[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => ชาดก พระเจ้า 500 ชาติ => ข้อความที่เริ่มโดย: Kimleng ที่ 11 มีนาคม 2564 18:33:29



หัวข้อ: พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ เรื่องที่ เรื่องที่ ๔๔ ธัมมัทรชาดก : ธรรมธัชบัณฑิต
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 11 มีนาคม 2564 18:33:29

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/13576513404647__500_320x200_.jpg)

พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ เรื่องที่ ๔๔ ธัมมัทรชาดก
ธรรมธัชบัณฑิต

          ในอดีตกาล พระราชาพระนามว่า ยศปาณี เสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี มีเสนาบดีชื่อ กาฬกะ ในครั้งนั้นพระโพธิสัตว์ได้เป็นปุโรหิตของพระเจ้ายศปาณีนั้นชื่อ ธรรมธัช ส่วนช่างตัดผมของพระองค์ ชื่อ ฉัตรปาณี พระราชาทรงครองราชสมบัติโดยธรรม
          เสนาบดีของพระองค์ เมื่อจะวินิจฉัยคดีย่อมกินสินบน รับสินบนแล้วย่อมทำให้ผู้ที่มิใช่เจ้าของให้เป็นเจ้าของ ดุจคนคอยกินเนื้อสันหลังของผู้อื่น  อยู่มาวันหนึ่ง ชาวบ้านคนหนึ่งถูกตัดสินให้แพ้คดีที่ศาล พวกญาติๆ ประคองแขนสะอึกสะอื้นออกจากศาล เห็นปุโรหิตกำลังไปทำราชการ จึงซบลงที่เท้าปุโรหิตเล่าเรื่องที่ตนแพ้คดีว่า “ข้าแต่นาย เมื่อคนเช่นท่านถวายอรรถและธรรมแด่พระราชายังอยู่ กาฬกะเสนาบดีรับสินบนทำผู้ที่ไม่เป็นเจ้าของให้เป็นเจ้าของ”
          ปุโรหิตเกิดความสงสารกล่าวว่า “มาเถิดพ่อหนุ่มเราจักวินิจฉัยคดีของท่านเอง” แล้วพาชาวบ้านไปยังศาล ปุโรหิตกลับตัดสินให้เจ้าของนั้นแหละเป็นเจ้าของ ชาวเมืองต่างยินดีกับชาวบ้าน เสียงนั้นได้อึกทึกไปทั่วเมือง พระราชาทรงสดับเสียงนั้นตรัสถามว่า “นั่นเสียงอะไร”
          อำมาตย์กราบทูลว่า “ขอเดชะ ธรรมธัชบัณฑิตตัดสินคดีที่กาฬกะเสนาบดีตัดสินไว้ผิดให้ถูก นั่นเป็นเสียงสรรเสริญเยินยอ พระพุทธเจ้าข้า”
          พระราชาทรงดีใจตรัสให้หาปุโรหิตตรัสถามว่า “ท่านอาจารย์ได้ยินว่าท่านตัดสินคดีหรือ”
          ปุโรหิตกราบทูลว่า “ข้าแต่มหาราช! ถูกแล้วพระเจ้าข้า ท่านกาฬกะเสนาบดีตัดสินไว้ไม่ดี ข้าพระพุทธเจ้าจึงวินิจฉัยใหม่”
          พระราชาตรัสว่า ตั้งแต่นี้ไปขอให้ท่านจงตัดสินคดีเถิด เราจะได้สบายหู ทั้งประชาชนจะได้มีความเจริญ แล้วทรงขอร้องว่า ท่านจงนั่งที่ตัดสินคดีเพื่ออนุเคราะห์ต่อราษฎรเถิด แม้ปุโรหิตไม่ปรารถนา ก็ได้ทำตามพระประสงค์ ตั้งแต่นั้นมาก็นั่ง ณ ที่ตัดสินคดี กระทำผู้เป็นเจ้าของให้เป็นเจ้าของ
