[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม => ข้อความที่เริ่มโดย: เงาฝัน ที่ 22 มิถุนายน 2554 21:13:11



หัวข้อ: สัทธรรมปุณฑริกสูตร บทที่ 17 ว่าด้วยการแสดงบุญจากการอนุโมทนา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 22 มิถุนายน 2554 21:13:11


       (http://www.shijian.org/upload/2006_06/06060116433513.jpg)

พระสูตรสัทธรรมปุณฑรีกะ
วัดโพธิ์แมนคุณาราม
นายชะเอม แก้วคล้าย แปลจากต้นฉบับสันสกฤต

บทที่ 17
อนุโมทนาปุณยนิรเทศปริวรรต
ว่าด้วยการแสดงบุญจากการอนุโมทนา


        ครั้งนั้น พระไมเตรยโพธิสัตว์มหาสัตว์ ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค กุลบุตรหรือกุลธิดา ได้ฟังธรรมบรรยายที่พระองค์แสดงนี้ แล้วอนุโมทนา ข้าแต่พระผู้มีพระภาค กุลบุตรหรือกุลธิดานั้น จะสะสมบุญนั้นได้อย่างไร?

        ในกาลนั้น พระไมเตรยโพธิสัตว์มหาสัตว์ ได้ตรัสคาถาว่า

1      เมื่อพระมหาวีระ (พระพุทธเจ้า) นิพพานแล้ว บุคคลใดได้ฟังพระสูตรเช่นนี้ ครั้นฟังแล้ว เขาพึงอนุโมทนา บุญกุศล แห่งการอนุโมทนาของเขา นั้น จะเป็นอย่างไร?

        ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสกะพระไมเตรยโพธิสัตว์มหาสัตว์ว่า ดูก่อนอชิตะ เมื่อตถาคตนิพพานแล้ว กุลบุตรหรือกุลธิดาใดก็ตาม ได้ฟังธรรมบรรยายนี้ ที่เราแสดงประกาศอยู่ จะเป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา บุรุษผู้เป็นปราชญ์ เด็กชาย เด็กหญิง ครั้นได้ฟังแล้วพึงอนุโมทนา ถ้าหลังจากนั้น เขาลุกจากการฟังธรรม แล้วหลีกไป เขาจะไปวัด บ้าน ป่า ถนน หมู่บ้าน หรือชนบท แล้วพึงบอกเหตุและธรรมนั้น ตามที่ได้ฟังมา ตามที่ตนเข้าใจ และตามความสามารถ แก่สัตว์อื่นๆ จะเป็นมารดาก็ดี บิดาก็ดี ญาติก็ดี หรือใครๆจะเป็นผู้ร่วมยินดีบุคคลอื่น หรือผู้ร่วมสรรเสริญ ถ้าว่า บุคคลนั้น ได้ฟังแล้ว พึงอนุโมทนา ครั้นอนุโมทนาแล้วพึงบอกแก่บุคคลอื่นต่อไปอีก บุคคลแม้นั้น ครั้นได้ฟังแล้ว ก็พึงอนุโมทนาบอกบุคคลอื่นต่อๆกันไป  โดยปริยายนี้ จนถึง 50 คน ดูก่อนอชิตะ บุรุษคนที่ 50 พึงเป็นผู้ยินดีต่อการได้บอกต่อกันมา ดูก่อนอชิตะ เราจักแสดงการสะสมบุญที่ถึงพร้อมด้วยการอนุโมทนา ของกุลบุตรหรือกุลธิดานั้น ขอท่านจงฟัง จงยินดี และจงตั้งใจฟังด้วยดี เราจะแสดงแก่ท่าน

        ดูก่อนอชิตะ สัตว์ทั้งหลาย ที่อยู่ในโลกธาตุทั้ง 4 เป็นเวลาร้อยพันอสงไขย เป็นผู้เข้าถึงคติทั้ง 6 คือพวกที่เกิดในไข่ เกิดในครรภ์ เกิดในไคล เกิดผุด(อุบัติ)ขึ้น มีรูปก็ตาม ไม่มีรูปก็ตาม มีสัญญาก็ตาม ไม่มีสัญญาก็ตาม มีสัญญาหามิได้ก็ตาม ไม่มีสัญญาหามิได้ก็ตาม มีเท้าก็ตาม ไม่มีเท้าก็ตาม สองเท้าก็ตาม สี่เท้าก็ตาม มีหลายเท้าก็ตาม จนกระทั่งสัตว์ทั้งหลาย ที่รวมกันเป็นกลุ่มในสัตว์โลก ครั้งนั้น เกิดมีบุรุษผู้หนึ่ง ซึ่งปรารถนาจะทำบุญ ปรารถนาจะทำประโยชน์ เขาจึงให้เครื่องเล่น อันน่าปรารถนาทั้งปวง เครื่องบริโภค อันน่ายินดี น่าปรารถนา น่าใคร่ น่ารัก น่าพอใจ แก่หมู่สัตว์เหล่านั้น  เขาพึงให้ชมพูทวีป ที่สมบูรณ์ (ทุกอย่าง) แก่สัตว์แต่ละคน เพื่อการละเล่นที่น่าปรารถนา การบริโภคที่น่าพอใจ พึงให้ทองคำแท่ง ทองคำ เงิน มณี มุกดา ไพฑูรย์ สังข์ ประพาฬ รถเทียมโค และรถเทียมช้าง แม้กระทั่งปราสาทเรือนยอด ดูก่อนอชิตะ

โดยปริยายนี้ บุรุษผู้เป็นเจ้าแห่งทาน เป็นเจ้าแห่งมหาทานนั้น พึงให้ทานตลอด 80 ปีเต็ม ดูก่อนอชิตะ บุรุษผู้เป็นเจ้าแห่งทาน เป็นเจ้าแห่งมหาทานนั้น พึงคิดว่า ได้ยินว่า สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ ที่เราให้เล่น ให้เพลิดเพลิน และให้เป็นอยู่ด้วยความสุข บัดนี้สัตว์เหล่านั้น หนังเหี่ยว ผมหงอก แก่เฒ่า ชรา มีอายุได้ 80 ปีโดยกำเนิด สัตว์เหล่านั้น กำลังอยู่ในกาลกิริยา(ตาย) เราควรสอนสัตว์เหล่านั้น ให้น้อมลงสู่พระธรรมวินัย ที่พระตถาคตทรงประกาศแล้ว ดูก่อนอชิตะ บุรุษนั้น จึงยังสัตว์ทั้งปวงเหล่านั้น ให้ยอมรับ (พระธรรม) ครั้นให้ยอมรับแล้ว จึงให้เขาน้อมลง และยึดถือพระธรรมวินัย ที่พระผู้มีพระภาคทรงประกาศแล้ว เมื่อสัตว์เหล่านั้น ได้ฟังธรรมของบุรุษนั้นแล้ว แม้ฟังเพียงขณะหนึ่ง ครู่หนึ่ง นิดหนึ่ง

สัตว์ทั้งปวงเหล่านั้น พึงบรรลุเป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอนาคามิผล จนกระทั่งบรรลุเป็นพระอรหันต์ สิ้นอาสวะ มีสมาธิ และสมาธิในวิโมกข์ทั้ง 8 ดูก่อนอชิตะ ท่านคิดว่า มูลเหตุนั้น เป็นอย่างไร? บุรุษเจ้าของทาน เจ้าของมหาทานนั้น ควรสะสมบุญอันบริสุทธิ์ ให้จนมิอาจประมาณได้ มิอาจนับได้หรือ? เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ พระไมเตรยโพธิสัตว์มหาสัตว์ จึงกราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เป็นอย่างนั้น ข้าแต่พระสุคต เป็นอย่างนั้น ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เพราะเหตุนี้ บุรุษผู้เป็นเจ้าของทาน เจ้าของมหาทาน ควรสะสมบุญให้มากขึ้น เพราะเขาได้ให้ความสุขที่มั่นคงแก่สัตว์ทั้งหลายจะป่วยกล่าวไปใย ที่เขายังสัตว์ให้ตั้งอยู่ในธรรมเบื้องสูง คือความเป็นพระอรหันต์อีกเล่า?

        เมื่อกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคจึงตรัสกะพระโพธิสัตว์มหาสัตว์นั้นว่า ดูก่อนอชิตะ เราจักบอก กล่าวแก่ท่าน บุรุษผู้เป็นเจ้าของทาน เจ้าของมหาทานนั้น ควรสะสมบุญด้วยการยังสัตว์ทั้งหลาย ให้บริบูรณ์ด้วยการตั้งมั่นในความสุขทั้งปวง ในโลกธาตุทั้ง 4 เป็นเวลาร้อยพันอสงไขย แล้วพึงให้ตั้งอยู่ในความเป็นอรหันต์ ส่วนบุรุษที่ 50 ได้รับการฟังสืบต่อกันมา วัสดุ (มูลเหตุ แห่งการทำบุญ ที่ประกอบด้วยการอนุโมทนาของบุรุษนั้นกับ วัสดุ(มูลเหตุ) แห่งการกระทำบุญที่ประกอบด้วยทาน และยังสัตว์ให้ตั้งอยู่ในความเป็นพระอรหันต์ของบุรุษผู้เป็นเจ้าของทานและเจ้าของมหาทานนั้น การสะสมบุญที่ประกอบด้วยการอนุโมทนานี้แล มีผลมากกว่าการเป็นเจ้าของทานนั้น คือบุรุษที่ 50 นี้ ได้ฟังแม้เพียงคาถาเดียว บาทเดียว

จากธรรมบรรยายนี้ ที่ฟังต่อๆกันมาจากบุรุษนั้น แล้วจึงอนุโมทนา ดูก่อนอชิตะการสะสมบุญ ที่ประกอบด้วยทาน และประกอบด้วยการให้ตั้งอยู่ในความเป็นพระอรหันต์นั้นที่เคยมีมาแล้ว ย่อมไม่ถึงเสี้ยวแห่งร้อย ของการสะสมบุญที่ประกอบด้วยการอนุโมทนา และการสะสมกุศลมูล ที่ประกอบด้วยการอนุโมทนา ย่อมไม่ถึงเสี้ยวที่พัน เสี้ยวที่แสน เสี้ยวที่โกฏิ เสี้ยวที่ร้อยโกฏิ เสี้ยวที่พันโกฏิ เสี้ยวที่แสนโกฏิ และเสี้ยวที่หมื่นแสนโกฏิ ไม่สามารถกำหนดด้วยการนับ คำนาน รวบรวม เปรียบเทียบ และจัดการ ดูก่อนอชิตะ บุรุษที่ 50 นั้น โดยที่สุดได้ฟังแม้เพียงคาถาเดียว บาทเดียว ในการฟังต่อๆกันมา แล้วสะสมบุญที่มิอาจประมาณได้ นับมิได้ถึงเพียงนี้ ดูก่อนอชิตะ เราจึงเรียกการสะสมบุญนั้น ของบุรุษคนที่ 50 นั้นว่า ประเสริฐกว่าจนประมาณมิได้ เลิศกว่าจนนับมิได้

        ดูก่อนอชิตะ กุลบุตรหรือกุลธิดาคนใด ปรารถนาจะฟังธรรมบรรยายนี้ พึงออกจากบ้านของตนแล้วไปสู่วิหาร ครั้นไปแล้ว พึงยืนหรือนั่ง ฟังธรรมบรรยายนี้ ในวิหารนั้นแม้เพียงครู่หนึ่ง ด้วยการสะสมบุญจำนวนมากนั้น ที่เขาได้กระทำและรวบรวมไว้ บุคคลนั้น เมื่อตายจากชาตินี้แล้ว จักได้รถเทียมโค รถเทียมม้า รถเทียมช้าง สีวิก(วอหรือเกี้ยว) ยานเที่ยมโคตัวเมีย ยานเทียมโคตัวผู้ และวิมานทิพย์ในชาติที่สอง อันเป็นการได้รับเฉพาะตนครั้งที่สอง ถ้าหากว่าการฟังธรรมบรรยายนี้ เขาพึงนั่งลง แล้วฟังธรรมบรรยายนี้แม้เพียงครู่หนึ่ง หรือให้คนอื่นนั่ง หรือแบ่งที่นั่งให้บุคคลอื่น ด้วยการสะสมบุญนั้น เขาจักได้บัลลังก์ของท้าวสักกะ บัลลังก์ของพรหม และราชบัลลังก์ของพระเจ้าจักรพรรดิ ดูก่อนอชิตะ ถ้ากุลบุตร หรือกุลธิดาคนใดพึงกล่าวกับบุรุษอื่นว่า

