[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => สมถภาวนา - อภิญญาจิต => ข้อความที่เริ่มโดย: 【ツ】ต้นไม้ความสุข ♪ ที่ 14 พฤษภาคม 2554 19:53:36



หัวข้อ: อุบายวิธีแก้จิตไม่ให้ท้อถอยในการบำเพ็ญ
เริ่มหัวข้อโดย: 【ツ】ต้นไม้ความสุข ♪ ที่ 14 พฤษภาคม 2554 19:53:36



อุบายวิธีแก้จิตไม่ให้ท้อถอยในการบำเพ็ญ



(http://www.dhammajak.net/board/files/12_103.jpg)


วันนี้ จะได้เล่าประวัติของพระพุทธเจ้าโดยย่อ เป็นเครื่องต่อสู้อุปสรรคที่มันจะเกิดขึ้นกับพวกเรา
ทีนี้จะได้เล่าถึงอุปสรรคการออกทรงผนวชของพระพุทธเจ้าให้ฟัง เมื่อพระองค์ประสูติจากพระครรภ์
ของพระนางสิริมหามายา พระเจ้าสุทโธทนะมหาราช ทรงเห็นพระราชกุมารแปลกว่ามนุษย์ธรรมดา
พระองค์มีความสงสัยในพระทัย ต่อมาพระองค์ได้ทรงเชิญพราหมณ์ ๘ คน มาพิจารณาลักษณะ
ของมหาบุรุษพราหมณ์ทั้ง ๗ ได้พยากรณ์เป็น ๒ นัย คือ นัยหนึ่งเขาบอกว่าถ้าพระองค์
เป็นฆราวาสจะได้พระเจ้าจักรพรรดิ์ เมื่อพระองค์ทรงผนวชจะได้เป็นพระพุทธเจ้า
มีอัญญาโกณทัญญะพราหมณ์ ผู้เป็นอันดับ ๘ ได้พยากรณ์เป็นคติอันเดียวว่า เมื่อพระราชกุมาร
ทรงเจริญวัยขึ้น จะได้ทรงผนวชเป็นพระพุทธเจ้า

เมื่อพระเจ้าสุทโธทนะมหาราช ผู้เป็นบิดาได้ทรงฟังคำพยากรณ์อย่างนั้นแล้ว พระองค์ทรงพิจารณา
ถึงประโยชน์ เมื่อพระราชกุมารได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ประโยชน์ที่พระองค์ทรงได้มีอะไรบ้าง
เมื่อพระองค์ออกทรงผนวช ประโยชน์ที่ได้มีอะไรบ้าง แต่พระองค์เข้าพระทัยไม่ถึง
ในการที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้า พระองค์เข้าพระทัยในการเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ เพราะเหตุนั้น
พระองค์จึงทรงมีความปราถนาอยากให้พระราชกุมารนั้นเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ พระองค์จึงได้ทรง
หาช่องทางป้องกันการที่จะทรงผนวชของมหาบุรุษนั้น จึงได้ตรัสถามอุบายของพราหมณ์ว่า
เมื่อพระราชกุมารทรงเจริญวัยขึ้นจะออกผนวชนี้ด้วยเหตุใด และจะป้องกันได้อย่างไร
พราหมณ์จึงกราบทูลว่า พระองค์จะได้ทอดพระเนตรเห็นเทวทูต เมื่อพระองค์ได้ทรงเห็นเทวทูต
ก็จะออกทรงผนวช พระเจ้าสุทโธทนะได้ทรงหาวิธีป้องกัน มิให้พระราชกุมารนั้นออกทรงผนวช
โดยสร้างปราสาทเป็นที่อยู่อาศัยให้เหมาะสม ทรงเลือกสรรสาวสนมกำนัลในที่มีรูปสมบัติ
และคุณสมบัติ มาเพื่อบำรุงบำเรออะไรต่าง ๆ เหล่านี้เป็นเครื่องป้องกัน




หัวข้อ: Re: อุบายวิธีแก้จิตไม่ให้ท้อถอยในการบำเพ็ญ
เริ่มหัวข้อโดย: 【ツ】ต้นไม้ความสุข ♪ ที่ 14 พฤษภาคม 2554 19:54:01

