโยชน์ไม่มากก็น้อย แต่ที่กล่าวมาอย่างยืดยาวนี้ ก็มิใช่จะมีเจตนา ที่จะชักนำให้ท่านได้หลงใหล งมงาย ในเรื่องผี เรื่องวิญญาณอะไรทั้งนั้น เพราะเรื่องอะไร ทุกอย่างมันอยู่ที่จิตใจของเรา อันอิทธิฤทธิ์ก็ดี และอภินิหารก็ดี มันไม่อยู่ที่อื่น แต่มันมีรากฐานอยู่ที่ กำลังใจของแต่ละท่าน แต่ละคนเท่านั้น แต่จิตใจมันจะตั้งมั่น ก็ต้องมีเครื่องยึด คนที่ไม่ปฏิเสธ และไม่ยอมเชื่อถืออะไรง่ายๆ คือคนฉลาด เพราะเขาจะต้องหาเหตุผล เท่าที่ได้ค้นคว้าทางโลกวิญญาณมามากต่อมาก คือตลอดเวลาที่เป็นนักบวช ทางศาสนาพุทธร่วมหกสิบปี ได้ใช้สติปัญญา เวลาทั้งหมด ค้นแต่เรื่องของจิตใจ เรื่องของวิญญาณ เพราะคำสั่งสอน ในทางพระพุทธศาสนา ก็กล่าวว่า จิตเตนนิยติโลโก โลกอันจิต ย่อมนำไปทั้งที่เป็นวิญญาณเฝ้า และวิญญาณแฝง แต่ก่อนอื่น ที่จะเป็นจิตวิญญาณอื่นๆ ได้ก็ต้องฝึกหัดให้รู้ ให้เห็นจิตวิญญาณของตัวเองเสียก่อน อันจิตวิญญาณของเรานี้ มันอยู่กับเรา แต่เรามองไม่เห็นมัน ข้อสำคัญคือ ให้เห็นเราก่อน ตัวจิตตัวเราคือธรรมชาติ ความรู้สึกนึกคิด จิตใจตัวนี้เห็นมันยาก พระผู้มีพระภาค พระองค์ทรงตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นตถาคต อันการค้นคว้า หาจิตวิญญาณนั้น มันอยู่เลยความตายไปอีก เราจะให้พบ จิตวิญญาณของเราได้ ก็ต้องกำหนดจิตกับกาย ให้อยู่คนละส่วน ฝึกจิตใจ ไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น ในตัวกูของกู จิตอยู่ในที่ว่าง วางแล้วมันจะสงบ มันจะหลบเข้าสู่อีกมิติหนึ่ง ซึ่งเป็นภะวัง ภะวังคือภพของจิต ร่างของจิต ติดอยู่กับอุปทยรูป คือรูปแฝง มันจะเป็นรูปร่างที่เบา ไม่มีใครเห็นได้ นอกจากตัวเอง เรื่องนี้ ขอยกไปอธิบาย รายละเอียดไว้ตอนต่อไป หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 29 มีนาคม 2553 12:08:28 (http://members.fortunecity.com/saney/kalaya/monk3-2.jpg) แต่เรื่องราวของ พระสุพรรณกัลยา ที่กล่าวมานี้ เป็นเรื่องที่ท่านได้มีบุญ มีพระคุณ แก่ข้าพเจ้าคนเดียวเท่านั้น เมื่อกล่าวถึงส่วนรวมแล้ว พระนางท่าน มีพระคุณอย่างเหลือหลาย เหลือที่จะบรรยาย เป็นภาษามนุษย์ ทรงมีปิยคุณท่วมท้น ล้นฟ้าชลาธาร ท่วมวิญญาณทวยราชทั้งชาติไทย เมื่อกล่าวถึง เชื้อพระวงศ์แล้ว พระนางท่านก็อยู่ในระดับ เจ้าฟ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ คือเป็นพระธิดา ของพระมหาธรรมราชา ซึ่งต้นตระกูลของท่าน ก็ได้จัดสร้างพระพุทธชินราช ซึ่งงามที่สุดในโลก ไว้ให้ชาวพุทธได้บูชา แต่ต่อมา ก็เป็นกษัตริย์องค์สุดท้าย ของวงค์สุโขทัย ที่ได้ไปครองกรุงศรีอยุธยา ซึ่งนับว่า เป็นพระราชธิดา ของต้นตระกูลไทย พระองค์หนึ่ง ตอนที่ยังทรงพระเยาว์วัย ก็ได้สถิตอยู่ในไอศูรย์สมบัติ อันน่ารื่นรมย์ ประทับอยู่ในสถานที่น่าชื่นชม น่าทัศนา กาลต่อมา บ้านเมืองพังพินาศ พระนางท่านต้องนิราศรอนแรมไกล ไปเป็นเชลย ได้ใช้ชีวิตแบบทาส อยู่ใต้เบื้องบาทผู้เป็นนาย แล้วเลี้ยงดูน้องชายทั้งสอง ได้ประคับประคองจนเติบใหญ่ ขึ้นเป็นจอมไทยมหาราช คือพระนเรศวร กับพระเอกาทศรถ มีพระนามปรากฏขจรไกล แก่ชาวไทยทั้งประเทศ ผู้เป็นเหตุ ในพระคุณนี้คือพระนาง ท่านทำคุณประโยชน์ ไว้ให้แก่คนไทยทั้งชาติ คือต้องยอมเสียสละความสุข ตลอดพระชนม์ชีพส่วนตัว เพื่อความอยู่รอดของบ้านเมือง สยามไทยทั้งประเทศ ซึ่งก็ไม่มีวีรสตรี หรือวีรบุรุษท่านใด ในอดีตถึงปัจจุบัน ที่จะได้เสียสละอย่างนั้น ซึ่งก็มีวีรสตรีบางท่าน ที่ซึ่งผู้อยู่เบื้องหลัง ได้ก่อสร้างรูปเป็นอนุสาวรีย์ไว้ แต่ท่านเหล่านั้น ก็ยอมเสียสละให้ เฉพาะบ้านนั้น เมืองนั้นเท่านั้น นับว่าเป็นวงแคบ ส่วนพระนางสุพรรณกัลยานี้ ท่านยอมเสียสละ พระชนม์ชีพตลอดทั้งความสุข เพื่อคนไทยทั้งชาติ และเพื่อแผ่นดินสยามไทย อันกว้างไกลทั้งประเทศ ที่เราๆ ท่านๆ ได้มีผืนแผ่นดิน ที่อุดมสมบูรณ์ อันกว้างใหญ่ไพศาล ซึ่งได้รับความสุข ความสำราญกันทั่วหน้านี้ มิใช่เราได้มาจากพระเมตตา และการเสียสละ ของท่านนะหรือ แล้วสมควรไหม ที่ชาวไทยจะลืมท่านลง ลืมกันหมดแล้วจะบอกให้ แต่ถ้าได้อ่านเรื่องนี้แล้ว ท่านผู้มีกตัญญูกตเวทิตาธรรม คงไม่ลืมแน่ (http://members.fortunecity.com/saney/kalaya/monk3-1.jpg) หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 29 มีนาคม 2553 12:35:10 (http://members.fortunecity.com/saney/kalaya/monk3-5.jpg) ตามรอยกรรมนำเที่ยวโลกวิญญาณ กัมมุนา วัตตะตี โลโก (สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม) อันเวรกรรมที่กระทำเอาไว้ จะให้ผลแน่นอน จึงขอย้อนกล่าวไปถึง บุพกรรมของผู้เขียน เพื่อเรียนเจริญพร ให้ท่านผู้อ่านเรื่องย้อนรอย ถอยหลังอีกนาน อันประวัติการณ์ย้อนรอยกรรม ที่ไปเกี่ยวกับพระประวัติ ของพระนางสุพรรณกัลยา ที่กล่าวมา ซึ่งท่านผู้อ่านได้ทราบ เรื่องมาแล้วนั้น อันเรื่องพื้นเพเดิมของมารดา โยมแม่ของผู้เขียนเอง มีภูมิลำเนา อยู่แถบรัฐฉานไทยใหญ่ ได้ถูกกวาดต้อนมาอยู่เขต เมืองโยนก เชียงใหม่ และแม่มาเกิดที่จังหวัดลำพูน แถวบ้านปาง อำเภอป่าซาง ส่วนตระกูลของโยมบิดา เป็นคนอยุธยา มีอาชีพรับจ้าง เป็นหัวหน้าล่องแพไม้สัก ให้กับบริษัทบางกอกด๊อก แล้วไปมีความสัมพันธ์ ความรักกันแล้วแต่งงาน เมื่อตั้งท้องได้สามเดือน คุณโยมมารดา เข้าวัดจำศีลอุโบสถอยู่วัดบ้านปาง เมื่อท้องแก่ได้เก้าเดือน คุณพ่อก็ขึ้นไปรับ ล่องแพมาตามลำน้ำแม่ปิง ใช้เวลาร่วมเดือน จึงมาถึงปากน้ำโพ จอดแพไว้แบบเอาแพเป็นบ้าน ข้าพเจ้าผู้เขียนก็ได้เกิดลืมตาดูโลก ในกลางสายน้ำนี้เอง ดังนั้นชีวิตเบื้องต้นของผู้เขียน จึงไม่มีบ้านเลขที่เกิด คือเกิดในแม่คือแม่น้ำ และแม่จริงเป็นคนแปลก ที่เกิดขึ้นมาจากสองแม่ ระหว่างแม่ปิง กับแม่น้ำน่านรวมกัน และเวลาเกิดก็เกิดโดยอุบัติเหตุ คือแม่ไม่รู้ตัวว่าลูกจะออก เพราะอุ้มท้องมาได้ 11 เดือนกว่า เมื่อปวดท้องปัสสาวะ แม่ก็ถ่ายปัสสาวะบนร่องแพนั่นเอง เจ้าลูกอยู่ในท้องคือ ผู้เขียนเองก็หลุดออกไปตกลงในน้ำ ขณะนั้นสุนัขชื่อเจ้าเก่งเพื่อนรักของพ่อเอง ก็กระโจนลงไปคาบขาเอาไว้ พาว่ายน้ำขึ้นมาออกเสียงว่า อุแว๊ อุแว๊ โยมพ่อกระโดดลงไปช่วยเอาไว้ ถ้าไม่มีสุนัขชื่อเจ้าเก่งแล้ว ผู้เขียนคงจะมรณัง มรณาเป็นเยื่อปลาไปแล้ว แม่จึงสั่งไว้ว่า ให้รักหมาเลี้ยงหมา เพราะเขาเป็นผู้มีบุญคุณแก่เราเอง แม่ก็ตั้งชื่อให้ว่า เจ้าเก่ง ชื่อเดียวกับหมา ตกลงว่า หมากับฉันมีชื่อเดียวกัน เมื่ออายุได้สิบกว่าปีท่าน Dermonsh (เดียร์มองเซ) ผู้มีหุ้นใหญ่ในบริษัท และใหญ่ในทางการเมือง ในด้านเอเซียตะวันออกทั้งหมด ขอไปเป็นบุตรบุญธรรม แล้วนับถือศาสนาคริสต์ จนเติบใหญ่อายุได้ 25 ปี เมื่อกลับเมืองไทย แม่ก็ขอร้องให้ถือศาสนาพุทธ ก็รู้สึกฝืนความนึกคิด เพราะติดพระคริสต์เสียแล้ว แต่นี่แม่ขอ ขอให้ไปศึกษาทาง ศาสนาพุทธ จึงขึ้นไปทางเหนือถิ่นเดิมของแม่ ก็รู้สึกว่าน่าศึกษาในความเป็นมาของตุ๊เจ้าองค์หนึ่งคือ ตุ๊เจ้าครูบาศรีวิชัย เพราะในชีวิตของท่าน มีแต่ การต่อสู้ ท่านสู้เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา วัฒนธรรม สังคม แต่ท่านก็มีแต่เรื่องถูกจับกุมคุมตัวมาสอบสวนที่กรุงเทพถึง 5 ครั้ง อันนี้เองทำให้เราน่าเลื่อมใส เพราะปฏิปทาของท่านองค์นี้ จะเป็นที่ยอมรับของคำสอนทางฝ่ายคริสต์ เพราะพระคริสต์ท่านสอนว่า พระผู้เป็นเจ้า ท่านเกิดมาเพื่อประโยชน์สุขของชาวโลก ผู้ได้เสียสละความสุขส่วนตัว เพื่อความอยู่รอด ของสังคมของมวลมนุษยชาติ เป็นชีวิตที่มีค่า จึงตัดสินใจบวช ปีแรกในฝ่ายมหานิกายอยู่กับตุ๊เจ้าครูบาศรีวิชัย ได้รับโอวาทจากท่านว่า ชีวิตที่มีค่าแก่สังคม เราต้องฆ่าตัวเอง คือฆ่าความเห็นแก่ตัว ฆ่ากิเลส ต่อไป คุณจะเป็นคนร่ำรวย มั่งมีศรีสุข แต่คุณอย่าติดมัน ทรัพย์สมบัติคือ ตัวทุกข์ ยศคือตัวผี ผีร้าย ผีหลอก สังคมเขาหลอกใหัติดมัน สรรเสริญคือตัวมาร สุขอันเป็นโลกียะ คือตัวหลุมเลนในส้วม พระอริยเจ้าท่านเบื่อหน่าย เหม็นเน่าเจ้าจงจำไว้เน้อ แต่อย่าลืมเรื่องเวรกรรมที่ทำไว้มันจะเป็นเงาตามตัว ตามสนองผล หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 29 มีนาคม 2553 12:54:58 เมื่อปี พ.ศ. 2481 ข้าพเจ้าได้ 1 พรรษา ตุ๊เจ้าครูบาศรีวิชัยก็มรณภาพ ไปสู่อนาคามีนี้ ท่านกล่าว ในขณะที่ท่านจะสิ้นใจว่า อนาคามีๆ ผู้ไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว ตัวข้าพเจ้าเองก็เร่ร่อนรอนแรม เป็นพระธุดงค์ทรงกลด พระธุดงค์ทรงรถยนต์บ้าง ทรงรถไฟบ้าง พระธุดงค์ทรงเรือไฟ ไปทุกแห่งจนถึงธิเบต และทั่วเมืองไทย อีกใจหนึ่งนึกอยากเป็นหมอสอนศาสนาเข้าหาคริสต์อีก จึงไปเจอ หลวงพ่อครูบาวัง ที่วัดบรมนิวาส เห็นท่าน สั่งสอน เข้าหลักธรรมชาติประยุกต์เข้ากับวิทยาศาสตร์ที่เราได้ศึกษามาก่อน พระเถระองค์นี้ มีพุทธัง สะระณัง คัจฉามิ จริงๆ ไม่เหมือนที่เราเห็นมามาก ต่อมากที่บอกแต่ปาก ส่วนจิตใจกับไปเป็น พุทธัง เอาสะตังสะระณัง และเป็นพระที่มีตัวแฝงอยู่มาก ยากที่จะหาพระนักปฏิบัติสมัยนั้นเหมือนท่าน เรื่องลาภ ยศ สรรเสริญ สุข อันเป็นโลกียะ ท่านลดละแทบทั้งหมด มีแต่ความรู้ถึงภาวะจิตใจคนที่เรียกว่า มโนมยิทธิญาณ เพราะข้าพเจ้าเองชอบทดสอบ ทดลอง ท่านทายความรู้สึกนึกคิดว่าอะไรเป็นอะไร คิดอยู่ในใจ ท่านรู้หมด แล้วเรียกให้เข้าพบ ท่านจะแก้ไข แก้ความข้องใจ ในเรื่องเราคิดแบบธรรมชาติ กับหลักวิทยาศาสตร์ ทั้งฟิสิกส์และเคมีมาอธิบายให้ฟังจนหายสงสัย อันพระสงฆ์ทั่วๆ ไป ที่ได้พบมาจะไม่มีความรู้อย่างนั้น จึงติดตามท่านไป ท่านชวน ให้ยัติเป็นธรรมยุตเมื่อ พ.ศ. 2485 ที่วัดศรีเทพ จังหวัดนครพนม แล้วขึ้นเขารังกา เพราะเห็นว่า ปฏิปทาของพระอาจารย์วัง ใกล้ชิดกับตุ๊เจ้าครูบาศรีวิชัย เพราะนิสัยท่านไม่ต้องการลาภ ยศ สรรเสริญ และสุขทางโลกียะวิสัย ไม่เหมือนพระสงฆ์ไทยบางท่านที่เราเห็นมา ต่อมาภายหลัง เมื่อปี พ.ศ.2489 ข้าพเจ้าไปธุดงค์ทางภาคเหนืออีกหลายแห่ง ในเขตเมืองโยนก เชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน แล้วมาปักกลด อยู่ที่วัดพระบาทตากผ้า ในคืนวันหนึ่งได้ฝันนิมิตไปเห็นตุ๊เจ้าครูบาศรีวิชัย ท่านมาให้โอวาทว่า ชีวิตที่ไม่มีอุปสรรค ไม่มีเรื่อง เป็นชีวิตที่ไม่มีบทเรียน ชีวิตที่ไม่เคยผ่านกับความทุกข์ เป็นชีวิตที่โง่ เราอยากจะให้คุณ ไปแสวงหาต้นกรรมของคุณที่เมืองอยุธยาโน่น จะได้รู้ ได้สู้กับกรรมเวร ที่คุณทำมาแต่ อดีตชาติ จึงขึ้นรถไฟ จากลำพูนถึงอยุธยาลงจากรถไฟ แล้วเดินต่อเข้าเมืองเก่า ที่มีแต่วัดวาอาราม เวียงวังเก่าๆ ที่ชำรุดทรุดโทรม เพราะถูกเผา ทำลายมาหลายครั้ง จากน้ำมืออันโหดร้ายของข้าศึกในสมัยก่อน เราพักนอน ทำความเพียรทางจิตอยู่ที่นั่น 7 วัน ซึ่งแต่ละวันเมื่อจิตฝันไป ก็เห็นแต่ พวกมนุษย์มีเวรมีภัย รบราฆ่าฟันกันไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้น อีกสองวันต่อมาจึงเดินธุดงค์ข้ามทุ่งนา ไปปักกลดอยู่ที่ภูเขาทอง ในคืนแรกนั้นเอง ฝันไปว่า ตัวเองไม่ได้เป็นพระภิกษุ แต่เป็นนักรบเคยสู้รบกับข้าศึกมาครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วที่สุดก็แพ้เขา แล้วเราก็ถูกกวาดต้อน ไปเป็นเชลยอยู่ต่างแดนทาง ทิศตะวันตก แล้วมองเห็นภาพชัดเจนว่าเราไปไหน เขาทำทารุณกรรมอย่างไรกับเรา และกับคณะของเรา ว่าได้รับความทุกข์ ความทรมาน อย่างแสน สาหัสสากันอย่างไร ขณะนั้น ได้ยินเสียงก้องเข้ามาในโสตประสาทว่า ท่านต้องรีบไป ไปตามรอยกรรม ไม่ไปไม่ได้จะไม่มีใครแก้ไข ในภาวะวิกฤตอย่างนี้ จึงรีบไปเมืองพะโค คือเมืองหงสาวดีโน้น เพราะถ้าไม่ไปผู้เป็นมิ่งขวัญ ดวงตา ดวงใจ ของคนไทย จะมาไม่ได้ และมีท่านองค์เดียวเท่านั้น ที่จะช่วย ให้คนไทยให้พ้นภัย เมื่อตื่นเช้าขึ้นมา หลังจากฉันภัตตาหารแล้ว ก็ออกเดินทางเมื่อวันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2490 ขึ้น 12 ค่ำ เดือนห้า ปีกุล ซึ่งมีเครื่องบริขาร ของพระธุดงค์ ทั้งสะพาย แบก หิ้วพะรุงพะรัง เดินรอบประทักษิณ พระเจดีย์ภูเขาทอง แล้วก็ออกเดินทาง มุ่งสู่เมืองวิเศษชัยชาญ ศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี ล่องใต้สู่เขาพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี เราไปพักค้างคืนอยู่วิเวกที่นั้น เราพักปักกลด อยู่ระหว่างเจดีย์สามองค์ ซึ่งนับว่า เป็น สถานที่ท้องถิ่นดินแดนที่มีการรบราฆ่าฟันกันมากที่สุด ในพื้นแผ่นดินสยาม เพราะในนิมิต ฝันไปเห็นผู้คนล้มตาย เกลื่อนกลาดตลอดสัตว์ คือช้าง ม้า ก็ล้มตายกัน น่าสยดสยองยิ่งนัก หากนักประวัติศาสตร์ และนักธรณีวิทยา พากันมาขุดค้นหากันจริงๆ ก็คงจะเจอกองกระดูกของคน และสัตว์มากที่สุด และจะมากกว่าทุกๆ แห่ง ในพื้นแผ่นดินสยามไทย แต่ในนิมิตจิตใจของเราเอง ก็ยังอยากจะเดินทางไปให้ถึงที่สุด หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 29 มีนาคม 2553 13:03:33 รุ่งขึ้นวันหลังก็เดินธุดงค์ต่อแบบ เอกะจาริโก (เดินคนเดียว) ใช้เวลา 3 วัน ถึงถ้ำมะเกลือ เมืองปิล๊อก ซึ่งเคยมาก่อนแล้ว พักค้างคืนได้สองวัน แล้วออกเดินทางต่อ ผ่านอำเภอไทรโยค เข้าเมืองสังขละบุรี ใช้เวลาเดินทาง จากเขาพนมทวน จึงด่านเจดีย์สามองค์ ใช้เวลา 7 วัน แล้วพักเอาแรงอยู่ที่นั่น 7 วัน เพราะเราไปแบบไม่รีบร้อน ไปตายเอาดาบหน้า โดยไม่มีจุดหมายปลายทาง แต่ที่ฝันเอาไว้ว่า จะต้องไปเมืองพม่าให้ได้ ตามนิมิตฝัน นี่แหละท่านผู้อ่าน อันคนที่ชอบเชื่อความฝัน สักวันหนึ่งจะเจอเรื่องดี แถมจะเอาชีวีไม่รอด ดังจะกล่าวต่อไป คือ ได้ตั้งปัญหาถามตัวเองว่า มันเรื่องอะไร ที่ต้องเข้าไปเมืองพม่า อันเป็นเมืองไร้ค่า ล้าหลัง ไร้อิสระภาพ ต้องตกเป็นเมืองขึ้นของมหาอำนาจตะวันตกเป็นร้อยๆ ปี เพราะความระยำ อัปรีย์ของมันที่มาเข่นฆ่าทารุณคนอื่น แล้วเผาผลาญ เมืองอโยธยา ซึ่งแต่ก่อนรุ่งเรืองมั่งคั่ง ดังเมืองฟ้า เมืองสวรรค์ มันมาเผาผลาญ ให้เหลือแต่ซาก เราผ่านอุทยานเมือไร มันดลใจให้น้ำตาไหลทุกที เพราะความแค้น แค้นที่มันมาเข่นฆ่า ราวีพี่น้องไทย ให้เหลือแต่กระดูก ฝังไว้ใต้พื้นพสุธา ที่ผ่านมาในชีวิต เราได้ไปอยู่ ไปรู้ ไปเห็น เมืองที่เขาเจริญ รุ่งเรืองมาแล้วทุกมุมโลก คือยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เราไปเห็นมาแล้ว และอยู่มาแล้ว แห่งละหลายปี นี้มันเมืองพม่าเมืองล้าหลัง เพราะคงเป็นเวรกรรมของมันแท้ๆ ที่ยกทัพมารังแกคนไทย ละลอกแล้วละลอกอีก นี้เราจะไปทำไม ไปแล้วจะได้อะไรมา แต่เราจะไปเพราะฝัน (ก็ฝันบ้าละซิ) ฝันไปหาเหตุ ดีไม่ดีตายเอากลางทาง จึงมาคิดได้ว่า นานเหลือเกินเดินทางกลางความทุกข์ ทั้งล้มลุกคลุกคลานซมซานขวัญ ใจรอนๆ อ่อนล้ามานิรันดร์ เหลือแต่ฝันพอแฝง เลี้ยงแรงใจ จึงตกลงว่า เอ๊าไปก็ไปเป็นไรเป็นกัน ก็ความฝันมันจะให้ไปไปใช้กรรม ใช้เวรที่ตัวเองก่อไว้แต่ปางก่อน มันคงย้อนกลับมาเวรานุเวร มันหนีไม่พ้นต้องตามสนองไม่เร็วก็ช้า นับว่าเป็นเรื่องที่แน่นอนที่สุด เท่าที่ฝันไปเห็นเรื่องว่า ในอดีตชาติ เราเคยเป็นนักรบผู้มีฝีมือ และเป็นนายช่าง เป็นหมอผี หมอยา หมอเทวดา สารพัด ยอดตลบตะแลง เมื่อแพ้สงครามสมัยพระเจ้ามหินทราธิราชครองเมืองอโยธยา เมื่อเขากวาดต้อนไป ทั้งพระประยูรญาติ เจ้าเหนือหัวคือ พระมหินทราธิราช ก็สิ้นพระชนม์ชีพที่เมืองอังวะ เราได้เป็นพิธีกรเผาพระศพท่าน แล้วก็เอาอัฐิ ไปฝังไว้ที่พระธาตุ เจ้าบุเรงนองจึงแต่งตั้งให้พระมหาธรรมราชา ซึ่งเดิมเป็นเพียงมหาอุปราชเท่านั้น ขึ้นครองราชแทน เจ้าหม่องกวาดต้อนเอาไป และเขาจัดเรา ไปอยู่ใกล้ชิดกับหน่อกษัตริย์ทั้งสามพระองค์ ที่ยังทรงเป็นทารก เขายกให้ดูแลรักษา เวลาท่านเจ็บไข้ได้ป่วย และรับภาระทุกอย่าง ในสิ่งที่ท่านต้องการ เขาจึงได้แต่งตั้งให้ข้าพเจ้าเป็น (ขุนอนุรักษ์ ศักดิ์เสนา) มีหน้าที่ดูแลรักษาทุกๆ คนที่เป็นเชลย แล้วชาตินี้ ก็ต้องไปใช้กรรม นำเอาทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ตกค้างอยู่ในเมืองพะโค คือเมืองหงสาวดีมาให้หมด และเรื่องที่จะถูกจับกุมตัวในสมณะเพศที่ผ่านมา ก็เพราะเราเป็นตัวการวางแผน ให้เจ้าบุเรงนอง ผู้เป็นบิดา กับเจ้ามังไชยสิงหะราช (นันทบุเรง) ทะเลาะกัน ถึงกับสั่งลูกน้องเข่นฆ่ากันตายเป็นใบไม้ร่วง นึกว่าเพื่อแก้ลำมัน จนถึงกับมันต้องเปลี่ยน แผ่นดินกัน เพราะเราวางแผนแท้ๆ แล้วกรรมนั้น