หัวข้อ: “กระบวนการของการชำระจิตใจ” พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จ.ชลบุรี เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 08 กันยายน 2562 11:10:15 (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/46440783267219_69681986_2395213593849911_5907.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/39689193500412_69615365_2393319234039347_8163.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/11267885358797_70292318_2391479804223290_1698.jpg) “กระบวนการของการชำระจิตใจ” การทำบุญทำทานนี้จะช่วยทำให้รักษาศีล ๕ ได้ เพราะการทำบุญทำทานนี้เป็นการสร้างความเมตตา เวลาเราทำบุญทำทานนี้เราต้องทำด้วยความเมตตา คืออยากจะช่วยเหลือคนอื่น เห็นคนอื่นเขาทุกข์ยากเดือดร้อน เราก็บริจาคเงินทองให้เขาไป เขาขาดเสื้อผ้าก็หาเสื้อผ้าไปให้เขาใส่ ขาดอาหารก็หาอาหารให้เขารับประทาน อย่างนี้เรียกว่าเป็นการแผ่เมตตาเป็นการเจริญเมตตา ความเมตตาก็คือความปรารถนาดีความอยากให้ผู้อื่นมีความสุขมีความสบาย ด้วยการเสียสละข้าวของเงินทองของเราไป พอเราทำบุญทำทานเราก็จะมีความเมตตา ต่อไปเวลาเราทำอะไรเราก็จะไม่อยากจะไปทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อนเสียหายจากการกระทำของเรา มันก็จะทำให้เรารักษาศีลได้ เวลาจะทำอะไรแล้วต้องไปทำให้เขาเสียหาย เช่นไปขโมยเงินของเขา เราก็จะไม่อยากได้ ไปยุ่งเกี่ยวกับสามีภรรยาของคนอื่น เราก็จะไม่อยากทำ เพราะทำแล้วจะทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อนนั่นเองจากการกระทำของเรา เราก็จะไม่อยากจะทำ เราก็ไม่อยากจะไปฆ่าเขา เพราะเรารู้ว่าเวลาถูกฆ่ามันเป็นอย่างไรมันทุกข์ขนาดไหน เราไม่อยากจะให้เขาฆ่าเรา เราก็จะไม่อยากจะฆ่าเขา เราไม่อยากให้ใครมาขโมยเงินทองของเรา เราก็จะไม่อยากไปขโมยเงินทองของคนอื่น เราไม่อยากให้ใครมายุ่งกับสามีภรรยาของเรา เราก็จะไม่อยากไปยุ่งกับภรรยาสามีของคนอื่น มันก็จะเกิดความเมตตาเกิดการรักษาศีลขึ้นมาได้โดยอัตโนมัติ โดยที่ไม่ต้องบังคับ ถ้าใจเรามีความเมตตาแล้ว การรักษาศีลมันก็จะง่าย ฉะนั้น วิธีจะสร้างให้ใจมีความเมตตาก็คือหัดทำบุญทำทานไป เพราะการทำบุญทำทานนี้แหละเป็นการแผ่เมตตา เป็นการสร้างความเมตตาให้เกิดขึ้นภายในใจของเรา พอเรามีความเมตตาแล้วเราก็จะเห็นว่าการรักษาศีลนี้มันไม่ยากเย็นเลย เพราะในใจเราไม่อยากจะทำให้ใครเขาเดือดร้อน เวลาเราจะทำอะไรหาอะไรอยากได้อะไร เราจะต้องดูว่าไปทำให้ผู้อื่นเขาเสียหายเดือดร้อนหรือเปล่า ถ้าทำให้เขาเสียหายเดือดร้อนเราก็จะไม่ทำถ้าเรามีความเมตตา คนที่มีความเมตตาจะเป็นอย่างนั้น ก็จะทำให้สามารถรักษาศีล ๕ ได้อย่างง่ายดาย เพราะรู้ว่าถ้าไปฆ่าเขาก็จะทำให้เขาเดือดร้อน ไปลักทรัพย์ของเขาก็จะทำให้เขาเดือดร้อน ไปยุ่งเกี่ยวกับสามีภรรยาของเขาก็จะทำให้เขาเดือดร้อนทำให้เขาทุกข์ ไปโกหกหลอกลวงเขาก็จะทำให้เขาเสียใจ เราก็จะไม่กระทำสิ่งเหล่านี้ถ้าเรามีความเมตตา ถ้าเรายังไม่มีความเมตตาก็พยายามทำบุญทำทานไปก่อน พยายามเห็นใครเขาตกทุกข์ได้ยากเดือดร้อนก็ช่วยเหลือ ช่วยเหลือคนที่เขาด้อยโอกาสกว่าเรา ให้เราคิดว่าถ้าเราเป็นเขาเราจะรู้สึกอย่างไร เวลาที่เราตกทุกข์ได้ยากเดือดร้อนแล้วมีผู้ยื่นมือให้ความช่วยเหลือกับเรา เราจะมีความรู้สึกมีความสุขมีความดีใจมาก ลองคิดอย่างนี้แล้วก็จะทำให้เราอยากจะทำอยากจะช่วยเหลือคนอื่น เพราะเวลาทำให้คนอื่นเขามีความสุขนี้ มันกลับมาทำให้เรามีความสุขมากกว่าคนที่เราให้ความช่วยเหลือเสียอีก เมื่อเรามีความสุขเราก็จะเห็นคุณของการแผ่เมตตา เห็นคุณของการช่วยเหลือกันให้ความสุขต่อกัน เมื่อเราเห็นประโยชน์ของการให้ความสุข เราก็จะเห็นโทษของการให้ความทุกข์ ว่าการให้ความทุกข์ต่อกันนี้มันไม่ดี เพราะเวลาเราให้ความทุกข์กับเขาเราก็ทุกข์ด้วย เวลาเราไปทำให้ใครเขาเดือดร้อนเราก็จะไม่สบายใจ ไม่เชื่อลองไปโกหกใครดู ไปขโมยข้าวของเงินทองของใครเขาดู ทำไปแล้วเราใจจะไม่สบาย เราก็จะเห็นโทษของการทำบาป เห็นคุณของการทำบุญ เราก็อยากจะทำแต่บุญ เราก็จะไม่อยากทำบาป มันก็จะทำให้เราสามารถรักษาศีล ๕ ได้ พอรักษาศีล ๕ ได้ เราก็จะสามารถรักษาศีล ๘ ได้ ตอนต้นก็หัดเอาแค่วันหนึ่งก่อน วันพระวันหยุดทำงาน พอรักษาได้ ๑ วันแล้วมีเวลานั่งสมาธิมีเวลาฝึกจิตชำระจิต ก็จะเห็นความสุขมีเพิ่มมากขึ้น มันก็จะมีกำลังใจที่อยากจะทำมากขึ้น จาก ๑ วันก็อาจจะเพิ่มเป็น ๒ วัน หยุดเสาร์อาทิตย์ก็เลยเอามันทั้งวันเสาร์วันอาทิตย์ไปอยู่วัดไปปฏิบัติธรรมดีกว่า ดีกว่าไปเที่ยว ดีกว่าไปหาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย พอเริ่มปฏิบัติธรรม พอได้สัมผัสกับความสงบ ความสุขที่เกิดจากความสงบแล้วมันก็จะมีกำลังใจที่อยากจะปฏิบัติมากขึ้นไปเรื่อยๆ ต่อไปก็จะหาเวลาไปอยู่วัดเพิ่มมากขึ้น เช่น ช่วงวันหยุด ๕ วัน สงกรานต์นี้ บางคนก็จองที่พักไปตามวัดต่างๆ แล้ว บางคนก็ไปบวชกัน ช่วงนี้เขามีฉลองเจดีย์หลวงตาอยู่ ก็มีคนไปบวชชีบวชพระกัน ๑๕ วัน อย่างน้อยก็ยังดีเป็นการเริ่มต้น เป็นการเริ่มต้นเป็นการฝึกการชำระจิตใจแบบระยะยาว เป็นการชำระเพื่อให้มันสะอาดบริสุทธิ์ตลอดเวลา ต้องอาศัยระยะเวลาอันยาวนาน ถ้ายังไปไม่ถึงตอนนั้นก็เอาช่วงแค่วันหยุดไปก่อน วันหยุดก็ทำ ๑ วัน แล้วได้เห็นว่ามีคุณประโยชน์ก็อาจจะเพิ่ม ๒ วัน เพิ่ม ๓ วัน อาจจะหาเวลามาปฏิบัติมากขึ้น ลดการทำงานหาเงินหาทองให้น้อยลง เพราะถ้าเราเริ่มปฏิบัติแล้วค่าใช้จ่ายมันจะน้อยลง ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่มันหมดไปกับการไปหาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกายกัน พอมาถือศีล ๘ เราก็ไม่ต้องไปหาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย เงินทองที่เคยใช้แบบไม่พอใช้มันก็จะเหลือใช้ มันก็จะทำให้เราไม่ต้องไปทำงานมาก เราก็จะมีเวลาว่างเพิ่มมากขึ้น เราก็จะได้มาปฏิบัติได้มากขึ้น นี่คือกระบวนการของการชำระจิตใจที่มันจะเพิ่มพูนมากขึ้นไปตามลำดับ จากการเริ่มปฏิบัติตั้งแต่ขั้นเริ่มแรก คือการแผ่เมตตาด้วยการทำบุญทำทาน เสร็จแล้วก็จะนำพาไปสู่การรักษาศีล ๕ ศีล ๘ แล้วนำพาไปสู่การเจริญสติ เจริญสมถะภาวนาและวิปัสสนาภาวนา มันก็จะเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะยิ่งทำมากยิ่งได้ผลมาก ก็เหมือนกับที่เราทำงานนะ ตอนที่เราทำงานใหม่ๆ ได้เงินเดือนน้อย เราก็มีความขยันน้อย พอได้เงินเดือนมากขึ้นก็มีความขยันมากขึ้นไปเอง เพราะมันได้ผลจากการทำงานของเรา การปฏิบัติธรรมของเราก็เช่นเดียวกัน ตอนต้นทำได้น้อยก็ได้ผลน้อย แต่พอเพิ่มการทำให้มากขึ้นก็จะได้ผลมากขึ้น พอได้ผลมากขึ้นมันก็จะอยากให้เราทำเพิ่มมากขึ้นไปเอง เดี๋ยวในที่สุดเราก็อยากจะทำแบบเต็มร้อยไปเลย คนที่ไปบวชกัน ก่อนที่เขาจะไปบวชกัน เขาก็ทำแบบนี้ไปก่อน ทำทีละเล็กทีละน้อยไปก่อน แล้วพอเขามีกำลังมากขึ้นเขาก็เพิ่มการกระทำมากขึ้นไป เพิ่มการปฏิบัติมากขึ้นไป จนในที่สุดก็พร้อมที่จะไปบวชได้ พอบวชแล้วเขาก็จะได้ชำระจิตใจได้ตลอดเวลา จนในที่สุดก็สามารถชำระจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์อย่างถาวร อย่างพระพุทธเจ้าอย่างพระอรหันตสาวกได้ ที่มา : เพจพระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต สนทนาธรรมบนเขา วันที่ ๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๒ พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี ณ จุลศาลา เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน |