หัวข้อ: ตำนาน “หอยสังข์” ที่มาพร้อมความมงคล เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 04 พฤศจิกายน 2563 19:26:34 (https://www.silpa-mag.com/wp-content/uploads/2017/11/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B9%8C.jpg)
พระมหาสังข์พิธีพราหมณ์ (ภาพจากหนังสือ "พระราชพิธีบรมราชาภิเษก") ตำนาน “หอยสังข์” ที่มาพร้อมความมงคล ที่มา - ศิลปวัฒนธรรม ฉบับพฤษภาคม ๒๕๔๑ ผู้เขียน - พนิดา สงวนเสรีวานิช เผยแพร่ - วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ.2563 เคยสงสัยว่า ทำไมในพิธีอันเป็นมงคลอย่างงานแต่งงานจึงเจาะจงว่าต้องหลั่งน้ำจาก “หอยสังข์” แทนที่จะใช้อุปกรณ์อื่นที่ประดับประดาอย่างสวยหรู ทั้งในสมัยโบราณก็มีใช้สังข์ในการเป่าประโคมเพื่อเตรียมพร้อมขบวนศึก เพื่อประกาศศักดาและความมีชัย ฯลฯ ถ้ามองกว้างออกไป แม้แต่เรื่องสังข์ทอง ตัวเอกของเรื่องซึ่งมีศักดิ์เป็นถึงลูกกษัตริย์ ยังถูกวางโครงเรื่องให้อาศัยหอยสังข์เป็นที่กำบังกายมาแต่เกิด ไม่ใช่ความบังเอิญแต่อย่างใด แต่หอยสังข์มีความเกี่ยวพันกับธรรมเนียมโบราณหลายอย่าง… ส.พลายน้อย ได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับหอยสังข์ไว้ในหนังสือหลายๆ เล่มอย่างน่าสนใจว่า ในพงศาวดารมีการกล่าวถึงการใช้เปลือกหอยสังข์มาทำเป็นแผนผังสร้างเมืองหริภุญไชย หรือแม้แต่ในตำนานสร้างกรุงศรีอยุธยาก็ว่า ได้มีการขุดพบสังข์ทักษิณาวัฏ ซึ่งถือเป็นนิมิตมงคล เช่นเดียวกับพระสังข์ทักษิณาวัฏที่อยู่ในมังสีมีด้ามเหมือนทวย ปักอยู่ที่บุษบกพระแก้วมรกต ก็เป็นพระสังข์ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถวายบูชาไว้สำหรับรินพระสุคนธ์ลงในพระสังข์ สำหรับสรงพระแก้วมรกตเมื่อถึงคราเปลี่ยนเครื่องทรงตามฤดูกาล นอกจากในตำนานที่ว่าสังข์เป็นอาวุธของพระนารายณ์ คือใช้เป่าเป็นอาณัติสัญญาณในการสงครามแล้ว ใน‘อัฏฐพิธมงคล’ หรือมงคล ๘ ประการ ซึ่งถือเป็นของสำคัญของบ้านเมืองก็มีสังข์เป็นมงคลที่ ๓ การถือเอาสังข์เป็นมงคล มาจากตำนานซึ่งเล่าว่า เมื่อครั้งที่พระอิศวรสร้างเขาพระสุเมรุ ทรงมีประกาศิตให้พระพรหมธาดาเป็นใหญ่กว่าพรหมทั้งหลาย เป็นเหตุให้พระพรหมองค์หนึ่งเกิดจิตริษยา จุติลงมาเป็น ‘สังขอสูร’ อยู่ใต้พระมหาสมุทรเชิงเขาพระสุเมรุ เบียดเบียนเขาพระสุเมรุไม่ให้อยู่เป็นปกติสุขและคอยจ้องทำร้ายพระพรหมธาดา วันหนึ่งพระพรหมธาดาได้นำเอาคัมภีร์พระเวท พระธรรมศาสตร์ทั้งปวงลงมาเพื่อถวายพระอิศวรไว้สำหรับโลก แต่เกิดร้อนพระวรกายจึงเสด็จลงสรงน้ำที่ฝั่งพระมหาสมุทร โดยเอาคัมภีร์นั้นวางไว้เหนือฝั่งข้างพระองค์ สังขอสูรเห็นเช่นนั้นก็เกิดคิดว่า ถ้าไม่มีคัมภีร์สั่งสอนโลกแล้วเทพยดาและมนุษย์ก็จะไม่นับถือพระพรหมธาดาต่อไป จึงใช้ให้ผีเสื้อน้ำไปขโมยคัมภีร์พระเวทมา แล้วสังอสูรก็กลืนลงท้อง พระพรหมธาดาเมื่อไม่เห็นคัมภีร์ก็เสด็จไปเฝ้าพระอิศวรกราบทูลเรื่องราว หลังจากส่องญาณทราบความจริง พระอิศวรจึงให้พระนารายณ์อวตารลงไปสัประยุทธ์กับสังขอสูร พระนารายณ์เป็นฝ่ายได้ชัย ทรงล้วงพระหัตถ์ขวาเข้าไปตามช่องปากสังขอสูรเอาคัมภีร์พระเวทออกมา แล้วสังหารสังขอสูร ปากสังข์จึงกลายเป็นรอยนิ้วพระนารายณ์ถึงทุกวันนี้ แล้วพระนารายณ์ก็ตรัสว่ารอยนิ้วแห่งเราอันเป็นมงคล ซึ่งยื่นเข้าไปล้วงเอาคัมภีร์พระเวท พระธรรมศาสตร์ตามช่องแห่งปากสังข์นี้ และอุทรสังข์ก็เป็นที่ทรงไว้ซึ่งคัมภีร์พระเวท พระธรรมศาสตร์ อนึ่งพระพรหมจุติลงมาเป็นสังข์ อานุภาพมงคลทั้งสามนี้ภายหน้าต่อไป บุคคลใดจะทำการมงคล ให้เอาสังข์ไปเป่าให้ยินเสียงไปถึงสถานที่ใดก็เป็นอุดมมงคลจนสุุดเสียงสังข์นั้นแล ส่วนความนิยมในการใช้สังข์หลั่งน้ำพระพุทธมนต์ในงานมงคล ส.พลายน้อยว่า น่าจะเป็นการกำหนดขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ เพราะก่อนหน้านี้สังข์มีใช้แต่ในพิธีหลวง โดยพวกพราหมณ์เป็นผู้กระทำ ดังที่มีการกล่าวไว้ในเรื่องราชาภิเษกถึงสิ่งที่กษัตริย์ควรปฏิบัติว่า เมื่อตื่นจากพระบรรทมแล้ว ให้ชำระสรงพระพักตร์ด้วยน้ำสังข์ นอกจากนี้ ม.ร.ว.เทวาธิราช ป.มาลากุล ยังได้เล่าเรื่อง ‘ราชประเพณีการประสูติ’ ตอนหนึ่งว่า มีการหยอดน้ำพระมหาสังข์ใส่พระโอษฐ์สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอที่ประสูตรใหม่ตามบูรพราชประเพณี ที่น่าสังเกตคือ ไม่เพียงแต่ไทยที่ถือเอาสังข์เป็นมงคลนิมิต แต่ในอังกฤษแต่เดิมก็ถือว่าหอยเป็นสิ่งนำโชค ขณะที่ชาวฮินดูถือหอยสังข์ศักดิ์สิทธิ์เสมอพระลักษมี เช่นเดียวกับที่ทางทมิฬก็มีตำนานว่าพระลักษมีจุติลงมากิดเป็นหอยสังข์ |