          กาฬกะเสนาบดี เมื่อไม่ได้รับสินบนตั้งแต่นั้นมาก็เสื่อมจากลาภ จึงทูลเท็จพระราชาให้บาดหมางปุโรหิตว่า “ข้าแต่มหาราช ท่านปุโรหิตปรารถนาราชสมบัติของพระองค์”
          พระราชาไม่ทรงเชื่อ ทรงห้ามว่าท่านอย่าพูดอย่างนั้น เมื่อเสนาบดีกราบทูลอีกว่า หากพระองค์ไม่ทรงเชื่อ ขอจงทรงคอยทอดพระเนตรที่ตัดสินคดีในเวลาที่ปุโรหิตมาเถิด พระองค์จะทรงเห็นพระนครทั้งสิ้นถูกปุโรหิตกำไว้ในเงื้อมมือของตน พระราชาทอดพระเนตรขบวนพวกลูกความของปุโรหิต ทรงเข้าใจว่าเป็นพวกของปุโรหิต ทรงแหนงพระทัย ตรัสถามว่า “เราจะทำอย่างไร”
          เสนาบดีกราบทูลว่า “ขอเดชะ ควรฆ่าปุโรหิตเถอะพระเจ้าข้า”
          พระราชาตรัสว่า “เรายังไม่เห็นโทษร้ายแรงจะฆ่าเขาอย่างไรได้”
          อำมาตย์กราบทูลว่า “มีอุบายอย่างหนึ่งพระเจ้าข้า”
          ตรัสถามว่าอุบายอย่างไร กราบทูลว่า “ขอพระองค์ทรงยกกรรมอันให้แก่ปุโรหิตนั้น แล้วฆ่าเขาผู้ไม่สามารถทำกรรมนั้นได้เสีย โดยความผิด นั้นเถิดพระเจ้าข้า”
          ตรัสถามว่า “ก็กรรมอันเหลือวิสัยของปุโรหิตเป็นอย่างไร”
          กราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ ธรรมดาอุทยานที่ปลูกสร้างในพื้นดินแข็งบำรุงอยู่ จะให้ผลใน ๓-๔ ปี ขอพระองค์ตรัสเรียกปุโรหิตนั้นมา” แล้วตรัสว่า
          “ท่านปุโรหิตเราประพาสอุทยานเก่ามานานแล้ว บัดนี้ประสงค์จะประพาสอุทยานใหม่ พรุ่งนี้เราจะไปประพาสอุทยาน ท่านจงสร้างอุทยานให้เราเถิด”
          ปุโรหิตนั้นคงสร้างไม่ได้เป็นแน่ ทีนี้แหละ พระองค์จักสำเร็จโทษปุโรหิตซะ  พระราชาตรัสเรียกปุโรหิตมาตรัสตามที่กาฬกะเสนาบดีทูลอุบายทุกประการ  ปุโรหิตทราบว่าพระราชาถูกกาฬกะเสนาบดีผู้ไม่ได้รับสินบนยุยงแล้ว กราบทูลว่า “ขอเดชะ ข้าพระองค์สามารถจักรู้เอง” เขากลับไปเรือนบริโภคอาหารอย่างดี นอนคิดตรองอยู่บนที่นอน พิภพของท้าวสักกะได้แสดงอาการร้อน พระอินทร์ตรวจดูก็รู้ความคิดของปุโรหิต รีบเสด็จมาเข้าห้องอันมีสิริ ประทับยืนอยู่บนอากาศ ตรัสถามว่า “บัณฑิตท่านคิดอะไร”
          ปุโรหิตถามว่า “ท่านเป็นใคร”
          “เราเป็นท้าวสักกะ”
          ปุโรหิตจึงบอกว่า “พระราชาให้ข้าพระองค์สร้างอุทยานใหม่ ข้าพระองค์คิดว่า จักทำอย่างไรจึงจะสร้างได้”