ที่เล่ามานี้ เพื่อต้องการให้เข้าใจว่า อุปสรรคเครื่องขัดขวางและสิ่งกางกั้นในการที่ทำความดี
ของแต่ละท่านย่อมมีอยู่อย่างนั้นเป็นธรรมดา แม้แต่พระมหาบุรุษผู้ถึงพร้อมด้วยพระบารมีก็ยังมีอยู่
อย่างนี้ เมื่อพระองค์ได้โอกาสดีพระองค์ก็ออกทรงผนวช ก็ยังมีบุคคลทั้งหลายพูดกันต่าง ๆ นานา
ตามแต่ทัศนะของบุคคล บางคนก็หาว่าพระราชบุตรของพระเจ้าสุทโธทนะมหาราช เป็นกาลกิณีบุคคล
บางคนก็วิพากย์วิจารณ์ไปนานับปการเหลือที่จะพรรณนา แต่แล้วพระมหาบุรุษผู้ออกทรงผนวชได้แล้ว
ก็ได้ทรงตั้งใจประพฤติปฏิบัติตปธรรม ในสำนักบรรดาอาจารย์ต่าง ๆ อยู่เป็นเวลาถึง ๖ พรรษา
ก็หาสำเร็จไม่ ที่ได้อธิบายมานี้อยากจะให้เข้าใจว่ามีอยู่ ๒ ประการ คือ

๑. ผู้ที่มีบารมีอันเต็มเปี่ยม ไม่น่าจะมีอุปสรรคแต่ก็มี

๒. เมื่อพระองค์เป็นผู้ทรงสร้างพระบารมีอันเต็มเปี่ยมแล้ว การตรัสรู้ของพระองค์ไม่น่าจะลำบากเลย
แต่ทำไมจึงได้ดำเนินทำทุกรกิริยาอยู่ถึง ๖ พรรษา ก็ไม่เป็นไปเพื่อตรัสรู้เลย ต่อเมื่อพระองค์
มาพิจารณาถึงช่องทางที่พระองค์ทรงดำเนินและสิ่งที่ทรงปรารถนา สิ่งที่พระองค์ทรงปรารถนาก็คือว่า
พระองค์ทรงหาช่องทางทำลายเสียซึ่งภพของจิต หรือหาช่องทางปรับปรุงจิตให้เป็นปกติ
หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งให้ถึงซึ่งวิสังขารของจิต

ความปรารถนาอันนี้ของพระองค์มีอยู่อย่างนี้แล้ว พระองค์จึงได้หาช่องทางดำเนิน วิธีที่ดำเนินนั้น
พระองค์เป็นผู้กำหนดถึงเรื่องภพก่อนว่า การสืบภพของจิตมันสืบอย่างไร มันต่อกันอย่างไร
พระองค์พิจารณาได้รู้กระแสของจิตที่สืบต่อภพ โดยเดินไปตามสัญญาอารมณ์ พูดมาถึงเพียงนี้
พวกเราก็คงเข้าใจ สำหรับพวกเราทุกท่านก็คงมองเห็นอย่างจิตของพวกเราทุกท่านที่ประหวัด
ไปในสัญญาที่ผ่านมาแล้ว ในคำพูดที่เราพูดมาแล้วตั้งแต่อดีต ดีก็ดี ชั่วก็ดี สิ่งที่มีสาระ
และไม่มีสาระก็ดี จิตของเราย่อมประหวัดเข้าไปสู่สัญญาอารมณ์เหล่านั้น เมื่อจิตของเราประวัด
เข้าไปสู่อารมณ์เหล่านั้น ให้คุณหรือโทษ คือ ความสุข ความทุกข์ ความเศร้าหมอง ความร่าเริง
อะไรเหล่านี้เป็นต้น อาการที่จรและประหวัดไปอย่างนั้นแหละเรียกว่า จิตเดินเข้าไปสู่ภพ
คือภพของจิต

จะอธิบายให้เข้าใจอย่างง่าย ๆ ที่สุด อย่างบุคคลที่จะมรณะ เมื่อจิตของเขาประหวัดไปถึง
อารมณ์อย่างไร การเคลื่อนไหวไปสู่ภพก็ต้องเป็นไปตามอาการอย่างนั้น สมมุติอย่างบุคคล
ผู้มีจิตอันเศร้าหมอง ในเมื่อคิดไปสู่อารมณ์ที่ไม่ดีแล้ว คติภพที่ไปก็ไม่ดี เมื่อบุคคลผู้มีจิตประหวัด
ไปในทางที่ดี คือในสิ่งที่ตัวทำดีหรือนึกถึงสิ่งที่เราประกอบไว้ เป็นไปเพื่อการทำประโยชน์ที่ดี
เป็นกุศล จิตของเราก็ปีติยินดีต่อกุศล

