หัวข้อ: กรรมลิขิต ตอน วงจรแห่งกรรม / พระอาจารย์ภาสกร ภูริวฑฺฒโน เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 05 กรกฎาคม 2559 03:01:08 https://www.youtube.com/v/Vg-_yivW6PA
กรรมลิขิต ตอน วงจรแห่งกรรม / พระอาจารย์ภาสกร ภูริวฑฺฒโน (https://i.ytimg.com/vi/gZc-mqs4fe4/hqdefault.jpg)(http://4.bp.blogspot.com/-hW3mDkwQYZk/TpuV5GPO3hI/AAAAAAAAHn4/Q-Oh2ahQft8/s400/cover1.jpg) ย้อนชีวิตเสเพล พระอาจารย์ภาสกร ภูริวฑฺฒโน (ภาวิไล) แนะ “อภัยทาน” แก้การจองเวร อดีตหนุ่มเสเพลที่เคยใช้ชีวิตลุ่มหลงในกามารมณ์ กระทั่งเดินมาถึงจุดเปลี่ยนเมื่อได้พบกับแม่ชี ที่นำพาเขาสู่ร่มกาสาวพัสตร์ ปัจจุบันพระพี่ชายของ ตุ๋ย-อรุณ ภาวิไล รับใช้พุทธศาสนาด้วย หัวใจที่เปี่ยมล้นในบทเรียนแห่งธรรม กว่า 14 พรรษาแห่งการบวช พระอาจารย์ภาสกร ภูริวฑฺฒโน (ภาวิไล) มุ่งมั่นสืบทอด พระพุทธศาสนามาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันท่านเป็นผู้อำนวยการธรรมสถาน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พร้อมทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการ พุทธธรรมนำสุข สถานีวิทยุ รด. เชียงใหม่… ครั้งนี้จึงนับ เป็นโอกาสดีที่ท่านรับนิมนต์มาบรรยายธรรม ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย WhO? จึงขอถ่ายทอดเรื่องราวของท่านเป็นธรรมทานต่อไป พระอาจารย์ภาสกร ภูริวฑฺฒโน (ภาวิไล) เห็นนามสกุลคุ้นๆ ต่อท้ายไว้ในวงเล็บเช่นนี้ อย่าได้แปลกใจไปเชียว เนื่องจากโยมพ่อของพระอาจารย์คือ ศ.ดร.ระวี ภาวิไล นักวิชาการและ นักดาราศาสตร์ชื่อดัง ส่วนซูโม่ตุ๋ย-อรุณ ภาวิไล นั้น เป็นน้องชายคนเดียวของพระอาจารย์นั่นเอง ส่วนที่ต้องมีนามสกุลพ่วงท้ายชื่อทางธรรม พระอาจารย์บอกว่า ไม่ใช่เพื่อความโด่งดัง แต่ต้องการนำบุญแห่งความดีมาให้กับโยมพ่อโยมแม่และญาติพี่น้องเท่านั้น //มักมากในกามคุณ...ต้นเหตุของการบวช อาจมีเพียงผู้เคยฟังคำเทศนาหรือการบรรยายธรรมของพระอาจาย์ภาสกรเท่านั้น ที่รู้ว่าก่อนจะเข้าสู่สมณเพศ พระอาจารย์ภาสกรได้ใช้ชีวิตอยู่ในความโลภ ด้วยความเขลา เนื่องจากยังลุ่มหลงในรูป รส กลิ่น เสียง และหลงใหลในกามารมณ์ หรือเรียกได้ว่ามีกามเป็นสรณะ ซึ่งหากมองอีกมุมหนึ่งก็ถือ เป็นเรื่องธรรมดาของบรรดาชายหนุ่มที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ “ธรรมชาติของมนุษย์ก็ย่อมมีกามคุณมาก่อน หลวงพี่คิดว่าสิ่งเหล่านั้นจะนำความสุขมาให้เราเอง ถึงขั้นเพ้อฝันวันๆ ด้วยการไล่ล่าความรักไปเรื่อย เวลาชีวิตส่วนใหญ่เลยใช้มันไปกับการ ตามฝันที่ไม่เคยเป็นจริง ก็คือเรื่องของความรัก เรื่องกามคุณ คิดว่ามันมีค่า จริงๆ มันก็เป็นเรื่อง ปกติของชายหนุ่มทั่วๆ ไป “อย่างหลวงพี่ คิดว่าเรื่องเงินเรื่องทองเป็นเรื่องเล็ก เพราะเกิดมาในตระกูลที่ไม่ค่อยได้คำนึงถึง เรื่องเงินสักเท่าไหร่ อย่างโยมพ่อ ท่านก็สมถะจะตายไป สาเหตุที่อาตมาเป็นคนบ้าในกามคุณ เนื่องจากโยมแม่ (อุไรวรรณ ภาวิไล) เป็นนางงามมาก่อน ตั้งแต่เด็กจะฝังใจจากโยมพ่อ ที่ชอบคุยหลังกลับจากงานแต่งว่า แม่แกสวยกว่าเจ้าสาวเสียอีก หลวงพี่ก็ภูมิใจ เลยเหมือนถูกฝังอยู่ในใจว่าถ้าหลวงพี่มีแฟน แฟนจะต้องสวย จะต้องน่ารัก และต้องวิเศษกว่าแม่เราให้ได้ ไปตั้งเป้าอยู่ตรงนั้น มันเลยมีเรื่องความรักเข้ามาวุ่นวาย กินกำลังชีวิตไปมากมายมหาศาล” กว่าจะคิดได้ว่ากามคุณเป็นเรื่องรกโลกก็ใช้เวลาแบบไร้คุณค่า เสียนาน //10 ปี ในอาชีพช่างภาพที่รัก ชีวิตทางโลกของพระอาจารย์ภาสกร หรือ นิรันดร์ ภาวิไล สำเร็จปริญญาตรี สาขาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ประมาณปี 2530 เลือกมาทำอาชีพเป็นช่างภาพ โดยให้เหตุผลว่าหาก ไปทำอาชีพอื่นกลัวเก่งสู้คนอื่นไม่ได้ เนื่องจากการเป็นช่างภาพถูกฝึกมาตั้งแต่เป็นนิสิตจุฬาฯ แล้วยังได้เป็นประธานชมรมถ่ายภาพอีกด้วย ที่สำคัญมีความรู้สึกว่าหากทำงาน ตรงนี้จะได้เปรียบคนอื่น อาชีพช่างภาพเริ่มต้นครั้งแรกที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ จุฬาฯ ผ่านไป 3 เดือน ก็ลาออกไปเป็นช่างภาพให้กับ อาจารย์มานิต รัตนสุวรรณ ทำหนังสือชื่อ Style แต่อยู่ได้เพียง 3 ปี จึงลาออกไปอยู่โรงพิมพ์แห่งหนึ่งอีก 1 ปี หลังจากนั้นมาเปิดบริษัท ฟิจเจอร์ โพรเจค จำกัด ด้วยการให้บริการถ่ายภาพบุคคลและภาพโฆษณา “เป็นเวลา 10 ปีในอาชีพช่างภาพ จริงๆ ทำอาชีพช่างภาพ หลวงพี่เลยมีข้ออ้างกับทางบ้าน ที่จะซื้อเครื่องมือดีๆ เพราะถ้าไปทำอาชีพอื่น กล้องเหล่านี้ก็จะกลายเป็นของสิ้นเปลืองฟุ้งเฟ้อ แต่ถ้ามาทำเป็นอาชีพ ก็จะสามารถซื้อกล้อง ซื้อเลนส์ได้อย่างจุใจถ้าเราอยากเล่น ที่จะเป็นข้ออ้างว่านี่คือ หน้าที่ กับอาชีพช่างภาพ อยากจะบอกว่าคิดผิด เพราะเมื่อเอาสิ่งที่ตัวเอง รักนำมาเป็นอาชีพ ความสุขที่เคยได้มันหายไป “จากที่เคยได้รับคำชมว่าถ่ายสวย ถ่ายดีมันก็หายไป พอเป็นช่างภาพอาชีพปุ๊บ จากที่เคยถ่ายภาพ ด้วยความสุข ไปไหนมาไหนมีความสุขที่อยากจะถ่ายภาพ แต่พอมาถ่ายเป็นอาชีพมันก็เลยคิดว่า ทำยังไงถึงจะถ่ายออกมาดี มันเลยเครียดว่า จะถ่ายไงถึงจะเอาชนะตัวเอง ชนะผู้อื่นได้ เลยเป็นความบีบคั้น ไปเที่ยวที่ไหนก็เลยไม่สนุก เพราะมัวคำนึงถึงเรื่องการทำงาน การทำหน้าที่ช่างภาพ เครียดแล้วยังต้องแบกกล้อง แบกไฟไปถ่ายตามที่ต่างๆ” ตลอด 10 ปี ในอาชีพช่างภาพที่สร้างความเบื่อหน่ายชีวิตให้กับพระอาจารย์ /// “แม่ชี” ผู้บันดาลแสงแห่งธรรม จุดพลิกผันที่ทำให้ช่างภาพหนุ่มผู้ยังเวียนว่ายในโลกียะ ดำเนินมาถึงเมื่อวันหนึ่งเขาได้พบกับแม่ชี ซึ่งอยู่ที่ จ.