หัวข้อ: “หลวงพ่อจรัญ” พระดีในใจคน เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 08 กันยายน 2559 03:46:42 (http://dhammapiwat.com/wp-content/uploads/2016/02/559000001092203-200x300.jpeg)
“หลวงพ่อจรัญ” พระดีในใจคน การละสังขารของ “พระธรรมสิงหบุราจารย์(จรัญ ฐิตธมฺโม)” หรือที่พุทธศาสนิกชนและลูกศิษย์ลูกหาเรียกกันสั้นว่า “หลวงพ่อจรัญ” เจ้าอาวาสวัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี เมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ.2559 สิริรวมอายุ 87 ปี นั้น ถือเป็นการสูญเสีย “พระดีที่น่ากราบ” ในยุคนี้สมัยนี้ไปอีกรูปหนึ่ง หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโมเป็นพระที่มีชื่อเสียง มีลูกศิษย์ลูกหาที่ศรัทธาในแนวทางการสอนอยู่ทั่วประเทศ โดยมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาจิตใจคนด้วยการทำวิปัสสนากรรมฐานด้วยหลักสติปัฏฐาน 4 แบบพองหนอ-ยุบหนอ ตลอดรวมไปถึงการสั่งสอนเรื่องกฎแห่งกรรม โดยยกเหตุการณ์ที่ประสบขึ้นมาเป็นอุทาหรณ์อยู่เสมอ ที่สำคัญคือ หลวงพ่อจรัญนั้นยังเป็นผู้ที่ส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนหมั่นสวดมนต์ด้วย “พุทธชัยมงคลคาถา” หรือ “คาถาพาหุงมหากา” เพื่อเป็นเครื่องเจริญสติ ซึ่งส่งผลทำให้มีการตีพิมพ์คาถาพาหุงมหากากันอย่างแพร่หลายในช่วงหลายต่อหลายปีที่ผ่านมา จนอาจกล่าวได้ว่า ไม่มีใครในประเทศไทยไม่รู้จักพระคาถาบทนี้เลยก็ว่าได้ ขณะที่วัดอัมพวันซึ่งได้รับการพัฒนาจากหลวงพ่อให้มีความสัปปายะเหมาะแก่การเจริญภาวนา ก็เนืองแน่นไปด้วยพุทธศาสนิกชนที่พร้อมใจกันเดินทางไปศึกษาธรรมะจากหลวงพ่อและปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่ออย่างไม่ขาดสาย ยิ่งในช่วงวันเสาร์อาทิตย์ด้วยแล้ว จำนวนยิ่งมากเป็นพิเศษ โดยก่อนที่หลวงพ่อจะเข้ารับรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช ทุกๆ วัน ช่วงเวลาประมาณสิบโมงเช้าและบ่ายสองโมง หลวงพ่อจะออกมาให้พรและพบปะกับญาติโยมเป็นกิจวัตร วันนี้ “พระดีในใจคน” ได้ละสังขารไปแล้ว แต่วัตรปฏิบัติและคำสั่งสอน ตลอดรวมถึงข้อธรรมะต่างๆ ยังคงตราตรึงให้หัวใจของพุทธศาสนิกชนอย่างไม่มีวันเสื่อมคล้าย ชีวิตเด็กชายจอมเกเร หลวงพ่อจรัญเกิดในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2571 เวลา 7.10น. ปีมะโรง ณ ตำบลม่วงหมู่ อ.เมือง จ.สิงห์บุรี เป็นบุตรคนที่ 5 ในจำนวน 10 คน ของนายแพและนางเจิม จรรยารักษ์ (http://dhammapiwat.com/wp-content/uploads/2016/02/559000001092210-240x300.jpeg) หนังสือชีวประวัติหลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม พระราชสุทธิญาณมงคล (ปัจจุบันดำรงสมณศักดิ์ที่ พระธรรมสิงหบุราจารย์) วัดอัมพวัน อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี ได้ร้อยเรียงเรื่องราวเมื่อเยาว์วัยของ เด็กชายจอมเกเรที่กลับตาลปัตรมาเป็น พระอริยะผู้ปฏิบัติดี ได้รับความเลื่อมศรัทศรัทธาจากปุถุชนทั่วฟ้าเมืองไทย เอาไว้อย่างน่าสนใจ ชีวิตช่วงเยาว์วัย ด.ช.จรัญอาศัยอยู่กับยาย วัย 80 ปี ณ เรือนทรงไทยหลังใหญ่ ติดลำน้ำลพบุรี ได้รับการเลี้ยงดูอย่างมีวินัย รู้จักหน้าที่ของตน เช้ามืดของทุกวันยายจะลุกขึ้นสวดมนต์ภาวนา เป็นเวลา 1 ชั่วโมง ส่วน ด.ช.จรัญ จะลุกขึ้นก่อไฟหุงข้าวให้ยายใส่บาตร ช่วยงานยายให้เสร็จสรรพแล้วจึงไป โรงเรียนวัดพรหมสาคร ในวัยที่กำลังเรียนหนังสือ เด็กชายจรัญไม่เคยสนใจเรียนหนังสือเลย มักชวนเพื่อนๆ ไปยิงนกตกปลา ถูกย้ายโรงเรียนหลายแห่ง เพราะทางโรงเรียนทนความประพฤติของเด็กชายจรัญไม่ไหว ทั้งๆ ที่ยายพร่ำสอนแต่สิ่งดีๆ ให้ เด็กชายจรัญ แต่เขากลับไม่เคยรับฟังอย่างใส่ใจเลย “ยายให้เอาข้าวไปถวายพระแทน เพราะยายไม่ค่อยสบาย ระหว่างทางเจอเพื่อนนักเรียนที่สร้างวีรกรรมหนีโรงเรียนด้วยกันมา เพื่อนบอกว่า.. ยังไม่ได้กินข้าวเลย เด็กชายจรัญ ก็นึกไปว่าจะเอาไปให้พระทำไม พระก็มีของกินตั้งเยอะแยะแล้ว “เลยตั้งวงกินกันเองกับเพื่อน พอกลับถึงบ้าน ยายถามก็บอกว่า ถวายแล้ว วันต่อมาก็ทำอีก บังเอิญ อยู่มาวันหนึ่ง สมภารได้แวะมาเยี่ยมยายที่บ้าน ความเลยแตก ถูกยายดุด่าและตีด้วยไม้เรียว พร้อมทั้งพูดสั่งสอน.. เอ็งทำแบบนี้ มันเป็นบาปต้องเป็นเปรตปากเท่ารูเข็มรู้ไม๊” ด.ช.จรัญ มีวีรกรรมแสบติดตัวมากมาย (http://dhammapiwat.com/wp-content/uploads/2016/02/559000001092206-300x195.jpeg) “ทุกๆ ปี ปีละ 2 ครั้ง ยายจะจัดให้มีการเทศน์มหาชาติขึ้นที่บ้าน ลูกๆ หลานๆ ก็มาพร้อมหน้ากัน ยายจะนิมนต์พระมา 3 รูป ขึ้นเทศน์ 3 ธรรมาสน์ เทศน์โต้ตอบกันเรียกว่า เทศปุจฉาวิสัชนา เด็กๆ จะพากันวิ่งซุกซน ยายจะจับผูกขาล่ามไว้กับเสาเรือนเป็นการบังคับให้ฟังเทศน์ ด.ช.จรัญ เป็นหนึ่งในจำนวนเด็กที่ถูกผูกขาล่ามเชือกไว้ด้วย หรืออย่าง เมื่อตอน ม.2 เขาได้รับเงินค่าจ้าง 1 บาท จากพวกขี้เหล้า เพื่อนำเต่า 7 ตัวไปต้ม แน่นอน เขารับคำแล้วก่อไฟต้มน้ำจนเดือด ก่อนที่จะนำเต่าใส่ลงหม้อขณะน้ำเดือดพล่าน เต่าทั้งหมดพากันดิ้นทุรนทุรายจนหม้อแตก พวกมันตะเกียกตะกายหนีเอาชีวิตรอดเข้าไปในกอไผ่ใกล้ๆ ด.ช.