ที่เล่าสู่ฟังก์เพื่อให้เข้าใจว่าอาการที่ประหวัดไปของจิตอย่างนี้เรียกว่า “จิตเดินเข้าไปสู่ภพ”
เมื่อพระองค์มารู้อาการที่จิตเข้าไปสู่ภพอย่างนี้ พระองค์จึงได้สร้างกำลังของตปธรรม คือ สติ
ดังนี้ขึ้นมายับยั้งเป็นปฐมก่อน เมื่อจิตประหวัดเข้าไปสู่อารมณ์ พรองค์ก็ต้องยับยั้งอยู่ด้วย
ความเฉลียวระลึกรู้แล้วพิจารณาถึงโทษคุณ ในอาการที่ประหวัดไปนั้น เมื่อมันประหวัดไปอย่างนี้
มันจะให้สุขอย่างนี้ ให้ทุกข์อย่างนี้ ให้โทษอย่างนี้ ให้คุณอย่างนี้ มีผลเสียผลได้อย่างนี้
ในเมื่อสติเข้าไปยับยั้งแล้ว ปัญญาที่วิจารณ์ดังกล่าวแล้วนี้ จะต้องปรากฏมีมาในอันดับที่สอง
เพราะเหตุนั้น พระองค์จึงได้ทรงสร้างสติตัวนี้ยับยั้งจิตของท่าน ในเมื่อมันจะประหวัดเข้าไปสู่ภพ
พยายามกระทำจนชำนิชำนาญ จนสามารถล็อคคอจิตไว้ได้ด้วยกำลังตปธรรมชนิดนี้แล้ว
พระองค์ก็มองเห็นประโยชน์ว่า ในเมื่อรั้งจิตไว้อย่างนี้ด้วยกำลังตปธรรมชนิดนี้แล้ว ย่อมให้ผลดี
คือ ความรู้ ความเข้าใจ ในการเคลื่อนไหวของจิตที่แสดงเข้าไปสู่ภพดังนี้ ความทุกข์
หรือความเข้าใจย่อมปรากฏขึ้นอย่างช้า ๆ เป็นลำดับต่อไป

เมื่อพวกเราเข้าใจถึงอุบายวิธีที่พระองค์หาช่องทางทำลายภพของจิตนี้ พวกเราผู้ปฏิบัติทั้งหลาย
ก็ต้องพยายามสร้างสติ พิจารณาจิตของเราที่ประหวัดเข้าไปสู่ภพอย่างพระองค์ เมื่อเรามีสติ
คอยล็อคหรือรั้ง หรือค้านจิตของเราไว้ ไม่ให้จิตของเราประหวัดเข้าไปสู่ภพโดยธรรมชาติธรรมดา
ด้วยกำลังของสติอย่างนี้เสมอแล้ว พวกเราทุกท่านสามารถที่หาช่องทางกางกั้นของจิต
หรือกางกั้นจิตไม่ให้ไหลไปสู่ภพได้อย่างพระองค์ เมื่อสามารถรั้งหรือล็อคจิตไม่ให้ไหลสู่ภพเช่นนี้
จิตย่อมจำนนและอยู่ในอำนาจของตปธรรม คือ สติ อย่างที่พรรณนาสู่ฟังแล้ว

เมื่อเราสามารถบังคับหรือปฏิวัติจิตของเราได้อย่างนี้เต็มที่แล้ว อาการทั้งหมดที่จิตสั่งบัญชา
ออกมานั้น เราก็มีความสามารถที่จะรั้งหรือบังคับไว้ด้วยอำนาจของตปธรรมนี้เหมือนกัน
เพราะอาการทุกอย่างที่แสดงออกมาในทางกายและวาจา มันไม่ได้เป็นไปตามธาตุขันธ์
ของแต่ละส่วน มันต้องอาศัยอำนาจจิตเป็นผู้สั่งและบัญชา อาการที่แสดงทั้งหลายเป็นไป
ด้วยอำนาจของจิตสั่ง เมื่อหากพวกเราสร้างกำลังของสติเข้าไปยับยั้งจิตของพวกเราแล้ว
อาการทั้งหมดที่เคลื่อนไหวออกไป เป็นไปโดยทางกายและวาจาก็ตามย่อมไม่เป็นไปโดย
ธรรมชาติ จะต้องอาศัยสติตัวเฉลียวรู้นี้เป็นตัวรั้งไว้ก่อน แล้วจึงใช้ปัญญาวิจารณ์ถึงโทษและคุณ
ถึงผลเสีย ผลได้ต่อไป สมควรหรือไม่สมควรย่อมต้องญัตติด้วยกำลังของปัญหา

จะยกเหตุผลให้พวกเราได้เข้าใจ สมมุติว่าพวกเราผู้มองเห็นไฟ เราคุ้ยเคยอยู่กับไฟ
เรารู้จักคุณโทษของไฟได้ดี เมื่อมองปั๊บเราก็รู้ว่า ถ้าเราจับเข้าไปจะให้โทษอย่างนี้ ๆ
คุณค่าของไฟเป็นอย่างนี้ ๆ โดยที่เรามิได้พิจารณากำหนดแต่เรารู้เอง อาการที่ว่องไว
เป็นไปนี้เรียกว่า “ชวนะ” ต้องอาศัยความคุ้ยเคยฉันใดก็ดี ในเมื่อเรามีสติเข้าไปรับรู้
ในอาการเคลื่อนไหวของจิตอยู่เสมออย่างนั้น เราก็รู้เรื่องโทษและคุณ ในเมื่อจิตเคลื่อนไปอย่างนั้น
เหมือนกับที่เรามองเห็นไฟ เมื่อหากอาการของจิตที่เคลื่อนไปอย่างนี้เรารู้ชัดในโทษและคุณ
แล้วอาการปล่อยวางอารมณ์ของจิต ก็เหมือนกับเรา ไม่มีความสามารถจะเอื้อมมือ
เข้าไปจับไฟฉันนั้นเหมือนกัน และเมื่อเรามองเห็นประโยชน์ในการที่จิตเคลื่อนไปอย่างนี้
เมื่อประกอบและดำเนินไปจะมีคุณค่าประโยชน์อย่างนี้ จิตก็ไม่มีช่องทางใดที่จะมาค้านในอาการ
คิดอย่างนั้น ย่อมสามารถจะทำไปได้ เพราะจิตยอมจำนนกำลังของตปธรรมอยู่แล้ว



หัวข้อ: Re: อุบายวิธีแก้จิตไม่ให้ท้อถอยในการบำเพ็ญ
เริ่มหัวข้อโดย: 【ツ】ต้นไม้ความสุข ♪ ที่ 14 พฤษภาคม 2554 19:57:53


สมมุติอย่างพวกเราที่จะทำอย่างนี้ ๆ บางทีไม่มีความสามารถกระทำลงไปได้ เพราะอาการ
ของจิตมันเปลี่ยนแปลงอาการที่เป็นอยู่อย่างนี้ เนื่องจากจิตไม่จำนนของกำลังตปธรรมนั่นเอง
เมื่อพวกเรามีความสามารถสร้างกำลังชนิดนี้เข้ามาบังคับจิตแล้ว สิ่งทั้งปวงที่เรามองเห็นว่า
จะเป็นไปเพื่อคุณค่าประโยชน์สามารถที่จะน้อมจิตกระทำไปได้อย่างง่ายดาย ไม่มีทางใด
ที่จิตจะลุกขึ้นมางอแงต่อสู้กับอาการที่รู้เห็นอันนั้นเลย เมื่อหากพวกเราดำเนินให้เป็นไปอย่างนี้
ประโยชน์มีอยู่ ๒ ประการ คือ

