[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => สมถภาวนา - อภิญญาจิต => ข้อความที่เริ่มโดย: Maintenence ที่ 28 มกราคม 2563 15:13:51



หัวข้อ: ความจริงของชีวิต พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จ.ชลบุรี
เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 28 มกราคม 2563 15:13:51

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/77750337910320_73306389_2479627792075157_3689.jpg)

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/32887644983000_82987993_2682769995094268_3223.jpg)

ความจริงของชีวิต

ความทุกข์ของพวกเรามีอยู่ ๒ แบบด้วยกัน คือทุกข์ทางร่างกายกับทุกข์ทางจิตใจ วิธีแก้ความทุกข์ของร่างกายกับของจิตใจก็ไม่เหมือนกัน ต้องศึกษาว่าวิธีแก้ความทุกข์ของแต่ส่วนนั้นแก้อย่างไร ความทุกข์ของร่างกายคือขาดแคลนปัจจัย ๔ เช่น อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ที่อยู่อาศัย ถ้าขาดแคลนปัจจัย ๔ ก็ต้องหาปัจจัย ๔ มาให้กับร่างกาย เช่น เวลาที่มีภัยต่างๆ มีวาตภัย มีอุทกภัย มีไฟไหม้ ไม่มีที่อยู่อาศัยไม่มีอาหาร ไม่มีเครื่องนุ่งห่ม ไม่มียารักษาโรค ตอนนั้นเราก็จะช่วยกันหาปัจจัย ๔ มาให้แก่ผู้ที่เดือดร้อน พอร่างกายได้รับปัจจัย ๔ ความทุกข์ทางร่างกายก็หายไป แต่ความทุกข์ทางใจยังอาจจะไม่หาย เพราะความทุกข์ทางใจนี้ยังไม่ได้รับการดูแล ความทุกข์ทางใจเกิดจากความอยาก ความอยากได้สิ่งที่เคยมีอยู่ เช่น เคยมีบ้าน มีสมบัติแต่ถูกไฟไหม้เผาไป ไม่มีใครหามาให้เราได้ ผู้อื่นหาได้ก็เฉพาะการขาดแคลนทางร่างกาย แต่ความทุกข์ทางใจนี้เราต้องมาแก้เอง คนอื่นแก้ไม่ได้ ทุกข์ทางใจของพวกเรา พระพุทธเจ้าทรงบอกว่าเกิดจากความอยากต่างๆ อยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ อยากไม่สูญเสียสิ่งนั้นสิ่งนี้ไป พอเกิดเหตุการณ์ทำให้สูญเสียสิ่งนั้นสิ่งนี้ไปก็เกิดความทุกข์ใจขึ้นมา

วิธีแก้ความทุกข์ใจเราก็ต้องมาสอนใจให้รู้ว่า ความทุกข์ใจนี้เกิดจากความอยากไม่สูญเสียทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองไป แต่ถ้าเราไม่เข้าใจเราก็จะไม่รู้จักวิธีแก้ วิธีแก้เราต้องดูความจริงว่าทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองนี้ มันเที่ยงหรือไม่เที่ยง มันมีอะไรรับประกันได้ไหมว่า ถ้าเรามีแล้วมันจะต้องอยู่กับเราไปเรื่อยๆ เป็นของเราไปเรื่อยๆ ถ้าเราดูความจริงเราก็จะเห็นว่าไม่มีใครรับประกันได้ นอกจากบริษัทประกันภัย บริษัทประกันภัยเขาก็ไม่ได้รับประกันการสูญเสีย เขาเพียงแต่รับประกันการชดเชย ถ้าเกิดการสูญเสียเขาก็จะชดเชยให้ เช่น ถ้าเราประกันบ้านไว้ราคาเท่านั้นเท่านี้ เวลาบ้านถูกไฟไฟไหม้ไปเขาก็จะมาชดเชยค่าเสียหายของบ้านหลังนั้นตามที่ได้ตกลงกันไว้ ถ้าประกันไว้หนึ่งล้านเขาก็จะจ่ายเงินหนึ่งล้านให้กับเรา แต่ก่อนที่เขาจะจ่ายเงินหนึ่งล้าน เราก็ต้องจ่ายเงินหนึ่งหมื่นให้เขาก่อนเป็นค่าประกัน ทีนี้เราจะยอมเสียไหม เพราะเราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่บ้านมันจะไหม้ หรือบ้านมันจะไม่ไหม้ ถ้าเราอยากจะให้สบายใจ เราก็ยอมเสียน้อยดีกว่าเสียมาก ยอมเสียค่าประกันไป แล้วเวลาถ้าเกิดเสียใหญ่เราก็จะได้รับการชดเชย แต่ไม่มีใครมารับประกันสิ่งต่างๆ ให้มันอยู่กับเราไปได้ตลอด และบางอย่างเขาก็ไม่รับประกัน คือรับประกันไม่ได้ รับประกันได้เพียงแต่หาอะไรมาทดแทนให้เท่านั้นเอง เช่น ประกันชีวิต เวลาประกันชีวิตเขาไม่ได้มาประกันว่าเราจะไม่ตายกัน คนซื้อประกันชีวิตก็ต้องตาย คนไม่ซื้อประกันชีวิตก็ตายเหมือนกัน แต่ต่างกันตรงที่ว่าคนที่ซื้อประกันก็จะมีผู้ที่มารับภาระเกี่ยวกับเรื่องเงินทอง ที่ผู้ที่สูญเสียชีวิตไปเคยรับผิดชอบอยู่ เช่น หัวหน้าครอบครัวเป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบหาเงินทองมาเลี้ยงครอบครัว พอหัวหน้าครอบครัวตายไป ถ้าหัวหน้าครอบครัวซื้อประกันชีวิตไว้ บริษัทประกันเขาก็จะมารับภาระตามที่ได้ตกลงกันไว้ แล้วแต่จะกำหนดราคา ต้องการให้เขาประกันชดเชยเท่าไหร่ เขาก็จะทำตามที่เราตกลงกันไว้