          ท้าวสักกะตรัสว่า บัณฑิตท่านอย่าคิดเลย เราจักเนรมิตอุทยานเช่นกับสวนนันทวันและจิตรลดา ให้ท่าน ท่านจะให้สร้างที่ไหน”
          ปุโรหิตทูลว่า “ขอจงสร้างอุทยาน”
          ท้าวสักกะเนรมิตแล้วก็เสด็จกลับเทพนคร รุ่งขึ้นปุโรหิตเห็นอุทยานโดยประจักษ์ แล้วจึงไปกราบทูลพระราชาว่า
          “ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท อุทยานสำหรับพระองค์สำเร็จแล้ว ขอจงเสด็จประพาสเถิด”
          พระราชาเสด็จไปทอดพระเนตรเห็นอุทยานแวดล้อมด้วยปราการมีสีดังมโนสิลา สูง ๑๘ ศอก มีประตูรอบครบครัน ประดับด้วยดอกไม้นานาพรรณ ผลิดอกออกผลสะพรั่ง
          จึงตรัสถามกาฬกะเสนาบดีว่า “บัณฑิตได้ทำตามคำสั่งของเราแล้ว บัดนี้เราจะทำอย่างไรต่อไป”
          “ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท บัณฑิตได้ทำตามคำสั่งของเราแล้ว บัดนี้เราจะทำอย่างไรต่อไป”
          พระราชาตรัสถามว่า “บัดนี้เราจะทำอย่างไรต่อไป”
          “จะให้ทำกรรมที่สุดวิสัยอย่างอื่น พระเจ้าข้า”
          “กรรมอะไร”
          “ขอจงโปรดให้สร้างสระบัวด้วยแก้ว ๗ ประการ”
          พระราชารับว่า “ดีละ” จึงตรัสเรียกปุโรหิตมาแล้วตรัสว่า
          “อาจารย์ อุทยานท่านได้สร้างเสร็จแล้ว ท่านจงสร้างสระน้ำด้วยแก้ว ๗ ประการ อันสมควรแก่อุทยานนี้เถิด ถ้าไม่สามารถสร้างได้ ชีวิตท่านจะหาไม่”
          ปุโรหิตกราบทูลว่า “ข้าแต่มหาราช ข้าพระองค์สามารถจักสร้างถวายได้ พระเจ้าข้า”
          ลำดับนั้น ท้าวสักกะจึงเนรมิตสระบัวอันงดงามยิ่งเท่าสนามร้อยหนึ่ง มีเขาวงกตพันหนึ่ง ดาดาดไปด้วยดอกปทุมห้าสีเช่นกับสระบัว
          รุ่งขึ้นปุโรหิตได้ทำสระนั้นให้ประจักษ์แล้ว จึงกราบทูลพระราชาว่า “ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าสร้างสระบัวเสร็จแล้วพระเจ้าข้า”
          พระราชาทอดพระเนตรเห็นสระบัวนั้น จึงตรัสถามกาฬกะว่า “เราจะทำอย่างไรต่อไป”
          กาฬกะกราบทูลว่า “ขอเดชะ พระองค์จงสั่งให้สร้างคฤหาสน์อันคู่ควรแก่อุทยานเถิด”
          พระราชาตรัสว่า “ท่านอาจารย์บัดนี้ท่านจงสร้างคฤหาสน์อันล้วนแล้วไปด้วยงาช้าง สมควรแก่อุทยานนี้และสระบัวเถิด หากสร้างไม่ได้ชีวิตของท่านจะหาไม่”
          ครั้นแล้ว ท้าวสักกะก็เนรมิตคฤหาสน์ให้แก่ปุโรหิต รุ่งขึ้นปุโรหิตทำคฤหาสน์นั้นให้ประจักษ์ แล้วกราบทูลแด่พระราชา พระราชาทอดพระเนตรเห็นคฤหาสน์นั้นแล้ว จึงตรัสถามกาฬกะว่า “บัดนี้จะทำอย่างไรต่อไป”
