[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => ชาดก พระเจ้า 500 ชาติ => ข้อความที่เริ่มโดย: Kimleng ที่ 05 พฤศจิกายน 2563 20:50:13



หัวข้อ: พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ เรื่องที่ เรื่องที่ ๓๙ เจติยราชชาดก : พระเจ้าเจติยราช
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 05 พฤศจิกายน 2563 20:50:13

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/13576513404647__500_320x200_.jpg)

พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ เรื่องที่ ๓๙ เจติยราชชาดก
พระเจ้าเจติยราช

          ในอดีตกาลยังมีพระราชาองค์หนึ่ง พระนามว่า พระเจ้าปริจจรราช ครองราชสมบัติอยู่ในโสตถิยนคร  ในแควนเจติ หรือเจติยรัฐ เพราะเหตุที่ทรงครองแคว้นเจติยรัฐ จึงมีผู้เรียกอีกพระนามหนึ่งว่า พระเจ้าเจติยราช
          พระเจ้าอุปริจรราช ทรงเป็นผู้แสดงฤทธิ์ได้ ๔ อย่าง คือ
          ๑. เหาะได้
          ๒. มีเทพบุตรถือพระขรรค์รักษาอยู่ทั้ง ๔ ทิศ
          ๓. พระวรกายมีกลิ่นจันทน์หอมฟุ้ง
          ๔. พระโอษฐ์มีกลิ่นดอกบัวหอมขจรขจายออกมา
          พระองค์มีพราหมณ์แก่ชื่อ กปิละ เป็นปุโรหิต
          กปิละดำรงตำแหน่งปุโรหิตมาแต่สมัยพระราชบิดาของพระเจ้าอุปริจรราช จนกระทั่งถึงสมัยของพระเจ้าอุปริจรราช
          ปุโรหิตแก่นี้มีน้องชายชื่อ โกรกลัมพกะ ซึ่งสมัยเด็กๆ เคยศึกษาเล่าเรียนมาด้วยกันกับพระเจ้าอุปริจรราช ทั้งสองคุ้นเคยรักใคร่กันมาก
          ตอนนั้นพระเจ้าอุปริจรราชยังทรงเป็นพระกุมาร ได้เคยให้สัญญากับโกรกลัมพกะไว้ว่า ถ้าพระองค์ได้ขึ้นครองราชสมบัติ ก็จะแต่งให้เขาเป็นปุโรหิต แต่ตอนนี้พระกุมารขึ้นครองราชย์แล้ว ยังไม่อาจแต่งตั้งพระสหายได้ เพราะกปิลปุโรหิตพี่ชายของพระสหายยังดำรงตำแหน่งอยู่ จะหาสาเหตุถอดถอนออกก็ไม่มีความผิดอะไร จึงทรงรู้สึกอึดอัดพระทัยมาก
          ปุโรหิตกปิละสังเกตเห็นพระราชามีอาการอึดอัดพระทัย ก็คิดว่าอาจเป็นเพราะพี่เราเป็นคนแก่ ทำอะไรไม่ทันคนหนุ่ม ถ้ากระไรเราออกบวชเสียดีกว่าแล้วให้คนวัยเดียวกับพระราชามาทำแทน คิดดังนั้นแล้วก็กราบทูลลาไปบวช แล้วทูลขอให้ทรงแต่งตั้งบุตรชายของตนดำรงตำแหน่งปุโรหิตแทน
          ครั้นออกบวชแล้ว ฤๅษีกปิละก็อาศัยอยู่ภายในพระราชอุทยานนั่นเอง ไม่ได้ไปอยู่ไหนไกล โดยมีลูกชายมีคอยดูแลอยู่เป็นประจำ
          นายโกรกลัมพะโกรธมากที่พี่ชายบวชแล้วยังทูลขอให้พระราชาแต่งตั้งลูกชายเป็นปุโรหิตแทนที่จะให้แต่งตั้งตน จึงเข้าวังทูลทวงตำแหน่งกะพระราชา
          พระราชาทรงรับปากจะแต่งตั้งให้เขาเป็นใหญ่ด้วยการโกหกสร้างหลักฐานเท็จว่ากปิละเป็นน้องชายของโกรกลัมพกะ
          เรื่องนี้พระราชาจะกระทำในวันที่เจ็ด
          ระหว่างนั้นข่าวคราวเรื่องดังกล่าวได้แพร่หลายไปสู่ประชาชน ลูกชายพระฤๅษีนำความไปบอกพระฤๅษีอย่างรีบด่วน แต่พระฤๅษีบอกลูกชายว่า เจ้าไม่ต้องวิตก พระราชาทำไม่สำเร็จหรอก
          ในวันที่เจ็ด ที่พระลานหลวงได้มีผู้คนมาประชุมกันอย่างล้นหลามเพื่อจะดูว่าพระราชาจะทรงโกหกอย่างไร การโกหกเป็นบาป พระราชาจะกล้าโกหกจริงหรือ
          เมื่อได้เวลา พระราชาก็เสด็จมานั่งอยู่กลางอากาศในขณะพระฤๅษีกปิละก็เหาะมานั่งอยู่กลางอากาศ ตรงข้ามกับพระราชา
          ครั้นมาถึงแล้ว พระฤๅษีกปิละได้ทูลถามพระราชา  พระองค์จะตรัสมุสา ทำเด็กให้เป็นผู้ใหญ่ แล้วพระราชทานยศศักดิ์ให้แก่ผู้นั้นหรือ
          พระราชาตรัสว่าจะทรงทำอย่างนั้นจริงๆ
          พระฤๅษีไม่อยากให้พระองค์ทำบาป จึงตรัสเตือนสติว่า
          “การโกหกเป็นบาปหนัก เป็นสิ่งกำจัดความดี ทำให้ไปเกิดในอบายภูมิ  เมื่อพระราชาตรัสมุสา ตรัสคำไม่เป็นธรรมอันไม่ถูกต้องชื่อว่าทำลายธรรม ทำลายธรรมแล้วก็เป็นการทำลายตนโดยแท้  ผู้ไม่ทำลายธรรมอันถูกตรงธรรมก็ไม่ทำลายเขาแม้สักหน่อยหนึ่ง พระองค์ก็อย่าทำลายธรรมที่ถูกต้องเลย อย่าตรัสมุสาเลย”
          เพื่อจะทูลเตือนถึงผลบาปที่จะตามมาจากการโกหก ฤๅษีจึงทูลต่อไปว่า
          “ถ้าพระองค์ตรัสโกหก ฤทธิ์ของพระองค์ก็จะเสื่อมไป ถ้าพระองค์ตรัสคำสัตย์ พระองค์จะทรงเป็นมหาราชผู้ทรงธรรม ประทับอยู่ในพระราชวังอย่างเป็นสุข”
          พอสดับเช่นนั้นก็ทรงกลัวอยู่เหมือนกัน แต่นายโกรกลัมพะคอยทูลปลอบโยนว่า ไม่ต้องกลัวที่เป็นคำขู่ของฤๅษี
          พระราชาจึงตัดสินพระทัยประกาศออกมาว่า
          “พระฤๅษีเป็นน้องชาย ส่วนนายโกรกลัมพะเป็นพี่ชาย ขอให้ประชาชนจงรับรู้ไว้”
          พอจบคำมุสาครั้งที่ ๑ เทพบุตรทั้ง ๔ พี่ชายคุ้มครองป้องกัน ก็กล่าวตำหนิติเตียน แล้วก็ทอดทิ้งไปไม่คุ้มครองป้องกันเหมือนแต่ก่อน
          พระโอษฐ์ที่เคยมีกลิ่นหอมของพระองค์ ก็กลายมีกลิ่นเหม็น แล้วทันใดนั้นเองพระองค์ก็ร่วงจากอากาศสู่พื้นดิน
          เป็นอันว่า ฤทธิ์ทั้งสี่ของพระองค์ ได้เสื่อมสลายไปภายในเวลาอันรวดเร็ว แม้จะทรงทดลองเหาะขึ้นก็เหาะไม่ได้เสียแล้ว
          พระฤๅษีเห็นพระราชาแล้วรู้สึกสงสารมาก จึงกล่าวทูลด้วยเมตตาว่า
          “มหาบพิตร! ขอพระองค์อย่าตกพระทัย เพียงพระองค์ตรัสคำสัตย์ไม่ตรัสมุสา ก็จะทรงเป็นพระราชามีฤทธิ์อยู่ต่อไป ประทับอยู่ในพระราชวังอย่างมีความสุขเหมือนเดิม
          แม้พระฤๅษีจะทูลดังนั้น แต่พระราชาก็กลับเชื่อโกรกลัมพะ ที่คอยเป็นกำลังใจอยู่ข้างๆ ที่คอยสอนไม่ให้หลงเชื่อพระฤๅษี พระองค์ยังตรัสเหมือนเดิมว่า 
          “พระฤๅษีเป็นน้องชายโกรกลัมพะเป็นพี่ชาย ครั้นตรัสมุสาครั้งที่สอง พระวรกายของพระราชาก็จมลงสู่พื้นดินแยกออกเป็นช่องถึงพระชงฆ์ (แข้ง)
          พระฤๅษีเห็นดังนั้นก็เกรงว่าพระราชาจะถูกแผ่นดินสูบ จึงทูลเตือนสติว่า “พระองค์ก็ทรงทราบความจริงอยู่แล้ว ไฉนจึงตรัสมุสาเสียเล่า พระองค์อย่าได้ตรัสมุสาอีกเลย หาไม่แล้วจะถูกแผ่นดินสูบลึงลงไปกว่านี้”
          แม้จะถูกแผ่นดินสูบไปจนถึงหน้าแข้งแล้ว พระราชาก็ยังไม่เชื่อพระฤๅษี กลับหันไปสบตากับโกรกลัมพะ แล้วตรัสมุสาเหมือนเดิมว่าพระฤๅษีท่านนั่นแหละเป็นน้องชาย โกรกลัมพะเป็นพี่ชายของท่าน
          พอสิ้นคำโกหกครั้งที่ ๓ แผ่นดินก็สูบพระราชาไปจนถึงเข่า พระฤๅษีรีบกราบทูลว่า “ทั้งๆ ที่พระองค์ทรงทราบความจริงว่าเป็นอย่างไร แต่กลับตรัสคำเท็จเสียนี่ ลังขังของพระราชา (ลิ้น) ของพระองค์จะแตกเป็นสองแฉกเช่นลิ้นงู ขอพระองค์อย่าตรัสมุสาอีกเลย”
          พระราชายังไม่รู้สำนึกพระองค์ ยังตรัสโกหกเป็นครั้งที่ ๔ ว่า “ไม่ว่าจะอย่างไรท่านก็ยังเป็นน้องชาย ส่วนโกรกลัมพะเป็นพี่ชายเหมือนเดิม”
          ขณะนั้นแผ่นดินได้สูบพระราชาไปถึงบั้นเอว
          พระฤๅษีทูลว่า “ผลร้ายของการกล่าวมุสาคำเท็จทั้งๆ ที่รู้อยู่ พระองค์จะกลายเป็นคนไม่น่าเชื่อถือ เป็นเหมือนปลาที่ไม่มีลิ้น พระองค์หยุดกล่าวมุสาเถิด”
          พระราชายังตรัสมุสาเป็นครั้งที่ ๕ ว่า “ท่านเป็นน้องชาย โกรกลัมพะเป็นพี่ชาย”
          คำโกหกครั้งที่ ๕ แผ่นดินก็สูบพระราชาไปจนถึงท้อง
          พระฤๅษีรีบทูลว่า “พระองค์ตรัสคำโกหกทั้งที่รู้อยู่ ผลกรรมที่ตามมา พระองค์จะมีแต่พระธิดา ไม่มีพระโอรส ขอพระองค์ทรงทราบไว้”
          แม้แผ่นดินจะสูบมาถึงขั้นนี้แล้ว พระราชายังไม่ทรงรู้สึกพระองค์สักน้อยนิด กลับตรัสโกหกเหมือนเดิมเป็นครั้งที่หก
          พอสิ้นคำโกหกครั้งที่ ๖ แผ่นดินก็สูบพระราชาไปถึงหน้าอก
พระฤๅษีรีบกล่าวว่า “พระองค์เลิกตรัสคำเท็จเถิด โปรดตรัสแต่คำสัตย์อย่างเดียว จะได้พ้นภัยทั้งปวง พระราชาที่ตรัสมุสาจะไม่มีพระโอรส ถ้ามีอยู่แล้วก็จะพากันหนีไปหมด”
          ไม่ว่าพระฤๅษีจะทูลเตือนสติอย่างไร พระราชาก็ตรัสโกหกเหมือนเดิมอีกเป็นครั้งที่เจ็ด
          พอสิ้นคำโกหกแผ่นดินได้แยกออกเป็นช่องลึกลงไป มีเปลวไฟลุกโพลงขึ้นมาเผาร่างของพระราชาให้มอดไหม้หล่นหายลงไปในหลุมนรก ประชาชนที่พากันมาชุมนุมเห็นเหตุการณ์อันสยดสยองต่างพากันตกใจกลัวร้องขึ้นเป็นเสียงเดียวกันว่า “พระราชาใส่ร้ายพระฤๅษีผู้ทรงศีล ทำให้ต้องตกนรกหมกไหม้ทันตาเห็น”
          ฝ่ายพระโอรสทั้งห้าพระองค์ของพระราชา ได้ทรงเห็นเหตุการณ์นั้นด้วย ทรงตระหนกหวาดหวั่นพระทัย เข้าไปหมอบกราบพระฤๅษี ทรงอ้อนวอนขอให้พระฤๅษีเป็นที่พึ่ง
          พระฤๅษีปลอบโยน แล้วแนะนำให้พากันไปอยู่ในแผ่นดินใหม่ ทูลให้พระโอรสองค์ใหญ่เสด็จไปทางทิศตะวันออกไปสร้างเมืองอยู่ที่นั่น นครกลวงของเมืองนั้นจึงมีชื่อว่า หัตถิปุร
          แนะนำให้พระโอรสองค์ที่สองเสด็จไปทางทิศใต้ไปสร้างเหมืองใหม่อยู่ที่นั่น จึงมีเมืองหลวงชื่อ อัสสปุร
          แนะนำให้พระโอรสองค์ที่สามให้เสด็จไปทางทิศตะวันตกให้ไปสร้างเมืองอยู่ที่นั่น แล้วจึงมีเมืองหลวงชื่อ สีหปุร
          แนะนำพระโอรสองค์ที่สี่ เสด็จไปทางทิศเหนือ ให้ไปสร้างเมืองอยู่ที่นั่น แล้วจึงมีเมืองหลวงชื่อ อุตตรบัญชร
          แนะนำพระโอรสองค์ที่ห้าให้เสด็จไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ให้ไปสร้างเมืองใหม่ที่นั่น แล้วจึงมีเมืองหลวงชื่อ ทัทธปุร
          พระโอรสทั้งห้าพระองค์สร้างเมืองใหม่จนสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ทรงนำคุณธรรมว่าด้วยเรื่องความสัตย์มาประพฤติปฏิบัติตาม ไม่เอาเยี่ยงอย่างของพระบิดาที่ตรัสคำโกหก ทั้งห้าพระองค์ทรงปกครองประชาชนให้มีความสุขตลอดมา
 

ธรรมนิทานชาดกเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“การโกหกมดเท็จทำให้ชีวิตเดือดร้อน”

พุทธศาสนสุภาษิตประจำเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
อภูตวาที นิรยํ อุเปติ
คนพูดเท็จย่อมพาให้ตกนรก (๒๕/๔๖)


คัดจาก : หนังสือ พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ ฉบับสมบูรณ์ / จัดพิมพ์เพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดย สถาบันบันลือธรรม