ก็มาสนองให้เราต้องถูกจองจำ เพราะโทษทัณฑ์ ทางการเมืองในชาตินี้ เมื่อปี 2490 อย่างแสนสาหัส แทบจะเอาตัวไม่รอด แต่ถ้าทวยเทพเทวา ไม่มาเข้าฝัน ให้หันเข้าหาตัวแฝง เราก็คงแย่ แพ้เขาไปเลย หรืออาจจะถูกเก็บเงียบไปเลย ใครจะรู้ หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 29 มีนาคม 2553 13:16:57 (http://members.fortunecity.com/saney/kalaya/monk3-6.jpg) พบพระวิญญาณของผู้สูงศักดิ์ ร้องขอให้เดินทางต่อไป เราพักค้างอ้างแรม อยู่ที่ด่านพระเจดีย์สามองค์ เป็นเวลาเจ็ดวัน เพราะต้องทำความเพียรทางจิต อย่างอุกฤษฏ์แบบเอาเป็นเอาตาย เพราะ ใจหนึ่งอยากไป แต่อีกใจหนึ่งไม่อยากไป ยังตัดสินใจไม่ถูก ว่าจะเอา อย่างไรดี แต่เราก็มีลางสังหรณ์ ในเวลาลืมตาไม่อยากไป พอเวลาหลับตา ก็จะไปให้ได้ เราต้องไปใช้กรรม ไปแก้กรรม ถ้าไม่ไปจะไม่รู้จักทางแก้ แน่นอนที่สุดคือต้องไป ในราตรีคืนวันที่ 29 เมษายน 2490 เราตั้งใจทำความเพียรทางจิต เพื่ออุทิศบุญกุศล ไปให้คุณบิดา มารดา ผู้บังเกิดเกล้า เพราะ พรุ่งนี้เช้า เป็นวันศุกร์ที่ 30 เมษายน เป็นวันที่เราได้อุบัติเกิดขึ้นมา ลืมตาดูโลก คือ วันเกิดของเรา รัตติกาลผ่านเข้าสองยาม ไปแล้วก็ปรากฏเห็นนิมิต ในฝันว่า มีผู้สูงศักดิ์สองท่าน แต่งตัวเป็นนักรบระดับสูง พร้อมด้วยบริวารจำนวนมาก เข้ามาพบ ด้วยแสดงความนอบน้อม พร้อมด้วย เอ่ยปากว่า พวกกระผมโชคดี ที่ได้มาพบท่าน เพราะแต่กาลก่อน ท่านเคยเป็นขุนอารักษ์ ศักดิเสนา แต่นี้ท่านเป็น นักบวชแล้ว แต่ก่อนได้ช่วยอภิบาล ดูแลพวกเรา ให้พ้นภัย และท่านต้องรีบไปช่วยพวกเรา ที่ตกยากอยู่ต่างแดน ที่เมืองหงสาวดีโน้น พวกเราจะจัดแจง ให้มีคนที่เป็นนายพรานป่า นำพาท่านไป โดยสวัสดิภาพ ท่านไม่ต้องเป็นห่วง แล้วท่านทั้งสองก็ชี้มือให้ดูว่า ทางโน้นครับนายพรานป่า เขาจะนำท่านไปเอง ไปช่วยเหลือพวกเรา ที่ถูกจองจำ ตกยาก และรับรองว่า ท่านคนเดียวเท่านั้น ที่จะช่วยได้ เพราะเป็นบุพเพสันนิวาส เคยเป็นทาสรับใช้มาแล้ว แต่ปางหลัง พอรุ่งสางขึ้นวันใหม่ เรามาทบทวนหวนจิต คิดถึงนิมิตฝันที่ผ่านมา เมื่อราตรีกาลคืนนั้นว่า ใครหนอที่แต่งตัว แบบจอมทัพ กับบริวาร มาไหว้วานให้เรา ต้องเข้าไปทางตะวันตก แล้วก็ขึ้นเหนือ เพื่อช่วยคน อันท่านทั้งสองผู้สูงศักดิ์นั้น คือใครกันแน่ จะเป็นเทวดา ผี หรือคน หรือทวยเทพ เทวดา ผู้ที่เคยเป็นนักรบ แพ้เขาแล้วเป็นเชลย และเราก็ไม่เคยรู้จักท่านมาก่อน จึงกำหนดจิต คิดย้อนสู่อดีตกาล จึงพอจะรู้ว่า ท่านคือองค์มหาราช ที่ได้กอบกู้ เอาบ้านเมืองไว้ แต่เรายังไม่รู้ ว่าเป็นใครอีกเช่นกัน เพราะความฝัน ก็คือฝันเอาจริงไม่ได้ จิตจะฝัน ก็เพราะจิตใต้สำนึกไม่สงบ แต่ในชั้นกามภพ ก็ควรจะให้มีแต่การนอนฝัน นี้เรานั่งฝันไปนี่นา แล้วจะเอาจริงอะไรเล่า แต่การนั่งฝันของเรา เราเคยเชื่อตนเอง ถึงร้อยเต็มร้อยมาแล้ว เพราะได้ศึกษาเรื่องตัวฝัน ตัวแฝงมาบ้าง หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 29 มีนาคม 2553 13:35:19 (http://members.fortunecity.com/saney/kalaya/monk3-7.jpg) นายพรานป่าที่น่าหวาดกลัวเข้ามาหา เวลาอัสดงของวันนั้น เรากำลังเดินจงกรม อยู่ด้วยความสงบ เดินไปเดินมาอย่างช้า ได้ยินแต่เสียงวิหค นกกามาส่งเสียงเจื้อยแจ้ว หาที่นอนตามธรรมชาติของมัน ในขณะนั้นเอง เราเห็นนายพรานป่า ที่น่าสะพรึงกลัว เพราะบนหัว แกโพกผ้าสีแดง มือทั้งสองถือปืนยาว แบกปืนโบราณ ใช้เหล็กนกนับหิน คงเป็นปืนที่ใช้ล่าเนื้อ สะพายย่ามใบใหญ่ ด้านหลังมีมีดเล่มใหญ่ ใส่ฝัก ออกปากทักคำเดียวว่า พระคุณท่าน แล้วแกก็คุกเข่า เอาปืนวางไว้ข้างๆ ถอดมีดอีโต้ ออกมาจากเอวข้างหลัง แล้วยกมือไหว้แบบโบราณ คือ ยกมือขึ้นใส่เกล้าบนหัว แล้วกราบลงสามครั้ง แล้วออกปากว่า พระคุณท่าน ผมชื่อ หิรัญพนาสูร ผมมาตามคำสั่ง ของเจ้าเหนือหัว ผู้ยิ่งใหญ่ ให้มาเป็นอารักขา พาเป็นมัคคุเทศก์ ช่วยป้องกันเหตุร้าย ที่จะมากล้ำกราย ทำร้ายท่าน ในขณะที่ท่าน จะเดินทางสู่แดนอันตราย และเรียบผ่านป่าเขาลำเนาไพร ไปทางทิศตะวันตก แล้ววกขึ้นไปทางเหนือ ที่ท่าน จะต้องลัดเลาะ เข้าไปในเขตทุรกันดาร ผ่านมนุษย์หลายเผ่า หลายชาติ หลายศาสนา แม้แต่พวกคนเงาะ คนป่าก็มีไม่น้อย เจ้าเหนือหัวให้ข้าไปด้วย ดูแลเพื่อจะได้ช่วยแก้ไข ภาวะวิกฤตที่พี่น้องของพระองค์ท่าน ยังตกติดค้างอยู่ต่างแดน เป็นเชลยยังติดอยู่ ท่านจะต้องใช้เวลาเดินทาง อย่างน้อย 1 เดือน ผมจะไปด้วย เพื่อช่วยนำบอกทาง และป้องกันอันตราย ไม่ไปไม่ได้ คอขาดแน่ เจ้าเหนือหัวสั่งมา ผมจะรับอาสา ไปส่งและกลับพร้อมท่าน ข้าพเจ้าจึงถามแกว่า โยมจะพาฉันไปไหนหละ ก็ไปตามทาง ที่เจ้าเหนือหัวสั่งนั่นแหละ ผมจะนำพาท่านไปเอง เราก็ตอบเขาว่า มันจะเหมาะหรือ คุณโยม ฉันเป็นนักบวช เป็นพระภิกษุสงฆ์ จะไปด้วยกันกับท่าน ที่เป็นนายพรานป่า ผู้มีอาวุธอยู่ในมือ ในพระวินัยสงฆ์ ก็ห้ามพูดคุยกับบุคคล ผู้มีศัสตราวุธในมือนะโยม ถ้าฝ่าฝืน อาตมาก็เป็นอาบัติ และฉันเองบวชเข้ามา ก็มิใช่เป็นพระนักรบอย่างคนอื่นๆ เขา พอแกได้ฟังแล้ว ก็ท่างงๆ แล้วออกปากถามว่า พระนักรบ เป็นอย่างไร พระคุณท่าน เออคุณโยม พระนักรบก็คือ พวกรบกวนชาวบ้านนะซิโยม ได้แก่ นักบวชที่ชอบขอ ที่ชอบเรี่ยไรไม่รู้จักพอ ขอตะบันยันเต คือเมื่อหลายวันมาแล้ว ฉันเดินธุดงค์ มาหยุดพักตามห้างไร่ห้างนา ได้อาศัยเอาเป็นที่บรรเทาความร้อน ได้ถามชาวบ้านเขาว่า เป็นอย่างไรบ้างโยม ข้าวนาข้าวไร่ มีพอใช้พอกินตลอดปีหรือเปล่า เขาตอบว่า เออถ้าปีไหน หนูไม่กัด วัดไม่ขูด ก็พอกินเจ้าข้า พออาตมาได้ฟังเขาตอบอย่างนั้น แล้วก็รู้สึก อายตัวเอง และอายแทนพระนักรบ คือรบกวนชาวบ้านด้วย ดังนั้น จึงไม่อยากจะรบกวนใคร คราวนี้ถ้าคุณโยมไปกับฉัน ครอบครัวโยมจะลำบากอีก อาตมากับโยมไปด้วยกันได้ แต่จะพูดด้วยกันไม่ได้ ถ้าหาไม่ อาตมาก็เป็นอาบัติ อาตมาขอทีเถอะ คุณโยมอย่าไปเลย ถึงเจ้าเหนือหัว ท่านตรัสถาม หรือ ทำโทษโยม ก็ต้องกราบเรียนท่าน อย่างที่อาตมากล่าวมานี้ ขอบใจนะคุณโยม เราคุยสนทนากัน จนตะวันลับขอบฟ้า แล้วแกก็อำลาไป ก่อนไปนายพราน ยกสองมือขึ้น แบบประนมมือขึ้นเหนือศีรษะ กราบ 3 ครั้ง แล้วบอกว่า ผมขอถวายหัวกับพระคุณเจ้า เอามือทั้งสองถอดผ้าแดง ที่พันหัวแกอยู่ถวายให้ แล้วบอกว่าเอาไว้ป้องกันตัว เมื่อนายพรานจากไปแล้ว เราเอาผ้านั้นมาคลี่ดู เห็นเป็นผ้ายันต์ เขียนด้วยอักษรไทยเหนือ ในคำนำบอกว่า เป็นพระคาถา ที่พระพลรัตน์ วัดป่าแก้ว ได้ประสิทธิ์ประสาทให้ พระนเรศวร กับพระเอกาทศรถ พร้อมด้วยทหารหาญ ในการกู้บ้านกู้เมือง เป็นคาถาที่ศักดิ์สิทธิ์มาก ภาวนาบ่อยๆ เนืองนิจจะพิชิตหมู่ไพรี ไล่ความอัปรีย์ จัญไรได้หมด ข้าพเจ้าอ่านแล้ว ก็พับเอาไว้อย่างเดิม เพราะคาถานี้ ข้าพเจ้าเองสวดทุกเช้าเย็น และตอนกลางคืน คือ วันศุกร์ที่ 30 เมษายนนั่นเอง นายพรานคนนั้น ก็กลับมาอีก มาคราวนี้แกนำเอาแท่งเงิน แท่งทองคำ มาให้จำนวนมาก บอกว่า กลัวท่านจะลำบาก ในการเดินทาง เมื่อท่านอดอยาก ก็ขายเงินแท้ๆ ทองคำแท้ๆ เพื่อประทังชีพในการเดินทาง เพราะทางเปลี่ยว ต้องข้ามเขา ลงห้วย ลำบาก ก็ปฏิเสธแกไปว่า ไม่หรอกโยม ขอบใจมากที่เป็นห่วง ขอให้คุณโยมเอากลับไปเถิด อาตมาไม่เอาติดตัวไป ไม่ว่าทรัพย์สมบัติชนิดใด ที่เขา สมมุติว่ามีค่า สิ่งนั้นจะนำทุกข์มาให้ทุกอย่าง อาตมาเอง มาแสวงหาทรัพย์ภายใน คือ อริยทรัพย์ ส่วนทรัพย์ภายนอกคือ ข้าวของเงินทอง ที่จะต้อง ใช้จ่าย เพื่อความสุขของชีวิตทางโลกนั้น อาตมาไม่ถือเงินทองไปด้วยเลย มีก็แต่เสื้อผ้า ที่จะนำไปให้คนจน อาตมาจึงขอขอบใจ เจตนาดีของคุณโยม อย่างมาก เมื่อเราไม่ยอมรับ แกก็กลับไป และก่อนไปแกถวายไม้เท้าไว้หนึ่งท่อน แกบอกว่าป้องกันได้สารพัด อันตัวหนอน ตัวทาก มันชุกชุม มันรุมกัน ไต่ขึ้นขา มาดูดกินเลือด ตัวมันคล้ายตัวปลิง ปลิงบกเราเรียกทาก หากมันเกาะ เอาไม้นี้แตะเข้า มันจะหลุดไป และกันภัยได้ทุกอย่างเลย อันไม้เท้าที่แกให้นั้น บัดนี้เรายังรักษา และถือประจำอยู่ จึงนึกในใจว่า ผู้ชายนายพรานคนนี้ เป็นใครกันแน่ แต่ที่แกบอกว่า ชื่อหิรัญพนาสูรนั้น คือใครกันแน่ และแกอยู่ที่ไหน เราก็ลืมถามแกด้วย เมื่อพิเคราะห์ดู ก็คงจะเป็นเจ้าป่า คือท้าวหิรัญ ซึ่งมีรูปปั้นหล่อ อยู่ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎนั้นเอง จึงมาเชื่อมั่นว่า คิดดี พูดดี ทำดี ผีช่วย เราจึงมีรูปท้าวหิรัญ ไว้ดูเป็นขวัญตามาทุกวันนี้ หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 29 มีนาคม 2553 13:43:48 (http://members.fortunecity.com/saney/kalaya/monk3-8.jpg) ได้เทพสุนัขแสนรู้เป็นเพื่อนใจ ในตลอดรัตติกาลคืนนั้น เรามุ่งมั่นทำความเพียรทางจิต แบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ไม่ขบฉันอะไร มาได้สองวันแล้ว แต่ก็ไม่หิวไม่เหนื่อย เพราะตั้งใจว่า อีกสองวันข้างหน้า ก็จะออกเดินทางต่อไป หรือถ้าจะอยู่ไปอีก คงไม่ได้แน่ คนชักจะรู้ว่า มีพระปฏิบัติมาพำนักอยู่ แล้วก็จะเฮโลหลั่งไหลมาหา ขอของดี ของขลัง ฟังเทศน์ ฟังธรรม ให้ยุ่งอีก พอรุ่งสางแดดอ่อนๆ ตอนเช้า มองเข้าไปทางชายป่า เห็นหมาตัวโตตัวหนึ่งวิ่งตามทาง อันเป็นที่ที่ นายพรานหิรัญ ออกมานั่นเอง มันวิ่งมาหาข้าพเจ้าอย่างรีบร้อน พอมาถึง มันก็ทำกิริยาท่าทาง เหมือนรู้จักมักคุ้น กันมาก่อน แสดงความเป็นมิตร ชิดชอบ มันแสดงความดีใจ ทำเสียงครึ่งเห่าครึ่งร้อง ใช้ลิ้นเลียแข้ง เลียขา เลียหน้า เลียหัว และเลียไปทั่วตัว เราก็ไม่ว่า ไม่ห้ามมัน เพราะนิสัยเรารักหมาอยู่แล้ว และรักมากกว่าคนเสียอีก เพราะชีวิตเรา อยู่มาได้เพราะหมา แต่ตอนเล็กๆ ยังเป็นเด็ก โยมแม่เล่าให้ฟังว่า เอ็งต้องรักหมา เลี้ยงหมาเน้อ เพราะหมามันมี บุญคุณกับเอ็ง ตั้งแต่วันแรกเกิด คือวันแม่คลอดเอ็งออกมา แต่แม่ฝันไปว่า มีพญากาเผือก กาขาวบินมาจับบ่าแม่ หลายครั้ง ซึ่งแม่ก็ไม่เคยเห็น แต่เจ้าอยู่ในท้องแม่นาน แม่ไม่รู้ตัว เพราะอุ้มท้องมาได้สิบสองเดือน มีคนอื่นเขาถามแม่ว่า นี่มันจะสร้างบ้าน สร้างเรือนอยู่ในท้องของแม่หรืออย่างไร ทำไมไม่ออกมาสักที แม่ก็ตอบเขาว่า มันก็ดิ้นทุกๆ วัน วันละหลายๆ ครั้ง แต่ก็ชอบกลนะลูก ตอนแกอยู่ในท้องนั้น แม่สุขภาพดี เงินทองไหลมาเทมา แม่ค้าขายอะไร มีคนรัก และเมตตา คนซื้อของเกือบทุกราย ไม่เอาเงินทอน แม่จึงเก็บหอมรอมริบไว้ได้หลายสิบชั่ง แม่ออกไปนั่งปัสสาวะบนแพ เพราะบ้านเราเป็นเรือนแพ อยู่บนกระแสน้ำ สองสายมารวมกัน แม่น้ำปิง กับแม่น้ำน่านที่ปากน้ำโพนี่เอง ขณะที่น้ำปัสสาว ะมันไหลออก แกก็ออกไปด้วย ตกลงไปในน้ำ จุ๋มไปเลยโดยไม่รู้ตัว ขณะนั้นสุนัขคู่ใจของพ่อเจ้า ชื่ออ้ายเก่ง มันกระโจน ลงไป คาบขาเจ้าขึ้นมา ด้วยความรวดเร็ว ได้ยินเสียงเจ้า ร้องอุแว้ อุแว้ อยู่ในปากหมา พ่อเจ้ากระโจนมารับเอาไว้ ดังนั้น เจ้าจึงมีแผลเป็น อยู่ที่โคนขาข้างขวา เพราะรอยแผล จากเขี้ยวหมาอ้ายเก่งนั้นเอง มันเก่งสมชื่อ ถ้าไม่มีมัน ลูกก็จมน้ำตายไปแล้ว ดังนั้นเจ้าอย่ารังเกียจหมานะ ให้ถือว่าหมาช่วยชีวิตเจ้าไว้ หมาหนึ่ง อีกาหนึ่งลูกต้องรักมัน อันสุนัขตัวที่วิ่งมาหา แล้วเลียแข้ง ขา หน้าตานั้นเป็นพันธุ์ใหญ่ ดูแล้วคงจะเป็นพันธุ์ผสม ระหว่าง เกรดเดน กับรอดไวเล่อร์ เพราะความโตของมันนั้นเอง หมาชาวบ้านจึงไม่กล้าแหยม เพราะมันใหญ่โต สูงเกือบเพียงสะเอว แต่ไม่ดุร้าย ซึ่งเว้นไว้แต่มีใครมาวุ่นวาย กับเจ้าของมัน ในเรื่องไม่ชอบมาพากล มันจะเข้ามาขวาง ทำตาเขม็งใส่ แล้วคำรามหื่อๆ ใส่ทันที แล้วก็นอนขวางไว้ ทำสายตาไม่เป็นมิตรกับเขาเลย หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 29 มีนาคม 2553 14:03:11 (http://www.khuntumdai.com/prasupan/prasupan.png) (http://www.khuntumdai.com/prasupan/tn_kalaya2.png) (http://www.khuntumdai.com/prasupan/tn_kalaya.png) เราพามันอยู่ที่นั่นต่ออีกสองวัน ก็ออกเดินทางต่อ ทำการประทักษิณ บูชาพระธาตุเจดีย์ พระแม่ธรณี แล้วอธิษฐานว่า ถ้าสุนัขคือเจ้าเก่ง ที่ข้าตั้งชื่อให้ใหม่นี้ มันมีชีวิต จิตวิญญาณของนายพรานป่า ที่ใช้ให้มา โดยท่านมี เจตนาดีกับเรา สิงอยู่ในจิตวิญญาณ ของเจ้าเก่งนี่แล้ว ให้มันนำพา ช่วยอารักขาให้เราไปถูกเส้นทาง ที่ท่านนักรบ ผู้ยิ่งใหญ่ ได้ผ่านมาสมัยก่อนเถิด และอย่าเกิดอุปสรรคใดๆ ในการเดินทางเลย อันความอธิษฐานก็สมความตั้งใจ เจ้าหมาแสนรู้คู่ใจ นำพาออกเดินทาง ข้ามภูเขาตะนาวศรี ขึ้นภูผาที่สูงชั้น ซึ่งก็ดูเป็นรูปทางเก่า สมัยโบราณท่านเดินผ่าน หรืออาจจะเป็นแนวทางยกทัพมา เพื่อมาติดต่อค้าขาย หรือรบรากัน หลังจากตกเป็นเมืองขึ้นกัน สมัยโบราณ เจ้าเก่ง สุนัขแสนรู้ มันเดินและวิ่งออกหน้า เพื่อตรวจตราดูความปลอดภัย ในการเดินทางของเรา ถ้าเห็นว่า ไม่น่าไว้ใจ มันก็รีบกลับมาเตือน ยืนขวางทางเอาไว้ บางแห่งต้องเดินผ่านป่าลึก ใช้เวลาเป็นวันๆ จึงจะถึงบ้านคน เมื่อเราเหนื่อย เมื่อยล้า มันจะเข้ามาหา เดินวนไปวนมาอยู่รอบๆ ตัวเรา บางแห่งเรานอนพักเอาแรงกลางวัน มันจะเข้ามาหา แล้ว เกลือกกลั้วไสไปมา ด้วยปลายคาง มันชำเลืองมอบรัก ด้วยสายตา มันเห็นว่า เราเปล่าเปลี่ยว และว้าเหว่ มันเดินเร่ ทำเริงร่าเข้ามาหา มันส่งรักประจักษ์จิต ด้วยสายตา ให้เราได้รู้ว่า ตัวข้ายังมีมัน (คือเจ้าเก่ง) เราเดินผ่านป่า เข้าป่า พวกสัตว์ป่าก็มาก จึงได้ยินแต่เสียงวิหคนกร้องอยู่ทั่วไป เสียงจักจั่น เรไร ไก่ขันสนั่นดง ผ่านไพรพงดงใหญ่ไกล จากบ้าน จิตเบิกบานวิเวกใจในไพรสณฑ์ ผ่านหมู่บ้านของชาวเขาเผ่าต่างๆ เช่น กระเหรี่ยง แม้ว มอญ เหย้า ขมุ มูเซอ ไทยใหญ่ กระทั่งเจอคนป่า ที่เขาเรียกว่า เงาะป่า ตัวเตี้ย ตัวเล็ก ผมหยิก และผ่านโขลงช้าง สัตว์ป่านานาชนิด เดินข้าม เขาลงห้วย ลงเหวลูกแล้วลูกอีก คนชาวเขาแต่ละกลุ่ม เขาจะนับถือลัทธิศาสนาต่างๆ กัน เช่นพวกแม้ว เหย้า ขมุ เขานับถือผี วิญญาณของบรรพบุรุษ จะมีการเซ่นไหว้ มีบรรพบุรุษ เป็นการแสดงความจงรักภักดี เราเชียร์เขาว่าดี เพราะได้กตัญญู ต่อผู้มีบุญคุณ บางพวกนับถือผีฟ้า ผีแถน ก็โอเคกับเขาว่า ผีฟ้าเขาอยู่สูง เขาอยู่บนฟ้า เขาให้ความสุข เพราะให้ฝนตกลงมา ให้พสุธาชุ่มชื่น ส่วนพวกนับถือคริสต์ ก็สรรเสริญเขาว่า พระผู้ให้กำเนิดของคริสต์ นั้นคือพระ เป็นเจ้า พระยะโฮวา ผู้ทรงมีเมตตา แก่สัตว์โลก และเป็นผู้สร้างโลก มาให้เราได้อาศัยดีแล้ว พระคริสต์ท่านเป็นพระ นักเสียสละ อันพวกนับถือศาสนาอิสลาม ก็อนุโมทนา ในคำสอนของพระคำภีร์อัลเลาะ ท่านสอนนักสอนหนาว่า การใส่ร้าย ป้ายสี ติฉิน นินทาคนอื่น เป็นบาปหนัก ตกนรกหมกไหม้ และอย่างอื่น ท่านไม่ให้เอารัดเอาเปรียบกัน ออกเงินตกดอกเบี้ย ไม่ได้ เล่นแชร์ เล่นหวยไม่ได้ รับสินบนไม่ได้ ผิดคำสอนของพระเป็นเจ้า บาปหนักอีกเช่นกัน ให้ทุกคนต้องถือศีลบวช บวชเพื่อถือศีลอด ให้อดข้าว อดน้ำไม่ดื่ม ไม่กินอะไรเลย ให้รู้ว่าความอดอยากโหยหิว ไม่มีอันจะกินนั้น ก็เป็นเช่นกันกับคนอื่น จะได้เสียสละ สงเคราะห์ผู้อื่นที่ตกยาก นับว่าคำสอนของพระอัลเลาะ ในคำภีร์อัลกุระอ่านนั้น ประเสริฐแท้ ที่สอน ให้มนุษย์โลก อยู่ร่วมกันโดยสันติสุข ไม่ให้เอารัดเอาเปรียบกัน ส่วนพวกนับถือผีป่า ผีฟ้า ผีแถน ตลอดสารพัดผี ตามประเพณี และลัทธิของชุมชนเผ่าต่างนั้น ก็อนุโมทนาตามเขา เราไม่ห้าม แถมยังยกยอเขาอีกว่า คบกับผี บูชาผี ดีกว่าคบกับคน พวกเนรคุณ เพราะผีเชื่อง่าย สอนง่าย กินง่าย ดูแต่เราเอาแกลบ เปลือกข้าวใส่กระบอก ใส่ไห แล้ว บอกว่าเป็นสุรา มันยังเชื่อ เอาดินเหนียวมาปั้น เป็นรูปม้า รูปช้าง รูปคนไปเซ่นไหว้มัน มันก็เอา รวมความว่า พวกผี พวกวิญญาณ เทวดาเป็นพวกที่ซื่อสัตย์ น่ารัก น่าเอ็นดู คบง่าย จึงให้กราบไหว้ไปเถอะ จะได้มีที่พึ่งทางใจ หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 29 มีนาคม 2553 14:13:25 บางแห่งก็ พบกับพวกนับถือพระศิวะ (ศิวลึงค์) ก็เชียร์เขาว่าดี ถ้าคนเราไม่มีอ้ายเจ้านี่ โลกมนุษย์ก็จะไม่มี และบางที่ บางแห่ง ก็ต้องโง่ ว่าเขามีวิธีการอย่างไร เขาจึงพากันปลุกเสก เจ้าปลัดขิกนี้ให้ลอยน้ำ วิ่งไล่กันได้ เขาก็สอนให้ แต่ต้องยกครู ให้เขา คิดเป็นเงินไทยหนึ่งเฟื้อง คือสิบสองสตางค์ บางแห่งเขานับถือเจ้าแม่กาลี (คืออีเป๋อ) ก็ทำการศึกษากับเขาไป โดยทำตัวเป็นคนใบ้ก็ได้ โง่ก็เป็น โดยถือคติว่า (โง่ไม่เป็น เป็นใหญ่ยาก