ข้าแต่บุรุษผู้เจริญ ท่านจงมาเถิด จงฟังธรรมบรรยายชื่อสัทธรรมปุณฑรีกสูตร ถ้าบุรุษนั้นมาฟังธรรมมาตรว่า เพียงชั่วครู่หนึ่ง เพราะอาศัยการชักชวนของเขา ด้วยการชักชวนนั้น เขาย่อมได้ความร่วมใจกับพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ผู้ได้ธารณี เพราะกุศลมูลที่สะสมไว้แล้ว

เขาไม่เป็นคนหดหู่ มีอินทรีย์กล้า มีปัญญา ปากของเขาไม่เป็นโรค ไม่มีโรค และไม่มีกลิ่น ตลอดร้อยพันชาติ ไม่มีโรคที่ลิ้น ไม่มีโรคที่ปาก ฟันไม่ดำ ไม่เก ไม่เหลือง ไม่ซ้อน ไม่ทู่ ไม่หัก ไม่งอ ปากไม่ห้อย ไม่หุบ ไม่ยื่น ไม่โค้ง ไม่ดำ และไม่น่าเกลียด จมูกไม่แฟบ ไม่เบี้ยว หน้าไม่ยื่น ไม่งอ ไม่ดำ มิใช่มิน่ารักและน่าดู ดูก่อนอชิตะ ลิ้น ฟัน ริมฝีปากของเขา ช่างงดงามและเหมาะ จมูกโด่ง ใบหน้าละเอียดอ่อน คิ้วเหมาะสม หน้าผากอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมสวยงาม เป็นผู้ได้ลักษณะของบุรุษที่สมบูรณ์ทุกประการ เขาย่อมได้พระผู้มีพระภาคเป็นผู้สอนธรรม ย่อมได้ความใกล้ชิดกับพระพุทธเจ้าในเร็วพลัน ดูก่อนอชิตะ ท่านจงดูบุรุษนั้น ที่ชักชวนสัตว์เพียงคนเดียว สามารถเพิ่มบุญได้ถึงเพียงนี้ จะป่วยกล่าวไปไย ถึงบุคคลที่ฟัง ท่อง แสดง และประกาศธรรมด้วยความเคารพเล่า

       ในเวลานั้น พระผู้มีพระภาคตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า

2      บุรุษที่ 50 ได้ฟังพระสูตรนี้ต่อๆกันมา เพียงคาถาเดียว แล้วมีจิตยินดีอนุโมทนา ท่านจงฟังเถิดว่า บุญของเขามีมากมายเพียงใดในโลก

3      บุรุษผู้บริจาคทานแก่สัตว์หลายหมื่นโกฏิ ในโลกเป็นนิตย์ ที่เราได้เปรียบเทียบมาก่อนแล้ว เขาได้อุทิศทานนั้นให้แก่สัตว์ทั้งปวง ตลอด 80 ปี

4      เขาได้เห็นสัตว์เหล่านั้น ตั้งอยู่ในความชรา ผิวย่น ศีรษะขาว อะโห สัตว์เหล่านี้ ควรจะหลุดพ้น(จากภาวะนั้น ไฉนหนอ) เราพึงให้ธรรมโมวาทแก่พวกเขา

5      เขาย่อมสอนธรรมแก่สัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ แล้วพึงประกาศนิพพานภูมิในภายหลัง เพราะความเป็นสัตว์ทั้งปวงนั้น เปรียบได้กับฟองน้ำและพยับแดด ฉะนั้น เขาจึงปล่อยวางในภพทั้งปวง

6      สัตว์ทั้งปวงเหล่านั้น ครั้นได้ฟังธรรมอย่างใกล้ชิดจากบุรุษผู้ให้นั้น ได้กลายเป็นพระอรหันต์ สิ้นอาสวะ ดำรงร่างกายเป็นชาติสุดท้ายในโลกเพียงสมัยเดียว

