[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => พุทธประวัติ - ประวัติพระสาวก => ข้อความที่เริ่มโดย: ไอย ที่ 22 ธันวาคม 2552 21:47:08



หัวข้อ: "พุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน"
เริ่มหัวข้อโดย: ไอย ที่ 22 ธันวาคม 2552 21:47:08

พุทธโอวาทก่อนปรินิพพานนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทานแก่พระอานนท์
ผู้เป็นพระอุปัฏฐากและพระภิกษุ  คราที่ทรงปรงพระชนมายุสังขารออกเดินทาง
ด้วยพระบาทเปล่าจากปาวาลเจดีย์ไปยังกรุงกุสินาราสถานที่ปรินิพพาน
ตลอดพระชนมชีพ พระพุทธเจ้าหาได้ทรงท้อแท้หรือเหน็ดเหนื่อยต่อ
การเผยแพร่ธรรมไม่ ยังทรงประกาศพระธรรมอันประเสริฐที่ทรงค้นพบ
ด้วยพระองค์เองแก่พุทธบริษัท 4 ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้
คราเมื่อพระพุทธองค์เสด็จมาถึงปาวาลเจดีย์ ได้ประทับอยู่ใต้ต้นไม้ที่
มีเงาครึ้มต้นหนึ่งโดยมีพระอานนท์หมอบลงที่พระบาทมูลแล้วทูลว่า


“ ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ขอพระองค์อาศัยความกรุณาแก่ข้าและหมู่สัตว์
จงดำรงพระชนมชีพต่อไปอีกเถิดอย่าเพิ่งด่วนปรินิพพานเลย ”

กราบทูลเท่านี้แล้วพระอานนท์ก็ไม่ทูลอะไรต่อไปอีกเพราะโศกาดูรท่วมท้นหทัย
 



หัวข้อ: Re: "พุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน"
เริ่มหัวข้อโดย: ไอย ที่ 22 ธันวาคม 2552 21:50:22

อานนท์เอ๋ย ” พระศาสดาตรัสพร้อมทอดทัศนาการไปเบื้องหน้า
อย่างสุดไกล ลีลาอันเด็ดเดี่ยวฉายออกมาทางพระเนตรและพระพักตร์

 “เป็นไปไม่ได้ที่จะให้ตถาคตกลับใจ ตถาคตจะต้องปรินิพพาน
ในวันเพ็ญแห่งเดือนวิสาขะ อีกสามเดือนข้างหน้านี้ อานนท์เราได้
แสดงนิมิตโอภาสอย่างแจ่มแจ้งแก่เธอพอเป็นนัยมาไม่น้อยกว่า
16 ครั้งแล้วว่า คนอย่างเรานี้ มีอิทธิบาทภาวนาที่ได้อบรมมาด้วยดี
ถ้าประสงค์จะอยู่ถึงหนึ่งกัปป์หรือมากกว่านั้นก็พออยู่ได้
แต่เธอหาเฉลียวใจไม่ได้ทูลอะไรเราเลย เราตั้งใจไว้ว่า
ในคราวก่อน ๆ นั้นถ้าเธอทูลให้เราอยู่ต่อไปเราจะห้ามเสียสองครั้ง
พอเธอทูลครั้งที่สามเราจะรับอาราธนาของเธอ
แต่บัดนี้ช้าเสียแล้ว เรามิอาจกลับใจได้อีก”
 



หัวข้อ: Re: "พุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน"
เริ่มหัวข้อโดย: ไอย ที่ 22 ธันวาคม 2552 21:53:25