โง่ไม่เป็น จะฉลาดยาก) เราไปแบบเข้าเมือง ตาหลิ่ว ก็ต้องหลิ่วตาตาม เข้าเมืองคนงาม ก็ต้องสงบเสงี่ยม เจียมตัวหัวเราะ และยิ้มเอาไว้ จะไปได้ปลอดภัย การเดินทางข้ามเทือกเขาตะนาวศรี อันสลับซับซ้อน ลูกแล้วลูกเล่า ใช้เวลาถึงห้าวัน จึงถึงเมืองทานบยูซายัด (Thanbyuzat) อยู่ตอนเหนือ ของเมืองตะนาวศรี เลียบชายฝั่งทะเลอันดามัน อีกสามวันถึงเมืองมูดอน (Mudon) จากเมืองมูดอน ถึงเมืองมะละแหม่งใช้เวลา 5 วัน (ที่เมืองมะละแหม่งนี้เอง มีพระธาตุอินทร์ แขวนตั้งอยู่) แต่ภาษา อังกฤษเขาเขียนว่า (Moulmein) เราพักอยู่ที่เมืองมะละแหม่ง 10 วันเพื่อพิสูจน์ ค้นคว้าด้านวิญญาณ ประวัติศาสตร์ว่า พระเจ้าอุทุมพรมาสวรรคตที่นี้ จากมะละแหม่ง ตามสายน้ำสาละวิน ร่วมกับแม่น้ำสโตง อีกสองวันถึงเมืองบาอัน (Pa An) จากบาอัน ข้ามแม่น้ำสาละวิน ไปเมืองท่าทอง (Thaton) แต่ต้องเปลี่ยนแผน เพราะจะเข้าไปเมืองพะโค เป็นอ่าวปากน้ำ มีอาวุธของข้าศึกมหาเอเซีย ยังไม่ยกกลับ จึงต้องขึ้นเหนือ Pequ (เมืองพะโค คือเมืองหงสาวดี) ที่เรา จะต้องไปนั้นเอง อันชื่อเมืองต่างๆ ในประวัติศาสตร์ของชาติเมียนม่า แต่เก่าก่อนนั้น ฝรั่งมันเปลี่ยนชื่อใหม่หมด ให้ใกล้ กับภาษาของมัน แต่บางทีไม่ถนัด ทั้งภาษาอังกฤษ และฝรั่งเศส เราจะอ่านไม่ออก เช่นเมืองมะละแหม่ง มันเรียกว่า moulmein คือถ้ามันเอาตัว น. หนูเป็นตัวงองู ดูๆแล้ว น่าขัน ดังนั้น ท่านที่จะไปเมืองเมียนม่าในยุคนั้น ต้องอ่านได้ทั้ง ภาษาไทยใหญ่ พม่า รามัญ อังกฤษ และฝรั่งเศส จึงเอาตัวรอด เมื่อไปถึงเมืองพะโค คือ เมืองหงสาวดีแล้ว ก็ได้พบ เพื่อนเก่าทั้ง 4 ชาติ ที่เคยตกทุกข์ได้ยาก จากแดนไกล คือ ทวีปยุโรปมาด้วยกัน หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 29 มีนาคม 2553 14:30:45 คือ ท่านมหาคุรุปิตะโก พระพม่า ท่านคุนูกุรูเถรา จากศรีลังกา ท่านอะมะราตะนันท จากเนปาล และข้าพเจ้า แบบสี่เกลอเก่า อภิทะชะมหาอัตตะคุรุ การเข้าไป อยู่ เขาให้เราอยู่แบบอิสระ เขาต้องการให้เราไปช่วยบูรณะของเก่า ให้เหมือนเดิม ตรงนั้นเท่าที่สืบรู้ ก็คือคุ้ม หรือหมู่บ้าน ของพวกเชลย ที่เป็นคนไทย ซึ่งถูกกวาดต้อนไป และไม่ไกลกับวัด มีบริเวณเดียวกัน ที่กว้างขวางเป็นร้อยๆ ไร่ รอบกำแพงอันเก่าๆ เราช่วยปลูกต้นมะพร้าวเต็มหมด จึงเป็นเครื่องบดบัง เป็นหลังคาไปในตัว เราเองก็ชอบอย่างนั้น เพราะวิเวกดี มีพระสงฆ์ของศรีลังกา เนปาล และอินเดียมาอยู่รวมกัน 4 รูป ซึ่งก็เคยรู้จักมักคุ้นกันมา เมื่อ 10 ปีมาแล้ว ที่ยุโรปซึ่งเป็นพระคงแก่เรียน และชอบเป็นนักสัญจรรอบโลกกันมาทั้งนั้น ในสมัยนั้น มหาอำนาจเริ่มยกให้สหภาพพม่า เป็นอิสระแล้ว แต่เจ้าของผู้เป็นเมืองขึ้นของพม่า คือ อังกฤษ เขาก็ยังมีอำนาจดูแลอยู่ แบบเป็นที่ปรึกษา และ ข้าหลวงใหญ่ ก็รักพวกเราดี ยังมีชาวต่างประเทศ ชาวยุโรปอยู่ดูแลเป็นส่วนมาก จึงเป็นการสะดวกสบาย ที่เราสี่สหาย ได้เคยรู้จักกับเขาไว้ก่อน ตอนที่อยู่ต่างแดน พวกเราจึงขอสถานที่ อยู่พักอาศัยได้ ตามความต้องการ เขาจึงจัดให้อยู่ อย่างอิสระแบบพระต่างแดน อันสถานที่เขาจัดให้เราอยู่นั้น ก็รู้สึกว่าจะเป็นวังเวียงเก่า เท่าที่สืบดู ก็เป็นสถานที่ของ เจ้าบุเรงนอง หรืออะไรดูไม่ออก เมืองนี้เป็นเมืองใหญ่ มีปูชนียสถานอันศักดิ์สิทธิ์ และอีกข้างติดกัน ก็เป็นที่ของ นันทบุเรง แต่ก็ถูกทำลาย ไปด้วยกาลเวลา และภาวะสงครามโลกครั้งที่ 2 พวกเราจึงร่วมกัน ปลูกต้นมะพร้าวรอบๆ บริเวณ ได้สี่ร้อยเก้าสิบต้น เป็นที่ระลึก แต่ก็น่าเสียใจ เมื่อเรากลับไปคราวหลัง เมื่อปี 2510 เจ้าหม่องตัดทิ้งหมด เพื่อ สร้างวังใหม่ ป่านนี้คงไม่มีอะไรเหลือแล้ว เมื่อเราได้สถานที่อยู่ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็มีจดหมายถึงคุณเกษม ล่ำซำ ที่เรา เคยรักกัน และได้ทำบัญชีการเงิน ไว้ให้เขาส่งไปให้จำนวน 5 แสนบาท เป็นเงินของส่วนตัว เรามารับที่เมืองแรงกูน เพราะอยู่ทางใต้ของเมืองพะโค ลงไปประมาณ 50 กิโลเมตร อันการเดินธุดงค์ แสวงธรรมตามรอยกรรม ก็เป็น อันจบลงเท่านี้ และยังมีกรรมเก่าๆ ที่เราสร้างไว้ ทำไว้ จะตามมาสนองอีก โปรดอ่านต่อไป หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 29 มีนาคม 2553 14:42:11 (http://gotoknow.org/file/beone_01/UttaraTera.jpg) พบอาคันตุกะพระมหามิตรเดิม เมื่อเราได้ที่อยู่อาศัย แบบต่างแดนแล้ว และท่านได้จัดสร้างอาศรม อันกระทัดรัดชั่วคราว โดยเอาต้นหมาก ต้นตาลเป็นเสา เอาใบตองมุงหลังคา กั้นฝาด้วยเสื่อลำแพน ให้คนละหลังยาว 5 ศอกกว้าง 4 ศอก พออยู่กัน อย่างสบายๆ แบบสมณะ นับว่าเป็นอาศรมหลังน้อยๆ แต่มันให้ความสุข ทางใจอย่างเหลือหลาย ยิ่งกว่าเวียงวัง อันกว้างใหญ่ไพศาล แสนสง่างาม ของพระเจ้าจักรพรรดิ์เสียอีก เราอยู่รวมกับสหธรรมิก ต่างชาติกัน แต่ก็รักกัน ฉันพี่น้อง เพราะมีพรรษาที่บวชมาพร้อมกัน คือได้แค่ 10 พรรษาเท่านั้น ท่านมหาคุรุปิตะโก เจ้าของบ้านท่านกรุณา ได้นำเที่ยว แสวงบุญไปนมัสการ สถานที่สำคัญๆ ทั่วทุกแห่ง ในประเทศพม่า แต่ท่านอะมะราตะนันท พระเนปาล สังขารท่านไม่แข็งแรง จึงอยู่เฝ้าอาศรม เป็นเพื่อน เจ้าเก่ง หมาคู่บารมีของเรา การเดินทางโดยรถไฟ รถยนต์ เรือ ใช้เวลา 15 วันก็กลับ นับว่าได้ไปอภิวาท กราบไหว้สิ่งศักดิ์ แทบทุกแห่งในพม่า ในยุคก่อนนั้น พม่าเขามีสองเมืองหลวง คือ เมืองย่างกุ้ง (แรงกูน) เป็นเมืองหลวงของพม่าใต้ เมืองมันฑะเล คือ เมืองอังวะ เป็นเมืองหลวงของ พม่าเหนือ และรัฐเชียงตุง เป็นเอกของรัฐฉาน การเดินทางคราวนั้น ข้าพเจ้าถวายค่าใช้จ่ายให้ทุกอย่าง พอกาลเวลาจะเข้าพรรษา คือเพ็ญตรงกับวันที่ 20 กรกฎาคม 2491 เป็นวันเข้าพรรษา ตุ๊เจ้าทั้งสององค์ คือ ท่านอะมะรานันทะ ท่านเป็นรองเจ้าคณะใหญ่ ในเนปาล ท่านได้ถูกรัฐบาลประเทศท่าน นิมนต์ให้กลับ ส่วนท่านมหาเถระ ที่ศรีลังกาเขาก็นิมนต์ให้กลับ เพราะท่านทั้งสอง เป็นพระสงฆ์ผู้ทรงคุณวุฒิ ระดับชาติ ท่านกลับก่อน 5 วัน เหลือ แต่เราคนเดียว เปลี่ยวเอกา มีหมาแสนรู้เป็นคู่ใจ ส่วนท่านผู้นิมนต์เราไป คือท่านคุรุปิตะโก ก็ถูกเรียกตัว นิมนต์ไปเป็นอาจารย์สอนวิชา อยู่ที่อ๊อกฟอร์ด เมืองแคนดี้ เราอยู่คนเดียว ก็เที่ยวบริจาค ช่วยเหลือสงเคราะห์ ผู้ยากไร้ สงเคราะห์คนจน ทั้งใกล้และไกล เขาเข้าใจว่า เป็นเทพเจ้าผู้ใจบุญ ทั้งนี้เพราะ ระยะนั้น เป็นระยะที่เราผู้หนึ่ง ที่มีเหลือใช้เหลือกิน เงินใกล้จะหมดอีกแล้ว ก็ให้ส่งจากเมืองไทย สามครั้งเป็นเงิน 1 ล้านบาท ไปช่วยเหลือวัดวาอาราม ทั่วไป แต่ก็เหลือวิสัยที่จะทำให้ ได้ดีอย่างเดิม เพราะความเก่าแก่ คร่ำคร่าที่ผ่านกาลเวลามานาน หลายร้อยปี และแถมยังถูกทำลาย ด้วยภัยสงคราม อีกอย่างเหลือคณานับ เพราะเป็นสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่สองไม่กี่ปี จึงมีคนหลายชาติ ตกค้างอยู่จำนวนมาก ของดีๆ งามๆ จึงเหลือแต่ซาก ที่ยังเหลือจริงๆ ก็คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในทางพระพุทธศาสนา ผู้คนก็อดอยาก ยากแค้น เศรษฐกิจก็ตกต่ำ คนว่างงาน แต่พวกโจร พวกอันธพาลไม่ค่อยมี เพราะเขานับถือศาสนาอย่างเคร่งครัด เราจึงได้คนงาน ช่วยปลูกต้นไม้ผล คือต้นมะพร้าวได้มาก ค่าจ้างแรงงาน ก็ไม่เกินวันละ 5 บาท (คิดเป็นเงินไทย) หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 29 มีนาคม 2553 14:48:14 ดังนั้น การเข้าไปอยู่ของเรา จึงสะดวกมีแต่คนรักนับถือ เพราะเราเอื้อเฟื้อเกื้อกูลเขา ให้พ้นภัย คือความอดอยากหิวโหย แต่เราก็มั่นใจว่า อันสถานที่เขาจัดให้เราอยู่นั้น ไม่ผิดกับสถานที่เราตั้งความหวังเอาไว้ เพราะมันรู้สึกสังหรณ์ใจว่า เคยเป็น สถานที่เรา และพวกพ้องเคยมาอยู่ก่อนแล้ว แต่ก็เหลือวิสัย ที่จะทำให้ได้ดีอย่างเดิม เพราะความเก่าแก่ คร่ำคร่า ที่ผ่านกาลเวลา มานานหลายร้อยปี และแถมยังถูกทำลาย ด้วยภัยสงคราม อีกอย่าง เหลือคณานับ เพราะเป็นสมัยหลังสงครามที่สอง เมื่อเพื่อนสหธรรมิก ทั้งสองท่าน ได้กลับภูมิลำเนาของท่าน ยังเหลือแต่ท่านมหาคุรุปิฏะโก ซึ่งท่านต้องอยู่ทำงานทาง คณะสงฆ์ อยู่ที่กรุงแรงกุน เหลือแต่เราคนเดียว เปลี่ยวเอกา เหลืออยู่แต่ หมาคู่ใจเท่านั้น แต่ก็ยังได้รับการดูแล เยี่ยมเยียน จากนักบวช นักบุญชาวพม่าตลอดมา และในระยะนั้น ถึงพม่าจะได้รับอิสระ แต่ก็ต้องพึ่งพามหาประเทศ ผู้เป็นนายอยู่อย่างเคย เพราะพึ่งเสร็จสงครามโลกครั้งที่สอง ไปหมาดๆ ทุกๆ ชาติ แม้แต่ไทยเราก็ยังย่ำแย่ ทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ทุกข์ระทมกันไปทั้งเอเซีย ดังนั้น ผู้ที่จะสร้างมิตรได้ดีที่สุด ก็คือผู้มีเงิน ที่จะช่วยเหลือ เพื่อนมนุษย์ ข้าพเจ้าจึงอยู่ในขั้นที่ หามิตรสหายพวกพ้องได้ยาก ผู้ตกยากจึงยื่นมือรับ เพราะเรามีแต่ให้กับให้ ช่วยกับช่วย ด้วยทุนทรัพย์ของตนเอง แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทางพระพุทธศาสนา ในเมืองนี้ชื่อ Dhammayancy Phocho ของเขา ยังมีสภาพเหมือนเดิม และยังสวยงามอร่ามตา น่าสักการะ อยู่ทุกวันนี้ และมีอีกอย่าง ที่คนต่างชาติเขายกย่อง ว่าเรามีเสน่ห์กับสัตว์ปีก คืออีกา พอตื่นเช้าขึ้นมา มันจะพากันโผผิน บินมาขอกิน บางทีมัน จับหัว จับบ่าส่งเสียงร้อง เกรียวกราวไปหมด ไม่ว่าไปที่ไหน ณ เมืองใด ข้าพเจ้ามีนิสัย เข้าได้กับอีกา ตื่นเช้าขึ้นมา ก่อนออกเดินทาง ก็ต้องทำบุญ เลี้ยงอีกาทุกวัน แล้วมันจะบินออกหน้าไปส่ง แม้แต่ทุกวันนี้ก็ยังมีอยู่ ที่บริเวณวัดจำนวนมาก หากผู้ใดไปนั่งอยู่นานๆ มันจะมาขับไล่ ถ้าไม่ไปก็โดนแย่ง ขโมยเอาของให้ได้ ยิ่งคราวไปอยู่เมืองพะโค ยิ่งมากใหญ่ ค่าอาหารกาสมัยนั้น วันละไม่ต่ำร้อยบาท ดังนั้น คนพม่า และคนต่างชาติ คือภาษาพม่า เขาเรียกเราว่า ตั่งข่าแก ตั่งข่าแปลว่าพระ ต่างชาติมันจึงตั้งชื่อว่า ตุ๊เจ้ากา ถือเป็นพระที่น่าอัศจรรย์ ที่เรียกอีกา มากินอาหารในมือได้ หายาก นอกจากอีกาแล้ว ยังมีนกป่า ที่รู้ภาษาของเขา เรียกมันบินมาเป็นร้อยๆ แต่ละวัน เช้าเย็นต้องเลี้ยงข้าวฟ่าง ข้าวโพด ถั่ว และผักต่างๆ ก็ต้องซื้อ มาเตรียมไว้ คติภาษาจีนบอกว่า อีกาเป็นสัตว์ที่เลี้ยงไม่เชื่อง และไม่มีใครๆ จะสามารถเรียกอีกา มากินข้าวในมือได้ เมื่อเขาเห็นเราเรียกได้ ทำได้จริง ซึ่งฝืนคำพังเพย เขาจึงเลื่อมใสว่า หาไม่มีอีกแล้ว ในคืนวันหนึ่ง เท่าที่จดบันทึกเอาไว้ คือเวลาเที่ยงคืน วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน 2491 ทางจันทรคติ คือเป็นวันเพ็ญ เห็นดวงจันทร์ เต็มดวง บนท้องฟ้า ได้มองเห็นพระภิกษุผู้เฒ่า เดินเข้ามานั่งลงบนแคร่ ที่เราทำไว้ แสงไฟเทียนหลายเล่ม ที่เราจุดไว้ สว่างไสวรอบบริเวณ ทั้งนี้เพราะ จิตนิจสัยของเรา ชอบแสงไฟ ชอบมองไฟ เพ่งไฟ เอาไฟเป็นอารมณ์ ซึ่งภาษาสมณะเขาเรียก พวกเพ่งเตโชกสิณ และเพ่งมองแสงไฟ แสงเดือน ในน้ำ (เงาไฟเงาเดือน) ในน้ำเป็นอารมณ์ มันจะถึงให้จิตสงบได้ง่าย ในอารมณ์เดียว หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 29 มีนาคม 2553 14:58:57 เมื่อพระผู้เฒ่าที่น่าเคารพ ท่านนั่งลงแล้ว ข้าพเจ้ารีบเข้าไปกราบนมัสการ การเรียนถามท่าน เป็นภาษาสมณะว่า ขะมะนิยังภันเต ท่านตอบทันที คะมะนิยังอาวุโส (คำนี้เป็นภาษาพระท่าน ถามกันเป็นภาษามคธ) ตามธรรมเนียม ท่านถามถึงสารทุกข์สุกดิบ ตลอดทั้งการจำจาก พลัดบ้านพลัดเมืองมา ผ่านภูเขาเลากา ป่าพงดงดอนอันกันดาร อันการเมืองนี้ บ้านนี้ สถานที่นี้ คุณประสงค์จะมาใช้กรรม ใช้เวร และช่วยเหลือ ผู้อื่น สัตว์อื่นนั้น คุณทำได้ทุกอย่าง ในทางที่เห็นเป็นรูปธรรม คือคุณเสียสละ ทุนทรัพย์ภายนอกไปมากแล้ว ผลตอบแทนก็คือ ได้มิตรภาพทั้งที่เป็นคน และสัตว์จำนวนมาก ยากที่มนุษย์อื่นๆ เขาจะทำได้ เลี้ยงได้ เป็นเพื่อนกับมันได้ คืออีกา เรามาเห็นเข้า รู้สึกประทับใจ ในพลังจิตเมตตาธรรมของคุณ แต่ขอเตือนว่า ตราบใดที่จิตใจเรา ยังมองไม่เห็นตัวตน ของตนเอง ทั้งสามตัวแล้ว จิตก็จะยังมืดบอดอยู่ อันคนเราแต่ละคน มีตนมีตัวอยู่สามชั้น สามตัว คือ หนึ่งตัวจริง ที่ได้มาจากบิดามารดาผู้สร้างมา สองตัวเป็น สามตัวแฝง อันเป็นตัวลึกลับ ที่อิงแอบแนบซ้อน อยู่กับวิญญาณของทุกๆ คนนั้น อันตัวนี้สำคัญมาก หากคุณค้นพบ และเอาออกมาใช้ได้แล้ว เท่ากับได้ที่พึ่งอันประเสริฐที่สุด ที่มนุษย์ปุถุชนคนธรรมดา ก็ค้นหาได้ เพราะมัน อยู่ในจิตวิญญาณของเรานี้เอง แต่คนเราลืมจะใช้ก็แต่ตัวจริง คือตัวตนที่มีรูป กาย แขน ขา ตีน มือ หู ตา จมูก ลิ้น รวมกันเป็นร่างกายนี้ เราใช้งาน มันทุกวัน และมันก็รีบใช้ ตามแต่ความนึก ความคิด จิตใจจะสั่งให้ทำ ส่วนตัวที่สอง คือตัวเป็น อันตัวนี้เราได้มา จากการที่เขาสมมุติ ให้เป็นโน่นเป็นนี่ เป็นพระ เป็นชี เป็นสตรีบุรุษ เป็นอะไรต่อมิอะไรสารพัด ตามแต่สังคมเขาจะให้เป็น อันตัวเป็นที่กล่าวมานี้ เราได้มาจากสังคม ได้มาจากคนอื่น ผู้อื่น เขาสมมุติให้ ส่วนตัวที่สามคือ ตัวแฝง ร่างแฝงนี้เอง ที่จะมาเตือนคุณ ให้รีบค้นคว้าหาให้พบ ให้เร็วที่สุด เพราะมันไม่ได้อยู่ที่อื่น มันอิงแอบแนบชิด ติดอยู่กับจิตวิญญาณของท่านเอง อันตัวแฝงนี้ เราจะรู้เอง เห็นเอง เป็นปัจจัตตัง รู้เฉพาะตนเท่านั้น ถ้าท่านหาไม่พบตัวแฝงนี้แล้ว ท่านจะลำบาก เพราะกรรมเก่า จะมาตามสนองท่านในไม่ช้านี้ แต่ขอบอกว่า ท่านยังค้นคว้าไม่เจอแน่ จะเจอได้ก็เมื่อชีวิต เผชิญกับความวิกฤตอย่างรุนแรงเท่านั้น นี่เรามาเตือน เตือนคนใจบุญ เตือนคนที่ได้ทำคุณประโยชน์ให้สังคม ผมลาล่ะ ขัดข้องอะไรส่งใจถึงเรา เราชื่อโลกุตโล-เถโรคุณ เอาชื่อนี้ขึ้นก่อน แล้วก็ใช้คำพระอุปัชฌาย์เรียกนาค ก็จะพบกันได้ทุกเมื่อ ลาล่ะสวัสดี เสร็จแล้วพระเถระผู้เฒ่า ก็หายไปในความมืด ท่ามกลางแสงจันทร์ และแสง ประทีปนั้นเอง เราจึงมาคิด ท่านเมืองซาปังโก ระหว่างเมืองยางเซะ ต่อกับเมืองลาละ ที่ประเทศทิเบต ท่านได้เทศน์ให้ฟัง ขณะที่เราถูกขังตัว ด้วย น้ำแข็งที่ภูเขาหิมาลัย เมื่อ พ.