จรัญ ตามไปเพื่อจะจับมันกลับต้มอีกครั้ง แต่พบภาพที่น่าเวทนายิ่งนัก เต่าทั้ง 7 ตัว น้ำตาไหลพราก ใช้ขาสองขาหน้าของตนปาดน้ำตาเป็นพัลวัน จึงได้ปล่อยไป โดยที่ไม่รู้ว่ากรรม ที่ได้สร้างขึ้นมานั้น จะตามมาถึงในวันข้างหน้า อย่างไรก็ตาม จากผลกรรมที่หลวงพ่อได้การกระทำ เมื่อเข้าสู่สมณเพศท่านตั้งปณิธานแน่วแน่ว่า จะสร้างขัดเกลาผู้คนโดยใช้วิธีการให้การศึกษาอบรมและสอนวิปัสสนากรรมฐาน และนำผลกรรมเก่ามาสอนในหนังสือกฎแห่งกรรมด้วย หลังจบชั้น ม.4 หลวงพ่อจรัญได้ศึกษาวิชาต่างๆ หลากหลายแขนง ทั้งวิชาช่างกลจากอาจารย์เลื่อน พงษ์โสภณ และวิชาดนตรีจากหลวงประดิษฐ์ไพเราะ นอกจากนี้ยังเคยเข้าเรียนโรงเรียนนายร้อยตำรวจ แต่เรียนได้สามเดือนก็ลาออกเพราะเกิดเหตุวิวาทกับรุ่นพี่ หลังจากนั้น หลวงพ่อจรัญจึงเดินทางกลับมายังบ้านเกิดที่สิงห์บุรีและนำวิชาดนตรีที่ได้ร่ำเรียนมาประกอบอาชีพอยู่ที่อำเภอพรหมบุรี โดยออกงานดนตรีกับคณะจรรยารักษ์ซึ่งมีอยู่เดิมจนมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักไปทั่ว นอกจากฝีมือทางดนตรีแล้ว หลวงพ่อจรัญยังมีฝีมือทางการเขียนหนังสือ โดยสามารถประพันธ์เรื่องนางอรพิมกับท้าวปาจิตต์จนมีคณะลิเกขอลอกบทเพื่อนำไปแสดงเป็นลิเกหลายคณะ สู่พระสุปฏิปฏิปัณโณ เพชรเม็ดงามประดับวงการสงฆ์ ในวัยหนุ่ม อาจกล่าวได้ว่า หลวงจรัญไม่ได้มีความสนใจในพระพุทธศาสนาเลยแม้แต่น้อย ออกจะไม่ชอบเสียด้วยซ้ำไป เพราะครั้งหนึ่งในขณะที่เป็นนักดนตรีเคยไปเล่นดนตรีที่วัดโตนดแต่พระวัดนี้กลับมาศิษย์วัดกว่า 10 คนมารุมทำร้ายเนื่องจากท่านเคยด่าพระว่าอาศัยผ้าเหลืองหากินและไม่ปฏิบัติตามพระวินัย ทำให้เกือบถูกแทงตายและถูกรุมทำร้ายจนสะบักสะบอม แต่โชคดีที่มีคนมาช่วยทัน ตั้งแต่นั้นหลวงพ่อจึงไม่ชอบพระ (http://dhammapiwat.com/wp-content/uploads/2016/02/559000001092211-247x300.jpeg) กระทั่งเมื่อหลวงพ่ออายุได้ 20 ปี โยมแม่ได้ล้มป่วยลง หลวงพ่อจึงคิดที่จะบวชทนแทนพระคุณสักหนึ่งพรรษา โดยอุปสมบทเมื่อปี 2491 ที่วัดพรหมบุรี โดยมีพระพรหมนคราจารย์ เจ้าอาวาสวัดแจ้งพรหมนครเป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูถาวรวิริยคุณ วัดพุทธารามเป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้รับฉายาว่า “ฐิตธมฺโม” เมื่อครบ 1 พรรษา ในวันที่จะสึกหลวงพ่อรู้สึกง่วงเหงาหาวนอนขึ้นมาแล้วก็ได้ยินเสียงประหลาดว่า “คุณบวชแบบนี้ดีแล้ว จะสึกก็ไม่เป็นไร แต่นะโมยังไม่ได้ ได้นะโมแล้วค่อยสึก” ขณะที่ท่านกำลังนึกสงสัยว่าเป็นเสียงใคร ก็ได้ยินเสียงดังตามมาอีกว่า “คุณสึกไม่เป็นไร ไม่ยากอะไรนักหนา แต่ขอถามว่าพุทธคุณได้หรือยัง ธรรมคุณได้หรือยัง สังฆคุณได้หรือยัง” ซึ่งเป็นเพราะเสียงประหลาดนี้ที่ทำให้หลวงพ่อจรัญครองเพศบรรพชิตอยู่จนไม่สามารถดำรงธาตุขันธ์ต่อไปได้ หลังอุปสมบทหลวงพ่อจรัญได้ธุดงค์ไปตามป่าเขา ลำเนาไพร และที่ต่างๆ เพื่อแสวงหาความรู้ และประสบการณ์ทั้งทาง สมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน และได้ฝากตัวเป็นศิษย์ศึกษาวิชากับพระอาจารย์หลายท่าน อาทิ ศึกษาวิชากรรมฐานกับพระครูนิวาสธรรมขันธ์ (หลวงพ่อเดิม) วัดหนองโพ ต.หนองโพ อ.พยุหคีรี(ในขณะนั้น) ปัจจุบันอยู่ใน อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ (http://dhammapiwat.com/wp-content/uploads/2016/02/559000001092205-300x212.jpeg) ศึกษาและปฏิบัติสมถกรรมฐาน วิชชาธรรมกายกับพระมงคลเทพมุนี (สด จันทรสโร) หลวงพ่อวัดปากน้ำ อำเภอภาษีเจริญ ศึกษาการทำเครื่องรางของขลัง น้ำมันมนต์ กับ หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และ พระครูวินิจสุตคุณ (หลวงพ่อสนั่น) วัดบางกระเบา อำเภอบ้านสร้าง จังหวัดปราจีนบุรี ศึกษาและปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน กับ เจ้าคุณอาจารย์พระอุดมวิชาญาณเถระ หรือเจ้าคุณโชดก วัดมหาธาตุ ฯ ซึ่งต่อมาเป็นพระธรรมธีรราชมหามุนีเจ้าคณะภาค 9 (พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ) ศึกษาพระอภิธรรมกับ อาจารย์เตชิน ( ชาวพม่า ) วัดระฆังโฆสิตาราม จังหวัดธนบุรี ศึกษาแลกเปลี่ยนความรู้วิทยาศาสตร์ทางจิตกับอาจารย์พันเอกชมสุคันธรัต ศึกษาพยากรณ์จาก สมเด็จพระสังฆราช ( อยู่ ญาโณทโยมหาเถระ) วัดสระเกศ รวมทั้งได้ออกเดินธุดงค์ไปจำศีลภาวนยังสถานที่อันเงียบสงบ ตามป่าเขาลำเนาไพรทางภาคเหนือ จนพบพระอาจารย์ผู้ทรงคุณที่ดอยภูคา จังหวัดน่าน และเดินธุดงค์ข้ามไปยังประเทศเมียนมาร์ ฯลฯ เมื่อศึกษาสั่งสมความรู้จนสมควรแก่เวลา ทางคณะสงฆ์ฯ ได้เชิญให้ หลวงพ่อจรัญ ไปเป็นเจ้าอาวาส วัดอัมพวัน อ. พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี โดยขณะนั้นยังเป็นวัดโบราณทรุดโทรม มีพระบวชจำพรรษาเพียง 2 รูป ซึ่ง หลวงพ่อจรัญ ได้เข้าไปพัฒนา ตั้งเมื่อปี 2500 โดยบริหารพัฒนาวัดจนเจริญก้าวหน้า กระทั่ง ได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘นักพัฒนาตัวอย่าง’ จากกรมการศาสนา และกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อ ปี 2512 โดยทุกวันนี้วัดอัมพวันมีความสัปปายะเหมาะแก่การปฏิบัติภาวนาเป็นอย่างยิ่ง ทั้งบรรยากาศที่ร่มรื่น ศาลาปฏิบัติธรรมขนาดใหญ่ ลานจอดรถกว้างขวางสะดวกสบาย และห้องน้ำห้องท่าที่สะอาดสะอ้านถึงกว่า 500 ห้อง รวมถึงโรงทานที่มีอาหารและน้ำดื่มไว้คอยให้บริการผู้มาทำบุญและปฏิบัติธรรมไม่เคยขาด สำหรับการปกครองและสมณศักดิ์ ปี 2542 หลวงพ่อจรัญ ได้รับการแต่งตั้งเป็น เจ้าคณะจังหวัดสิงห์บุรี ต่อมาได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะ ชั้นธรรม ที่ “พระธรรมสิงหบุราจารย์” เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2547 (http://dhammapiwat.com/wp-content/uploads/2016/02/559000001092204-300x169.jpeg) ส่วนแนวทางการสืบทอดพระพุทธศาสนานั้น หลวงพ่อจรัญท่านเน้นหนักที่การสั่งสอนเรื่องกฎแห่งกรรม ด้วยการยกเหตุการณ์ที่ท่านประสบและนับเป็นกฎแห่งกรรมขึ้นมาเป็นอุทาหรณ์อยู่เสมอ และเน้นการพัฒนาจิตใจคนด้วยการทำวิปัสสนากรรมฐานด้วยหลักสติปัฏฐาน 4 แบบพองหนอ-ยุบหนอ นอกจากนี้ท่านยังเป็นผู้ที่ส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนหมั่นสวดมนต์ด้วยพุทธชัยมงคลคาถา (พาหุงมหากา) เพื่อเป็นเครื่องเจริญสติอย่างแพร่หลาย โดยพระคาถานี้ ครั้งหนึ่งหลวงพ่อจรัญฝันว่า ได้พบกับสมเด็จพระพนรัตน์ แห่งวัดป่าแก้วกรุงศรีอยุธยา โดยในฝันสมเด็จพระพนรัตน์ได้แนะให้หลวงพ่อจรัญเดินทางไปยังวัดใหญ่ชัยมงคล เมื่อตื่นขึ้นมาหลวงพ่อจรัญก็ได้เดินทางไปยังวัดนี้และได้พบบทสวดมนตร์ที่สมเด็จพระพนรัตน์ถวายให้สมเด็จพระนเรศวรมหาราชสวดเป็นประจำ นั่นคือ “พาหุงมหาการุณิโก” ซึ่งเป็นบทสวดสรรเสริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณและพระสังฆคุณ (http://dhammapiwat.com/wp-content/uploads/2016/02/559000001092209-300x257.jpeg) ตั้งแต่นั้นมา หลวงพ่อจรัญก็สอนการสวดพาหุงมหากาฯให้แก่ญาติโยมเรื่อยมาจนเป็นที่รู้จักของคนไทยทั้งประเทศ ขณะเดียวกัน หลวงพ่อจรัญได้สร้างศูนย์ปฏิบัติธรรมสวนเวฬุวัน จ.ขอนแก่น ซึ่งเป็นสาขาของ วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี สำหรับเพื่อช่วยเหลือประชาชนทั่วไปได้มีโอกาสเข้ารับการอบรมปฏิบัติธรรม สร้างกุศลผลบุญให้กับตัวเอง โดยสอนกรรมฐานคติธรรมจนเป็นประโยชน์แก่คนมากมายจบจนปัจจุบัน สำหรับ ศูนย์ปฏิบัติธรรมสวนเวฬุวัน จ.ขอนแก่น ตั้งอยู่บนพื้นที่ 293 ไร่ เปิดอบรมแก่นักเรียนนิสิต นักศึกษา ข้าราชการ ประชาชนทั่วไป ด้วยหลักวิปัสสนากรรมฐาน ตามแนวทางสติปัฏฐาน 4 โดยที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อจะคอยมาตรวจดูท่านที่มาปฏิบัติธรรมตลอดเวลา ตลอดเวลาที่ผ่านมาหลวงพ่อจรัญได้เรียบเรียงหนังสือธรรมะที่มีคุณค่ายิ่งไว้เป็นจำนวนมาก แต่ละปีท่านแจกหนังสือเป็นธรรมะวิทยาทานมากกว่า 1.5 แสนเล่ม ด้วยคุณงามความดีนี้ทำให้ท่านได้รับการถวายเกียรติคุณมากมาย แต่เหนืออื่นใด หลวงพ่อจรัญทำให้คนไทยหลายแสนหลายล้านคนเข้าถึงธรรมะที่แท้ของพระพุทธเจ้า และทำให้คนไทยเข้าใจ “กฎแห่งกรรม” ดังที่ท่านกล่าวว่า “ผู้เป็นชาวพุทธทุกคนควรเชื่อและพยายามศึกษาทำความเข้าใจในกฎแห่งกรรม อาตมาอยากจะกล่าวว่า ชาวพุทธที่ไม่เชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรมนั้น หาใช่ชาวพุทธไม่…เพราะที่สุดแล้วต่อให้เหนือฟ้ายังมีฟ้า แต่ไม่มีอะไรเหนือกฎแห่งกรรม” บทความเรื่อง กาลเวลาได้พิสูจน์หลวงพ่อจรัญของพวกท่านแล้ว… โดย ชินวัฒก์ รัตนเสถียร กล่าวถึงพระเดชพระคุณของหลวงพ่อจรัญ ความว่า “ตลอดชีวิตของพระเดชพระคุณ หลวงพ่อท่านใฝ่หาครูอาจารย์เพิ่มพูนความรู้ตลอด ดังนั้นแนวทางปฏิบัติต่าง ๆ ที่เราทั้งหลายได้ยินได้ฟังมานั้น หลวงพ่อปฏิบัติมาแล้วทั้งสิ้น และเป็นผลจริงตามแนวทางนั้น ๆ การปฏิบัติของหลวงพ่อจะไม่ปฏิบัติในลักษณะปะปนกันแบบจับปลาหลายมือ แต่หลวงพ่อจะปฏิบัติจริงจังจน ได้ผลในแนวทางนั้น ๆ แล้ว จึงไปศึกษาหรือปฏิบัติแนวทางอื่นต่อไป ซึ่งในที่สุดแล้ว หลวงพ่อก็มาหยุดที่ สติปัฏฐาน 4 อันเป็นทางสายเอกของพระพุทธเจ้า” (http://dhammapiwat.com/wp-content/uploads/2016/02/559000001092208-300x225.jpeg) “ในด้านการเรียน พระเดชพระคุณหลวงพ่อค้นคว้าตลอดเวลา หลวงพ่อเป็นทั้งนักเขียน และ นักพูดอย่างแท้จริง หลวงพ่อไม่เคยว่างจากการแสดงธรรมเลยแม้แต่วันเดียว ในแต่ละวันมีประชาชนไปกราบนมัสการไม่เคยขาด คำสอนของหลวงพ่อถูกบันทึกลงในแถบบันทึกเสียงไว้ให้ผู้สนใจได้ทบทวน หลายสำนักพิมพ์นำไปถอดความพิมพ์จำหน่ายร่ำรวยไปตามกัน บางท่านก็ขอบันทึกทั้งภาพ และ เสียง โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย นำไปออกเผยแพร่ทั้งทางวิทยุ และ โทรทัศน์ ทุกสื่อที่นักธุรกิจจัดทำแล้วนำไปจำหน่าย ไม่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์ บางรายหลวงพ่อก็จ้างพิมพ์ในราคาตลาด เพื่อนำมาแจกในโอกาสต่างๆ เพราะชีวิตหลวงพ่อมีแต่ให้ กับ ช่วย ไม่เคยเบียดเบียนใคร” หลวงพ่อจรัญ สืบแนวทางปฏิบัติสานต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสาะแสวงหาความรู้เพิ่มพูนประสบการณ์ นำมาสั่งสอนสาธุชนให้รู้ตระหนักเรื่อง กฎแห่งกรรม รวมทั้งการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ การบำเพ็ญภาวนา ตั้งมั่นในศีล ฝึกสมาธิ เจริญปัญญา จึงได้รับการยกย่องเป็น พระสุปฏิปฏิปัณโณ เป็นที่เคารพศรัทธาของสาธุชนทั่วประเทศ ข้อมูล : หนังสือชีวประวัติหลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม พระราชสุทธิญาณมงคล วัดอัมพวัน อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี, www.dhammajak.net (http://www.dhammajak.net), www.jarun.org (http://www.jarun.org) ที่มา : ผู้จัดการสุดสัปดาห์ (http://dhammapiwat.com/wp-content/uploads/2016/02/559000001092212-2.jpeg) (http://dhammapiwat.com/wp-content/uploads/2016/02/559000001092202.jpeg) จาก http://dhammapiwat.com (http://dhammapiwat.com) |