“ อานนท์เอ๋ย ” บัดนี้สังขารอันเป็นเหมือนเกวียนชำรุดนี้
เราได้สละแล้ว เรื่องที่จะดึงกลับมาอีกครั้งหนึ่งนั้นไม่ใช่วิสัย
แห่งตถาคต....บุคคลย่อมต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่พึงใจ
เป็นธรรมดาหลีกเลี่ยงไม่ได้ อานนท์เอ๋ย ชีวิตนี้มีความพลัดพราก
เป็นที่สุดสิ่งทั้งหลายมีความแตกดับไปสลายไปเป็นธรรมดา
จะปรารถนามิให้เป็นอย่างที่มันควรจะเป็นนั้นเป็นฐานะที่
ไม่พึงหวังได้ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปเคลื่อนไปสู่จุดสลายตัวทุกขณะ ”

“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ศีลเป็นพื้นฐานที่รองรับคุณอันยิ่งใหญ่ประหนึ่ง
แผ่นดินเป็นสิ่งที่รองรับและตั้งลงแห่งสิ่งทั้งหลาย เป็นต้นว่า
พฤกษาลดาวัลย์มหาสิงขรและสัตว์จตุบททวิบาทนานาชนิด
บุคคลผู้มีศีลเป็นพื้นใจย่อมอยู่สบายมีความปลอดโปร่งเหมือน
เรือนที่บุคคลปัดกวาดเช็ดถูเรียบร้อย ปราศจากเรือดและฝุ่นเป็นที่รบกวน ”
 



หัวข้อ: Re: "พุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน"
เริ่มหัวข้อโดย: ไอย ที่ 22 ธันวาคม 2552 21:55:48

“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ศีลนี้เองเป็นพื้นฐานให้เกิดสมาธิ คือ
ความสงบใจ สมาธิที่มีศีลเป็นเบื้องต้นเป็นสมาธิที่มีผลมาก
มีอานิสงส์มาก บุคคลผู้มีสมาธิย่อมอยู่อย่างสงบ เหมือนเรือน
ที่มีฝาผนังมีประตูหน้าต่างปิดเปิดเรียบร้อย มีหลังคาป้องกันลม
แดดและฝน ผู้อยู่ในเรือนเช่นนี้ ฝนตกก็ไม่เปียกแดดออก
ก็ไม่ร้อนฉันใด บุคคลผู้มีจิตเป็นสมาธิก็ฉันนั้น ย่อมสงบอยู่ได้
ไม่กระวนกระวายเมื่อลม แดดและฝน  กล่าวคือโลกธรรมแผดเผา
กระพือพัดซัดสาดเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่าสมาธิอย่างนี้ย่อมก่อให้
เกิดปัญญาในการฟาดฟันย่ำยี และเชือดเฉือนกิเลสอาสวะให้
เบาบางและหมดสิ้นไป ”

“ อันว่าจิตนี้เป็นธรรมชาติที่ผ่องใสอยู่โดยปกติ แต่เศร้าหมองไป
เพราะคลุกเคล้าด้วยกิเลสนานาชนิด ศีลสมาธิและปัญญา
เป็นเครื่องฟอกจิตให้ขาวสะอาดดังเดิม จิตที่ฟอกด้วยศีล
สมาธิและปัญญาย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งปวง ”
 



หัวข้อ: Re: "พุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน"
เริ่มหัวข้อโดย: ไอย ที่ 22 ธันวาคม 2552 22:00:45

“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาทางทั้งหลาย มรรคมีองค์ 8 ประเสริฐที่สุด
บรรดาบททั้งหลายบท 4 คืออริยสัจประเสริฐที่สุด บรรดาธรรมทั้งหลาย
วิราคะ คือ การปราศจากความกำหนัดยินดี ประเสริฐที่สุด
บรรดาสัตว์สองเท้า พระตถาคตเจ้าผู้มีจักษุประเสริฐที่สุด
มรรคมีองค์ 8 นี่แลเป็นไปเพื่อทัศนะอันบริสุทธิ์ หาใช่ทางอื่นไม่

เธอทั้งหลายจงเดินไปตามทางมรรคมีองค์ 8 นี้
อันเป็นทางที่ทำให้มารหลงติดตามมิได้
เธอทั้งหลายจงตั้งใจปฏิบัติเพื่อทำทุกข์ให้สิ้นไป
ตถาคตเป็นเพียงผู้บอกทางเท่านั้น เมื่อปฏิบัติดังนี้
พวกเธอจักพ้นจากมารและบ่วงแห่งมาร
 