ศ. 2484 ครั้งที่สองท่านมาบอกที่พักอาศัย คือถ้ำชัยมงคล กับท่านอาจารย์วัง บนเขาลังกาประเทศไทย เมื่อปี 2485 หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 29 มีนาคม 2553 15:08:10 (http://members.fortunecity.com/saney/kalaya/monk3-3.jpg) ก่อนกลับเมืองไทยยังมีจิตอาลัยเมืองพม่า อันประเทศเมียนม่า ที่ข้าได้คาดเอาไว้ว่าเราจะไปทำไม เพราะความเจริญ ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม มันต่ำต้อย ด้อยพัฒนาที่สุด และมนุษย์เมืองนี้ สมัยโบราณ มันเป็นพาลเกเร เข้าไปเข่นฆ่าทารุณคนไทย ให้ล้มตายไป เป็นจำนวนมากนับไม่ถ้วน แล้วยังเผาผลาญบ้านเมือง ที่เจริญรุ่งเรืองให้ย่อยยับ ดังที่เราได้คิดเอาไว้ และที่ได้เห็นมา เมื่อเราผ่านเมืองอยุธยาทีไร น้ำตามันจะไหลทุกที เพราะความแค้น จึงไม่มีแก่ใจในอันที่อยากจะไปรู้ อยากจะไปดู อยากจะไปเห็นมันไอ้เจ้าหม่อง เพราะความแค้นที่มีอยู่ในใจ แต่ก็เป็นเพราะบุพกรรมที่เราทำ ที่เราสร้างไว้ในอดีตชาติ ที่มีอำนาจลึกลับเหนือจิตใจ บังคับให้เราต้องมา แต่การมาของเรา เรามาด้วยความฝันทางมโนภาพ ฝันความคิดเห็น อาจจะเป็นเวรกรรม ที่เรามองย้อนอดีตไม่เห็น จึงจำเป็นต้องไปตามคำร้องขอ ของทวยเทพเทวดา ให้ข้าต้องผ่านป่าดง มาด้วยความยากลำบาก อย่างแสนสาหัส แบบเสี่ยงตายเอาดาบหน้า ใช้เวลาเดินทางด้วยเท้าเปล่าถึง 40 วัน รวมเวลาพักเอาแรงถึง 50 วัน เมื่อมาถึง และได้สัมผัสทางจิตวิญญาณทางฝันแล้ว จึงได้รับรู้เรื่องราว ความเป็นมาของกรุงอโยธยา แต่ครั้งแรกนั้น มีเหตุมาจากลูกน้องลูกแถว ของผู้มีอำนาจสูงสุดของคนไทยเอง ที่ไม่เอาตาดู หูฟัง ความทุกข์ร้อนความเห็น ของประชาชนผู้อยู่ใต้อำนาจบริวาร ผู้ใกล้ชิดผู้บริหารชั้นสูง ใช้อำนาจไม่เป็นธรรม บ้าอำนาจ บ้ายศ เห็นตัวเองเป็นเทวดา นึกว่าเจ้าเหนือหัวให้อำนาจ เห็นชาวประชาเป็นสัตว์ดิรัจฉานเดินดิน ใครจะไม่มีใช้ไม่มีกินข้าไม่รู้ ขอให้กูและพวกพ้องมีความสุขก็พอแล้ว ประชาชนไม่รู้ว่าจะไปพึ่งใคร ก็หันไปเป็นไส้ศึกให้คนต่างชาติ เข้ามาอาละวาด แย่งชิงเข่นฆ่ากัน แบบเกลือเป็นหนอน พม่าก็ดี มอญก็ดี เขาเข้ามาตีมาเข่นฆ่า เฉพาะพวกบ้าอำนาจ ของพวกลูกแถว แล้วกวาดต้อนไปเป็นจำเลย ส่วนผู้ที่เคยรับใช้เขา เขาก็เอาไปด้วย ก็สมน้ำหน้าแล้ว ที่พวกบ้ายศ บ้ายอ พวกชอบประจบสอพลอ คนเขาไม่พอใจก็ยกพวกมา เผาบ้านเผาเมือง ตลอดเวียงวังให้พินาศ ก็คนไทยนี้เอง ซึ่งไม่ผิดกับสมัยพฤษภาทมิฬ เขาเผาเพราะความแค้น แค้นให้พวกหยิ่งยะโส มัวเมาในอำนาจ ไม่ให้มีนิวาสตนที่อยู่ต่อไป ก็คนไทยนี้เองช่วยกันเผา ตัวเราเองยังต้องโหมโรงกับเขาไปด้วย เขาจึงเห็นว่าเป็นคนดี มีไมตรีช่วยเหลือกันแล้ว มันก็เอาไปด้วย ไปช่วยทรมาน พวกบ้ายศบ้าอย่างจะได้หายไปจากโลกมนุษย์ หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 29 มีนาคม 2553 15:36:33 ผลสุดท้าย เจ้าเหนือหัวของไทย คือพระมหินทราธิราช พอหมดอำนาจวาสนา ประกอบกับโรคโรคามาประดัง สังขารสู้ไม่ไหว ก็ไปสิ้นใจสวรรคตที่เขตเมืองอังวะนี้เอง จึงน่าสงสารท่าน บ้านเมืองจะฉิบหาย เพราะบริวารแท้ๆ อันคนชาวพม่าจริงๆ นั้น เขาใจบุญเป็นชาวพุทธเต็มร้อย จุดเด่นที่สุดของเขา คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในทางพระพุทธศาสนา เช่น วัดวาอาราม โบสถ์ วิหาร เจดีย์ วัตถุที่สวยๆงามๆ ตั้งแต่สมัยอดีต ก็ยังไม่ทรุดโทรมเลย หลายๆ เมือง ที่มีพระธาตุเจดีย์ ทุกที่ทุกสถาน เขาช่วยกันอภิบาลปกป้องไว้อย่างดี เช่นเจดีย์ชเวดากอง เดิมชื่อกุรุงตะเล เป็นของพวกมอญสร้างไว้ก่อน อันศัพย์คำว่าตะเล ตะเล แปลว่า ภูเขา ซึ่งไม่ผิดกันเลยกับภาษาสิงหล ที่เขาตั้งชื่อว่ามหินตะเล เพราะเป็นสถานที่ พระเจ้าเทวานัมปิ พบกับพระมหินทเถระที่นั้น จึงได้ตั้งชื่อว่ามะหินตะเล ส่วนกรุงตะเลที่ประเทศพม่า ก็มาจากศัพท์เดียวกัน ส่วนพะโค ซึ่งก่อนชื่อเมืองหงสาวดีนั้น ก็มี Dhammayangi Temble เป็นภาษาอังกฤษ แต่ชาวเมืองเขาเรียก ธรรมะย่านจี Demmagangi ซึ่งเป็นพุทธสถานที่ใหญ่โต น่าสักการะ และยังมีพระพุทธรูป สร้างด้วยหินอ่อนหลายพันองค์ ตั้งเรียงรายกันน่าเลื่อมใส ไม่มีใครแตะต้อง ส่วนเมืองอังวะ คือบ้านทะเล ปัจจุบันก็มีพระเจดีย์มากที่สุด และอีกแห่งคือพระธาตุสัมพุทธรูป ห้าแสนแปดหมื่น สองพันห้าร้อย ห้าสิบเจ็ดองค์ ซึ่งมีพระพุทธรูปหินอ่อนองค์ใหญ่ ประทับอยู่ถึงแปดหมื่นสี่พันองค์ รูปพระอรหันต์อีกห้าพันองค์ พระเจดีย์เล็กหุ้มทองสองพันกว่าองค์ ก็ยังทรงประดิษฐานอยู่อย่างดี และอย่างเดิม ไม่มีใครเคลื่อนย้ายแตะต้อง พระสวยๆ อย่างนั้น ถ้าเป็นเมืองไทย เมืองพุทธแต่สำมโนครัว แต่ส่วนตัวนั้น หัวขโมยพระไปขาย พระพุทธรูปเหล่านั้นคงไม่เหลือแล้ว ขนเอาไปขายหมด พม่าเขาถือว่าการค้าขาย ถ้าขายพระเป็นสินค้า ถือว่าเป็นบาปหนัก เท่ากับขายพ่อกิน และมีถิ่นอื่นๆ อีกทั้งเขตพม่า เขาจะมีสิ่งสักการะบูชา คือพระธาตุเจดีย์ ตั้งเป็นศรีสง่าน่าเลื่อมใสไปทุกแห่งหน ไม่มีใครกล้าขุดค้นทำลาย เหมือนเมืองไทยเลย แล้วยังจะเห็นว่า พม่าร้ายได้อย่างไรแต่ที่มันรบราฆ่าฟันกันอยู่ทุกวันนี้ ก็ไม่เกี่ยวกับศาสนา มันเกี่ยวกับความบ้าอำนาจ ของคนมีกิเลสหนาเท่านั้น แม้แต่เขมรก็ถืออำนาจอีก ส่วนเมืองไทยเรา เรามีหลักชัยอันยิ่งใหญ่ คือ องค์พระมหากษัตริย์ ผู้ทรงตั้งอยู่ในทศธรรมนิราช ตั้งอยู่บนดวงใจของคนไทยทั้งชาติ ถ้าไม่มีพระองค์แล้ว อะไรจะเกิดขึ้น ขอให้คิดเอาเถิด นี้ข้าพเจ้าผู้เขียนเขียนขึ้นมา เพราะได้ไปเห็นมากับตา เป็นได้ยินมากับหู ไปอยู่กับพม่ามานานไป ได้รับความสุขสำราญทางจิตใจ ได้รับความผ่องใสทางปัญญา ที่รู้เรียนมาจากของจริง จึงเชียร์ว่าพม่าเขาดี ข้าพเจ้าเข้าไปทุกที่ ได้รับการแซ่ซ้องสาธุการ ถึงกับหามแห่ไม่ให้เหยียบดินเลย เพราะเราเข้าไปมีแต่ให้กับให้ช่วยกับช่วย ช่วยเขาด้วยความเต็มใจ ไม่เหมือนคนไทยหน้าไหว้หลังหลอก ขอบอกว่าเขาดีกว่าเรา ในด้านศีลธรรม วัฒนธรรม สังคม หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 29 มีนาคม 2553 15:48:18 ส่วนเรื่องวัฒนธรรมอันเก่าแก่ ของชาวพม่านั้น เขายังยึดมั่นถือมั่น ในจริยธรรมอันดีงามของเขา มาแต่บุพกาลนั้น ไม่ต้องพูดถึง เขายังถือประเพณีอันดีงามของเขาไว้ ทุกคนมีระเบียบวินัย มีนิสัยสมถะ ไม่ชอบความฟู่ฟ่าฟุ่มเฟือยเหมือนคนไทย ใจรักธรรม ถึงวันพระจะพากันมาถือศีล นั่งวิปัสสนา หาความสุขทางใจ คุกตะรางมีไม่กี่แห่ง ทั่วประเทศ แต่มีไว้ขังนักโทษทางการเมืองเป็นส่วนมาก สังคมเขาอยู่แบบเรียบง่าย เขาถือว่าตายแล้วก็เอาไปไม่ได้ แล้วก็กระเสือกกระสนหามาทำไม คนจัญไรที่เป็นภัยต่อส่วนรวม คือคนที่มีแล้วไม่รู้จักพอ ทรัพยากรของชาติของแผ่นดิน เขามีมากกว่าเมืองไทยหลายเท่าเช่น แร่ น้ำมัน ป่าไม้ ถ่านหิน พลอย เขามีมาก แต่เขาหาใช้หาขายเอง ไม่ยอมให้ต่างชาติไปลงทุน เพราะจะไปทำลายของเขา ส่วนด้านศาสนาเขาเคร่งครัดที่สุด นักบวชของเขาเป็นผู้นำ ไม่ให้เห่อเหิมในลาภยศ พระเขาไม่เอาเลย เพราะพระระดับผู้บริหาร เขาจะมีการเลือกตั้งกันทุกห้าปี ทุกระดับชั้น ตั้งแต่เจ้าอาวาส ถึงมหานายะกะ เพราะเขาไม่มีกาวตราช้าง ติดก้นเอาไว้เหมือนพระสงฆ์ไทย การเอารัดเอาเปรียบกันเป็นบาปหนัก เขาจึงอยู่แบบสมถะที่น่าคบ น่ารัก น่านับถือ ไม่เหมือนคนไทย ที่นับถือพระพรหมสี่หน้า พม่าก็เหมือนกัน แต่ผิดกันด้วยการนับถือคือตัวพระพรหม ท่านมีเพียงสี่หน้า ชาวพม่าก็พากันเลื่อมใส แต่ชาวไทยทั้งบุรุษและสีกา มีมากกว่าร้อยหน้าพันหน้า มากกว่าพรหม จึงขอสรุปว่า ด้านวัฒนธรรม ศีลธรรมของชาวพม่า เขาดีกว่าเรา แต่เมื่อเข้าไปถึงครั้งแรกนั้น ได้ประสบทั้งสุขทั้งทุกข์ ทั้งชื่นชมเศร้าโศก หัวเราะและน้ำตา อับเฉาเบาปัญญา ทั้งแสงเจิดจ้าแห่งดวงธรรม มีคละเคล้ากันกันมาตลอดเวลา ถ้าสถานบ้านเมืองนี้แหละ และสถานที่เราอาศัยอยู่นี้ มิใช่ที่เราเคยมีส่วน ทั้งทางสร้างสรรค์ มาแต่อดีตชาติ ทวยเทพเทวาอารักษ์ทั้งหลาย คงไม่เอื้ออำนวย ให้เราได้รู้แจ้งในสิ่งที่ควรรู้ ควรเห็นเป็นแน่ ดังนั้น วันนี้เป็นวันศุภมงคล อันล้ำเลิศของชีวิตข้า จึงขออำลาเทวาฟ้าดินทุกถิ่นฐาน ภูมิเทวสถานทั่วขอบเขตขัณฑสีมา ขออำลาท่านมเหศักดิ์ ผู้พิทักษ์บ้านเมือง ขออำลาท่านผู้ช่วยประเทืองปัญญา มาแนะนำแนวทาง การเข้าถึงตัวแฝงตัวลึกลับ ดับความมืดบอดทางปัญญา คือหลวงปู่พระครูโลกอุดร ที่มาสั่งสอนให้ด้วยความเมตตา และขออำลารุกขเทวดา ตลอดชาวประชาที่มาอุดหนุน ดูแลให้ความอบอุ่นมาตลอด ทั้งเจ้าบุญนายคุณทุกประเภท ลาทั้งผู้มาก่อเหตุให้วุ่นวาย ขอขอบใจ และบอกว่า ถ้าพวกท่านไม่ทำอย่างนั้น ข้าก็คงจะไม่มีบทเรียนที่มีค่ามากที่สุดในชีวิต ของข้าพเจ้า จึงขออุทิศกุศลทุกอย่าง ที่ข้าได้ทำมาให้ท่านมีส่วนทั่วหน้ากัน หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 29 มีนาคม 2553 15:59:46 ข้าขอลาหมู่พฤกษาที่อาศัย จะเลือนลับนับปีแต่นี้ไป จะมิได้มาพึ่งเย็นอีกเช่นเคย เรามาอยู่สู้ทุกข์ เป็นสุขเลิศ ให้ใจเกิดความว่างจนวางเฉย ของแผ่นฟ้าแผ่นดินถิ่นที่เคย เทพไท้เอ๋ยข้าขอตั้งคำสั่งลา ส่วนความสัมพันธ์ทางจิตวิญญาณ ที่ขัาได้รับปฏิญาณกับท่าน ยอดสตรีศรีพระสุพรรณกัลยานั้น ขออัญเชิญท่านกลับไปด้วยทั้งหมด เพราะได้รับรู้ทั้งด้านนามธรรมคือ พระรูปอันโสภิตที่สถิตในดวงใจของข้า พร้อมด้วย พระรูปอันไฉไลโสภา น่าสักการะของท่าน ที่ข้าได้ทำพิธีกรรมถ่ายรูปเอาไว้ ก็ขออัญเชิญกลับไปด้วย และท่านก็เล่าให้ฟัง ทางจิตวิญญาณว่า คนไทยที่เป็นเชลยผู้แข็งแรง ถูกเขาส่งเขาไล่ให้ขึ้นไป เป็นสายสืบตามลุ่มแม่น้ำสาละวิน ตั้งแต่เหนือจรดใต้ แล้วเขาก็ล้มตายไปหมด ท่านถึงอยากจะให้ขึ้นไปทางเหนือ ริมฝั่งแม่น้ำสาละวินทั้งสองฝั่ง เพื่อบอกเล่าและอวยทาน อุทิศส่วนกุศลให้เขาได้รับรู้ แล้วอนุโมทนาส่วนบุญ แล้วจะได้นำพาให้เขาได้กลับเมืองสยามไทย อันคนเหล่านั้นก็ล้วนเป็นทหารหาญ ของไทยมาแล้วทั้งนั้น แต่เขาได้ถูกเป็นเชลย ต้องไปสังเวยชีวิตให้กับปัจจามิตร ด้วยความที่น่าสงสาร และบางคนเขาก็กลับไปเกิดได้เป็นใหญ่เป็นโตแล้ว ก็มีบางคนก็ยังตกทุกข์ได้ยาก ฉันจึงอยากจะไปอวยทานให้เขา เมื่อเขาได้รับรู้แล้วเขาจะได้ดีใจ และได้กลับไปกับเรา เพื่อช่วยเหลือบ้านเมืองต่อไป และพระนางท่านอยากจะไป ทัศนาภาวนาอธิษฐานจิต ให้พระน้องยาเธอ ที่พระนางทรงรักทรงโปรดมาก คือ พระนเรศวรมหาราช สวรรคตที่เมืองหาง หรือเมืองฮาง เมืองงอย เขตรัฐฉานของพม่าด้วย ซึ่งมีนครเชียงตุงเป็นราชธานี ดังนั้นข้าพเจ้าจึงรีบเปลี่ยนแผนการเดินทางกลับทันที เพราะครั้งแรกตั้งใจว่าจะกลับทางปากน้ำสะโตงข้ามแม่น้ำสาละวิน แล้วเข้ามะละแหม่ง ขึ้นเขาตะนาวศรี ข้ามบันจะคีรีบรรพต ผ่านเมืองแครงแสนหวี ตัดตรงเข้าจังหวัดตาก เส้นทางก็ไม่ลำบาก เพราะต้องผ่านดอย ภูฝอยลม ภูเขากล้า ภูม้าเก้าศอก ภูรเม็งภูร ใช้เวลาเพียงเจ็ดวัน ก็ถึงฝั่งน้ำเมย ซึ่งติดกับฝั่งไทย ในเขตจังหวัดตาก แต่ต้องกลับเปลี่ยนแผนใหม่ ไปตามพระประสงค์ของพระนางท่าน ที่จะไปร่ำลาและแจกทาน ก็ต้องยอมเชื่อ เพราะการเชื่อเทวดา เราจะได้สร้างบารมีทานต่อท่าน เพื่ออุทิศให้บริวารเก่าของท่าน ตามลุ่มแม่น้ำสาละวิน เอาเข้าแล้ว ข้าหนักเหมือนจะให้แบกโลกอีกแล้ว แต่พอออกจากแขวงเมืองพะโค ต้องใช้ขบวนช้างบรรทุกของ เราต้องจ่ายเงินซื้อสิ่งของ ที่ท่านต้องการไปแจกทานคือ เสื้อหนาว ผ้าห่มหนาว ยารักษาโรค และสิ่งของสารพัด ใช้เงินไปจำนวนแสนห้าหมื่นบาท สมัยนั้นไม่น้อยเลย ค่าจ้างค่าพาหนะและเงินที่จะไปแจก อีกจำนวนไม่น้อย คราวนี้ต้องเข้าปากน้ำสาละวิน ทวนกระแสน้ำขึ้นเหนือ ใช้เวลาทั้งหมด ในการเดินทางสามสิบห้าวัน ก่อนกลับข้าพเจ้าได้จ่ายเงิน ซื้อสิ่งของที่ จะนำไปแจกทานแก่คนยากจนตลอดทาง แต่สิ่งของที่ท่านประสงค์นั้น ไม่ให้ลืมนั้นคือ พระรูปที่เราทำพิธีถ่ายเอาไว้ และสิ่งที่เหลืออยู่ในโอ่ง ที่เราขุดได้หลายชิ้นคือ ตะว้าแปลว่าฟัน คือฟันของท่าน ยังมีอยู่หลายซี่ ภาษาพม่า แลกแต ภาษาไทยแปลว่า เล็บมือ ได้มาด้วย โป้งต่อ แปลว่า รูปภาพที่เราถ่าย ซินตุ๊ต่อ แปลว่า รูปวิเศษ คือสิ่งที่ท่านเคารพ ปะตีเซ๊ก แปลว่า ลูกประคำทำด้วยนิลสีดำ เพราะท่านเกิดวันเสาร์ คือพระรูปของพระนางสุพรรณกัลยา พร้อมด้วยพระสรีระที่เหลืออยู่ พอเก็บได้ในโอ่งใหญ่ ที่เขาฝังไว้ทั้งสองใบ ตลอดทั้งเครื่องบูชา เครื่องประดับอันล้ำค่าของท่านทุกอย่าง หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 29 มีนาคม 2553 16:26:11 (http://mkpayap.payap.ac.th/course/myweb/Naresuan/imghistory_freedom.jpg) ข้าพเจ้าขออัญเชิญกลับไปพร้อมกันหมด เรื่องไม่หน้าเชื่อก็เกิดขึ้นคือ จู่ๆ แดดจ้าเวลาเที่ยง ฝนกลางแดดก็เทลงมาอย่างหนัก สักประเดี๋ยวก็หยุด มวลมนุษย์ชาวพม่าเขาสาธุกันทั่วหน้า ก่อนออกเดินทาง ก็จุดธูปเทียนร้อยแปดเล่มบูชา พระแม่ธรณีรอบสถานที่ ที่เราเคยอาศัยแห่งละแปดเล่ม ปักไว้กับพระแม่ธรณี แล้วจึงออกเดินทาง โดยขบวนนำส่งอย่างล้นหลาม เขาพากันหามมาส่ง อย่างเอิกเกริก และได้อัญเชิญพระอัฐิและกำไรแขน ของพระนางท่าน ที่ท่านรักและเคารพที่สุดคือ รูปพระแม่อุมาที่เป็นทองคำ แต่เทวรูปองค์ที่เป็นทองคำนั้น ตอนหลังข้าพเจ้าได้นำไปฝากไว้ กับเจ้าคุณพระวิมลเมธี เพราะเราเคารพนับถือท่านมาก เอาไปฝากไว้เฉยๆ ไม่ได้บอกว่าให้เป็นของใคร ภายหลังต่อมา ท่านเจ้าคุณใหญ่ถึงแก่มรณะภาพ ทางวัดก็เลยยึดเป็นสมบัติของวัดทับคล้อไปเลย อย่างนี้มันยุติธรรมไหม ในปัจจุบันทางวัดมันเห็นแก่ได้ มันจะเอาลูกเดียว หรือมันเอาไปขายกินเสียแล้ว ใครจะไปรู้ แต่เราก็พอมีสักขีพยานอยู่ คือพระมหาสำเนียงเท่านั้น ที่เป็นคนแบกไปถวายฝากไว้ และจะยังยืนยันว่า เป็นขอฝากไว้เฉย ๆ มิใช่ของท่านผู้รับฝาก และของวัดแม้แต่ประการใด เอาองค์ท่านมัดรัดติดตัวเรา เดินทางไปลงเรือที่ปากน้ำสาละวิน หันหลังใส่ทิศทักษิณผินหน้า ขึ้นเหนือทวนกระแสน้ำ จากแขวงเมืองชาวบุน (Schawnon) (หรือชาวนัน ซึ่งเป็นเมืองอังวะแต่ก่อนมา) จากชาวบุนถึงทาดอง (Thadon) ใช้เวลา 10 วัน เพราะต้องแวะตามฝั่ง แจกทานไปด้วย ส่วนมากเป็นผ้าห่มกันหนาว เสื้อผ้า และยารักษาโรคดังกล่าวมา จากทาดองถึงลอยกอ (Loikon) หรือบอละเก (Bolake) อันเมืองบอละเกนี้เอง เป็นที่สวรรคตของพระมเหสี และพระประยูรญาติหลายพระองค์ ก็เพราะไข้ป่า และโรคผิดอากาศ และพระเจ้ามหินตราธิราช ผู้ครองเมืองอยุธยา แต่ถูกพม่ากวาดต้อนไปเป็นเชลย จากนั้นจึงแต่งตั้งให้ พระมหาธรรมราชา เป็นพระอุปราชครองราชแทน จากบอละเกถึงเมืองนาย (Noitow) ใช้เวลา 10 วัน จากเมือง NOITOW (เมืองนาย) ถึงเมือง HANDITOW (เมืองหาง) ใช้เวลาเดินทางถึงเจ็ดวัน แบบค่ำไหนนอนนั่น พร้อมด้วยขบวนหาบส่งของ อันเมืองหางนี้ ปัจจุบันชาวบ้านเขาเรียก เมืองฮาง หรือเมืองงอย ท่านสวรรคต เมื่อปี พ.ศ. 2150 พระชนมายุได้ 50 พระชันษา เสวยราชสมบัติได้ 15 ปี เป็นสถานที่พระนเรศวรมหาราช เสด็จสวรรคต เพราะโรคไข้ป่า และโรคฝีดาษ อันเมืองนี้เป็นเมืองอิสระ อยู่ในหุบเขา ซึ่งเป็นแหล่งปลูก และผลิตฝิ่น ที่มากที่สุด ดีที่สุดในโลก ซึ่งโลกภายนอก ไม่สามารถที่จะไปถึงได้ในปัจจุบัน ขบวนเราพักผ่อนอยู่ที่นี่ห้าวัน เพื่อทำบุญอุทิศถวายพระองค์ท่าน และก็มีพระเจดีย์เล็ก ๆ ที่ไทยใหญ่เขาสร้าง ครอบที่ฝังพระศพท่านไว้ด้วย เสร็จแล้วก็ออกเดินทางต่อไป จะเข้าเขตแดนไทย ต้องไปตามทางคดเคี้ยว เลี้ยวลดไปมาทางตอนใต้ (เทือกเขาถนนธงชัย อันเทือกเขานี้ ต่อจากเหนือสุดของรัฐฉาน ผ่านพม่าตอนเหนือ เขตภูฐานถึงเขาตะนาวศรี คิดดูแล้วจะเป็นฝีมือของธรรมชาติ มาสร้างเขาทั้งสองลูกนี้ ได้ยาวเหยียดครึ่งทวีปเอเซีย) ทั้งเรือทั้งคนขนส่งเรามากมาย สุดทางเมื่อไหร่มอบเรือ ให้เขาพร้อมด้วยเงินค่าแรงงาน ตามที่เขาต้องการ เรือพายทวนกระแสน้ำ อันไหลเชี่ยวกราก เห็นบ้านคนต้องจอด เขาประกาศว่า เจ้าตนบุญมาโปรดเราแล้ว เราก็แจกของจนหมด ถึงเมืองที่เจริญหน่อย ก็ซื้อเพิ่มเติมอีก ตอนหลังมาเรื่องเรือจ้างต้องเลิก เราจัดซื้อของและจ้างเรือเป็นรายวัน ให้เขาเรียกค่าจ้างตามชอบใจ ไม่เคยต่อเขาเลย เรามีแต่ให้กับให้จำสุภาษิตว่า ผู้ให้ย่อมเป็นที่รักของผู้ขอ หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 29 มีนาคม 2553 17:01:32 (http://images.palungjit.com/attachments/46665d1254487201-สมเด็จพระนเรศวรมหาราช-imghistory_001-jpg) พอออกจากเมืองปันเข้าเมืองทน ต้องใช้ขบวนหาบต่อ ขนของกันขึ้นเขาลงห้วย ลูกแล้วลูกเล่า อากาศก็เย็นเพราะเป็นฤดูหนาว ขบวนหาบและแบกของ ต้องเดินป่าผ่านดงกลางพงลึก จิตรำลึกถึงคนึงหลัง ตอนเรานั่งภาวนาหาตัวแฝง ที่หลวงปู่โลกอุดร สอนแสดงให้รู้แจ้งประจักษ์จิต อนิจจัง ตามโอวาทของพ่อโลกอุดรสอนไว้ ท่านให้รู้ตัวจริง ตัวเป็น ตัวแฝง ไว้ในใจตน จงแยะแยกตนตัวจริง กับตัวเป็นออกให้หมด แล้วกำหนด ที่ผู้รู้ เป็นครูสอน สอนให้รู้ อยู่คู่กับ ดับนิวรณ์ อย่าให้จิตโยกคลอน ผ่อนอารมณ์ ข่มจิตใจ เมื่อจิตเผลอไป ใจก็กลุ้ม รุมกิเลส ชักหาเหตุ รักชัง ฟังไม่ไหว ท่านสอนไว้อย่างไร ก็เป็นจริงทั้งทางรูปธรรม และนามธรรม อันทางรูปธรรมนั้นคือ เราโดนใส่ความว่าเป็นพระตัวการ ก่อให้เกิดความยุ่งเหยิง ในวงการสงฆ์ของพระพม่า เพราะเราออกค่าใช้จ่าย ถวายพระสงฆ์ทั้งหมดที่ไปเดินขบวน จึงเจอเรื่องหนัก ถูกกักขังบริเวณ และโดนสอบสวนทุกวัน ส่วนด้านนามธรรมนั้น คือการค้นหาตัวแฝง รูปแฝงออกมาใช้ได้ผล ก็หลุดพ้นออกมาได้ และตัวแฝงนี้เอง ที่ได้ใช้ให้ไปค้นคว้าเรื่องโลกวิญญาณ จนได้ไปพบพระวิญญาณ ของท่านผู้มีบุญคุณ อันยิ่งใหญ่แก่บ้านเมืองสมัยนั้น คือพระวิญญาณของนางสุพรรณกัลยา และสถานที่เขาฝังพระเจ้าเหนือหัว ของกรุงศรีอยุธยาคือ พระมหินทราธิราช พร้อมด้วยพระประยูรญาติของพระองค์ เราได้ค้นเอาสมบัติและสิ่งหวงแหนของท่านมาสักการะไว้แล้ว ตลอดทั้งได้แก้ไขทางไสยศาสตร์ เวทมนต์กลคาถาให้ท่านได้หลุดพ้น จากการผูกมัดด้วยภัยเวร แล้วเชิญวิญญาณท่านเดินทางกลับ อันกิจธุระ เรื่องแก้เวรแก้กรรมของเรา และท่านผู้มีพระคุณต่อคนไทยทั้งประเทศ ก็ได้มาหมดแล้ว จิตใจก็ผ่องแผ้ว ด้วยสมความปรารถนา จึงมาคิดในใจว่า ก็พระมหาเถระทั้งประเทศ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังหลายๆ ท่าน ทำไมดวงจิต ของพระนางท่าน ตลอดทั้งทวยเทพเทวาฟ้าดิน จึงไม่ไปสัมผัส ให้ต้องเดินทางเข้าไปช่วยบ้าง ส่วนข้าพเจ้าเอง ก็เป็นพระภิกษุสับปะลังเคอย่างเรา ในทัศนะของพระสงฆ์องค์อื่น ๆ ท่านทำไมจึงผูกพัน หรือนิมนต์ให้ไปช่วย จะเอาผู้อื่นไม่ได้หรือ ภายหลังจึงมานึกได้ว่า อันคนที่จะไปช่วยท่านได้นั้น มันต้องเป็นคนบ้าหลายระดับ คือหนึ่งบ้าไม่กลัวความลำบากยากเข็ญ ไม่กลัวตาย