7      บุญของบุคคลผู้ได้ฟังเพียงคาถาเดียวต่อๆกันมา ย่อมมีมากกว่าผู้ให้ทาน เพราะบุญของผู้ให้ทาน ย่อมไม่ถึงเสี้ยวแห่งบุญของผู้ได้ฟังธรรมนั้น

8      บุญของบุคคลผู้ได้ฟังเพียงคาถาเดียวต่อๆกันมา มีมากถึงเพียงนี้ ไม่มีที่สิ้นสุด ประมาณไม่ได้ แล้วจะป่วยกล่าวไปไย ถึงบุญของผู้ได้ฟังธรรมต่อพระพักตร์(ของพระผู้มีพระภาคเล่า)

9      หากผู้ใดชักชวนอีกหนึ่งคน ให้เกิดความอุตสาหะว่า ท่านจงไปฟังธรรม เพราะว่า พระสูตรนี้เป็นสิ่งทีหาได้ยากยิ่ง ในหลายหมื่นโกฏิกัลป์

10    แม้ว่า บุคคลนั้น ได้ฟังพระสูตรนี้เพียงครู่หนึ่ง เพราะถูกชักชวน ท่านจงฟังผลแห่งธรรมนั้น เขาจะไม่มีโรคในปากเลย แม้ในกาลไหนๆ

11    แม้ในกาลไหนๆ เขาจะไม่มีโรคเกี่ยวกับลิ้น ฟัน(ของเขา) จะไม่หลุด ไม่ดำ ไม่เหลือง ไม่เก ริมฝีปากจะไม่น่าเกียจ

12    ใบหน้าของเขาจะไม่งอ ไม่แห้งกรอบ ไม่ยาว ไม่แบน จมูกจะตั้งอย่างเหมาะสม หน้าผาก ฟัน ริมฝีปาก และใบหน้าก็เหมาะสมเหมือนกัน

13    เขาจะเป็นที่รักและเป็นที่น่าสนใจของชนทั้งหลายในกาลทุกเมื่อ ในหน้าของเขาจะไม่บูดเบี้ยว แม้ในกาลไหนๆ กลิ่นปากของเขาจะฟุ้งไปด้วยความหอมดุจกลิ่นดอกบัว

14    บุคคลผู้ฉลาดออกจากบ้านไปสู่วิหาร เพื่อฟังพระสูตรนี้ ครั้นไปแล้วได้ฟังพระสูตรในวิหารนั้นครู่หนึ่ง ท่านทั้งหลาย จงตั้งใจฟังผลบุญของบุรุษผู้มีจิตเสื่อมใสนั้น

15    อาตมภาวะ(ร่างกาย) ของเขานั้น มีความสมบูรณ์เป็นเลิศ เขาผู้เป็นปราชญ์ ย่อมดำเนินไปด้วยรถเทียมม้า ได้ขึ้นสู่รถเทียมช้างที่สูง ประดับด้วยรัตนะทั้งหลาย แล้วจึงดำเนินไป

16    เขาพึงได้รับสีวิกาที่ประดับอย่างงดงาม มีคนจำนวนมากแบกหาม ผลที่งดงามถึงเพียงนี้ได้มีแก่เขา เพราะไปฟังธรรมนั่นเอง

17    เพราะกุศลกรรมที่เขากระทำนั้น เขาจึงได้นั่ง (ในท่ามกลาง) บริษัท ได้ครองบัลลังก์ท้าวสักกะ บัลลังก์พรหม และราชบัลลังก์

บทที่17 อนุโมทนาปุณยนิรเทศปรวรรต ว่าด้วยการแสดงบุญจากการอนุโมทนา
ในธรรมบรรยาย สัทธรรมปุณฑริกสูตร อันประเสริฐ
มีเพียงเท่านี้


(http://t0.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcSEI19qPCjEHN-s4DuAxMyoeiRxwWDqsf48JLI5s8SCP9qK7_cU)

http://www.mahayana.in.th/tmayana/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%9B%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81/สัทธรรมปุณทรีกะบท17-18-19.htm (http://www.mahayana.in.th/tmayana/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%9B%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81/สัทธรรมปุณทรีกะบท17-18-19.htm)