 




หัวข้อ: Re: "พุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน"
เริ่มหัวข้อโดย: ไอย ที่ 22 ธันวาคม 2552 22:06:18

“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอจงมองดูโลกนี้โดยความเป็นของว่างเปล่า
มีสติอยู่ทุกเมื่อ ถอนอัตตานุทิฐิ คือความยึดมั่นเรื่องของตนเสีย
ด้วยประการฉะนี้เธอจะเบาสบายคลายทุกข์คลายกังวลไม่มีความสุข
ใดยิ่งกว่าการปล่อยวาง และการสำรวมตนอยู่ในธรรม ”
 

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไม่มีความสุขใดเสมอด้วยความสงบ
 
ความสุขชนิดนี้สามารถหาได้ด้วยตัวเรานี้เอง ตราบใดที่มนุษย์
ยังวิ่งวุ่นแสวงหาความสุขจากที่อื่น เขาจะไม่พบความสุขที่แท้จริงเลย
มนุษย์ได้สร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ขึ้นไว้ เพื่อให้ตัวเองวิ่งตาม
แต่ก็ตามไม่เคยทัน การแสวงหาความสุขโดยปล่อยใจ
ให้ไหลเลื่อนไปตามอารมณ์ที่ปรารถนานั้นเป็นการลงทุน
ที่มีผลไม่คุ้มเหนื่อย เหมือนบุคคลลงทุนวิดน้ำในบึงใหญ่
เพื่อต้องการปลาเล็ก ๆ เพียงตัวเดียวมนุษย์ส่วนใหญ่มัววุ่นวาย
อยู่กับเรื่องกาม เรื่องกินและเรื่องเกียรติ จนลืมนึกถึงสิ่งหนึ่ง
ซึ่งสามารถให้ความสุขแก่ตนได้ทุกเวลา สิ่งนั้นคือดวงจิตที่ผ่องแผ้ว
เรื่องกามเป็นเรื่องที่ต้องดิ้นรนเรื่องกินเป็นเรื่องที่ต้องแสวงหา
เรื่องเกียรติเป็นเรื่องที่ต้องแบกไว้ ภาระที่ต้องแบกเกียรติเป็นเรื่อง
ที่ใหญ่ยิ่งของมนุษย์ผู้หลงตนว่าเจริญแล้วในหมู่ชนที่เพ่งแต่
ความเจริญทางด้านวัตถุนั้น จิตใจของเขาเร่าร้อนอยู่ตลอดเวลา
ไม่เคยประสบความสงบเย็นเลย เขายินดีที่จะมอบตัวให้จมอยู่ใน
คาวของโลกอย่างหลับหูหลับตาเขาพากันบ่นว่าหนักและเหน็ดเหนื่อย
พร้อมๆกันนั้น เขาได้แบกก้อนหินวิ่งไปบนถนนแห่งชีวิตอย่างไม่รู้จักวาง”
 



หัวข้อ: Re: "พุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน"
เริ่มหัวข้อโดย: ไอย ที่ 22 ธันวาคม 2552 22:08:48

“ ภายในอาคารมหึมาประดุจปราสาทแห่งกษัตริย์ มีลมพัดเย็นสบาย
แต่สถานที่เหล่านั้นมักบรรจุไปด้วยคนที่มีจิตใจเร่าร้อนเป็นไฟอยู่เป็นอันมาก
ภาวะอย่างนั้นจะมีความสุขสู้ผู้มีใจสงบที่อยู่โคนไม้ได้อย่างไร ”