เพราะเคยตายมาแล้วหลายครั้ง จากอุบัติเหตุดังจะกล่าวไว้ข้างหน้านี้ เพราะขณะที่ตายโดยมีสตินั้น เราได้ฝึกหัดตายก่อนตายมาแล้วว่า ขณะที่จิตมันไม่สัมผัสกับตัวจริง และตัวเป็นนั้นมันมีอาการอย่างไร อันภาวะของภวังคจิต กับวิถีจิตนั้น มันจะมีอาการอย่างไร แล้วจับเอาตัวเองมาสร้างเป็นตัวแฝง จึงไม่กลัวตายบ้าไม่กลัวตาย ยิ่งตายบ่อยยิ่งดี และบ้าไม่กลัวคนทุกรูปแบบ ในทางที่ถูกต้อง อย่างที่สอง ต้องบ้าระดับเห็นเงินเห็นทอง เป็นของส่วนกลางมิใช่ของเราเอง และเราก็มั่งมีร่ำรวยเหลือใช้แล้ว จึงเห็นว่าเงินคือตัวภัยร้าย เป็นไฟเผากิเลสให้อยากได้มาก ๆ แต่นี้เราพร้อมและมีพร้อมที่จะให้ เพราะพื้นเพเดิมมีเหลือใช้เหลกิน บ้าประเภทที่สาม คือบ้าแบบเดนผีและเดนคน เดนมนุษย์และทั้งผีทั้งมนุษย์เขาไม่ต้องการ คือจะตายไปเมืองผี ผีก็ไม่รับ เพราะเคยมีอุบัติเหตุทางเครื่องบินตก ในต่างประเทศมาแล้ว ผู้โดยสารตายหมด เหลือแต่เราคนเดียว เพราะผีมันไม่ยอมรับ มันบอกว่ากลับไปได้ผีไม่เอา และเคยประสบอุบัติเหตุ ทั้งทางน้ำทางบกไม่ตายสักที และบ้าประเภทที่ไม่แคร์กับลาภยศ สรรเสริญ ไม่เพลิดเพลิน ในอามิสสุข เราบวชมาแสวงหาทุกข์อย่างเดียว ถือว่าทุกข์คือบทเรียนบทรู้ของชีวิต จึงยึดเอาประสบการณ์ของชีวิต มาเป็นบทเรียน และบ้าประเภทที่สี่ คือบ้าหนังเหนียว ปืนยิงไม่เข้าและไม่ตาย (ถ้าลูกปืนไม่ถูก) ห้าบ้าประเภทเป็นคนทำอะไรทำจริง แบบบ้าระห่ำ ทำไม่เสร็จไม่หยุดไม่ยอมเลิก ดูแต่สร้างพระพุทธรูปแจก แจก แจก ฟรี ๆ ไปเป็นแสนองค์ ยังไม่ยอมเลิก แบบบ้าไม่กลัวฉิบหาย ขอบอกว่าข้ามันครบครันในเรื่องบ้า บ้าระดับโลกมนุษย์ และโลกผี ถือว่าทรัพย์สมบัติทั้งหลาย มิใช่ของเราเป็นของแผ่นดิน ของส่วนกลาง ตายไปแล้วก็เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง เกิดมาจากท้องแม่ ก็มาแต่ตัวเปลือยเปล่า ล่อนจ่อน ผ้าผ่อนสักชิ้นก็ไม่มี แถมยังหลุดจากท้องแม่ตกลงไปในน้ำ ถ้าหมาไม่ช่วยไว้ก็เรียบร้อย โรงเรียนตาย ตายไปแล้ว ร้อนใจพาไปนรกก็เท่านั้นเอง ดังนั้นเองทวยเทพเทวา เห็นพระโง่นองค์นี้แหล ะที่บ้าหนักกว่าผีกว่าคน จึงดลบันดาลให้ต้องไปต่อสู้ และก็คงจะเป็นบุพกรรม ที่ทำไว้ในชาติก่อน จึงย้อนมาสนองผล หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 29 มีนาคม 2553 17:14:48 (http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/306/2306/images/_NrsScPjWaterFlow50k.jpg) เมื่อถึงเวลาพลบค่ำ ขบวนพวกเราไปพบถ้ำใหญ่ แห่งหนึ่ง ในระหว่างต่อเขตแดนพม่ากับไทย เป็นถ้ำใหญ่ที่กว้างขวางน่าอยู่ และภายในถ้ำ มีแต่หินสีเขียวเป็นหยดอย่างดี ที่มีค่าๆ (รู้สึกจะเป็นแหล่งหยกที่ดีที่สุด มากที่สุดในโลก เพราะหินทุกก้อนทั้งเขาเป็นหยกทั้งนั้น จึงพากันนั่งพักเอาแรง) ขณะนั้นเองเจ้าเก่งหมาคู่บุญของเรา ล้มลงนอนยาวหายใจระรวยๆ ลิ้นห้อย น้ำลายไหล เอาอย่างไรกันว๊า จึงเอาปรอทวัดความร้อน สอดเข้าปากก็ปกติ หัวใจเต้นปกติ ช่วยกันพยุง ให้มันลุกมันก็ไม่ยอม จึงประกาศร้องขอ ให้พวกขบวนหาบว่า หยุดพักกลางถ้ำนี้เอง เราห่วงเพื่อนตายของเรา คือเจ้าเก่ง ถึงหายาสมุนไพรแถวนั้นคือ เถาหมาว้อ กำลังเสือโคร่ง กรุงเขมา เถาวัลย์เขียว มาต้มให้กินเป็นยาแก้ร้อนใน ช่วยให้หัวใจเต้นเป็นปกติ เพราะเรื่องยาแผนโบราณ การสมุนไพร เราเรียนมา และช่วยรักษาตัวเอง และผู้อื่นได้ผลมาแล้วนี้เป็นหมา อาหารของมันก็มังสะภักษ์ไม่ต่างกับคน ผลที่มันจะหายมีแน่ พวกลูกหาบ ลูกจ้างทุกคนดีใจ เพราะเขาจะได้พักผ่อน ได้ค่าจ้างรายวัน จึงจัดที่พักนอนให้เรา ในคูหาใหญ่นั้นเอง อยู่ใกล้ ๆ กับเจ้าเก่ง ลูกหาบเขาเป็นคนดี รักเรามากหากพวกนั้น เป็นคนไทยมันคงจะร่วมใจกันทุบหัวไปแล้ว เขาจัดแจงที่พักของเขาอีกคูหาหนึ่ง แล้วก่อไฟไว้ให้สองสามจุด เพื่อเป็นแสงสว่าง ดับความมืดในเวลากลางคืน ภายนอกถ้ำมีผาสูงชัน ได้ยินเสียงวิหคนกร้องก้องในไพร เสียงเรไร ไก่ขันสนั่นดง เสียงลิงค่างบ่างชะนีร้องโหวกโหวย เสียงโอ๋ย ๆ บนกิ่งไม้มีเหลือหลาย เสียงผัว ๆ ตัวเมียที่โยนกาย เห็นคนอายแอบอิงกับกิ่งยาง โอ้... น่าเวทนา เจ้าชะนีเรียกหาผัว เหมือนตัวเรา เรียกเจ้าเก่งที่เจ็บป่วยให้ได้หาย เก่งเพื่อนตายจงได้หายจากโรคา ไท้เทวาจงช่วยขัดกำจัดภัย ในคืนวันนั้นตอนดึก เห็นพระสงฆ์ไทยใหญ่ รูปร่างสูงโปร่งน่าเคารพ ท่านเดินผ่านแสงไฟ เข้ามานั่งบนแท่นหินหยก ในถ้ำติดกับที่ข้าพเจ้านอนอยู่ ท่าทางท่านสังวร แบบสมณะเต็มร้อย ท่านออกปากถามข่าวว่า ขะมะนิยัง อาวุโส เราก็ตอบภาษาพระว่า ขะมะนิยัง ภันเต ท่านก็ยิ้มรับแล้วบอกว่า ในชีวิตของคุณ คุณคงจำได้ว่าท่านกับผมพบกันมาแล้วสาม สี่ ห้า ครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 แล้ว ผมจะสนับสนุนแต่คนที่ทำความดี แล้วไม่หวังผลตอบแทน คุณจำจากบ้านเมืองมาคราวนี้ คุณได้ทำประโยชน์มาก และได้รู้ได้เห็น ได้ศึกษาหาความรู้ทางตัวแฝงได้ดี ยากที่บุคคลธรรมดาสามัญจะทำได้ เพราะต้องฝ่าฟันอุปสรรค นานับประการ แทบจะเอาชีวิตไม่รอดแบบเดนตาย และยังได้บริจาคทานแก่คนที่ตกยาก ใช้เงินส่วนตัวไปแล้วหลายล้านบาท แล้วยังช่วยผู้มีพระคุณต่อประเทศชาติ นั่นคือพระนางสุพรรณกัลยา ที่ได้มีส่วนสัมพันธ์ทางบุญคุณกับท่าน พร้อมด้วยพระธิดาทั้งสองพระองค์มาด้วย คุณรู้หรือเปล่าว่า พระนางท่านมีพระธิดาองค์แรกเป็นทารก เขาปล่อยให้อดตายไปก่อนแม่ แล้วเขาจับยัดใส่ไหลูกเล็ก ฝังไว้ก่อนที่คุณขุดค้นเอานี่เอง และเรียกเอาวิญญาณมาด้วย ส่วนคนที่อยู่ในท้องได้แปดเดือน ถูกฆ่าตายทั้งกลม ด้วยน้ำมือของเจ้ามังสะไชยสิงหะราช หรือนันทบุเรง ไปพร้อมกับแม่ ที่เรียกว่าพระนางตายทั้งกลม ท่านช่วยทางไสยศาสตร์ทางวิญญาณ เอามาหมด และทั้งหมดนั้น เขาจะกลับมาเป็นบุตรบุญธรรมของท่าน ในอนาคต และจะเป็นผู้ชายทั้งสองคน เป็นผู้มีบุญมาก มาเกิดในสกุลทุกข์ยาก แต่เขาจะเกิดมาช่วยสังคม ท่านดูไปก็แล้วกัน คนพี่เขาจะมีชื่อว่าสุริยัน คนที่สองชื่อว่าบุญชุ่ม อีกประมาณสักสามสิบปีข้างหน้า ท่านจะเห็นหน้าเขา และเขาจะรักและเคารพท่าน เหมือนบิดาบังเกิดเกล้า ท่านดูไปก็แล้วกัน สักวันหนึ่งข้างหน้า เขาจะมาหาท่านเอง และแต่ละคนเขาก็จะเวียนว่ายตายเกิด เหมือนท่านเอง เพราะรีบมา สร้างบารมี ไม่ยินดีในทิพยสมบัติ อย่างผู้อื่น เขานิยมกัน ก่อนมาเกิดในชาติปัจจุบัน เจ้าสุริยัน เป็นผู้กอบกู้เอาเมืองถลางเขตปักษ์ใต้ เขาจึงเกิดเมืองใต้ ส่วนเจ้าบุญช่วย (บุญชุ่ม) เขาเกิดมาเป็นเจ้าตนบุญ ผู้โด่งดังในภาคเหนือ คือพระอุปัชฌายะ ของคุณเองต่างคนต่างเป็นครู เป็นศิษย์กันมาตลอด แล้วให้คุณภาวนาว่า ปุพเพวะสันนิวาเสนะ ปัจจุปันนะหิเตนะวา เอวันตัง ฉายะเตเปมัง อุปะรังวายะโถทะเก ถ้าผู้มีจิตสรัางจิตให้เป็นตัวแฝงได้ ภาวนาคาถานี้ จะรู้ชัดเจนว่าชาติปางก่อน ย้อนไปไม่เกิด 5 ชาติ จะรู้ได้ด้วยตนเอง จำไว้นี้เป็นคำเตือน ของหลวงพ่อโลกอุดร หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 29 มีนาคม 2553 17:20:06 จากนั้นท่านก็แนะนำเรื่อง การรักษาตัวจริง คือร่างกายด้วยการกินการนอน การทำงานให้สมดุลย์อย่าใช้มันมาก ส่วนตัวเป็น ให้ลดละทิ้งให้เด็ดขาด อย่ายึดมั่นถือมั่นในตัวเป็น คือตัวเป็นโน่นเป็นนี่ เป็นอะไรต่อมิอะไร ตามวิสัยที่โลกเขาสมมุติกัน อันตัวเป็นนี่เอง คือสมุทัย จะเป็นปัจจัยให้เกิดทุกข์ เพราะไปยึดติดมัน อันคนส่วนมากชอบยึดติดอยู่กับตัวเป็นนี้เอง มันจึงทุกข์ ส่วนตัวแฝง ตัวทิพย์ ที่เรารู้เราเห็นมานั้นแหละ ให้สร้างมันขึ้นมา ติดตาตรึงใจไว้ตลอดเวลาได้ยิ่งดี อันตัวแฝงนี้ ยิ่งใช้งานยิ่งมีพลัง ที่จะช่วยตัวเองและคนอื่นได้ ส่วนตัวเป็น ยิ่งนำออกมาใช้ยิ่งยุ่งทั้งแก่ตัวเอง และสังคม ส่วนตัวจริงนั้น ยิ่งใช้งานยิ่งเสื่อมโทรม แก่ง่ายตายเร็ว อันตัวที่จะช่วยให้ตัวจริง ได้มีอายุยืนยาวไม่แก่เร็วตายเร็วได้ ก็อาศัยตัวที่สาม คือตัวแฝงนี้เอง จงจำเอาไว้ และผมขออวยพรให้ท่าน ได้ทำประโยชน์ให้สังคมไปนานๆ และขอเตือนกรรมที่ท่านทำเอาไว้ คือไปยิงปืนขู่ข้าศึก ให้ผิดใจกับพวกนางสนมนางในนั้น เขาไม่พอใจ จึงร้องขอเจ้าเหนือหัว ให้ประหารชีวิต แต่ท่านคิดทัน หลบหนีออกเวลากลางคืน ขนสมบัติไปด้วย ไปฝังเอาไว้ ที่ไม่ไกลจากวัดที่เมืองอยุธยา ที่พระพลรัตน์ไปเกิด อันสมเด็จพระพลรัตน์นั้น คือท่านขรัวโต (สมเด็จโต พรหมรังสี) อันวีรกษัตริย์ตั้งแต่อดีตนั้น ท่านได้สืบสันติวงศ์ ทางบุญกุศลกันมาตลอด คือ พ่อขุนราม ก็มาอุบัติในวงศ์จักรี องค์ที่ 5 คือ พระปิยะมหาราช คุณอย่าลืมว่า วงศ์กษัตริย์ในเมืองสยามไทยนั้น ท่านมีการสืบสันตะติกันมา หลายชาติหลายภพ ซึ่งแต่ละท่านทำคุณงามความดีให้แก่บ้านเมือง ที่คนส่วนมากยอมรับนับถือเอามากๆ ท่านเหล่านั้น ก็กลับมาเป็นกำลังของชาติ ในยุคปัจจุบัน คือ ระดับเจ้า ระดับขุนพล ขุนทัพ แม่ทัพ ในยุคนี้สมัยนี้ทั้งนั้น ส่วนลูกชายบุญธรรมของท่านทั้งสองคนนั้น เขามีตัวแฝงมาแต่กำเนิด เขาเลี้ยงตัวได้ และท่านเองก็รักเขาจริงๆ เหมือนลูกในไส้ และเขาทั้งสองจะเกิดมา สนองกรรมไว้ชาตินี้เท่านั้น แล้วก็จะทำจิต ให้ถึงพระอนาคามี ไม่มาเกิดอีกแล้ว ผมขอฝากไว้ด้วย เพราะเขาจะช่วยสังคม และคนทั่วไปตลอดชีวิตของเขา และเขาก็ปราศจากคู่ครอง ท่านดูเองก็แล้วกัน ผมไปละลาก่อน พบกันใหม่ ที่เทือกเขาหิมาลัย ในอีกไม่นานนัก เพราะท่านจะต้องตามถนอมรัก ลูกคนที่สอง ซึ่งอยู่ที่หิมาลัยประเทศ ในเวลาที่ข้าพเจ้านั่งฟังมันเป็นอาการครึ่งหลับ ครึ่งตื่น ครึ่งฟื้น ครึ่งฝัน และก็ฝันดีด้วย ช่วยให้เรามีกำลังใจ คิดอีกอย่างว่าก็ทำไมหนอ พระสุพรรณกัลยา ท่านไม่บอกเราในเรื่องนี้ นี่เราเอาพระวิญญาณ ของทั้งสามแม่ลูกมาด้วย ดีเหมือนกัน เราจะได้สัมผัสกับแม่ม่ายลูกสอง ตอนนั้นรุ่งอรุณ เวลาฟ้าสางพอดี เจ้าเก่งหมาคู่บารมี มันลุกออกวิ่งอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับมัน เป็นเพราะเราเอายาสมุนไพรกรอกปาก และยาปะคบให้มันจึงหาย หรืออะไรชอบกล มันร่าเริงเข้ามาหา ส่อสายตาฝากความรักประจักษ์จิต ดีกว่ามิตรที่เป็นคนล้นเหลือหลาย จึงมานึกว่า ถ้าไอ้เจัาเก่งมันไม่ทำอาการป่วย เราพร้อมคณะ ก็ผ่านด่านดงพงป่าเหล่านี้ไปแล้ว และก็จะไม่เจอท่านผู้มีปัญญา ผู้มีบุญมาโปรดเราอย่างนี้เลย นี่เจ้าเก่งมันเป็นหมาแสนรู้ รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น กับเพื่อนของมัน คือข้าพเจ้าแต่ตัวข้าพเจ้าสิโง่ และโง่ยิ่งกว่าหมาเสียอีก เพราะไม่รู้ล่วงหน้า อะไรจะเกิดขึ้น ตกลงเรายอมแพ้หมา ยอมให้หมาที่ฉลาดกว่าเรา เข้าตำราว่า โง่ไม่เป็นเป็นใหญ่ยาก โง่ไม่เป็นฉลาดไม่ได้เลย หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 29 มีนาคม 2553 17:32:39 การเดินทางต่อ เราข้ามภูเขาหลวง ที่ขวางกั้นพม่าตอนบน กับไทยตอนเหนือ ได้ใช้เวลาอีกสิบห้าวัน ออกช่องทางบ่อเบี้ย เพราะต้องเดินอ้อมขุนเขาที่สูงชัน จากเหนือล่องใต้ จากเมืองปันเมืองทนล่องใต้ออก เขตอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ พวกขบวนหาบ ส่งเขาก็ลากลับบ้านเมืองของเขา เราจึงโทรเลขถึง เจ้าทิพย์วรรณ และนายพันเอกประภาส จารุเสถียร ผู้ที่เคยเคารพนับถือกันมาตลอด ท่านจึงส่งรถสองคัน ขึ้นไปรับกลับเชียงใหม่ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 2 มกราคม 2493 ส่วนสิ่งของต่าง ๆ จำนวน 3 หาบ เราฝากไว้กับบ้านเจ้าทิพย์วรรณ เพราะไว้ใจท่านมาก และท่านก็เป็นเจ้า ระดับเจ้าฟ้าหญิง แห่งนครเชียงตุง รัฐฉาน สหภาพพม่า ซึ่งก็เป็นสายญาติผู้ใหญ่ ของโยมมารดาของเราเอง ส่วนข้าพเจ้ากับเจ้าเก่ง ก็เข้าป่าแสวงหาวิเวก พร้อมด้วยพระรูปของพระสุพรรณกัลยา และท่านสั่งว่า รูปพระน้องยาเธอของท่าน คือพระนเรศวรมหาราช ก็ให้หล่อไว้พร้อมกัน ท่านสั่งว่าอีกในไม่ช้า พม่าเขาจะมีพระรูปของเจ้าบุเรงนอง ไว้ใกล้ชิดติดแดนไทยในภาคเหนือ ของประเทศเพราะเขาถือว่า ผู้เอาชัยชนะไทยได้ มีเจ้าบุเรงนองพระองค์เดียวเท่านั้น เขาจึงจะสร้างไว้เป็นอนุสรณ์ใกล้เขตแดนไทย และแล้วขอให้ท่าน อัญเชิญพระรูป ของพระนเรศวร ไปประทับไว้ฝั่งไทย ให้หันหน้าใส่กัน อย่าให้ห่างกันเกินกว่า 1,000 วา ให้สองเสด็จได้ทัศนา เจริญสัมพันธมิตรไมตรีต่อกัน และไทยกับพม่า ก็จะเป็นเสมือนแผ่นดินเดียวกัน ทางจิตใจ และจะได้เจริญสิริวิไล ทั้งสองประเทศ เรื่องนี้ก็เกิดขึ้นแล้วคือ จู่ๆ เมื่อปี 2540 นี้เอง พม่าก็สร้าง อนุสาวรีย์ของเจ้าบุเรงนอง ขึ้นไว้ที่ท่าขี้เหล็ก ระยะติดชิดกับฝั่งแม่สาย หันหน้ามาทางฝั่งไทย ใคร ๆ ไประยะนี้ ก็จะเห็นเจ้าบุเรงนอง ข้าพเจ้าจึงจะอัญเชิญพระบรมรูป ของพระนเรศวร ไปประทับไว้ที่ฝั่งไทย ให้อยู่ตรงไหนก็ได้ แต่ต้องให้ไกลกันเกินกว่าสองพันเมตร ที่อำเภอแม่สาย หันพระพักต์ไปทางพม่า ให้ทั้งสองพระองค์ ได้หันหน้าใส่กันอีก เรื่องก็นับว่าเป็นความจริงขึ้นมาแล้ว ที่พระนางท่านบอกไว้เมื่อ 50 ปีก่อนโน้น จึงนับว่าเป็นความฝัน จะเป็นความจริงขึ้นมาจนได้ เพราะพระรูปข้าพเจ้าได้หล่อไว้ก่อนแล้ว เป็นพระรูปขนาดเท่าตัวพระองค์จริง เพราะข้าพเจ้าเชื่อความฝันของตัวเอง จึงลงมือปั้นหล่อไว้ก่อน ขณะนี้พระรูปก็อยู่ที่ข้างกระท่อมของข้าพเจ้าเอง พร้อมที่จะอัญเชิญไปได้ทุกเมื่อ ขอบอกว่า อันพระวิญญาณอันบริสุทธิ์ ของพระสุพรรณกัลยา พร้อมด้วยทาริกาทั้งสองนั้น ตกเป็นของคนไทยแล้ว ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม พ.ศ.2491 และได้เดินทางถึงแผ่นดินไทย เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2493 และได้ทำการหล่อรูปของพระนางท่านเมื่อ พ.ศ. 2535 ปิดมาเป็นความลับแต่แรกเริ่ม ครบห้าสิบปี และได้เจอกับกุลสตรี บุตรสาวของท่าน เมื่อปี 2520 คนแรกที่งานวางศิลาฤกษ์อาคาร ร่วมกับสมเด็จพระญาณสังวร ตอนนั้นพระองค์ท่าน ยังไม่ได้สถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช เจ้าหมอสุริยัน เขาเป็นเจ้าพิธีพราหมณ์ มีคนนับถือเขามาก เขาเข้ามาขอมอบตัว เป็นลูกบุญธรรมตลอดชีวิต และเมื่อเขาบวชเป็นบรรพชิต คือเป็นพระภิกษุ จากสมเด็จพระญาณสังวร และครั้งที่สอง บวชที่วัดสระเกตุ เขาบวชวันนั้นเสร็จ เขาก็ไปอยู่กับข้าพเจ้าตลอด ลูกคนนั้นคือคุณสุริยัน อริสังวโร หมอหยองที่คุณรู้จักทุกวันนี้ ส่วนคนที่สองคือ เจ้าบุญชุ่ม เขารู้จักกับข้าพเจ้าตั้งแต่เป็นเด็ก เป็นเณร ตอนที่เขาเป็นสามเณรนั่นซิเอาเรื่อง มาให้เราแทบจะบ้าตาย เรื่องเขาเป็นสามเณรรูปหล่อ ข้อปฏิบัติเคร่งครัด คนก็นับถือมาก อยากจะไปอยู่หิมาลัยประเทศ คือเขตตอนเหนือ ประเทศเนปาล ข้าพเจ้าเอง กับคุณโยมประดิษฐ์ วิชาพานิช คุณเม่ง นายช่างภาพ คุณบุญไชย ใครอีกบ้างก็จำไม่ได้ นำขึ้นเครื่องบินเหินฟ้า พำนักปฏิบัติภาวนา ไปหิมาลัย เอาไปฝากไว้กับพระอมริตตะเถระ เจ้าคณะใหญ่ประเทศเนปาล ท่านสมภาร และเป็นประมุขของสงฆ์ ก็ยอมรับลูกบุญธรรม ของเรา เพราะก่อนเราเคยพบกันที่พม่า พอออกพรรษา ข้าพเจ้ากับคุณประดิษฐ์ วิชาพาณิชย์ คุณวิภาวรรณ หมอพิลาทั้งครอบครัว พากันไปเยี่ยมไปทอดผ้าป่า ถวายค่าอาหาร แล้วเดินทางต่อ ไปนมัสการสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ในเมืองนั้นประเทศนั้น หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 29 มีนาคม 2553 17:48:55 ตอนขึ้นไปทางเหนือติดแดนจีน คือเมืองยาลัม และอเวเลสต์ เชิงเขาหิมาลัยนั้น ตรงนั้นเขาเล่าว่า เป็นเวียงวังบ้านเกิด ให้กำเนิดของ หลวงปู่พระครูโลกอุดร ชื่อจริงของท่านคือ พระอุตระ น้องชายชื่อพระโสณะ ที่มีกล่าวในอนุพุทธประวัติ ที่ท่านถูกส่งเป็นสมณะฑูตไทย เดินทางมาให้กำเนิดพุทธศาสนา เผยแพร่ในแดนสุวรรณภูมิ คือแดนทอง ได้แก่ พม่า ไทย ลาว และเขมร โดยเฉพาะคนไทยหลงใหลกันมาก จึงมีหลวงพ่อโลกอุดรปลอม ที่คนผู้ละโมบโลภหลง เอาชื่อท่านมาขายกินกัน ในสังคมไทยหารู้ไม่ว่า หลวงปู่โลกอุดรเกิดที่ไหน จะสัมผัสได้อย่างไร เห็นก็แต่หลอกลวงกันทั่วไป ในคราวนั้น เราไปกันหลายคน เพื่อนมัสการโบราณสถานที่นั่น และทั่วหิมาลัยประเทศ จึงขอบอกตรง ๆ ว่า หลวงพ่อโลกอุดร คือพระอภิสมานกาย มีกายทิพย์ จะเกิดจะดับเมื่อไรก็ได้ ท่านจะเสด็จโปรดทุกแห่ง แต่แห่งใดมีจิตใจเป็นพระนักรบ คือรบกวนชาวบ้าน เพื่อแสวงหาลาภผล ไม่ว่าคน ไม่ว่าพระ ท่านไม่เอาด้วย และไม่ปรากฏให้เห็นเลย ท่านจะช่วยแต่ผู้ที่เสียสละ มีแต่ให้กับให้ และช่วยคน โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ และต้องได้ตัวในคือ ตัวแฝงด้วย และตัวแฝงเอาออกมาใช้ได้ด้วย อันเจ้ากูที่หนาด้วยกิเลส หาทางร่ำรวย ฉวยโอกาสนั้น เมินเสียเถิดอย่าหลอกเขาต่อไปเลย บ้านช่องของท่านอยู่ที่ เมืองอุตระ ยาลัมอเวอเลสต์ เขตติดต่อกับแดนจีน เชิงเขาหิมาลัยโน้น ตอนไปคราวนั้น เราได้พำนักแสวงบุญไปชม ไปนมัสการสถานที่เก่าแก่ และศักดิ์สิทธิ์หลายแห่ง เกือบทั่วหิมาลัยประเทศ การไปเที่ยวที่นั่นวันนั้น เมื่อพากันชมสถานที่ ที่พระผู้มีบุญมาเกิด พวกเราก็รู้สึกดีใจ ทันใดนั้นเอง สามเณรเจ้าบุญชุ่ม ก็ลองภูมิข้าพเจ้าว่า พ่อครับ หนังสือในแผ่นหินป้ายใหญ่ๆ นี้ ลองอ่านซิหลวงพ่อ เราก็อ่านดัง ๆ ให้ทุกคนได้ยิน หนังสือนั้นเขียนเป็น อักษรฮินดี และกูต๊าฟ มีประมาณ 30 แถว แล้วกำลังจะแปลให้ลูกศิษย์ฟัง ประเดี๋ยวนั่นเอง แทนที่จะเป็นน้ำไหลออกมา อย่างเจ้าบุญชุ่มบอก แต่เป็นพระสงฆ์รูปร่างใหญ่ เดินออกมาจากป้ายหินอันนั้น ซึ่งก็มีรั้วทองแดงสูง 2 เมตร กั้นไว้ ท่านเดินออกมาได้ เสมือนไม่มีรั้วกั้นเลย ท่านเดินยิ้มออกมา จับมือข้าพเจ้าแล้วกล่าวว่า จะมะนิยังอาวุโส เราก็ตอบท่านว่า ขะมะนิยังภันเต (เป็นภาษาพระสงฆ์ ท่านถามข่าวคราว กันตามธรรมเนียม) ถ้าแปลเป็นไทยให้ตรง ๆ ว่า ท่านยังทนไหวหรือ (หรือท่านยังไม่ตายหรือ) แล้วก็ขอถ่ายรูปรวมกัน ข้าพเจ้ายืนกลาง สามเณรบุญชุ่มยืนด้านซ้าย พระอาคันตุกะยืนขวา วันนั้นมือกล้องถ่ายหลายท่านร่วมกัน ถ่ายเสร็จแล้วก็จากกัน พวกโยม ๆ ก็อยากรู้ว่า ท่านเป็นใคร ทำไมจึงแสดงความสนิทสนม กับอีตาโง่นมากนัก ขนาดจับมือถือแขนหยอกล้อกัน ถึงกับเอามือลูบหัวโล้นอีตาโง่นได้ แต่ท่านหัวล้านใส ในสายตาท่านคมสงบเสงี่ยม พระหัวล้านกับพระหัวโล้น เจอกันมันแท้ ๆ แต่รูปถ่ายที่ออกมารูปท่านกลายเป็นพระแขก มีผ้าพันหัวเอาไว้ มิใช่หัวล้านสักหน่อย พวกโยมๆ จึงฮือฮาถามว่า ทำไมถึงเป็นไปอย่างงี้ เราก็ตอบเขาว่า ก็ฝากพนัก ที่เป็นก้อนหินป้ายนั้นแหละ เป็นที่อยู่ของหลวงปู่โลกอุดรเกิด ถิ่นกำเนิดของท่านอยู่ ณ ที่นี้ องค์ที่ท่านจำแลงรูป ออกมาจากก้อนหินนี้ คือหลวงพ่อโลกอุดร ท่านเป็นพระอริยเจ้า ระดับอภิสมารกาย คือกายทิพย์ จะปลอมแปลงตัว ให้เป็นอย่างไรก็ได้ นี่รู้ไหมว่าพวกเราเข้ามาที่นี่ มิใช่ที่ราบเรียบ แต่เราเดินมาอย่างสบาย ขึ้นเขาหิมาลัยมาได้ อย่างไม่รู้ว่ามันสูงชัน ดูโน้นซิโยม หิมะที่ปกคลุมเขาอเวอเลสต์ ขาวโพลนไปหมด แต่ขากลับเราก็จะเดินสบาย เพราะต้องเดินลงได้อานิสงส์มาก ทุกคนก้าวหน้าร่ำรวยสบายแล้ว รูปนั้นถ่ายด้วยกล้องโพโลรอย รูปจะออกมาให้เห็นทันที แต่ที่ถ่ายด้วยกล้องอย่างดีนั้น วันหลังเอาฟิลม์จากกล้องอย่างดี มาล้างดูจะเป็นอย่างไร และเมื่อล้างดูแล้ว ก็เป็นเหมือนกันหมด ดังที่เห็นในภาพนี้เอง ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็เป็นเรื่องของท่าน ขอให้คิดเอง แต่ผู้เขียนเชื่อเต็มร้อย เพราะเราถ่ายในสถานที่เกิดของท่าน หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 29 มีนาคม 2553 18:09:48 (http://topicstock.pantip.com/rajdumnern/topicstock/P2394074/P2394074-20.jpg) "กษัตริยานุสรณ์" พ.ศ.2520 สีน้ำมัน อ.จักรพันธ์ http://topicstock.pantip.com/rajdumnern/topicstock/P2394074/P2394074.html (http://topicstock.pantip.com/rajdumnern/topicstock/P2394074/P2394074.html) เกร็ดย้อนรอยประวัติศาสตร์ และ พงศาวดารพระตำนานของพระสุพรรณกัลยา ดังผู้เขียนได้กล่าวไว้ ในคำปรารภเบื้องต้นนั้นว่า อันการได้มาซึ่งพระประวัติ เรื่องราวอันเป็นตำนาน ที่เป็นทั้งแบบรูปธรรม และนามธรรม ของพระตำนาน พระสุพรรณกัลยานั้น เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก เพราะในประวัติศาสตร์ และพงศาวดาร ก็กล่าวไว้เพียงน้อยนิดเท่านั้น แต่เรื่องที่เป็นความจริง หรือใกล้ความจริง ของวีรสตรีท่านนี้ จึงเกือบจะหาย จากความรู้สึกนึกคิด ความทรงจำของคนไทยไปแล้ว แต่มันเป็นเรื่องบังเอิญ ที่เกิดจากความฝัน อันเป็นอารมณ์ ที่ธรรมชาติสร้างมา และบุญกรรม บาปเวร ที่มีอยู่ก่อน เป็นผลสะท้อน ย้อนมาให้ผู้เขียน ไปตามความฝัน เพื่อไปแก้กรรม และสร้างกรรมต่ออีก จึงได้ใช้ความพยายาม บุกป่าฝ่าดง มุ่งตรงต่อเมืองเมียนม่า ด้วยเท้าเปล่า โดยมิได้อาศัยยานพาหนะใดๆ ทั้งนั้น ด้นดั้นเดินธุดงค์ ไปอย่างเดียวดาย แทบจะถึงปางตาย เอาชีวิตไม่รอด และได้ไปเจอ มรสุมของชีวิต ทุกรูปแบบ ใช้เวลานานถึงสองปีกว่าๆ ในสถานที่ที่จะต้องการไป เพื่อศึกษาหาความจริง จากอารมณ์ฝัน เราไปแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน แล้วเรื่องอะไรถึงต้องไป และก็ได้กล่าวตอบแล้วในตอนต้น อันยอดปรารถนาของเรา ก็เพื่ออยากสัมผัสทางจิตวิญญาณ เมื่อได้รับรู้ทางจิตวิญญาณ แล้วก็ค้นคว้า ให้จิตวิญญาณ ที่เป็นนามธรรมนั้น ให้เป็นรูปธรรมขึ้นมา คือพระฉายาลักษณ์ จากกล้องถ่ายรูป ออกมาจนได้ และก็ได้มีโอกาส ศึกษาค้นคว้าทางตำนาน จากตำรับตำราของเขา ที่เขาเก็บเอาไว้ ในหอสมุด บังเอิญได้พบหนังสือเก่าๆ เมื่อปี พ.ศ. 2229 ที่เขาไม่เอาใจใส่แล้ว มาศึกษาดู ก็ไปพบหนังสือ ซึ่งเป็นลายพระหัตถ์ ของพระนางเอง ที่เขียนเอาไว้หลายตอน ผู้เขียนจึงได้ตัดทอน ที่เป็นอักษรพม่าสมัยโบราณ เอามาลงไว้ดังต่อไปนี้ อักษรหนังสือนี้ เป็นอักษรโบราณนานมาแล้ว ซึ่งไม่ต่างกับอักษรไทย ในสมัยอยุธยา ผู้เขียนจึงแปล ออกมาได้ความว่า "ข้าชื่อ สุพรรณกัลยา ข้าเกิดวันเสาร์ ปีมะเส็ง 2098 เป็นลูกสาวของ พระมหาธรรมราชา มีน้องชายสองคน คือ เจ้าดำ เจ้าขาว เมื่อแพ้ศึก ข้ากับน้องชาย พร้อมด้วยเจ้าเหนือหัว คือพระมหินทราธิราช แต่ท่านมาถึงเกตทูเบิน เมืองมนต์ (มอญ) ท่านเสียชีวิตลง เขาจึงสั่งให้พ่อของข้า เป็นมหาอุปราช เป็นผู้ครองราช กรุงอโยธยา ข้าพร้อมกับไพร่พล และน้อง เพราะน้องข้าไม่ยอม จึงให้ข้ามาด้วย เราช่วยเลี้ยงเขาจนโต ข้าจากบ้านเมืองมา เมื่อวันพุธ เดือนสี่ ปีมะเมีย พุทธศักราช 2112 ข้าคิดถึงบ้าน คิดถึงมัน คิดถึงพ่อ คิดถึงแม่เหลือเกิน" "ข้าได้เป็นแม่เลี้ยงน้อง ตั้งแต่อายุ 14 ปี ข้าพเจ้ากลับมาลาพ่อแม่ เมื่ออายุ 19 ปี เมื่อปี 2119 ข้าได้แต่งงาน ข้าได้เลี้ยงน้อง ก่อนแต่งงาน ข้าได้กลับอยุธยา แล้วกลับไป แล้วให้น้องทั้งสอง กลับมาช่วยพ่อกู้บ้านกู้เมือง ที่อยุธยา ข้าคิดถึงบ้าน ข้าถูกจองจำด้วยเวทมนต์ เมื่อใช้ความพินิจพิจารณาดูด้วยเหตุผล และเนื้อเรื่องนี้แล้ว จะเห็นว่า ตัวพระนางเองเมื่ออายุได้ 14 ปี และน้องชายคนโตคือ เจ้าองค์ดำอายุ 12 ปี เจ้าองค์ขาวอายุ 10 ปี ก็ถูกกวาดต้อนไปด้วย เหตุที่ตัวพระนางจะไป เพราะน้องชายทั้งสองไม่ยอมไป ถ้าพี่สาวไม่ไปด้วย ก็ผิดกับพระตำนาน และประวัติศาสตร์ว่า พระนเรศวรมีอายุ 3 ปี ส่วนพระเอกาทศรถก็คงปีกว่าๆ เท่านั้น และเจ้าบุเรงนองจะเอาไปทำไม เพราะเล็กเหลือเกิน เดินไม่ไหว แถมยังเป็นภาระ ในการเลี้ยงดูอีก และจะเอาน้ำนมที่ไหนให้กิน เพราะสมัยนั้นไม่มีนมเทียม นมสำเร็จรูป ที่จะให้เด็กเล็กๆ ดื่มได้อย่างสมัยนี้ ฟังดูแล้ว มันไกลจากความเป็นจริง แต่นี้พระเจ้าองค์ดำ มีพระชนมายุถึง 10 ปี เดินได้สบาย หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 29 มีนาคม 2553 18:21:33 (http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/264/2264/images/_Spkly1Vnice-55k.jpg) ย้อนรอยอดีตต้นตระกูล ของ พระสุพรรณกัลยา ข้าพเจ้าผู้เขียน ได้บันทึกเอาไว้ เมื่อค่อนคืนของวันที่ 25 มกราคม พ.ศ.2491 ซึ่งเป็นวันเพ็ญ เดือนยี่ ในขณะที่นั่งฝันถึงเรื่องเก่าๆ ของพระพี่นางสุพรรณกัลยา ที่ท่านเล่าให้ฟัง ถึงเรื่องราวที่ท่านทำ และท่านได้บันทึก (ลิขิตเอาไว้) เพื่อให้คนรุ่นหลัง ได้ทราบถึงความเป็นมาของท่าน และต้นตระกูลของท่าน ที่พระราชบิดา คือ พระมหาธรรมราชา ตลอดทั้งพระประยูรญาติ ผู้ใหญ่เล่าให้ฟังว่า เชื้อสายต้นตระกูลของพระนาง ท่านนั้นมีกำเนิด มาจากบรรพบุรุษผู้สูงศักดิ์ ถึงสองตระกูล สายพระราชบิดา มาจากวงศ์พระร่วง (วงศ์สุโขทัยสายเหนือ) ส่วนสาย พระราชมารดานั้น มาจากสายวงศ์สุพรรณภูมิ สายภาคกลาง เท่าที่จำได้ และได้บันทึกไว้มีดังนี้ เริ่มต้นก็มีสมเด็จพระนครอินทราธิราช เจ้าต้นตระกูลองค์นี้ ครองราชเมื่อ พ.ศ.1952 ถึง พ.ศ.1967 สมเด็จพระนครอินทราธิราช หรือเจ้านครอินทร์ เป็นโอรสของเจ้าเมืองสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นอนุชา ซึ่งเป็นน้องชาย ของพระบรมราชาธิราชที่ 1 ได้รับคำทูลเชิญ (เชื้อเชิญ) ให้เข้ามาครองราชสมบัติ โดยการยินยอมจาก พระรามราชาธิราช พระราชโอรสของพระราเมศวร แต่โดยดี เมื่อปี พ.ศ. 1952 เจ้านครอินทร์ มีพระราชโอรสสามพระองค์คือ 1 เจ้าอ้าย ได้ครองเมืองสุพรรณบุรี องค์ที่ 2 พระเจ้ายี่ ได้ครองเมืองสวรรค์ (หรืออาจจะเป็นเมืองสรรคบุรี) หรือเมืองแพรก (บ้านแพรกในปัจจุบัน) พระราชโอรสองค์ที่สามชื่อ เจ้าสามพระยา ได้ครองเมืองชัยนาท ซึ่งต่อมา ได้สืบราชสมบัติจาก พระราชชนก อันพระอินทราธิราช ผู้เป็นพระบิดานั้น ได้ครองราช เมื่อพระชนมายุได้ 50 พรรษาแล้ว ครองราชอยู่ได้ 16 ปี อายุก็ 66 ปี ก็สวรรคต เมื่อปี 1967 และเรื่องเจ้าอ้ายผู้พี่ชาย กับเจ้ายี่ผู้น้องชายคนที่สอง ต่างก็ปองรัก ราชสมบัติของพ่อ ต่างก็ยกกองทัพเข้ามา จะตีกรุงศรีอยุธยา โดยจุดมุ่งหมายในราชสมบัติ และอำนาจวาสนาอย่างเดียว กัน จึงได้เกิดปะทะชนช้างกันขึ้น ที่บ้านป่าถ่าน ต่างองค์ต่างก็ฟันกัน ด้วยพระของ้าวพร้อมกัน ขาดตายไปพร้อมกัน (นั้นแหละกิเลสของมนุษย์ พวกบ้าสมบัติ) ตายได้ก็ดีแล้ว ก็เหลือแต่ เจ้าสามพระยา องค์ที่สาม ไม่ได้แย่งสมบัติกับใคร บุญหล่นทับ ได้รับราชสมบัติ ครองกรุงศรีอยุธยาต่อมา เมื่อเจ้าสามพระยา ได้ครองราชแล้ว 7 ปี คือเมื่อ พ.ศ. 1974 พระเจ้าธรรมโศก เจ้ากรุงกัมพูชา ยกกองทัพมากวาดต้อน เอาผู้คนเป็นจำนวนมาก จากอยุธยาไปเป็นการใหญ่ เพื่อเป็น ไพร่พล ของอ้ายขะแม (เขมร) สมเด็จเจ้าสามพระยา ก็ยกทัพไปตีกรุงกัมพูชา เมื่อปี พ.ศ. 1975 ตั้งค่ายล้อมนครธม ซึ่งเป็นเมืองหลวงของกัมพูชา ในสมัยนั้น ตั้งมั่นต่อสู้อยู่ถึง 7 เดือน ในระยะที่เจ้าสามพระยา ตั้งพลับพลาต่อสู้กับเขมร อยู่นี่เอง สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ก็ทรงประสูติ ที่พลับพลานั้นเอง เมื่อตีเมืองเขมรแตกแล้ว ก็กวาดต้อนเอาไพร่พล และสิ่งของที่มีค่า กลับมากรุงศรีอยุธยา แล้วทรงตั้งให้พระอินทราชา ครองเมืองกัมพูชาแทน พวกขอมในระยะนั้น เป็นเมืองขึ้น คือประเทศราชของไทย จึงย้ายเมืองหลวง จากนครธม ไปตั้งอยู่พนมเปญ ตลอดทุกวันนี้ ส่วน พระอินทราธิราช ก็อยู่ครองเขมรไม่นานนัก ก็ทรงพระประชวร สิ้นพระชนม์ หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 29 มีนาคม 2553 18:26:05 ส่วนพระบรมไตรโลกนาถ ได้ครองราชอยู่ยืนยาวที่สุดถึง 40 ปี ระยะแรกก็ไม่มีทุกข์ภัย ไพร่ฟ้าหน้าใส สุขกายสุขใจกันทั่วหน้า พระองค์จึงเห็นว่า เมืองพิษณุโลกเป็นเมืองสงบ และอยู่ในสายเดียวกับสุโขทัยสมัยก่อน พระองค์จึงเสด็จไปประทับ อยู่เมืองพิษณุโลกแล้ว ก็ได้รับการต้อนรับจาก อาณาประชาราษฎร์ อย่างสมพระเกียรติ และได้ทรงศึกษารอบรู้ ในด้านอักษรศาสตร์ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และศาสนา ตลอดด้านยุทธศาสตร์เป็นอย่างดี และ เป็นเจ้านายพระองค์แรก ที่ขึ้นไปปกครองราชอาณาเขต ทางภาคเหนือ และเมื่อได้ไปประทับ อยู่เมืองพิษณุโลกแล้ว พระองค์ทรงขวนขวายศึกษา พระประวัติ และพระราชประเพณีของวีรบุรุษ แบบกรุงสุโขทัยในอดีต และในเวลานั้น ก็ยังมีเจ้านายเชื้อพระวงศ์ และข้าราชการเก่าๆ ในเมืองเหนืออยู่มาก ได้ถวายคำแนะนำ ให้ความรู้เพิ่มเติมอีก และได้ทรง เลือกประเพณีเก่าๆ และใหม่ๆ มาปรับปรุงบ้านเมือง ใช้การปกครอง แบบพ่อปกครองลูก อย่างพ่อขุนรามกำแหงมหาราช และทรงเลือกปฏิบัติ ตามเยี่ยงอย่างบรรพบุรุษ หลายประการ เช่น สร้างวัดในวังแบบสุโขทัย ไว้บรรจุพระอัฐิธาตุ ของบรรพบุรุษ และเจ้านายผู้สูงศักดิ์ ตลอดวีรชนผู้ถวายชีวิต เพื่อชาติ เพื่อแผ่นดิน อันพระราชกรณียกิจของพระองค์ ที่สำคัญคือ ได้ปรับปรุงแก้ไขการปกครอง ให้มีกฎมณเฑียรบาล ระบบศักดินา ปรับปรุงการศึกษา ทางด้านอักษรศาสตร์ และวรรณคดีต่างๆ เช่น มหาชาติคำหลวง และลิลิตพระลอ ก็เกิดขึ้นในสมัยของพระองค์ท่าน และในสมัยของพระองค์ท่าน ก็ได้เกิดศึกขึ้นทางตอนใต้ ทางมะละกา แหลมมลายู ซึ่งเป็นเมืองขึ้น (เป็นประเทศราช ของสยามไทย) พระองค์ต้องตัดสินพระทัย ยกเมืองให้เขาไป ดีกว่าจะเสียเลือดเนื้อ และไพรพลเมื่อปี พ.ศ. 1999 เมื่อปีนั้นเอง พระองค์ก็ทรงเสด็จกลับ เพื่อรับเป็นรัชทายาท ไปครองกรุงศรีอยุธยา ตอนนี้เอง ก็เกิดยุ่งกันขึ้น ทางเหนืออีก เพราะพระองค์ทรงปกครอง แบบพ่อปกครองลูก มิได้ทรงแต่งตั้งให้ใครๆ เป็นใหญ่ที่สูงสุดไว้แทน จึงปล่อยให้หัวเมืองต่างๆ มีเจ้าเมืองปกครองกันเอง แบบเจ้าเมือง เจ้าพระยาเท่านั้น คือ เมืองพิษณุโลก สุโขทัย กำแพงเพชร พิจิตร นครสวรรค์ ต่างก็มีอำนาจเสมอกัน จึงต่างคนต่างก็อยากเป็นใหญ่ แย่งไพร่พล แย่งอำนาจกันขึ้น ถึงกับรบราฆ่าฟันกัน เพื่อสนองความอยาก อันเป็นกิเลสของมนุษย์ ส่วนพระยายุธิษฐิระ เจ้าครองเมืองสวรรคโลก ก็เสือกกระโหลกไปทำไมตรี สวามิภักดิ์กับพระเจ้าติโลกราช ผู้ครองเมืองเชียงใหม่ เพราะเวลานั้น เมืองเชียงใหม่ มิได้ขึ้นต่อกรุงศรีอยุธยา เพราะถือตัวว่า เป็นเจ้าใหญ่ทางเมืองเหนือ พระยายุธิษฐิระเป็นไส้ศึก นำพลจากเชียงใหม่ พร้อมด้วยพระเจ้าติโลกราช ยาตราทัพลงมาตี ได้เมืองตาก เมืองกำแพงเพชร แล้วลงไป กวาดต้อนเอาไพร่พล ถึงเมืองชัยนาท พระบรมไตรโลกนาถจึงยกทัพ ขึ้นไปป้องกันปราบปราม และเป็นจังหวะที่พระเจ้าติโลกราช จะยกทัพไปตีเมืองสุโขทัย แต่ยังไม่ได้ทันตี พอรู้ข่าวว่าทัพหลวงอันมหึมา ของกรุงศรีอยุธยายกขึ้นมา ก็ล่าถอยกลับไป สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ก็ขับไล่ไปถึงเมืองเถิน ก็หยุดกันแค่นั้น สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ก็เห็นว่าหัวเมืองทางภาคเหนือ มันยุ่งกันนัก จึงทรงเปลี่ยนพระราชโชบาย ย้ายพระองค์เอง ขึ้นไปครองเมืองพิษณุโลก เสียเอง จึงทำให้เมืองพิษณุโลกเป็นราชธานี เมืองหลวงของไทย อยู่ถึง 25 ปี คือ ตั้งแต่ พ.ศ. 2006 ถึง 2031 ส่วน กรุงศรีอยุธยา ก็มอบให้พระราชโอรสองค์ใหญ่ คือ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 หรือพระบรมราชา ปกครองแทน ในระหว่างบ้านเมืองสงบนี้เอง สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ทรงทะนุบำรุง พระพุทธศาสนาเป็นการใหญ่ คือทรงสร้างพระศรีรัตนมหาธาตุ คือพระปรางค์ที่สวยงาม ไว้ที่วัดไทร คือวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วัด พระพุทธชินราช ที่เมืองพิษณุโลก สร้างวัดทอง วัดราชคฤห์ บูรณะวัดคูหาสวรรค์ วัดอรัญญิก ทางทิศตะวันออก และ วัดอื่นๆ อีกสิบเก้าวัดในเมือง บริเวณเมืองพิษณุโลก และได้ส่งทูต ไปอาราธนานิมนต์ พระผู้ทรงแตกฉาน ในพระไตรปิฏก จากทวีปลังกา มาช่วยเผยแพร่พระพุทธศาสนา ส่วนพระองค์เอง ก็ทรงอุปสมบท ประจำอยู่ที่วัดจุฬามณี เช่นเดียวกับพระมหาธรรมราชาที่ 1 ของกรุงสุโขทัย เมื่อลาผนวชแล้ว ก็ได้ช้างเผือกเชือกหนึ่ง เป็นการเสริมพระบารมี เมื่อตอนปี 2016 พระเจ้าติโลกราช คู่อาฆาตของพระองค์ท่าน ผู้ครองเมืองเชียงใหม่ ที่พระยายุธิษฐิระ แตกวงไปสวามิภักดิ์ ได้เกิดสติฟั่นเฟือน ถึงกับฆ่าใครต่อใคร ในที่สุด ก็ฆ่าลูกชายของตนเอง สมเด็จพระบรมไตรโลนาถ เห็นเป็นโอกาสดี จึงยกทัพขึ้นไปตี เอาเมืองเชียงใหม่ พระเจ้าติโลกราชไม่มีทางสู้ ยอมแพ้ขอหย่าศึก แล้วจึงขอทำสัญญา เป็นไมตรีขึ้นต่อกรุงศรีอยุธยา ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 29 มีนาคม 2553 18:30:41 สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 ซึ่งเป็นพระราชโอรส ของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ซึ่งประสูติจากพระมเหสี เชื้อสายของวงศ์พระร่วง มีพระนามว่า พระนางศรีสุดารัตน์ (ชื่อนี้ได้มาจากพม่า ส่วนในพงศาวดารไม่มีเลย) พระนางได้พระราชโอรส 3 พระองค์ คือ 1 พระอินทราชา พระองค์นี้ได้สิ้นพระชนม์ ในการรบ ที่เมืองเขลางค์ (เมืองลำปาง) องค์ที่สอง ชื่อพระบรมราชา ได้รับสถาปนาให้เป็น พระมหาอุปราช ครองเมืองพิษณุโลกไว้ก่อน แล้วให้ลงมาครอง กรุงศรีอยุธยาแทน พระราชบิดา ส่วนองค์ที่ 3 ชื่อพระเชษฐา แปลว่า ผู้ประเสริฐ ก็ได้สถาปนาให้เป็น พระมหาอุปราช ครองเมืองเหนือคือ เมืองพิษณุโลก ส่วนกรุงศรีอยุธยา ก็กลับเป็นราชธานีอีกต่อมา และเมื่อพระบรมราชาสวรรคตแล้ว พระรามาธิบดี ผู้เป็นพระมหาอุปราช ก็ขึ้นครองราชแทน อันวีรกรรม ผลงานของพระรามาธิบดี องค์นี้นับว่าเด่นดังหลายอย่างคือ ทางเมืองเหนือ สมัยที่พระเมืองแว ครองเมืองเชียงใหม่ แข็งข้อขึ้นอีก เมื่อปี 2050 พระบรมราชามหาอุปราช ขึ้นไปปราบเสียจนราบคาบ และได้ทรงสร้างพระสถูปใหญ่ขึ้น ในวัดสุทธาวาส เพื่อบรรจุพระอัฐิ ของพระบรมไตรโลกนาถ และพระประยูรญาติผู้ใหญ่ทุกพระองค์ และสร้างหล่อพระพุทธรูปใหญ่ ไว้ในวิหารหลวง วัดพุทธาวาส และทรงหล่อพระพุทธรูป ด้วยทองสัมฤทธิ์ที่ใหญ่ไว้ในวิหารหลวง วัดนี้ตั้งชื่อว่า พระศรีสรรเพ็ชญ์ตลอดมา และหล่อพระพุทธรูปยืน 8 วา หุ้มด้วยทองคำหนัก 20880 บาท แต่ถูกพม่าเอาไฟเผาลอก เอาทองคำไปหมด (ขอบอกว่า พม่ามันกลัวบาปกรรม มันไม่ทำหรอก ก็คนไทยนี่เอง สร้างเองทำลายเอง) ขณะนี้ ทองคำทั้งหมด ยังถูกฝังอยู่เมืองไทยนี้เอง พม่ามันไม่เอาไปหรอก เพราะมันกลัวบาป เมื่อปี 2072 ก็เป็นอันสิ้นสุด อำนาจของสุโขทัยไปชั่วคราว อันเจ้าทั้งหลาย ต่างฝ่ายต่างก็มองหาช่องทาง ที่จะแสวงหาอำนาจ ความเป็นใหญ่ใส่ตัว และพวกของตัว ผู้ที่ใฝ่ และมักใหญ่ใฝ่สูงที่สุด คือ ฝ่ายวงศ์สุพรรณภูมิ ท่านแรกที่ขึ้นครองราชคือ พระอาทิตยวงค์ ครองราชเมื่อปี พ.