เชียงใหม่ โดยเจ้าของตึกซึ่งเขาเช่าอยู่ย่านเอกมัย พาแม่ชีมาทำแผ่นพับกับพระอาจารย์ จนมีโอกาสได้สนทนากัน แสงสว่างบนเส้นทางธรรมจึงเกิดขึ้น “จากวันนั้นพระอาจารย์เชื่อว่าแม่ชีรู้จริงที่สามารถตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับธรรมะได้ทั้งหมด เพราะบางเรื่องโยมพ่อ ซึ่งเป็น ผอ.ธรรมสถาน จุฬาฯ สอนเรื่องนิพพานอยู่ตลอดเวลา แถมยังเป็นนักดาราศาสตร์คนสำคัญของเมืองไทย ยังไม่สามารถคลายความสงสัยในเรื่องนี้ได้ กระทั่งวันหนึ่งแม่ชีเอ่ยขึ้นว่า ต่อไปคุณภาสกรไม่ต้องมาถามอะไรแม่ชีอีก จนตกใจและสงสัยขึ้นมาทันที ‘อ้าว! ทำไมล่ะกำลังสนุก ทำไมมาห้ามถาม’ แม่ชีท่านบอกว่า ถ้าคุณภาสกรรู้มากไปกว่านี้จะกลับไปอยู่ในสถานะเดิมไม่ได้” คำเตือนของแม่ชีที่ว่า “รู้มากจะกลับไปอยู่ในสถานะเดิมไม่ได้” เริ่มเป็นจริงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อความรู้สึกของนายนิรันดร์ในขณะนั้น เหมือนได้เจอโคตรเพชร ขณะนั้นเองพระอาจารย์ ได้หยิบแก้วขึ้นมาเปรียบเทียบให้ฟังว่า “แก้วที่เป็นโคตรเพชรลอยมาอยู่ตรงหน้าคุณ มีเปอร์เซ็นต์ที่จะหยิบได้ 50-50 ถามว่าคุณจะหยิบไหม หลวงพี่ก็เลยถามตัวเองว่า เฮ้ย! เรื่องเสี่ยงที่โง่ก็ทำมาเยอะ ขนาดไปนอนกับสาวที่คอนโด ไม่รู้มีไอ้หนุ่มคนไหน ไม่รู้ผัวเบอร์ไหนของมันมาเคาะประตู หลวงพี่ต้องปีนคอนโดชั้น 3 ชั้น 4 หนี ไม่ตกมาตายก็บุญแล้ว (หัวเราะ) เสี่ยงชีวิตกับเรื่องไร้สาระ เราก็เสี่ยงมาแล้ว แต่โคตรเพชรที่ว่านี้ทำไมไม่เสี่ยงดูล่ะ เพราะถ้าหยิบได้ฉวยได้ก็เป็นประโยชน์กับชีวิตเรา” พระอาจารย์กล่าวจนเห็นภาพชัด /// มุ่งทางธรรม...ยอมสละทรัพย์สินนับล้านให้ลูกน้อง นอกจากนั้นท่านยังขยายความต่อว่า “อย่าลืมโคตรเพชรอันนี้ พระพุทธเจ้ามีปราสาท 3 ฤดู ซึ่งพระองค์ท่านก็สละปราสาทดังกล่าวเพื่อที่จะได้โคตรเพชรอันนี้ ช่วยคนได้ทั้งโลก แล้วถ้าไม่หยิบโอกาสตรงนี้มาไว้บ้างคงเสียโอกาสไม่น้อย “หลวงพี่ถามตัวเอง ในเมื่อมีคอนโดอยู่ 2 แห่ง กับ 1 บริษัท หลวงพี่ก็ยกให้ลูกน้องหมด ตอนนั้นยังไม่มีครอบครัว ถามว่านอนกับสาวไหม นอน มีแฟนพร้อมๆ กันหลายคน เพราะหลวงพี่ไม่ใช่คนดี แต่มันก็มีบทเรียนชีวิตเข้ามาเป็นระยะให้เราได้เรียนรู้ชีวิต ก็ได้เรียนรู้หลายๆ อย่าง พอได้มาบวชแล้ว ประสบการณ์ทั้งหลายมันถูกพลิก เหมือนเป็นครูมาสอนตัวหลวงพี่ แล้วก็เอาประสบการณ์ตรงนี้ไปสอนคนอื่นได้ ทุกเรื่องที่ผ่านมาถือว่าเป็นครูได้หมด “หลวงพี่สามารถยกเหตุยกผลแสดงให้คนอื่น ซึ่งมันเป็นประโยชน์ได้เปรียบกว่าคนที่บวช ตั้งแต่เป็นเณรจนเรียนจบเปรียญ 9 ซึ่งไม่เคยผ่านโลก อย่างมากก็แค่ได้อ่านหนังสือนิยายต่างๆ หรือคิดจินตนาการไป แต่เราผ่านโลกมาหมดแล้ว หลวงพี่รู้ของเหม็น ของหอมก็ดมมาหมด แล้วทำไมไม่พลิกสิ่งเหล่านี้มาเป็นครูได้ ส่วนญาติโยมที่มาฟังหลวงพี่เทศน์ หรือมาสนทนาธรรม ทุกคนจะสนุกไปกับหลวงพี่ เพราะสิ่งที่พูดมันเป็นเรื่องจริง (หัวเราะ)” พระอาจารย์เล่าจบถึงกับ หัวเราะในเรื่องจริงที่ผ่านเข้ามาตลอดชีวิต // คำอธิษฐานขอบวชไม่สึก เมื่อความตั้งใจที่จะบวชมีอยู่เต็มเปี่ยม พระอาจารย์ภาสกรจึงได้อธิษฐานจะขอบวชขณะไป งานศพของหลวงปู่สิงห์ ที่ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ในปี 2536 โดยมีข้อแม้ขอเคลียร์งาน และเคลียร์หนี้สินทั้งหมด พร้อมโอนงานทั้งหมดให้ผู้อื่นรับช่วงต่อไปแบบไม่เดือดร้อน จากนั้นจึงสอนลูกน้องจนสามารถบริหารงานได้ด้วยตัวเอง กระทั่งตัดสินใจแน่นอนจึงเดินทาง ไปเชียงดาว บวชเป็นชีปะขาวโกนศีรษะอยู่วัดเป็นเวลา 6 เดือน และลงมาบวชจำพรรษา ที่วัดฝายหิน ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ “โยมพ่อโยมแม่ไม่ได้ทักท้วงอะไร อย่างที่คุณพ่อเคยเขียนเอาไว้ในปรัชญาชีวิตว่า ลูกมาทางเรา แต่ไม่ใช่ของของเรา เราเป็นผู้เหนี่ยวคันศร แต่หลังจากที่เขาออกจากคันศรไปแล้ว เขาจะไปตามเหตุปัจจัยของเขา ลมจะพัดไปทางไหนก็แล้วแต่ จริงๆ ท่านก็เหนี่ยวก็อยู่เหมือนกัน คืออย่างน้อยเขาก็อยากให้เราเป็นคนดี เพียงแต่ไม่ได้มาบังคับชีวิตในอนาคต ส่วนโยมแม่ก็กลัวว่าวันหนึ่งสึกออกมาแล้วไม่มีอะไร ก็เลยว่า เอาอย่างนี้ไหม จะให้โยมพ่อเขียนพินัยกรรมเอาสมบัติไว้ให้ หลวงพี่ก็บอกกับโยมแม่ว่าไม่ต้องมายุ่งกับหลวงพี่ ทรัพย์สมบัติเอาให้น้องให้หลานไป อย่ามายุ่งกับหลวงพี่เลย เพราะเป็นคนของพระศาสนาแล้ว แต่ถ้าเกิดเหตุจำเป็นต้องออกมา ก็จะออกมาตัวเปล่า แต่ออกมาด้วยบุญจริงๆ” //ไม่ห่วงโยมน้องชาย อรุณ ภาวิไล แม้จะมีน้องชายเพียงคนเดียว คือ อรุณ ภาวิไล ทว่าก่อนที่พระอาจารย์จะตัดสินใจบวช กลับ ไม่ได้คุยหรือปรึกษาอะไรมากนัก เพราะต่างคนต่างก็มีภาระในชีวิตอยู่แล้ว “หลวงพี่เกิดมาในครอบครัวที่เป็นปักเจกบุคคล คือบุคคลแต่ละคนย่อมมีความแตกต่างกัน ทุกคนมีความเป็น Individual สูง ฉะนั้นจะมาบังคับความคิดกันไม่ได้ เพราะถ้าเราไปบังคับ เขามาก เขาก็อาจจะแอนตี้ไปเลย ดังนั้นจะต้องให้โยมน้องเป็นผู้ที่จะเรียนเอง หรือตัดสินใจด้วย ตัวเองถึงจะเกิดประโยชน์” เช่นเดียวกับเหตุการณ์ล่าสุดที่น้องชายถูกจับ เมาแล้วขับ รวมทั้งไปขึ้นปราศรัยบนเวทีกลุ่มคนเสื้อ แดง พระอาจารย์ภาสกร บอกถึงความรู้สึกว่า “หลวงพี่ก็เคยถามว่าเหตุการณ์จริงๆ มันคืออะไร แต่เขาก็มีเหตุผลของเขา แล้วก็ฟังขึ้นด้วย เขาหาเหตุผลมาสู้ด้วยว่าทำถูกต้องแล้ว หลวงพี่ ฟังในมุมนั้นก็ถูกเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้ค้านเขา จึงไม่อยากแทรกแซงการเรียนรู้ เรื่องธรรม ของแต่ละบุคคล ปักเจกบุคคล ต้องเรียนรู้เอง ดังนั้นเขาต้องกำหนดรู้และเรียนรู้ด้วย ตัวของเขาเอง” เพราะสมัยที่พระอาจารย์เรียนก็พยายามค้นหาคำตอบที่อยากรู้ว่าอยู่ตรงไหน แล้วมีตรงไหนที่ยัง ไม่รู้อยู่ตลอดเวลา โดยการเรียนรู้เรื่องธรรมมากอย่างนี้ก็เพื่ออุดรอยโหว่ของพระธรรมในใจ แต่ความรู้ที่ได้สะสมมาตลอดกว่า 14 ปี ค่อนข้างมั่นคงเหมือนว่ากำลังได้จิ๊กซอว์เกือบเต็มแล้ว “สาระสำคัญที่เราอยากได้มันก็ได้แล้ว เพราะหลวงพี่ได้เห็นภาพองค์รวม ได้เห็นภาพต่อเนื่อง ยิ่งเรียนจบวิทยาศาสตร์มา แล้วก็มีพื้นฐานที่เป็นอาร์ต มันเลยมีส่วนผสมกันที่คนอื่นทำไม่ได้ โยมพ่อก็สอนพวกอภิธรรม หลวงพี่ก็ได้เก็บเกี่ยวความรู้จากโยมพ่อ เลยมองภาพบางอย่างที่คนอื่น มองไม่เห็น แต่หลวงพี่มองเห็น แล้วก็จะเสนอวิธีมอง แต่สุดท้ายแล้วคำสอนของหลวงพี่ ก็กลับไปยืนยันในพระไตรปิฎกทั้งหมด ไม่ได้คัดค้านพระไตรปิฎกเลยแม้แต่น้อย “หลวงพี่ขอท้าเลยว่าใครที่ปฏิเสธภพชาติมาเจอกันหน่อย แท้จริงแล้วคุณเองก็ไม่กล้า ปฏิเสธเรื่องภพชาติเหล่านี้ คนที่พูดไปอย่างนั้น พูดเอาเท่ จริงๆ คุณก็รู้ว่ามันมีอยู่ เอาง่ายๆ ถ้าคุณปฏิเสธภพชาติไม่มี สวรรค์-นรกไม่มี คุณกล้าไหมที่จะอธิษฐานไปเลยว่า ฉันไม่เชื่อว่านรก-สวรรค์มีจริง ถ้ามีจริงฉันยอมตกนรกไปตลอดกาล ถามว่ากล้าไหม ยิ่งตอนนี้บ้านเมืองเราเป็นแบบนี้อาตมายังมองไม่เห็นที่พึ่งนะ มีแต่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เท่านั้นที่เป็นที่พึ่ง แล้วที่พึ่งเหล่านี้จะนำไปสู่การพึ่งตนเอง” ชีวิตในโลกธรรมของ พระภาสกร ภูริวฑฺฒโน (ภาวิไล) ไม่มีอะไรที่ต้องเป็นห่วงไปกว่าบ้านเมือง ท่านเลยฝากธรรมะเอาไว้ คือ อภัยทาน ที่จะเป็นตัวแก้การจองเวรได้ทั้งสองฝ่าย หากทำได้บ้านเมืองก็จะมีแต่ความสงบสุข จาก http://sut1919.blogspot.com/2010/06/blog-post_01.html (http://sut1919.blogspot.com/2010/06/blog-post_01.html) https://www.youtube.com/v/1-NuWLpBFBI |