“ ความสุขนั้นอยู่ที่ความรู้สึกทางใจเป็นสำคัญ อย่างพวกเธออยู่ที่นี่
มีแต่ความพอใจแม้กระท่อมจะมุงด้วยใบไม้ ก็มีความสุขกว่าอยู่ใน
พระราชฐานอันโอ่อ่า แน่นอนทีเดียวคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตนี้
มิใช่คนใหญ่คนโต แต่เป็นคนที่รู้สึกว่าชีวิตของตนมีความสุขสงบเยือกเย็น
ปราศจากความเร่าร้อนกระวนกระวาย ”
 



หัวข้อ: Re: "พุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน"
เริ่มหัวข้อโดย: ไอย ที่ 22 ธันวาคม 2552 22:11:11

“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลาภและยศนั้นเป็นเหยื่อของโลกที่น้อยคนนัก
จะสละละวางได้ จึงแย่งลาภและยศกันอยู่เสมอ เหมือนปลา
ที่แย่งเหยื่อกันกิน แต่หารู้ไม่ว่าเหยื่อนั้นมีเบ็ดเกี่ยวอยู่ด้วย
หรือเหมือนไก่ที่แย่งไส้เดือนกัน จิกตีกัน ทำลายกันจนพินาศกัน
ทั้งสองฝ่าย น่าสังเวชสลดจิตยิ่งนัก ถ้ามนุษย์ในโลกนี้ลดความโลภลง
มีการเผื่อแผ่เจือจานโอบอ้อมอารี ถ้าเขาลดโทสะลง
มีความเห็นอกเห็นใจกันมีเมตตากรุณาต่อกัน และลดโมหะลง
ไม่หลงงมงาย ใช้เหตุผลในการตัดสินปัญหาและดำเนินชีวิต
โลกนี้จะน่าอยู่อีกมาก แต่ช่างเขาเถิดหน้าที่โดยตรงและเร่งด่วนของเธอ
คือ ลดความโลภความโกรธและความหลงของเธอเองให้น้อยลง
แล้วจะประสบความสุขเยือกเย็นขึ้นมาก เหมือนคนลดไข้ได้มากเท่าใด
ความสบายกายก็มีมากขึ้นเท่านั้น ”
 



หัวข้อ: Re: "พุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน"
เริ่มหัวข้อโดย: ไอย ที่ 22 ธันวาคม 2552 22:14:46

“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ยิ่งเจริญก็ดูเหมือนจะมีเสรีภาพน้อยลง
ทั้งทางกายและทางใจ ดูแล้วความสะดวกสบายและเสรีภาพของมนุษย์
ยังสู้สัตว์เดรัจฉานบางประเภทไม่ได้ ที่มันมีเสรีภาพที่จะทำอะไร
ตามใจชอบอยู่เสมอ ดูอย่างเช่น ฝูงวิหกนกกา มนุษย์เราเจริญกว่าสัตว์
ตามที่มนุษย์เราเองชอบพูดกัน แต่ดูเหมือนพวกเราจะมีความสุข
น้อยกว่าสัตว์ ภาระใหญ่จะที่ต้องแบกไว้ คือ เรื่องกาม เรื่องกิน
และเรื่องเกียรติ สัตว์เดรัจฉานตัดไปได้อย่างหนึ่งคือเรื่องเกียรติ
คงเหลือแต่เรื่องกาม และเรื่องกิน นักพรตอย่างพวกเธอนี้
ตัดไปได้อีกอย่างหนึ่งคือเรื่องกาม คงเหลือแต่เรื่องกินอย่างเดียว
แต่การกินอย่างนักพรตกับการกินของผู้บริโภคกามก็ดูเหมือนจะ
บริโภคแตกต่างกันอยู่ผู้บริโภคกามและยังหนาแน่นอยู่ด้วยโลกียวิสัย
บริโภคเพื่อยุกามให้กำเริบจะต้องกินให้มีเกียรติกินให้สมเกียรติ
มิได้กินเพียงเพื่อให้ร่างกายนี้ดำรงอยู่ได้อย่างสมณะ
ความจริงร่างกายคนเราไม่ได้ต้องการอาหารอะไรมากนัก
เมื่อหิวก็ต้องการอาหารบำบัดความหิวเท่านั้น แต่เมื่อมีเกียรติ
เข้ามาบวกด้วย จึงกลายเป็นเรื่องกินอย่างเกียรติยศ และแล้ว
ก็มีภาระตามมาอย่างหนักหน่วงคนจำนวนมากเบื่อเรื่องนี้
แต่จำเป็นต้องทำ เหมือนโคหรือควายซึ่งเหนื่อยหน่ายต่อแอก
และไถ แต่จำใจต้องลากมันไป อนิจจา ”
   



หัวข้อ: Re: "พุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน"
เริ่มหัวข้อโดย: ไอย ที่ 22 ธันวาคม 2552 22:19:33

“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เครื่องจองจำที่ทำด้วยเชือก เหล็กหรือ
โซ่ตรวนใดๆ เราไม่กล่าวว่าเป็นเครื่องจองจำที่แข็งแรงทนทานเลย
แต่เครื่องจองจำ คือ บุตรภรรยาและทรัพย์สมบัตินี่ แลตรึงมัดรัดผูกสัตว์
ให้ติดอยู่ในภพอันไม่มีที่สิ้นสุด เครื่องผูกที่ผูกหย่อนๆคือ บุตร ภรรยา
และทรัพย์สมบัตินี่เอง รูป เสียง กลิ่น รสและโผฏฐัพพะ เป็นเหยื่อของโลก
เมื่อบุคคลยังติดอยู่ในรูปเป็นต้นนั้น เขาจะพ้นจากโลกมิได้เลย ”

“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย กลิ่นดอกไม้ กลิ่นจันทน์ไม่สามารถหอมหวนทวนลมได้
แต่กลิ่นแห่งเกียรติคุณความดีงามของสัตบุรุษนั้นแล สามารถจะหอมไปได้
ทั้งตามลมและทวนลม คนดีย่อมมีเกียรติคุณฟุ้งขจรไปได้ทั่วทุกทิศ
กลิ่นจันทน์แดง กลิ่นอุบล กลิ่นดอกมะลิ จัดว่าเป็นดอกไม้กลิ่นหอม
แต่ยังสู้กลิ่นศีลไม่ได้ กลิ่นศีลยอดเยี่ยมกว่ากลิ่นทั้งมวล

ถ้าภิกษุหวังจะให้เป็นที่รักที่เคารพ เป็นที่ยกย่องของ
เพื่อนพรหมจารีแล้ว พึงเป็นผู้ทำตนให้สมบูรณ์ด้วยศีลเถิด ”




หัวข้อ: Re: "พุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน"
เริ่มหัวข้อโดย: ไอย ที่ 22 ธันวาคม 2552 22:23:11

“ สัตว์โลกเมื่อเกิดมาย่อมนำความทุกข์ติดตัวมาด้วย
ตราบใดที่เขายังไม่สลัดความพอใจในสังขารออก
ความทุกข์ก็ย่อมติดตามไปเสมอ เหมือนโคที่ยังมี
แอกเกวียนครอบคออยู่ ล้อเกวียนย่อมติดตามไปทุกฝีก้าว ”

“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติของจิตเป็นสิ่งดิ้นรนกลับกลอกง่าย
บางคราวปรากฏเหมือนช้างตกมัน พวกเธอจงเอาสติเป็นขอเหนียวรั้งช้าง
คือจิตที่ดิ้นรนนี้ให้อยู่ในอำนาจบุคคลที่มีอำนาจมากที่สุด
และควรแก่การสรรเสริญนั้น คือผู้ที่สามารถเอาชนะตน
ของตนเองไว้ในอำนาจได้ สามารถเอาชนะตนเองได้
ผู้ชนะตนได้ชื่อว่าเป็นยอดนักรบในสงคราม เธอทั้งหลาย
จงเป็นยอดนักรบในสงครามเถิด อย่าเป็นผู้แพ้เลย ”
 