ศ. 2077 อันพระเจ้าไชยราชาธิราช ซึ่งเป็นพระเจ้าอา มาชิงเอาไป เมื่อปี 2077 อันพระเจ้าไชยราชาธิราช ซึ่งเป็นพระเจ้าอา ของพระรัษฎาธิราชกุมารนี้เอง ก็เป็นเชื้อพระวงศ์ทางสุโขทัย ได้ครองราชตั้งแต่ ปี 2077 ถึง 2086 ครองราชอยู่ 9 ปี ก็สิ้นพระชนม์ ในระหว่างที่พระเจ้าไชยราชาธิราช ได้ครองเมืองนี้เอง ได้สู้รบกับ กองทัพพม่า เป็นครั้งแรกคือ รบกับเจัาตะเบ็งชะเวตี้ เจ้าเมืองตองอู สู้ไทยไม่ได้ถอยกลับ เมื่อพระเจ้าไชยราชาธิราช สวรรคตแล้ว กรุงศรีอยุธยาก็เข้าสู่ยุคทมิฬ ทุกท้องถิ่นเดือดร้อน ที่เจ้าแม่นางศรีสุดาจันทร์ก่อเรื่อง ให้บ้านเมืองต้องเดือดร้อน ไปทุกหัวระแหง เพราะความร้ายกาจ ของกิเลสตัณหา ความอยาก ความเห็นแก่ตัว ความมักใหญ่ใฝ่สูง ความลืมตัว ไม่กลัวบาปกรรม ทำให้บ้านเมืองต้องเข้าสู่กลียุค เพราะตัณหาจัด ของผู้หญิงแท้ๆ ดังท่านจะได้อ่านต่อไป ความยุ่งยากในกรุงศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ. 2091-2148 เป็นเวลายาวนานถึง 57 ปี อันความยุ่งยาก วุ่นวายทั้งภายใน และภายนอกนี้เอง ที่ทำให้คนไทยทั้งชาติ ประสบภัยอันใหญ่หลวง ถึงกับต้องสูญเสียอิสระภาพ เสียบ้านเมือง เสียทุกสิ่งทุกอย่าง ตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าถึง 15 ปี เรื่องนี้เพราะ เจ้าตัวกาลีศรีสุดาจันทร์แท้ๆ เมื่อพระไชยราชาธิราช ผู้ครองราชอยู่ก่อน และเป็นผู้กอบกู้ชาติไทย ให้พ้นภัยจากศึกพม่าครั้งแรก คือเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ตองอูได้แล้ว ท่านก็สิ้นพระชนม์ ตามภาวะสังขารของพระองค์ท่าน แล้วแทนที่จะสถาปนา แต่งตั้งให้พระเฑียรราชา ซึ่งเป็นพระอนุชาต่างพระมารดา ให้ขึ้นครองราชแทน แต่เจ้าศรีสุดาจันทร์ ซึ่งถือตัวเองว่าเป็นพระพันปีหลวง ทั้งๆ ที่ตัวเอง มีฐานะเพียงพระสนมเอกเท่านั้น กลับเอาลูกชายตัวเอง ชื่อพระเจ้าแก้วฟ้า ซึ่งมีอายุเพียง 11 พรรษาเท่านั้น ขึ้นครองราชแทน แล้วยังกลัววิตกว่า ถ้าให้ลูกชายครองราชต่อไป อันชายชู้ที่เธอหลงใหลคือ ขุนวรวงศา ก็จะไม่ได้เป็นผู้นั่งเมือง จึงวางแผน ฆ่าลูกชายในไส้ของตัวเอง ด้วยให้กินยาพิษ เมื่อปี 2092 จึงเป็นอันว่า สมเด็จพระแก้วฟ้าครองราช อยู่ในวัยทรงพระเยาว์ได้เพียง 2 ปี แล้วแต่งตั้งพระศรีศิลป์ ผู้เป็นน้องชาย ของเจ้าแก้วฟ้าแทน ซึ่งท้าวศรีสุดาจันทร์ จึงได้แต่งตั้งชายชู้ คือขุนวรวงศา ให้เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน เมื่อได้อำนาจแล้ว กลับลืมตัว บ้ายศ บ้าอำนาจ ใช้ความเด็ดขาด แบบใครขัดขวาง ตายลูกเดียว และถ้าไม่พอใจกับใคร ที่เป็นข้าราชการผู้ใหญ่ ก็สั่งปลดทิ้ง ฆ่าเสีย จึงเกิดมีไพร่ฟ้าข้าราชการ ทั้งภายในและภายนอก ไม่พอใจในพฤติกรรม ของขุนวรวงศา จึงหาอุบายกำจัด โดยขุนพิเรนทรเทพ ซึ่งตอนนั้นเป็นเจ้ากรมตำรวจ และท่านก็ได้สหายคู่ใจคือ ขุนอินทรเทพ ร่วมกันวางแผน ทูลเชิญเจ้าเหนือหัว คือเจ้าแม่ศรีสุดาจันทร์ กับผู้สำเร็จราชการแผ่นดินคือ ไอ้เจ้าขุนวรวงศา ออกเยี่ยมประชาชน ให้อาณาประชาราษฎร์ ได้ยลโฉม อภิวาทกราบไหว้ ให้ทวยราษฎร์ได้ชื่นใจ พอเสด็จด้วยขบวนช้าง ออกพ้นนอกกำแพงเมือง ถึงตรงคลองสระบัว ไพร่พลที่เตรียมพร้อมคอยอยู่แล้ว มิใช่คอยกราบไหว้วันทา แต่คอยกำจัด จะเด็ดชีวา เจ้าแม่กาลีให้ม้วยมรณ์ จึงร่วมกันจับเจ้าแม่ศรีสุดาจันทร์ กับขุนวรวงศาฆ่าทิ้ง ตรงคลองสระบัว จึงเป็นอันว่า ชาวประชาร่วมกันกำจัดศัตรู เสี้ยนหนามของแผ่นดิน ให้ด่าวดิ้นสิ้นไปได้สำเร็จ ด้วยกลเม็ด ของท่านขุนพิเรนทรเทพ กับท่านขุนอินทรเทพ ทั้งสองท่านร่วมกับผู้รักชาติ รักบ้านเมือง เรื่องนี้จึงเป็นเครื่องเตือนใจ ในผู้มีอำนาจ วาสนา บารมีมากๆ ว่า อำนาจมันไม่อยู่ค้ำฟ้าหรอก ผู้มีอำนาจทั้งหลาย อย่าหยิ่งยโสนัก รู้จักตัวเสียบ้าง อันอำนาจก็ดี ศักดิ์ศรี บารมีก็ดี ถ้าคิดให้ดีแล้ว เป็นของตัวเองเสียเมื่อไหร่ มันเกิดมีขึ้นมา เพราะผู้อื่นเขาอุปโหลกให้ เขาสมมุติให้ทั้งนั้น มันเป็นตัวสมุทัย เป็นปัจจัยให้เกิดทุกข์ทั้งนั้น ถ้ายึดมั่นถือมั่น จนเกินไปบรรลัยลูกเดียว หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 29 มีนาคม 2553 18:36:08 เมื่อชาวกรุงศรีอยุธยา ช่วยกันกำจัดตัวเสี้ยนหนามของชาติ คือเจ้าขุนวรวงศา กับศรีสุดาจันทร์ได้สำเร็จแล้ว ก็พร้อมกันไปทูลเชิญ หลวงพ่อพระเฑียรราชา ให้ลาผนวช (คือให้สึก ลาเพศจากสมณะ ให้ขึ้นครองราชเมื่อ พ.ศ. 2091 เหตุที่ท่านจะหนีบวช เพื่อพึ่งผ้ากาสาวพัสตร์ ก็เพราะทนการปองร้าย การจองล้างจองผลาญ พาลหาเรื่องใส่ความ จากพี่สะใภ้ คืออีแม่นางศรีสุดาจันทร์ไม่ไหว จึงไม่สนใจรับราชสมบัติใดๆ ทั้งนั้น แต่คราวนี้ พระองค์ท่านต้องรับหน้าที่ ไม่มีทางปฏิเสธได้ เพราะเหตุที่ชาวประชา ข้าราชการทั้งหมด ในเมืองสยามไทย ฝากความหวัง ไว้กับท่านให้ครองราช จึงได้อภิเษก ให้เป็นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ และได้อภิเษกสมรส กับพระศรีสุริโยทัย เมื่อสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ได้เสวยราชแล้ว ก็ปูนบำเหน็จ ให้ผู้ทำความดีช่วยเหลือบ้านเมือง ผู้กำจัดเสี้ยนหนามของแผ่นดินทุกคน คือ ท่านขุนพิเรนทรเทพ ซึ่งอดีตเป็นเจ้ากรมตำรวจ ผู้รักษากฏหมายของบ้านเมือง และพื้นเพเดิม ตระกูลเดิมของท่าน ก็เป็นรัชทายาท เชื้อสายของวงศ์พระร่วง และเป็นพระญาติที่ใกล้ชิด กับพระไชยราชาธิราช ผู้เป็นพระบิดา ของเจ้าแก้วฟ้า (พระยอดฟ้า) ผู้เป็นพี่ยาเธอ ของพระเฑียรราชา จึงสถาปนาให้เป็น พระมหาอุปราช แล้วเลื่อนเป็น พระมหาธรรมราชา แล้วทรงมอบ พระราชธิดาองค์ใหญ่ คือ พระวิสุทธิกษัตรี ให้ไปเป็นพระชายา แล้วให้ไปครองเมืองพิษณุโลก ก็ทั้งสองท่านนี้เอง เป็นผู้ให้กำเนิด คือพระราชบิดา และราชมารดา ของพระนางสุพรรณกัลยา กับเจ้าองค์ดำ และเจ้าองค์ขาว แล้วต่อมา เมื่อกรุงศรีอยุธยาเข้ากลียุค พม่าบุกทำลาย พระเจ้าตาของพระนาง คือพระมหาจักรพรรดิ จึงทรงเรียกตัว กรีฑาทัพลงมาช่วยที่อยุธยา อันพระเจ้าตาของท่านคือ พระมหาจักรพรรดิ กับพระเจ้ายาย คือ พระศรีสุริโยทัย ได้ให้กำเนิด พระราชโอรสสองพระองค์ พระราชธิดาสามพระองค์ ซึ่งมีรายนามดังนี้คือ 1. พระราเมศวร ซึ่งเป็นองค์รัชทายาท 2. พระวิสุทธิกษัตริย์ คือ พระมารดาของพระนางเอง กับเจ้าองค์ดำ และองค์ขาว 3. พระบรมดิลก 4. พระเทพกษัตรี 5. พระมหินทราธิราช ซึ่งได้ครองราช แทนพระจักรพรรดิ องค์ที่หนึ่ง พระองค์แรกเป็นชาย ชื่อพระราเมศวรเป็นผู้เข้มแข็ง กล้าหาญชาญชัย มีความรักชาติ รักพี่รักน้อง รักแผ่นดิน รักเกียรติภูมิ ได้ตำแหน่งรัชทายาท มีความองอาจ คู่พระทัยในพระมหาจักรพรรดิ เมื่อแพ้สงคราม ก็ถูกจับเอาไปเป็นตัวประกัน พร้อมด้วยพระเจ้าองค์ดำ และองค์ขาว เมื่อแพ้สงคราม เราทั้งสาม ก็ถูกพระเจ้าบุเรงนอง ขอเอาไปเป็นบุตรบุญธรรม เขานำไปไว้ที่เมืองหงสาวดีเช่นกัน องค์ที่สามคือ พระบรมดิลก ที่สิ้นพระชนม์บนหลังช้าง เหมือนพระมารดาคือ พระศรีสุริโยทัย แต่พงศาวดารไทย ไม่ได้กล่าวถึงเลย เท่ากับเป็นวีรสตรี ที่สาบสูญไปอีกองค์ ขาดจากความทรงจำของไทย ไม่ผิดกับฉัน องค์ที่สี่คือ พระเทพกษัตรี ท่านองค์นี้นับว่า เป็นราชธิดาที่น่าสงสาร ในชีวิตของท่าน ต้องพลัดพราก จากบ้านเมืองนอนรอนแรมไปอยู่ต่างแดน เพราะในการเสียกรุงครั้งนั้น เจ้าศรีสัตนาคนหุต ฉุดเอาไปทำเมียเสียเอาดื้อ องค์ที่ห้าคือ พระมหินทราธิราช ผู้ครองอำนาจ ต่อจากพระมหาจักรพรรดิ แล้วเมื่อเสียกรุงครั้งแรกปี พ.ศ. 2112 เจ้าบุเรงนองจับเอาไปเป็นเชลย และให้อยู่ใกล้ชิดตลอดเวลา พอเดินทางไปถึงเมืองสระถุง ใกล้กับเมืองอังวะ พระมหินทราเกิดความไม่ยำเกรง ต่อบุเรงนอง เจ้ากรุงหงสาวดี บุเรงนองเกิดพิโรธ โกรธแค้น จึงสั่งประหารด้วยดาบ แล้วโยนศพ ลงแม่น้ำสะโตง ก็พระคุณท่านยังลงไปงม เอาศพขึ้นมา ทำฌาปนกิจให้ท่าน ฝังไว้ตรงไหนท่านรู้เอง ตอนท่านกลับ ก็อย่าลืมขุด เอาอัฐิธาตุกลับไปด้วยนะ ส่วนขบวนของพระเจ้าลุงของฉัน คือ พระราเมศวรนั้น เขาไล่เอาไป เป็นทัพหน้าอยู่ทางเหนือ เมื่อท่านกลับ กรุณาไปเชิญเอางาช้างเผือกไปด้วย เพราะช้างเผือกนั้น มีงาแฝดข้างหนึ่ง เป็นสีดำ หรืองาช้างดำ เล่มเล็กๆ ใครมีไว้เป็นมงคลแก่ตัว หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 29 มีนาคม 2553 18:41:23 ส่วนฉันเองพร้อมด้วยน้อง พอเห็นเขาประหารพระเจ้าอา คือพระมหินทราธิราช ต่อหน้าต่อตา ก็พากัน เกิดปริวิตกอย่างมาก ว่าสักวันหนึ่ง เรื่องตายแบบนี้ ก็ต้องถึงเราแน่ แต่ก็มีท่านเป็นปราการด่านสุดท้าย ที่จะเป็นผู้ทัดทานเอาไว้ ในคราวที่พวกฉันจะถูกรังแก แต่ไม่รู้ว่าท่านมีอะไรดี อยู่ในตัว ทำให้บุเรงนองต้องกลัว และเกรงใจท่านเอามากๆ คงจะเป็นเพราะท่านเป็นหมอ หมอยาสมุนไพร ได้ช่วยรักษา ให้บุเรงนองหายจากโรค พ้นจากความตายได้หลายครั้ง และบุเรงนองเป็นโรคผิวหนัง กลากเกลื้อน เนื้อตัวเกรอะกรัง ด้วยน้ำหนองไหลไม่ขาด ท่านฉลาด หายาตามป่ามาอาบ ทา ให้หายทุกครั้ง และเขาถูกช้างเหยียบจะตายเอา ท่านชี้มือบอกให้ช้างหยุด ช้างก็หยุด เขาไม่ตายเพราะท่าน ดังนั้นเจ้าบุเรงนองจึงเกรงใจท่าน และรักท่าน และท่านก็ได้กราบทูลเขาว่า กุมารทั้งสองคน พร้อมด้วยกุมารีอีกคนหนึ่ง คือตัวฉันกับน้องๆ นั้น เจ้าเหนือหัว ทรงขอกับพระมหาธรรมราชา มาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม เจ้าเหนือหัวต้องรักษาสัจจะ ให้รักเขาเหมือนลูก และทะนุถนอมเขาเหมือนลูกในไส้ ถ้าหากไม่แล้ว ข้าพเจ้าจะยอมตาย แล้วปล่อยให้ท่านทรมาน ด้วยโรคตลอดไป และจะตายเอาเร็วด้วยนะ ดังนั้นเขาจึงรักฉันกับน้องๆ เหมือนลูกจริงๆ แต่ก็ไม่ขาดจากสายตาท่าน ที่จะต้องดูแลทุกข์สุข ในการเดินทาง บุกป่าฝ่าดง ขึ้นเขาลงห้วย ห้อยโหนปีนเหว ใช้เวลารวมเดือนกว่าๆ พวกเราทรมานมาก ไม่รู้ว่ามีกรรมมีเวรอะไร แต่ชาติปางก่อน มันจึงย้อนมาสนองเรา เอาชาตินี้ ขอให้ท่านจงช่วยแก้กรรมให้ด้วยคะ หรืออาจจะเป็นเวรกรรม ที่พระบิดาของฉัน ทำกับแม่นางศรีสุดาจันทร์ก็ได้ อันการที่ฉันได้เล่าเรื่องราว ถึงสกุลรุนชาติ สายญาติต้นตระกูลเดิมของฉันก็มีเท่านี้ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เสวยราชย์ได้ 6 เดือน พระเจ้าหงสาวดี ก็ยกกองทัพเข้ามารุกราน ด้วยได้ระแคะระคายว่า กรุงศรีอยุธยา เกิดการแย่งราชสมบัติกันขึ้น พระเจ้าหงสาวดีจึงให้เกณฑ์พม่า สมทบกับมอญ และไทยใหญ่ ให้มาชุมนุมทัพพร้อมกัน ที่เมืองเมาะตะมะ แล้วจึงยกมากรุงศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ. 2091 อันที่จริงกรุงศรีอยุธยา จะไม่ใช่ว่าไม่เคยสงคราม แต่สงครามที่ได้ทำมา ในครั้งก่อนๆ นั้น นอกพระราชอาณาเขต ไม่เหมือนกับครั้งนี้ เพราะในสมัยก่อน พระไชยราชาธิราชก็ได้ต่อสู้ ฟาดฟันกับพม่า คือพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ ให้ป่นปี้หนีหายไป ไม่เป็นขบวนมาแล้ว ซึ่งนับเป็นครั้งแรก ที่มีศึกใหญ่ เข้ามาประชิดประเทศ ยึดดินแดน ส่วนสำคัญของไทย เป็นสมรภูมิ แต่เนื่องด้วยกำลังรี้พล และเสบียงอาหารของไทย ในระหว่างนั้นยังสมบูรณ์อยู่ ด้วยเมื่อกำจัดขุนวรวงศา และท้าวศรีสุดาจันทร์ แต่นั้นมา บ้านเมืองอยู่ในภาวะสงบ มิได้เกิดการจราจล ถึงกับรบราฆ่าฟันกันมากมาย เมื่อได้ข่าวพระเจ้าหงสาวดี ยกกองทัพใหญ่เข้ามา ประชิดพระนคร สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ก็ทรงมีบัญชาให้พระมหาธรรมราชา ยกกองทัพ เมืองเหนือลงมาช่วย และทรงส่งกองทัพใหญ่ออกไป ตั้งรักษาเมืองสุพรรณบุรี เป็นที่มั่นคอยรับหน้าข้าศึก และเตรียมการป้องกัน พระนครศรีอยุธยาไว้ก่อน แต่กองทัพของพระเจ้าหงสาวดี มีกำลังใหญ่หลวง กองทัพไทยที่ยกออกไป ตั้งรับรักษาเมืองสุพรรณบุรีจึงสู้ไม่ได้ จำต้องทิ้งเมือง ถอยกลับมายังกรุงศรีอยุธยา การถอยในครั้งนี้ เป็นการถอย แบบถอยท่าเดียว มิใช่เป็นการถอยพลาง สู้พลาง หรือหาที่มั่นแห่งใดแห่งหนึ่ง รับข้าศึกเป็นระยะๆ ไป แต่เป็นการกลับถอยหนี เข้ากำแพงเมืองกรุงศรีอยุธยาอย่างเดียว หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 29 มีนาคม 2553 19:19:41 สาธุ ๆ
เรื่องนี้บูมสุด ๆ เมื่อสิบปีที่แล้ว ไปทางไหนก็มีแต่เรื่องพระนาง อนุโมทนาบุญกับสาระความรู้ดี ๆ ครับ หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 29 มีนาคม 2553 21:26:57 (http://www.trueplookpanya.com/data/product/media/MEMO/18_19.jpg) ส่วนทางกรุงศรีอยุธยาเล่า แทนที่จะส่งกองทัพออกไปช่วย กองทัพสุพรรณบุรี กลับเฉยเสีย ปล่อยให้กองทัพของเจ้าหงสาวดี รุกไล่ถึงชานพระนคร ขณะนั้น ถ้าหากกองทัพไทย จะยกกองทัพออกไปต่อต้านข้าศึก ก็อาจจะได้เปรียบกว่าทหารพม่าอยู่บ้าง เพราะกองทัพไทยในกรุง ยังสดชื่นอยู่ ส่วนกองทัพพม่า ยกกองทัพรอนแรมมา ย่อมจะเป็นฝ่ายเหน็ดเหนื่อยอยู่บ้าง ถ้าหากทางกรุงศรีอยุธยา จะยกเข้าโจมตีทันที เมื่อกองทัพพม่ามาถึง ก็คงจะได้ชัยชนะบ้าง แต่ทางกรุงศรีอยุธยากับนิ่งเฉยเสีย เพราะยังไม่ได้ฤกษ์ จากโหรปล่อยเวลาให้ข้าศึกได้พักผ่อน และกินอาหารให้อิ่ม มีกำลังก่อน จึงได้ฤกษ์จากโหร และในช่วงนี้เอง ที่ประวัติศาสตร์ไทย ต้องบันทึกการสูญเสีย สมเด็จพระนางศรีสุริโยทัย อัครมเหสี ของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิไป อย่างน่าเศร้าสลด กล่าวคือ กองทัพพม่ายกทัพเข้ามา ตั้งค่ายที่ชานพระนครเป็นที่มั่น เมื่อวันเสาร์ ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 4 แล้วพอรุ่งขึ้น วันอาทิตย์ ขึ้น 1 ค่ำ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ใคร่จะทรงทราบกำลังของ กองทัพข้าศึก ว่าจะเข้มแข็งประการใด จึงลอบเสด็จ ยกกองทัพหลวงออกไป ครั้งนั้นสมเด็จพระศรีสุริโยทัย พระอัครมเหมสี ขอเสด็จตามไปด้วย สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ก็โปรดอนุญาต ให้แต่งพระองค์เป็นชาย อย่างมหาอุปราช ต่างองค์ต่างทรงพระคชาธาร หรือช้างศึก ออกไปพร้อมกัน กับพระราชโอรสทั้งสองคือ พระราเมศวร และ พระมหินทราธิราช กองทัพของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ทรงออกไปปะทะกับ กองทัพพระเจ้าแปร ซึ่งเป็นกองทัพหน้า ของพระเจ้าหงสาวดี ความตั้งพระทัยเดิม ว่าจะออกไปดูลาดเลาข้าศึกนั้น กลายเป็นการทำยุทธหัตถี เข้าโดยฉับพลัน สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เข้าชนช้างกับพระเจ้าแปร ช้างพระที่นั่ง ของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิเสียที ก็แล่นหนีข้าศึก เจัาแปรได้ที ก็ขับช้างไล่ตามมาไม่ยับยั้ง (http://www.ying.th.edu/Pic14.jpg) http://akarophas.blogspot.com/2011_02_01_archive.html (http://akarophas.blogspot.com/2011_02_01_archive.html) สมเด็จพระศรีสุริโยทัย พระอัครมเหสีที่ตามเสด็จมา ทรงเกรงว่า สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ จะเป็นอันตราย ก็ไสช้างทรง ตรงเข้ามาขวางกั้นพระสวามี พระเจ้าแปรสำคัญว่าเป็นชาย ก็ฟันด้วยพระแสงของ้าว ถูกพระอังศาขาด ซบพระเศียรทิวงคต อยู่บนคอช้าง ขณะนั้น พระราเมศวร กับพระมหินทราทรงเห็นเหตุการณ์ ก็ขับช้างทรงเข้าช่วย ขวางกั้นข้าศึกไว้อย่างหนักหน่วง จนข้าศึกถอยทัพ จึงได้พระศพ สมเด็จพระชนนีมา สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ก็ถอยทัพกลับคืนเข้าในพระนคร สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เมื่อทรงถอยทัพ กลับคืนเข้าพระนครแล้ว ก็ใหัรักษาพระนครไว้ให้มั่น คอยกองทัพเมืองเหนือ ของพระมหาธรรมราชาที่จะยกมาถึง จึงจะตีทัพข้าศึก กระหนาบทั้งสองด้านให้พร้อมกัน ส่วนพระศพของสมเด็จพระศรีสุริโยทัยนั้น ให้เชิญไปประดิษฐานไว้ที่สวนหลวง ภายหลังได้ทรงมีบัญชา ให้สร้างพระเมรุพระราชทานเพลิงศพ ที่ในสวนหลวง ต่อเขตวัดสบสวรรค์ แล้วทรงสร้างพระอารามขึ้น ตรงพระเมรุ มีพระเจดีย์ใหญ่เป็นสำคัญ ปรากฏสืบมาจนทุกวันนี้คือ วัดสวนหลวงสบสวรรค์ หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 31 มีนาคม 2553 17:24:53 (http://api.ning.com/files/-AyE0ET1cbZTPmXbPHX9u5QoqF3uXh17nKerniUMw8AsiapPqnezzZq-wELCOHr9pyHvfB-TmvrKlq3rEUtLTu-6YPr0-jTu/lightening2.jpg) ถ้อยแถลงท้ายเรื่อง ท่านผู้อ่านโปรดทราบ ในเนื้อเรื่องของหนังสือเล่มนี้ ส่วนมาก ก็ได้กล่าวไว้ที่เรื่องนั้นๆ ที่ได้มาจากฝัน ซึ่งเป็นเรื่องเหลวไหล ไร้สาระ ของบุคคลบางจำพวก ซึ่งก็เกือบจะร้อยทั้งร้อย ไม่ค่อยจะเชื่อ คือหากจะมีตำรากล่าวไว้ ในมหาสุบินนิมิตสูตร ซี่งเป็นนิมิตความฝัน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี หรือหลายๆ ที่กล่าวไว้ ในศาสนาต่างๆ ว่า พระผู้เป็นเจ้า God มาเข้าฝันก็ดี หรือเมื่อกรุงศรีอยุธยาแตกครั้งสุดท้าย พระเจ้าตากสินมหาราช ทรงพระสุบิน (ฝันว่า) บรรดาทวยเทพเทวา มาห้ามไม่ให้อยู่ที่เดิม คือไม่ให้ทรงสร้าง เมืองหลวงขึ้นที่เดิม คือกรุงศรีอยุธยา พระองค์จึงทรงยาตราทัพ ไปตั้งที่บางกอก คือก่อนนั้นชื่อบางกอก และข้างวัดมะกอก จึงขอบอกว่า เรื่องฝัน มีมานาน หลายร้อย หลายพันปีแล้ว ส่วนมากก็เป็นเรื่องจริงตอนหลัง แต่เรื่องที่ผู้เขียนได้อธิบายไว้ ในหนังสือเล่มนี้ คือตัวของคน คือตัวจริง เห็นก็รู้ คือรู้จักว่าเป็นใคร ชื่ออะไร ส่วนตัวที่สอง คือตัวเป็น คือเป็นโน่น เป็นนี่ เขาเป็นอะไร เป็นใคร ตัวนี้รู้ จึงจะเห็น ส่วนตัวที่สาม คือตัวแฝง ซึ่งเป็นตัวนามธรรมล้วนๆ เป็นเรื่องที่ผู้อ่านสนใจมาก จึงทำให้หนังสือเล่มนี้ พิมพ์ออกแจกไม่ทัน และก็ทำให้ผู้เขียนเอง ตลอดทั้งโรงพิมพ์ด้วยจะบ้าเอา เพราะการขอมาไม่ขาดสาย วันละหลายสิบราย เพราะพิมพ์ออกแจกฟรี พิมพ์ด้วย กระดาษอย่างดี ราคาแพงๆ ยังมาแจกฟรีได้ ไม่หมดตัวให้รู้ไป ทั้งนี้เพราะ ผู้เขียนเองตระหนักดีว่า เราเป็นพระ เป็นนักบวช เราต้องเป็นผู้ให้ มิใช่ผู้เอา ถือว่าการทำอะไร ถ้าหวังความร่ำรวย หวังผลกำไร มิใช่วิสัยของสมณะ เพราะ ผู้เขียนเป็นพระนักให้ ที่ได้กล่าวมาแล้ว มิใช่พระนักรบ คือรบกวนชาวบ้าน รบมาได้ไม่รู้จักพอ (ไม่รู้จักเอือม เป็นทาสของตัณหา) หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 31 มีนาคม 2553 17:28:25 (http://www.soleredemption.com/pics/2008/05/homeroom-lightening-strikes-twice-2.jpg) อันเรื่องตัวแฝงนั้น ก็คือการแยกตัวรูปธรรม คือตัวจริง กับตัวเป็น นี้ออกให้เป็นสองภาค หลายท่าน อาจไม่รู้ ไม่เข้าใจว่า เป็นเรื่องวิเศษวิโส ของคนระดับอรหันต์ หรือผู้ถอดจิตได้ แต่ความจริงนั้น จิตกับกาย มันถอด ออกจากกันได้ ในเวลาที่กายสงบ ไม่ต้องทำอะไร ส่วนจิตใจก็อยู่ในภาวะที่สงบ จากอารมณ์ภายนอกเช่นกัน อย่างเรานอนฝัน ก็จะฝันในขณะที่กาย มันนอนหลับสบาย แล้วกายก็หลับ จิตก็ฝัน มันจะฝันไปตามเรื่อง เรื่องเหตุที่จะให้ฝันนั้น ได้กล่าวไว้แล้ว และอีกเรื่องที่สอง ผู้เขียนเอามากล่าว เป็นเรื่องราวไว้ในที่นี้ เอามาจากอาการที่กายสงบ อยู่สบายๆ ในที่สงัด ทางกายที่เรียกว่า กายวิเวก ส่วนจิตก็อยู่ในภาวะที่สงบ เรียกว่า จิตวิเวก คือ ทำสมาธิ จะเป็นชั้นไหนก็ได้ทั้งนั้น อันดวงจิตนี้เอง มันจะกลายเป็นสสาร ที่มีอยู่แล้วในบริเวณนั้น ที่มันมีอยู่ก่อน หลายสิบ หลายร้อย หลายพันปี มันจะไม่หายไปไหน ในทางวิทยาศาสตร์ก็มีหลักว่า E=mc2 (สสารย่อมไม่หายไปจากโลก) อันสสารของใหม่ คือ ตัวจิตวิญญาณของเรา พอมันคลุกเคล้ากับสสารเก่าที่มีอยู่แล้ว มันก็แสดงให้เป็นรูป ให้เห็นในฝันด้วยสายตา และเป็นเสียง ให้เราได้ยินทางโสตประสาท (ทางหู) ในจิตใต้สำนึก ก็เป็นฝันอีกเช่นกัน (http://photo.webindia123.com/gallery/2601/lightening-the-lamp_Main.jpg) ท่านผู้อ่าน อ่านแล้วก็กรุณาอย่าหาว่า เป็นเรื่องเหลือวิสัยเลย โปรดให้ท่านเข้าไปอยู่ที่สงบ สงัด ทั้งกายและใจ ในสถานที่สงบสงัดดังกล่าวมาแล้ว ความรู้สึกนึกคิด ในจิตใจของเรา เบื้องต้นมันจะแบ่งกันเป็นสองฝ่าย คือฝ่ายหนึ่ง มันจะสร้างความรู้สึกนึกคิด อยากเห็น อยากได้ความสงบ อยากพบกับความรับผิดชอบ ชั่วดี อีกฝ่ายหนึ่ง มันอยากจะคลุกคลีกับธุลี คือกิเลสตัณหา ทั้งสองฝ่ายในดวงจิตเรา มันโอเคลงรอยกันได้ ตอนนี้สมาธิจิต คือ จิตเป็นหนึ่ง รวมเข้ากับสสาร ที่มีอยู่บริเวณนั้น มันจะเกิดเป็นแสงสว่างทางจิต วิญญาณ ความมืดมน ที่ทำให้จิตวิญญาณ มันหายไป อันสิ่งใดๆ ในอดีตกาลมันจะผ่านเข้ามา ให้รู้ได้ทางจิต มีนักปราชญ์ทางจิตวิญญาณหลายท่าน ได้เขียนไว้ อย่างท่านพุทธทาสท่านพูด ท่านคุยอยู่คนเดียว กับก้อนหิน ที่เป็นรูปอวโลกเตศวร ท่านหลวงวิจิตรวาทการ ท่านนั่งคุยอยู่คนเดียวกับพระนารายณ์ ท่านคึกฤทธิ์ ปราโมช สนทนากับพระประธาน ท่านสมภารกร่าง คุยกับพระพุทธรูปทั้งวัน ในเรื่องไผ่แดง และตัวผู้เขียนเอง นั่งคุยกับกอไผ่ แต่ข้างใน เป็นเสาหลักเมืองโบราณ จนได้ขุดค้นขึ้นมา และได้สร้างไว้ให้ชาวพิจิตร ดังนั้น จึงขอให้ท่านผู้อ่าน ได้เข้าใจว่า อันตัวแฝง วิญญาณแฝง มันมีอยู่ในดวงจิตของท่านแล้ว คืออยู่ในดวงจิตของทุกๆ คน แต่คนเราส่วนมาก มองข้ามไป ไม่นำออกมาใช้ มันจึงเกิดทุกข์ เพราะจิตวิญญาณ มันโดนขัง ฝังลึกอยู่กับโลภ โกรธ หลง สารพัด จงหาทางฝึกหัดกันบ้าง เพื่อเป็นเรือนที่พัก เป็นวิมานของจิตใจ แล้วใจจะได้รับความสุข ความสว่างเหินห่างจากทุกข์ภัย (http://t0.gstatic.com/images?q=tbn:EZVYOX35LA0ZWM:http://andrejandkarenbrummer.com/wp-content/uploads/2009/04/lightening.JPG) หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 31 มีนาคม 2553 18:14:38 (http://www.bloggang.com/data/namon/picture/1202715119.jpg) พระกัสสปะพุทธเจ้า อานันดาวิหาร พม่า http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namon&month=02-2008&date=11&group=4&gblog=33 (http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namon&month=02-2008&date=11&group=4&gblog=33) ขออนุญาตใช้ภาพค่ะ บทสรุปที่มีหนังสือค้านเนื้อหาที่กล่าวมาแล้ว ในระยะไม่นานมานี้ ผู้เขียนไปต่างประเทศ ได้พบได้อ่านหนังสือ เล่มหนึ่ง ซึ่งเขียนขึ้น ด้วยพระสงฆ์ไทย ในอเมริกา มีนักสอน ศาสนาชาวคริสต์ เขานำมาให้ และเขารู้สึกภูมิใจ ที่เรื่องในเนื้อหา ของหนังสือเล่มนั้น ได้สรรเสริญ เยินยอ พระเป็นเจ้าของเขาไว้หลายแห่ง ส่วนพระพุทธเจ้า ผู้เป็นจอมศาสดา ของชาวพุทธนั้น ท่านได้เป็นแค่ Son คือ เป็นบุตร และเป็นเพียงโฆษก ของพระเป็นเจ้า คือ God ของเขาอีก มิใช่ว่าพระพุทธเจ้า จอมศาสดาของเรา จะเป็นผู้ประเสริฐ เลอเลิศอะไรทั้งนั้น และยังมีอีกหลายเรื่อง และหลายแห่งที่กล่าวไว้ โดยปฏิเสธการเวียนว่ายตายเกิด ปฏิเสธ แม้กระทั่ง เรื่องผลบุญ ผลบาป กรรมเวรว่าไม่มี ใครจะร้ายจะดี ก็อยู่ที่พระผู้เป็นเจ้า คือพระเจ้าเท่านั้น ที่จะดลบันดาลให้ หนังสือเล่มนั้นชื่อ SUFFERING AND NO SUFFERING เขียนขึ้นด้วยพระสงฆ์ไทย เล่มใหญ่ ถึงห้าร้อยกว่าหน้า ดังจะได้นำข้อปลีกย่อย มากล่าวในที่นี้ในหน้า 305 เขาเขียนว่า God Can Be Compared With Dhamma. The Buddha With the Wise of Noble Teachers, or The Son of God พระผู้เป็นเจ้า เปรียบเสมือนธรรม พระพุทธเจ้า ดุจดังผู้ทรงปรีชาญาณ หรือ พระบรมครู หรือ บุตรของพระเจ้า Inaddition, The Buddha can be compared with the Wise or Noble Teachers, or The Son of God. นอกจากนั้น พระพุทธเจ้ายังเปรียบได้ดัง ผู้ทรงปรีชาญาณ หรือพระบรมครู หรือบุตรของพระเจ้า อันคำแปลที่เป็นภาษาไทยนั้น ผู้เขียนแปลเอง จึงได้ความว่า พระบรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้า ของชาวพุทธ มิใช่เป็นผู้ประเสริฐที่สุด เลอเลิศอะไร ที่แท้จริงก็เป็นเพียง ลูกชายของพระเป็นเจ้าของเขา และเป็นแค่โฆษก ของพระเป็นเจ้าของเขาเท่านั้นเอง นี้ชาวพุทธเราอายเขาไหม ที่พระสงฆ์ไทย ในต่างแดนเขียนอย่างนี้ เท่ากับย่ำยีให้ ศักดิ์ศรี ของพระบรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เหลวแหลก ป่นปี้ไปเท่านั้นเอง และหน้าที่ 81ที่เขาเขียนว่า It is important to understand the following points regarding rebirth. First, Rebirth cannot be proven her and now. Second, Rebirth is contingent upon the beliefs of the people. Third, Rebirth is not concerned with Buddhism, which teacher "Anatta". (แล้วข้าพเจ้าได้นำมาแปล เป็นภาษาไทยได้ความว่า) มันสำคัญมาก ที่จะต้องทำความเข้าใจ กับประเด็นของการเวียนเกิด ประการแรก การเวียนเกิด ไม่สามารถจะพิสูจน์ ให้เห็นได้ ประการที่สอง การเวียนเกิด อาจมาจากความเชื่อของมนุษย์ ประการที่สาม การเวียนเกิด ไม่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา ซึ่งสอนเรื่องอนัตตา หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 31 มีนาคม 2553 18:23:18 (http://www.bloggang.com/data/namon/picture/1202714981.jpg) ผู้เขียนขอค้านว่า อันบุคคลที่ไม่เชื่อ เรื่องเวียนว่ายตายเกิด และบาปบุญคุณโทษนั้น เป็นคนประเภท มุขโขโลกะนะ เป็นบุคคล ที่มีความมืดบอดทางปัญญา ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ก็จงได้ช่วยกันโยน พระสูตรตันตปิฏก ทั้งสองหมื่นหนึ่งพันพระธรรมขันธ์ ลงน้ำ หรือเผาไฟทิ้งไปเลย ไม่ต้องเชื่อถือกัน แล้วเรื่องพระไตรปิฎก ยกทิ้งไปเลย อันคำตรัสอุทาน ของพระบรมศาสดาจารย์ ที่พระองค์ตรัสว่า อัคโคหะมัสสิง โลกัสสะ เชตโกหะมัสสมิงโลกัสสะ เสฏโฐหะมัสสมิงโลกัสสะ อายะมันติมาชาติ นัตถิชาติปุนันภะโว และคำว่า อะเนกะชาติสังสารัง สันทาภิสัง อนิพพิชัง ฯลฯ ทั้งพระสูตรก็โยนทิ้งไปเลย ที่ผู้อ่านได้อ่านแล้วพิเคราะห์ดู ในเนื้อหาของหนังสือนั้นแล้ว ก็เห็นว่า ผู้เขียนได้ประยุกต์เอง เอาคำสอนของพระพุทธเจ้าเรา เข้าไปอยู่ในความรู้ ความเห็นของตัวเองทั้งหมด แล้วยังกดดันความยิ่งใหญ่ ของพระบรมจอมไตร ศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ของชาวพุทธ ให้อยู่ในระดับ บุตรชายของพระเป็นเจ้าของเขา และเป็นเพียงโฆษก ของพระเป็นเจ้าเท่านั้น แม้แต่เรื่องจิตวิญญาณ โลกนี้โลกหน้า ตลอดการเวียนว่ายตายเกิด ก็ปฏิเสธหมด เป็นเรื่องของบุคคลเชื่อกันเอง ด้วยความโง่เขลา ทุกอย่างพระเป็นเจ้า ผู้สูงส่งจะประธานให้เอง และกล่าวถึงเรื่องจิตวิญญาณ ในหน้าที่ 25 หน้า 27 และหน้า 30 ก็เช่นกัน ที่เขาเขียนว่า P.25 The Original Mind is ‘free’ ‘void’ ‘luminous’, and ‘nonsuffering’ วิญญาณเดิมนั้น เป็นอิสระ ว่างเปล่า สว่าง และไม่ทุกข์ "the original Mind is luminous; it is tarnished due to the presence of visiting defilement. The Original Mind is luminous; it is untarnished due to the absence of visiting defilement". วิญญาณเดิมสว่าง มันถูกทำให้มัวหมอง เพราะต้องมลทิน และจะไม่มัวหมอง หากไม่ต้องมลทิน P.27 Nature of the Original Mind is Luminous,... วิญญาณเดิม สว่างโดยธรรมชาติ P.30 ...the Original Mind has no-suffering, for it is luminous. วิญญาณเดิม ไม่ทุกข์ เพราะมีความสว่าง ข้าพเจ้าขอค้านว่า ในหลัก อิทัปปัจจะยะตา ว่า อวิชา ปัจจะยาสังขารา สังขารา ปัจจะยา วิญญาณนัง ฯลฯ ทุกขะโทมะนัสสะ รวมความในพระอภิธรรมข้อนี้ว่า อวิชาความโง่ ความมืดบอด เป็นเหตุให้เกิดสังขาร คือความคิด ความปรุงแต่ง สังขารเป็นเหตุให้เกิดวิญญาณ วิญญาณเป็นเหตุให้เกิดนามรูป นามรูปเป็นเหตุให้เกิดผัสสะ ผัสสะ เป็นเหตุให้เกิดเวทนา เวทนาเป็นเหตุให้เกิดตัณหา ตัณหาเป็นเหตุให้เกิดอุปาทาน คือความไปยึดมั่น ถือมั่น อุปาทาน เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ และตัวทุกข์นี้เองให้เกิด อวิชา ตัณหาอุปาทานอีกไม่รู้จบเป็นวัฏฏะ คือวนไปเวียนมา เวียนว่ายตายเกิด ไม่รู้จบไม่รู้สิ้น แต่ถ้าวิญญาณเดิมแท้นั้น มันเป็นอิสสระ ว่างเปล่า ประภัสสะ ไม่มีทุกข์ไม่มัวหมอง แล้วก็เท่ากับค้านว่า พระอภิธรรมบทนี้ทั้งหมด และเมื่อปฏิเสธเสียทั้งหมด อันตำรับตำรา ที่นักปราชญ์ทางพระพุทธศาสนา รจนาขึ้นทั้งหมด หรือแม้แต่หนังสือ ที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้ ก็ใช้ไม่ได้เลย ในเนื้อหาของหนังสือนี้ หน้า 18 บรรทัดที่ 17 เนื้อความว่า ชีวิตที่ถูกความโง่เขลา และกิเลสตัณหาสร้างขึ้นมา เป็นตัวตนนี้ฯ และทำให้ต้องเป็นทุกข์ (ถ้าจิตมันไม่มีกิเลส ตัณหา มันจะเกิดมาทำไม) ดังนั้น จึงขอสรุปว่า ผู้เขียนไม่มีความเข้าใจพอ ในเรื่องจิต หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 31 มีนาคม 2553 18:53:45 (http://www.bloggang.com/data/namon/picture/1202716709.jpg) ทุ่งเจดีย์เมืองพุกาม บทสรุปท้าย ผู้เขียนขอเรียนเตือน ท่านผู้อ่านทั้งหลายไว้ว่า ในระยะที่หนังสือเหล่านี้ ออกมาสู่สายตาท่านผู้อ่าน รู้สึกว่า จะมีมนุษย์อุบาทว์ ส่วนมากเป็นสตรี ที่ชอบอวดอ้างว่า เขาคือพระนางสุพรรณกัลยา กลับชาติมาเกิด และชอบไปบอกข่าว ป่าวร้องให้คนหลงเชื่อ คงจะเพื่อหวังผลอะไรสักอย่างหนึ่ง จึงขอบอกว่า พระนางท่านเป็น เชื้อสายกษัตริย์ สายสุขุมาลย์ชาติ ในชีวิตของพระนางท่าน ไม่เคยสร้างบาปกรรม ทำเวรอะไรทั้งนั้น ถ้าท่านมาเกิดจริง ก็คงจะอุบัติใน วงศ์กษัตริย์ สุขุมาลย์ชาติ ชาติที่สูงส่ง ระดับพระองค์เจ้า หรือเจ้าฟ้าขึ้นไป คงจะไม่มาเกิดเป็นมนุษย์จัญไร มาหลอกลวง ใครแน่ๆ ถ้ามาเกิดจริง ก็คงจะเป็นแม่ศรีสุดาจันทร์ ตัวทำให้ป่วนปั่น แก่บ้านเมือง เมื่อก่อนเสียกรุงครั้งที่ 1 เท่านั้น ดังนั้น ถ้าท่านได้เห็น ได้ยิน ก็อย่าเชื่อพวกมันเลย ผู้เขียนเอง ก็เขียน เพื่อเอาความดี ของพระนาง ที่นำมาเป็นเยี่ยงอย่าง เป็นอุทาหรณ์ ในทางที่ดีงามของท่านเท่านั้น แล้วยึดเอามา เป็นตัวอย่างของชีวิต ในการเสียสละ เพื่อสังคม แต่เห็นจริงก็อยู่ในจำพวก derution คือ เห็นภาพลวง หรือแบบ Harusination ของพวกประสาทหลอนอ่อนๆ จะเข้าไปอยู่โรงพยาบาลโรคจิตไปแล้ว (http://www.bloggang.com/data/namon/picture/1202717176.jpg) ดวงอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขา..ทุ่งเจดีย์เมืองพุกาม... รวบรวมข้อมูล และภาพประกอบ เผยแพร่เพื่อเทิดพระเกียรติ โดย .. ฉวีวรรณ สุวรรณรัฐ ห้องสมุดสตางค์ มงคลสุข มหาวิทยาลัยมหิดล Credit by : http://members.fortunecity.com/saney/kalaya/tumnan.htm (http://members.fortunecity.com/saney/kalaya/tumnan.htm) Pics by : Google ขอบพระคุณที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 31 มีนาคม 2553 19:29:53 (:LOVE:) (:LOVE:) (:LOVE:) (http://img258.imageshack.us/img258/2079/b9ab7a531c95a34032f1ddd.gif) หัวข้อ: Re: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 31 มีนาคม 2553 20:35:45 (http://share.psu.ac.th/file/pornpit.r/พระพุทธเจ้าใช้มือสัมผัสปกป้องโลก.jpg) (:LOVE:) (:LOVE:) (:LOVE:) (http://www.innovativewords.com/photos/tulips_blur.jpg) (http://www.snagdepot.com/snags/goodnight/PinkAnimGoodNight.gif) |