๑. เป็นผู้หักห้ามทำลายซึ่งภพของจิต หรือกางกั้นจิตไว้ไม่ให้ถึงภพ

๒. เป็นการทรมานหรือปฏิวัติซึ่งจิตของเราไม่ให้เป็นไปตามธรรมชาติ

นี่พูดถึงประวัติของพระพุทธเจ้า พร้อมทั้งปฏิปทาที่พวกเราจะได้ดำเนินให้เป็นไป ทีนี้มานึกถึง
คุณค่าประโยชน์อันที่ประพุทธเจ้าดำเนิน เมื่อพระองค์เป็นผู้มีขัติธรรม ต่อสู้เหตุการณ์ภายนอก
และภายใน พวกเราทุกท่านให้ลองนึกถึงพระพุทธเจ้า ความเป็นอยู่ของพระองค์ และการกล้ายอม
เสียสละ พร้อมทั้งขันติธรรมของพระองค์ที่ต่อสู้กับเหตุการณ์ต่าง ๆ พระองค์มีความสุข
อย่างที่พวกเราทุกท่านได้เห็น หรือได้ฟังในพุทธประวัติ พระองค์มีความสุขเหลือเกิน แต่พระองค์
มาพิจารณาถึงเรื่องความสุขที่เป็นไปในทางกาว เรียกว่า กามสุขัลลิกานุโยค หรือ ความสุข
ที่เป็นไปในทางโลกีย์ พระองค์มองเห็นความสุขอันนี้ไม่เป็นว่าจะมีความสุขยืดยาวสักแค่ไหน
ความสุขอันนี้จะประกอบให้เราได้รับเพียงแค่ที่มีชีวิตอยู่ ในเมื่อมรณภาพแล้ว ความสุขอันนี้
จะติดตามไปไม่ได้

เมื่อพระองค์มาพิจารณาอย่างนี้แล้ว พรองค์จึงกล้ายอมเสียสละออกทรงผนวช พร้อมทั้งพระองค์
มาทรงพิจารณาถึงคุณค่าประโยชน์ อันที่พระองค์ได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ประโยชน์ที่พระองค์
จะดำเนินไปนั้น ย่อมจะแผ่ไพศาลไปยังสัตว์และบุคคลทั้งหลาย ให้ได้รับความสุขตามพระองค์
พระองค์จึงกล้าออกทรงผนวช แต่เมื่อพูดถึงอุปสรรคอันตรายต่าง ๆ พระองค์ไม่น่าจะดำเนินให้เป็นไปได้
แต่แล้วพระองค์ผุ้ทรงมีขันติธรรมอย่างแรงกล้า จึงสามารถดำเนินประโยชน์อันนี้ให้สำเร็จไปได้

เพราะฉะนั้น พวกเราทุกท่านต้องหาช่องทางพิสูจน์ถึงประวัติของพระพุทธเจ้า พร้อมทั้งหาช่องทาง
สร้างกำลังของขันติธรรมอันนี้มาต่อสู้เหตุการณ์ต่าง ๆ บางคนเขาอาจพูดเยาะเย้ยเราว่า
เราเป็นผู้มีความสุขไม่น่าจะออกมาอย่างนี้ มันเป็นเพราะกรรมอะไรเหล่านี้ เขาอาจจะพูดได้
แต่ในเมื่อเราไม่มีขันติธรรมและไม่พิจารณาถึงคุณค่าประโยชน์ที่ดวเรายอมเสียสละออกมาปฏิบัติ
และเมื่อเราได้ความดีสมดังปรารถนาของเราแล้ว ความสุขของพวกเรา เราเองย่อมเป็นผู้ได้รับดังนี้
และอาจสามารถนำประโยชน์อันนี้แผ่ไพศาลไปยังหมู่คณะที่ต้องการ






หัวข้อ: Re: อุบายวิธีแก้จิตไม่ให้ท้อถอยในการบำเพ็ญ
เริ่มหัวข้อโดย: 【ツ】ต้นไม้ความสุข ♪ ที่ 14 พฤษภาคม 2554 19:58:12

เมื่อเราพิจารณาถึงคุณค่าประโยชน์อย่างนี้ เราไม่ต้องฟังเสียงบุคคลที่พูดเยาะเย้ยเหล่านั้นเลย
ตลอดจนกำลังของกรรมทั้ง ๒ ที่นำพา บางทีกรรมดี คือ บารมีธรรมของพวกเราเข้ามาบันดาล
เราจะทำอะไรเป็นไปด้วยความสะดวกสบาย อาการที่ทำอะไรไปทั้งหมดไม่บกพร่อง บางทีอกุศล
ที่เราประกอบไว้มันมีกำลังเข้ามาบันดาล ทำอะไรก็รู้สึกว่าไม่สะดวกสบายทางร่างกายก็อาจจะมี
โรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน สิ่งกระทบต่าง ๆ ที่เป็นส่วนภายนอกก็อาจจะมี เมื่อเราไม่มีขันติธรรม
หรือไม่พิจารณาวิจารณ์ถึงประโยชน์ดังกล่าวมาแล้วนั้น พวกเราทุกท่านก็อาจจะท้อใจ น้อยใจ
หรืออาจจะถอยอะไรเหล่านี้ เป็นต้น

เมื่อพวกเรามาพิจารณาถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระราชบิดา ซึ่งพวกเราจะดำเนินตาม
รอยพระยุคลบาทของพระองค์ พวกเราก็ต้องหาช่องทางพิจารณาพิสูจน์เอาอุบายเหล่านี้มาแก้จิตใจ
ของพวกเรา ในเมื่อกำลังกรรมทั้ง ๒ มันเข้ามาบันดาลซึ่งเป็นไปในส่วนอกุศลกรรม เราย่าท้อแท้
อย่าน้อยใจ ให้นึกว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้มีพระบารมีอันยิ่งใหญ่ ในเมืองพระองค์ออกทรงผนวช
พระองค์ก็มิได้ทรงสะดวกสบาย รู้สึกว่ามีอุปสรรคขัดข้องหลายสิ่งหลายอย่าง นับแต่พระราชบิดา
หาวิธีป้องกันมิให้พระองค์ออกทรงผนวช โดยนึกถึงคุณค่าประโยชน์ในการตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าไม่ถึง
ว่าจะได้ประโยชน์กว้างขวางอะไร มองเห็นเพียงแค่ใกล้ ๆ ว่าเมื่อพระองค์ได้เป็นพระเจ้าจักพรรดิ์แล้ว
ก็มีหน้ามีตา ความสุข ความเจริญ ของพระมหาบุรุษที่เป็นพระราชบุตรของเรานี้ จะได้รับผลประโยชน์
อย่างนี้ ๆ มองเห็นเพียงแค่นี้ ด้วยความมองเห็นการณ์ไกลของพระองค์ จึงได้หาอุบายวิธีป้องกัน

อุปสรรคอันตรายทั้งหมดเหล่านี้ของพวกเราก็ได้มองเห็นอยู่ชัด ๆ เราก็ต้องพิสูจน์พิจารณาอย่างพวกเรา
ที่มีบารมีแก่กล้าพอสมควร ได้บันดาลให้พวกเราออกบำเพ็ญตปธรรมในป่า โดยไม่ติดและไม่ห่วงใย
ในวัตถุต่าง ๆ อย่างบรรดาคนทั้งหลายเขาติด หรือบุคคลที่ยังไม่ถึง เขาหาช่องทางดิ้นรนเข้าไปหา
หรือบุคคลเข้าถึงแล้วเขาติด เขาจม เขาหมอบ ไม่มีทางใดที่จะหลีกออกจากความสุขมาได้
อันพวกเราผู้มีความสุขอย่างที่ได้มองเห็นกัน อาศัยอำนาจบารมีธรรมของพวกเราช่วยบันดาลไม่ให้
พวกเราติดหรือหลงไหลในสิ่งนั้น ให้พวกเราออกมาเสาะแสวงหาสถานที่ประกอบตปธรรม
เป็นการสร้างบารมีเพิ่มเติม หรืออาจจะหาช่องทางดำเนินตัวของตัวเองให้หมดภพ หมดชาติ หมดทุกข์
เข้าไปสู่อมตมหานฤพาน “เหลือแต่ดวงจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์” เข้าไปอยู่รวมกับวิญญาณของท่านผู้บริสุทธิ์
ไม่มีความอิจฉาเบียดเบียนซึ่งกันและกัน มีความสุขความเจริญไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย
ไม่มีโรคมีภัยอะไรต่าง ๆ เหล่านี้