แต่ชีวิตนี้ไม่มีใครรับประกันได้ ชีวิตของคนเราทุกคนไม่มีใครมากำหนดได้ว่า จะอยู่ไปกี่วันกี่ปีกี่เดือน นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราคิดกันไว้ก่อน เพราะถ้าเราคิดกันไว้ก่อนเราจะได้เตรียมตัวเตรียมใจรับกับเหตุการณ์ ว่าไม่มีอะไรในโลกนี้ที่จะอยู่กับเราเป็นของเราไปได้ตลอด ต้องมีวันใดวันหนึ่งเวลาใดเวลาหนึ่งที่จะต้องมีการพลัดพลาดจากกัน ไม่จากกันตอนเป็นก็ต้องจากกันตอนตาย แต่ถ้าเราได้ศึกษาได้รู้ความจริง แล้วเรามาเตรียมตัวเตรียมใจ ถ้าซื้อประกันได้ก็ซื้อประกัน ถ้าซื้อประกันไม่ได้ก็ซื้อธรรมะแทน ธรรมะก็จะมาช่วยเราได้ ธรรมะจะสอนให้เราฝึกใจทำใจให้เฉยๆ ไม่ต้องไปดีใจเสียใจกับเหตุการณ์ต่างๆ ใจของเราตอนนี้มันชอบไปดีใจเสียใจกับเหตุการณ์ต่างๆ เราไม่รู้จักห้ามมันไม่ให้เสียใจไม่ให้ดีใจ ถ้าเรามาฝึกใจได้สอนใจให้เฉยๆ ได้ อย่าไปดีใจอย่าไปเสียใจ ดีใจก็ไม่ดี ดีใจกับของที่เราได้มา เดี๋ยวเวลาของที่เราได้มาเสียไปเราก็จะเสียใจ ให้เราเฉยๆ มาก็มา ไปก็ไป ไม่ได้ปฏิเสธ เรายังต้องอยู่กับสิ่งนั้นสิ่งนี้ต้องมีสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่เราต้องรู้จักทำใจ รู้จักทำใจว่าเขาจะไม่ได้อยู่กับเราไปตลอด เราจะไม่ได้อยู่กับเขาไปตลอด เขาไม่ไปจากเรา เราก็ต้องไปจากเขา นี่คือความจริงของชีวิตของพวกเราทุกคน ที่พวกเราทุกข์กันเพราะพวกเราไม่มองความจริงกัน ไม่ยอมมองความจริงหรือปฏิเสธความจริง ไม่ยอมรับความจริงไม่ยอมให้ความจริงนี้เกิดขึ้นกับเรา เราไม่อยากให้สูญเสียสิ่งที่เรารักไป ไม่อยากสูญเสียคนที่เรารักไปเราจึงทุกข์กัน ทุกข์เพราะว่าเราไม่ยอมรับความจริง เราอยากให้ความจริงนี้เป็นไปตามความอยากของเรา คือให้เรามีแต่ของดีๆ ให้มีแต่ของที่จะไม่ชำรุดทรุดโทรม ไม่มีของที่จะจากเราไป แต่ความจริงมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น ไม่มีใครที่จะมาควบคุมบังคับสิ่งต่างๆ ที่เราไปครอบครองหรือไปเป็นเจ้าของให้มันเป็นของเราไปได้ตลอดเวลา นี่แหละคือความทุกข์ใจ ทุกข์ใจเพราะไม่ยอมรับความจริง ไม่ยอมศึกษาความจริงกัน ถ้าเราศึกษาความจริงแล้วเราสอนใจให้รับความจริง ใจของเราจะไม่ทุกข์เวลาที่เกิดการสูญเสีย เกิดการพลัดพรากจากกัน


สนทนาธรรมบนเขา
วันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๖๒
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
ณ จุลศาลา เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน