[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => เกร็ดศาสนา => ข้อความที่เริ่มโดย: Kimleng ที่ 27 กรกฎาคม 2559 15:27:18



หัวข้อ: จตุรมาสยะ : เข้าพรรษาของพราหมณ์
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 27 กรกฎาคม 2559 15:27:18

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/77494619124465_3232_1_.jpg)

จตุรมาสยะ : เข้าพรรษาของพราหมณ์

เรารู้กันเป็นอย่างดีว่าช่วง “เข้าพรรษา” เป็นช่วงเวลาที่พระภิกษุจะได้หยุดจำพรรษา คือพำนักยังที่ใดที่หนึ่ง โดยไม่ “จาริก” ไปที่อื่น  คงด้วยเหตุผลจากธรรมชาติเป็นสำคัญ เพราะเข้าพรรษาเป็น “ฤดูฝน” ซึ่งในอดีตการเดินทางเป็นเรื่องไม่สะดวกอย่างยิ่ง  บางท่านก็ว่าเป็นเพราะชาวบ้านติเตียนพระภิกษุที่เหยียบย่ำลงไปในนาข้าวของเขาเสียหายในช่วงฤดูเพาะปลูก  ด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์จึงทรงบัญญัติการเข้าพรรษาขึ้น

ในประเทศอินเดีย นักบวชทุกศาสนาตั้งแต่โบราณ ไม่เคยมีชีวิตเป็นหลักเป็นแหล่ง ต้องจาริกไปเรื่อยๆ เสมอ เพราะถือว่าได้ทอดทิ้งบ้านเรือนชีวิตเดิม โลกทั้งโลกก็คือบ้านไปแล้ว ดังมีคำกล่าวว่า “สฺวเทเศ ภุวตฺรยมฺ – สามโลกก็คือถิ่นฐานของตัว” ปัจจุบันนี้นักบวชฮินดูบางพวกยังคงปฏิบัติอยู่

ในทางประวัติศาสตร์ เดิมนักบวชพุทธศาสนาใช้ชีวิตเร่รอนไม่มีหลักแหล่ง “เพื่อประโยชน์และความสุข (ของสรรพสัตว์)” (หิตายะ สุขายะ) แต่ภายหลังเป็นนักบวชกลุ่มแรกที่มีการตั้งชีวิตใน “อาราม” ขึ้น และมีกฎมีเกณฑ์กติกาองค์กรอย่างเป็นทางการ

นับแต่นั้นการจาริกก็ไม่ใช่รูปแบบหลักของชีวิตนักบวชพุทธอีกต่อไป

ภายหลังศาสนาอื่นๆ เช่น ฮินดูและไชนะ ก็เริ่มตั้งชีวิตนักบวชในอารามขึ้นมาเช่นเดียวกัน แต่พวกที่เน้นการจาริกยังมีมากอยู่

ในอินเดีย โดยเฉพาะในโลกโบราณ ศาสนาไม่ได้มีพรมแดนชัดเจนอย่างที่เรามีในปัจจุบัน ความคิดความเชื่อต่างๆ รวมทั้งประเพณีพิธีกรรมมักจะหยิบยืมกันไปมา บางอันพอจะทราบว่ามาจากไหน บางอันไม่ทราบว่าศาสนาใดเป็นต้นคิด แต่ก็มีร่วมกันเป็นสมบัติทางความคิดของดินแดนอินเดีย

ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูก็มีการ “เข้าพรรษา” ด้วยเช่นกัน เรียกว่า “จตุรมาสยะ” แปลว่า “สี่เดือน” หรือ จตุรมาสยะวรัต (วรัต เป็นคำเดียวกับ พรต) เพราะการเข้าพรรษาของพราหมณ์นั้นกินเวลาทั้งสิ้นสี่เดือนจนหมดฤดูฝน

จตุรมาสยะของพวกไวษณวนิกายมักจะเริ่มในวัน ๑๑ ค่ำ (เรียกว่า เอกาทศี) ในเดือน “อาษาฒะ” (บาลีว่า อาษาฬห) ตามจันทรคติ จนไปถึง ๑๑ ค่ำ ในเดือน “การติกะ” ตกในราวเดือนกรกฎาคมหรือสิงหาคม ไปจนถึงเดือนตุลาคม หรือพฤศจิกายน

บางนิกายจะเริ่มในวันเพ็ญเดือนอาษฒะ ซึ่งจะตรงกับวันอาสาฬหบูชาของเราพอดี

เข้าพรรษาของฮินดูกับของพุทธ จึงเกือบจะตรงกันเป๊ะๆ

วันแรกของเอกาทศีในจตุรมาสยะ เรียกว่า “เทวศยนีเอกาทศี” แปลว่า วัน ๑๑ ค่ำ “(เทพ) หลับ” และวันสุดท้ายเรียกว่า “อุฐนีเอกาทศี”, หรือวัน ๑๑ ค่ำ “ตื่น” เพราะเชื่อกันว่าในช่วงจตุรมาสยะ พระวิษณุจะบรรทมและตื่นบรรทมเมื่อสิ้นสุดจตุรมาสยะแล้ว

พระเป็นเจ้าทรงบรรทมหลับไปก่อน เช่นเดียวกับเมล็ดพืชพันธุ์ที่ยังหลับใหลอยู่ใต้อกพระแม่ธรณี รอวันจะตื่นจากบรรทมเช่นพืชพันธุ์ที่งอกเงยขึ้นจากความมืดหลังสี่เดือนในฤดูฝนผ่านไป

เพราะพืชก็คือจิตวิญญาณของโลก และคือเทพนั่นแหละครับ ในวันเทวศยนีเอกาทศี เขาจึงให้ถือพรตห้ามกินธัญพืชต่างๆ

คนฮินดูมักไม่ค่อยจัดงานมงคลในช่วงจตุรมาสยะ เช่น แต่งงานหรือสวมด้ายศักดิ์สิทธิ์ เพราะไม่อยากรบกวนทวยเทพที่ยังหลับใหล

ในวัฒนธรรมผีพราหมณ์พุทธบ้านเราก็เช่นกันครับ ครูดนตรีอาวุโสท่านเคยบอกผมว่า แต่ก่อนไหว้ครูนาฏศิลป์ดนตรีไทยอะไร เขาไม่ทำกันในช่วงเข้าพรรษา ท่านบอกโบราณว่า เทวดาถือศีลกันไม่รับเครื่องเซ่นสรวง

ที่จริงก็คือ “ผี” ที่ยอมโอนอ่อนต่อพุทธนั่นแหละครับ คือ พิธีเซ่นไหว้ต้องมีเนื้อและเหล้า ต้องเชือดต้องฆ่า พอรับพุทธมาทั้งเทวดาและผีพากันยอมพุทธ (บ้าง) โดยไม่ฆ่าไม่แกงในช่วงเวลาพุทธศาสนาถือว่าเป็นช่วงละเว้น

เข้าพรรษาฮินดูจะเก่าแก่แค่ไหนยังไม่ทราบ แต่น่าจะถึงสมัยปุราณะ เพราะมีบันทึกในคัมภีร์สกันทะปุราณะ และเข้าพรรษานี้ถือกันทั้งนักบวชและฆราวาส

ในฝ่ายนักบวชฮินดู การเข้าจตุรมาสยะจะต้องถือไม่จาริกไปไหนเป็นเวลาสี่เดือน ติรุวัลลุวาร์ กวีทมิฬที่มีชีวิตอยู่ในราว คริสต์ศตวรรษที่หนึ่งบรรยายไว้ว่า เพื่อที่บรรดาสันยาสีจะได้หยุดจาริกเพื่อประพฤติอหิงสาธรรม โดยไม่เบียดเบียนมดแมลง สัตว์เล็กน้อยทั้งหลาย

การอธิษฐานจตุรมาสยะเรียกว่า “จตุรมาสยะ สังกัลปะ” โดยมากศิษย์มักกล่าวคำอาราธนาให้ สันยาสีหรือนักบวชคุรุของตนจำพรรษาในที่นั้นๆ ตลอดสี่เดือน เพื่อจะได้มีโอกาสศึกษาข้อธรรมต่างๆ และได้อยู่ใกล้ชิดครู และสันยาสีจะต้องปลงผมตัดเล็บทุกวันเพ็ญ

สันยาสีมีธรรมเนียมนับอายุพรรษาโดยผ่านการเข้าพรรษาจตุรมาสยะเช่นเดียวกันกับพระภิกษุ แม้จะมีอายุมากกว่า แต่ถ้าอีกฝ่ายมีพรรษา “จตุรมาสยะ” มากกว่า ฝ่ายที่อายุมากกว่าก็ต้องแสดงความเคารพ

ในฝ่ายฆราวาสที่ถือพรต จตุรมาสยะนั้น จะต้องงดอาหารบางชนิดตลอดจตุรมาสยะ เช่น น้ำผึ้ง มะเขือยาว ฯลฯ ข้อนี้มีกล่าวไว้ในปุราณะ และในแต่ละเดือนจะต้องงดอาหารดังนี้
ในเดือนแรก คือผักใบเขียว เช่น ผักโขม ในเดือนที่สอง คือโยเกิร์ต ในเดือนที่สาม คือนม และในเดือนที่สี่ คือถั่วบางชนิด เช่น ดาล หรือคนที่ไม่ได้ทานมังสวิรัติจะงดเนื้อและปลาในช่วงนี้

นอกนั้นจะต้องบำเพ็ญภาวนา สวดมนต์ไหว้พระฟังธรรมตลอดจตุรมาสยะ เชื่อว่าผลบุญในจตุรมาสยะจะไพศาล

ส่วนในศาสนาไชนะ หรือศาสนาเชน การเข้าพรรษาเรียกว่า “วรษโยคะ” นักบวชจะหยุดการจาริกไปยังที่ต่างๆ และเข้าจำพรรษา ตลอดสี่เดือนในอารามหรือที่ที่กำหนดไว้ โดยนักบวชผู้ใหญ่จะใช้เวลาช่วงนั้นให้คำสอนแก่ศิษย์

ที่แสดงมาทั้งหมด มิได้จะมีข้อสรุปว่าพุทธศาสนารับประเพณีการเข้าพรรษามาจากฮินดูนะครับ เพราะหลักฐานยังไม่มากพอ (ในเรื่องนี้)

แต่ที่สำคัญ ผมอยากแสดงให้เห็นว่า ประเพณีพิธีกรรมต่างๆ ที่เราเคยเชื่อกันว่ามันมีแต่เรา มันเป็นของเราเท่านั้น คนอื่นเขาก็มี มีกันทุกศาสนาในอินเดีย เป็นประเพณีปฏิบัติของนักบวชโดยทั่วๆ ไป ไม่ใช่ของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง

สายปฏิบัติที่เรียกว่า “สมณะ” หรือสายพรตนิยมในอินเดียนี่ไม่ได้เป็นของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง แต่มีผลต่อทุกศาสนา  เราจะได้คลายความยึดมั่นถือมั่นว่า เราดีที่สุด ถูกต้องที่สุด ประเสริฐที่สุด คนอื่นผิดหมด

นั่นแหละครับ ท่าทีที่ควรมีควรเป็น ของคนนับถือศาสนา 

ไม่งั้นก็รอแต่จะไปกระทืบคนอื่นในนามแห่งศาสนา.


ที่มา : จตุรมาสยะ : เข้าพรรษาของพราหมณ์ คอลัมน์ "ผี พราหมณ์ พุทธ" โดย คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง หน้า ๘๑ หนังสือมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ ๑๘๗๕ ประจำวันที่ ๒๒-๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๙