เมื่อพวกเรามองเห็นคุณค่าบารมีที่บันดาลให้แก่พวกเราทุกท่านมาแล้ว พวกเราอย่าเข้าใจว่าบารมีธรรม
ของพวกเราที่สร้างสมอบรมมานี้จะบันดาลให้พวกเราสำเร็จเข้าไปสู่มรรคผล โดยไม่ต้องประกอบอะไร
เราต้องนึกถึงพระพุทธเจ้าอย่างที่เล่าสู่ฟังว่า เมื่อพระองค์ออกทรงผนวชแล้ว ทำทุกรกิริยาถึง ๖ พรรษา
ก็ไม่เป็นไปเพื่อการตรัสรู้ ต่อเมื่อพระองค์ทรงดำเนินถูก จึงเป็นไปเพื่อความสำเร็จมรรคผล

เพราะเหตุนั้น พวกเราก็เหมือนกันอาศัยบารมีของพวกเราอย่างเดียว แต่เมื่อพวกเราประกอบทางปฏิปทา
ของพวกเราไม่เป็นไปเพื่อมรรคผล ก็ไม่มีช่องทางใดที่จะเป็นไปเพื่อมรรคผล กำลังของบารมีก็เพียงแค่
พวกเรามองเห็นว่า บันดาลไม่ให้พวกเราลุ่มหลงในวัตถุต่าง ๆ ดังกล่าวมาแล้วนั้น

เพราะฉะนั้น พวกเราที่ต้องการดำเนินเข้าไปสู่มรรคผลนั้น ต้องเอาอย่างพระพุทธเจ้าว่าพระองค์
ทรงดำเนินไปอย่างไร ที่พระองค์ปรารถนาต้องการจะทำลายภพทำลายชาติ เพราะภพชาติ
เป็นสาเหตุใหญ่แห่งความทุกข์ ภพชาติเป็นต้นเหตุสิ่งต่าง ๆ มันมาจากภพทำลายชาติ ภพของจิต
อยู่ที่ไหน เมื่อพระองค์พิจารณาเห็นว่าการเดินจนของจิตเข้าไปสู่สัญญาอารมณ์ต่าง ๆ มีความดีใจ
มีความเสียใจ ในเมื่อจิตประหวัดไปตามอารมณ์สัญญานั้นเป็นธงของภพชาติ การจรเข้าไปสู่ภพเรียกว่า
ทางไต่เต้าเข้าไปหาภพ พระองค์จึงได้สร้างกำลังของตปธรรม คือ ตัวเฉลียวระลึกรู้เป็นเบื้องต้น
เข้าไปกางกั้นจิต แล้วใช้ปัญญาพิจารณาถึงประโยชน์ให้เห็นชัด อย่างที่พวกเรามองเห็นไฟดังกล่าวแล้วนั้น
จิตของเราจะไม่มีความสามารถเดินเข้าไปสู่ภพ จิตของพวกเราจะไม่ปรารถนาภพ จิตของพวกเราจะปรารถนา
ความบริสุทธิ์ผุดผ่อง คือ พระนิพพาน

ด้วยเหตุนั้น พวกเราได้ยินได้ฟังสัมโมทนียกถา โดยอุบายวิธีแนะนำให้พวกเราทุกท่านได้มีความปลื้มปีติ
ในธรรมะที่พระองค์ได้ทรงดำเนินตลอด เล่าถึงเรื่องอุบายวิธีที่พระองค์ทรงหาช่องทางดำเนินเข้าไปสู่
การทำลายภพของจิต หรือปฏิบัติจิตไม่ให้เป็นไปโดยธรรมชาติ พร้อมที้งหาช่องทางเอาธรรมะเข้ามาเป็น
“วิหารธรรม” ของพวกเรา จะได้เอาธรรมะเข้ามาเป็นเครื่องอยู่ ให้พวกเราได้มีความปลาบปลื้มใจต่อคุณค่า
ของธรรมะที่พวกเราผู้ประพฤติปฏิบัติตาม เมื่อหากพวกเราได้มีความปลาบปลื้มใจแล้ว และเข้าใจแล้ว
จงพากันหาช่องทางดำเนินประพฤติปฏิบัติตามพวกเราทุกท่านก็จะได้รับความสุข ความเจริญงอกงาม
ไพบูลย์ในบวรพระพุทธศาสนาต่อไป เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้ฯ




ที่มา พลังจิต


หัวข้อ: Re: อุบายวิธีแก้จิตไม่ให้ท้อถอยในการบำเพ็ญ
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำมนต์ ที่ 05 ตุลาคม 2555 02:06:22

  สาธุ....... อนุโมทามิ