หัวข้อ: Re: "พุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน"
เริ่มหัวข้อโดย: ไอย ที่ 22 ธันวาคม 2552 22:25:33

“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผู้อดทนต่อคำล่วงเกินของผู้สูงกว่า
ก็เพราะความกลัวอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้เสมอกัน
เพราะเห็นว่าพอสู้กันได้ แต่ผู้ใดอดทนต่อคำล่วงเกินของ
ผู้ซึ่งด้อยกว่าตนได้ เราเรียกความอดทนนั้นว่าสูงสุด
ผู้มีความอดทน มีเมตตาย่อมเป็นผู้มีลาภ มียศ อยู่เป็นสุข
เป็นที่รักของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ”

“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อลืมตาขึ้นดูโลกเป็นครั้งแรก
เราก็ร้องไห้พร้อมกำมือไว้แน่นเป็นสัญลักษณ์ว่าเกิดมา
เพื่อจะหน่วงเหนี่ยวยึดถือ แต่เมื่อจะหลับตาลาโลกนั้น
ทุกคนแบมือออกเหมือนจะเตือนให้ผู้อยู่เบื้องหลังสำนึก
และเป็นพยานว่าเขามิได้เอาอะไรไปด้วยเลย ”
 



หัวข้อ: Re: "พุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน"
เริ่มหัวข้อโดย: ไอย ที่ 22 ธันวาคม 2552 22:30:21

“ เมื่อหัวใจยึดไว้ด้วยความรัก หัวใจนั้นจะสร้างความหวังขึ้นอย่างเจิดจ้า
แต่ทุกครั้งที่เราหวัง ความผิดหวังก็จะรอเราอยู่ ”

“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาว่าไม้จันทน์ แม้จะแห้งก็ไม่ทิ้งกลิ่น
อัศวินก้าวลงสู่สนามก็ไม่ทิ้งลีลา อ้อยแม้เข้าสู่เครื่องยนต์แล้วก็ไม่ทิ้งรสหวาน
บัณฑิตแม้ประสบความทุกข์ก็ไม่ทิ้งธรรม ”
 

“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความตระหนี่ลาภ เป็นความโง่เขลา
เหมือนชาวนาที่ตระหนี่ ไม่ยอมหว่านพันธุ์ข้าวลงในนา
ข้าวเปลือกที่หว่านลงแล้วหนึ่งเมล็ด ย่อมให้ผลหนึ่งรวงฉันใด
ทานที่บุคคลทำแล้วก็ฉันนั้น ย่อมมีผลมากผลไพศาล
คนดีมีทรัพย์แล้วย่อมบำรุงมารดา บิดา บุตร ภรรยา
บ่าวไพร่ให้เป็นสุข บำรุงสมณะพรหมาจารย์ให้เป็นสุข
เปรียบเสมือนสระโบกขรณีอันอยู่ไม่ไกลจากบ้านหรือนิคม
มีท่าลงเรียบร้อยสะอาดเยือกเย็น น่ารื่นรมย์ มหาชนย่อมได้อาศัย
นำไปอาบดื่มและใช้สอยตามต้องการ  โภคทรัพย์ของคนดี
ย่อมเป็นดังนี้ หาอยู่โดยเปล่าประโยชน์ไม่ ”
 




หัวข้อ: Re: "พุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน"
เริ่มหัวข้อโดย: ไอย ที่ 22 ธันวาคม 2552 22:33:23

“ การเสียสละนั้น คือการได้มาซึ่งผลอันเลิศในบั้นปลาย
ผู้ไม่ยอมเสียสละอะไรย่อมไม่ได้อะไร จงดูเถิดมนุษย์ทั้งหลาย
รดน้ำต้นไม้ที่โคน แต่ต้นไม้นั้นย่อมให้ผลที่ปลาย ”

“ บุคคลไม่ควรประมาทว่าบุญหรือบาปเพียงเล็กน้อย
จะไม่ให้ผลหยาดน้ำที่ไหลลงทีละหยดยังทำให้แม่น้ำเต็มได้ฉันใด
การสั่งสมบุญหรือบาปเพียงเล็กน้อยก็ฉันนั้น ผู้สั่งสมบุญ
ย่อมเปี่ยมล้นไปด้วยบุญ ผู้สั่งสมบาปย่อมเพียบแปล้ไปด้วยบาป ”

“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อันร่างกายนี้สะสมแต่ของสกปรกโสโครก
มีสิ่งปฏิกูลไหลออกจากทวารทั้งเก้ามีช่องหูช่องจมูก เป็นต้น
เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์เล็กสัตว์น้อย เป็นป่าช้าแห่งซากสัตว์นานาชนิด
เป็นรังแห่งโรคเป็นที่เก็บโรค อุปมาเหมือนถุงหนังซึ่งบรรจุเอา
สิ่งโสโครกต่างๆเข้าไว้ แล้วซึมออกมาเสมอ ๆ เจ้าของกายจึงต้อง
ชำระล้าง ขัดถูวันละหลายๆครั้ง เมื่อเว้นจากการชำระล้างแม้เพียง
วันเดียวหรือสองวันกลิ่นเหม็นก็ปรากฏเป็นที่น่ารังเกียจ เป็นของน่าขยะแขยง ”
 



หัวข้อ: Re: "พุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน"
เริ่มหัวข้อโดย: ไอย ที่ 22 ธันวาคม 2552 22:36:46

“ ดูกรอานนท์ บิณฑบาตทานที่มีอานิสงส์มาก มีผลไพศาล คือ
เมื่อนางสุชาดาถวายเราก่อนตรัสรู้ครั้งหนึ่ง และอีกครั้งหนึ่งที่จุนทะถวายนี้
ครั้งแรกเสวยอาหารของสุชาดาแล้ว ตถาคตก็ถึงซึ่งกิเลสนิพพาน
ครั้งหลังนี้เสวยอาหารของจุนทะบุตรนายช่างทอง แล้วเราก็นิพพาน
ด้วยขันธ-นิพพาน คือ ดับขันธ์อันเป็นวิบากที่ยังเหลืออยู่
ถ้าใครๆจะพึงตำหนิจุนทะ เธอพึงกล่าวให้เขาเข้าใจตามนี้
ถ้าจุนทะพึงจะเดือดร้อนใจ เธอพึงกล่าวปลอบให้เขาหายกังวลใจเสีย
อาหารของจุนทะเป็นอาหารมื้อสุดท้ายสำหรับเรา ”

“ อานนท์เอ๋ย พึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่าธรรมวินัยอันใด
ที่เราได้แสดงแล้ว บัญญัติแล้ว ขอให้ธรรมวินัยอันนั้น
จงเป็นศาสดาของพวกเธอแทนเราต่อไป ”
 
 



หัวข้อ: Re: "พุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน"
เริ่มหัวข้อโดย: ไอย ที่ 22 ธันวาคม 2552 22:41:14

“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เป็นวาระสุดท้ายแห่งเราแล้ว
เราขอเตือนพวกเธอทั้งหลายให้จำมั่นไว้ว่า

สิ่งทั้งปวงมีเสื่อมและสิ้นไปเป็นธรรมดา
เธอทั้งหลายจงอยู่ด้วยความไม่ประมาทเถิด ”


ย่างเข้าปัจฉิมยาม ณ ใต้ต้นสาละคู่ แห่งกุสินารานคร
มีพระผู้มีพระภาคเจ้าพึงปรินิพพานอยู่ในที่นั้น และพรั่งพร้อม
ด้วยพุทธบริษัทเนืองแน่น เป็นปริมณฑลทอดไกลสุดสายตา
พระธรรมที่พระองค์ทรงพร่ำสอนมาตลอดพระชนมชีพว่า

สัตว์ทั้งหลายมีความตายเป็นที่สุดนั้น เป็นสัจธรรมที่ไม่ยกเว้นแม้แต่พระองค์เอง