          “ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ขอพระองค์จงรับสั่งให้สร้างแก้วมณีอันสมควรแก่คฤหาสน์ล้วนแล้วไปด้วยงานี้เถิด เราจักเที่ยวเดินด้วยแสงสว่างแห่งแก้วมณี หากท่านสร้างไม่ได้ ชีวิตของท่านจะไม่มี”
          ครั้งนั้น ท้าวสักกะเนรมิตแก้วมณีให้ปุโรหิต รุ่งขึ้นปุโรหิตกระทำแก้วมณีนั้นให้ประจักษ์ แล้วกราบทูลแด่พระราชา พระราชาทอดพระเนตรเห็นแก้วมณีนั้น ตรัสถามกาฬกะ “บัดนี้เราจะทำอย่างไรต่อไป”
          กาฬกะกราบทูลว่า “ข้าแต่มหาราช เห็นจะมีเทวดาคอยเนรมิตให้สิ่งที่ปรารถนาแก่พราหมณ์ธรรมธัชเป็นแน่ คราวนี้สิ่งใดแม้เทวดาก็ไม่สามารถเนรมิตได้ ขอพระองค์จงรับสั่งสิ่งนั้นเถิด แม้เทวดาก็ไม่สามารถเนรมิตมนุษย์ผู้ประกอบด้วยองค์ ๔ ได้ เพราะฉะนั้น ขอพระองค์จงรับสั่งกะธรรมธัชว่าท่านจงสร้างคนรักษาอุทยานประกอบด้วยองค์ ๔ เถิด”
          พระราชาตรัสเรียกปุโรหิตมาแล้วตรัสว่า “อุทยานสระบัวและปราสาทอันแล้วด้วยงา และแก้วมณีสำหรับส่องแสงสว่างแก่ปราสาท  ท่านสร้างให้แก่เราเสร็จแล้ว บัดนี้ท่านจงสร้างคนรักษาอุทยานประกอบด้วยองค์ ๔ ทำหน้าที่รักษาอุทยานแก่เราเถิด หากท่านสร้างไม่ได้ชีวิตจะไม่มี”
          ปุโรหิตกราบทูลว่า “ขอจงยกไว้เป็นพนักงานเถิด เมื่อข้าพระองค์ได้รู้จักเอง”
          จึงกลับไปบ้านบริโภคอาหารอย่างดีแล้ว นอนตื่นขึ้นในตอนรุ่ง นั่งคิดอยู่บนหลังที่นอนว่า ท้าวสักกเทวราชสามารถเนรมิตแต่สิ่งที่ตนเนรมิตได้ แต่คงไม่สามารถเนรมิตคนเฝ้าอุทยานประกอบด้วยองค์ ๔ ได้  เมื่อเป็นเช่นนี้ การตายอย่างอนาถาในป่านั่นแลดีกว่าตายในเงื้อมมือของผู้อื่น  ปุโรหิตมิได้บอกเล่าแก่ใครๆ ลงจากเรือนออกจากพระนครทางประตูใหญ่ เข้าป่านั่งรำพึงถึงธรรมของท้าวสักกะที่โคนต้นไม้ต้นหนึ่ง
          ท้าวสักกะทราบเหตุนั้น จึงแปลงเป็นพรานไพรเข้าไปหาปุโรหิต เมื่อจะตรัสถามความนี้ว่า
          “พราหมณ์ท่านเป็นผู้เข้มแข็งคนหนึ่ง ข้าไม่เคยเห็นทุกข์ยากมาก่อนเลย ท่านอยู่เป็นสุขแล้ว ได้ออกจากแว่นแคว้นมาสู่ป่าอันสงัดเงียบ ท่านนั้นนั่งซบเซาอยู่ที่โคนต้นไม้แต่ผู้เดียว เหมือนคนกำพร้า
          ปุโรหิตได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวว่า “เราอยู่เป็นสุขแล้ว ได้ออกจากแว่นแคว้นมาอยู่ป่าสงัดเงียบ ระลึกถึงธรรมของสัตบุรุษอยู่ นั่งซบเซาอยู่ที่โคนต้นไม้แต่ผู้เดียว เหมือนคนกำพร้า”
          ท่านสักกะจึงตรัสถามว่า “พราหมณ์เมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดท่านจึงนั่งอยู่ที่นี่เล่า”
          ปุโรหิตตอบว่า “พระราชารับสั่งให้หาบุคคลผู้รักษาสวนประกอบด้วยองค์ ๔ แต่ข้าพเจ้าไม่อาจหาบุคคลผู้รักษาสวนประกอบด้วยองค์ ๔  ข้าพเจ้าไม่อาจหาบุคคลเช่นนั้นได้ จึงคิดว่าจะมีประโยชน์อะไรด้วย ความตายในเงื้อมมือของผู้อื่น เราจักเข้าป่าไปตายอย่างอนาคต จึงได้มานั่งอยู่ที่นี่”
          ท้าวสักกะตรัสว่า “พราหมณ์เราคือท้าวสักกะ เราเนรมิตสวนให้ท่านแล้ว แต่ไม่สามารถจะเนรมิตผู้รักษาสวนซึ่งประกอบด้วยองค์ ๔ ได้”
          “ช่างตัดผมแต่งทรงผมของพระราชาที่ชื่อว่า ฉัตตปาณี เป็นผู้ประกอบด้วยองค์ ๔ เมื่อมีความต้องการผู้รักษาสวน ท่านจงกราบทูลให้ทรงแต่งตั้งช่างตัดผมนั้นเป็นผู้รักษาสวนเถิด”
          ท้าวสักกเทวราชประทานโอวาทแก่ปุโรหิตแล้ว ทรงปลอบโยนว่า อย่ากลัวเลย แล้วเสด็จคืนสู่เทพบุรีของพระองค์ ปุโรหิตไปบ้านบริโภคอาหารแล้วไปถึงประตูพระราชวัง พบฉัตตปาณีที่ประตูพระราชวังนั้น จับมือฉัตตปาณีแล้วถามว่า “สหายฉัตตปาณีได้ข่าวว่าท่านประกอบด้วยองค์ ๔ หรือ”
          เมื่อฉัตตปาณีถามว่า “ใครเป็นผู้บอกท่านว่า ข้าพเจ้าประกอบด้วยองค์ ๔”
          “ท้าวสักกเทวราช”
          ฉัตตปาณีถามว่า “เหตุใดจึงบอก”
          ปุโรหิตจึงเล่าเรื่องทั้งหมดว่าด้วยเหตุนี้
          ฉัตตปาณีกล่าวว่า “ถูกแล้ว ข้าพเจ้าเป็นผู้ประกอบด้วยองค์ ๔ ลำดับนั้น”
          ปุโรหิตจึงจับมือฉัตตปาณีไปเฝ้าพระราชา ทูลว่า “ข้าแต่มหาราช ฉัตตปาณีนี้เป็นผู้ประกอบด้วยองค์ ๔ เมื่อมีความต้องการผู้รักษาสวน ขอจงตั้งฉัตตปาณีนี้เป็นผู้รักษาสวนเถิด พระเจ้าข้า”
          พระราชาตรัสถามฉัตตปาณีว่า “ได้ยินว่าท่านเป็นผู้ประกอบด้วยองค์ ๔ หรือ”
          “ถูกแล้ว พระเจ้าข้า”
          พระราชาตรัสถามว่า “ท่านเป็นผู้ประกอบด้วยองค์ ๔ คืออะไร”
          ฉัตตปาณีทูลว่า “ขอเดชะ ข้าพระองค์เป็นผู้ไม่ริษยา เป็นผู้ไม่ดื่มน้ำเมา เป็นผู้ไม่ติดในความรัก เป็นผู้ตั้งมั่นอยู่ในความไม่โกรธ
          ข้าแต่มหาราช ชื่อว่าความริษยาไม่มีแก่ข้าพระองค์ น้ำเมาข้าพระองค์ไม่เคยดื่ม ความรักก็ดี ความโกรธก็ดี ไม่เคยมีในผู้อื่น ข้าพระองค์ประกอบด้วยองค์ ๔ เหล่านี้”
          พระราชาตรัสถามว่า “ฉัตตปาณี ท่านเป็นผู้ไม่ริษยาหรือ”
         “ขอเดชะ ถูกแล้วพระเจ้าข้า ข้าพระองค์เป็นผู้ไม่ริษยา”
          พระราชากล่าวว่า “ท่านเห็นเหตุอะไร จึงเป็นผู้ไม่ริษยา”
          ฉัตตปาณีกราบทูลว่า “ขอเดชะ ขอพระองค์จงทรงโปรดฟัง เมื่อจะกล่าวถึงเหตุของการไม่ริษยา จึงกล่าวว่า “ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ข้าพระพุทธเจ้าได้สั่งให้จองจำปุโรหิต เพราะหญิงเป็นเหตุ ปุโรหิตนั้นให้ข้าพระองค์ตั้งอยู่ในประโยชน์แล้ว เพราะฉะนั้นข้าพระองค์จึงไม่ริษยา”
          ข้าพระองค์นี้แหละ เมื่อก่อนเป็นพระราชาในกรุงพาราณสีนี้เองเช่นกับพระองค์ ให้จองจำปุโรหิตเพราะสตรีเป็นเหตุ คือ ครั้งหนึ่งช่างทำผมฉัตตปาณีนี้เป็นพระราชา ถูกพระเทวีผู้ลักลอบกับพวกข้าบาทมูล ๖๔ นาย ผู้หวังจะให้ปุโรหิตซึ่งไม่สนใจตนให้พินาศ ทูลยุยงให้ถูกจำคุก แล้วกล่าวว่า 
          “คนพาลแย้มพรายออกมาในที่ใด คนที่ไม่ถูกจองจำก็ย่อมถูกจองจำในที่นั้น ส่วนนักปราชญ์แย้มพรายออกมาในที่ใด ถึงคนที่ถูกจองจำแล้ว ก็ย่อมหลุดออกมาได้ในที่นั้น”
          ในครั้งนั้นปุโรหิตถูกจองจำนำไปเฝ้า จึงกราบทูลโทษขอพระเทวีตามเป็นจริง ให้รอดพ้นเอง ได้ทูลให้ปลดปล่อยพวกข้าบาทมูลที่รับสั่งให้จองจำนั้นทั้งหมด ถวายโอวาทว่า
          “ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ขอพระองค์จงทรงนิรโทษให้แก่พวกข้าบาทมูลเหล่านั้น และพระเทวีเถิดพระเจ้าข้า
          เรื่องราวทั้งหมดพึงทราบโดยพิสดารตามนัยที่กล่าวแล้วในหนหลัง
          ฉัตตปาณีจึงกล่าวว่า “ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท เพราะหญิงเป็นเหตุ เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่ริษยา”
          ก็ในกาลนั้นพระราชาฉัตตปาณีนั้น คิดว่าเราละเลยสนมหนึ่งหมื่นหกพัน คลอเคลียอยู่กับพระเทวีเพียงนางเดียวเท่านั้นด้วยอำนาจกิเลส ยังไม่สามารถจะให้นางอิ่มหนำได้ ขึ้นชื่อว่าการโกรธต่อหญิงทั้งหลายที่ให้เต็มได้ยาก อย่างนี้ก็เช่นกับการโกรธผ้านุ่งที่เศร้าหมองว่า เหตุใดจึงเศร้าหมองและเป็นเช่นกับการโกรธ อาหารที่บริโภคแล้วกลับเป็นคูถ ว่าทำไมจึงกลับเป็นคูถ ต่อแต่นี้ไปเราขออธิษฐานว่า ยังไม่บรรลุอรหัตตราบใด ขอความริษยาจงอย่าเกิดแก่เราเพราะอาศัยกิเลสตราบนั้น ตั้งแต่นั้นมาพระราชามิได้ทรงริษยาเลย
          ลำดับนั้น พระราชาตรัสถามว่า ท่านฉัตตปาณี ท่านเห็นอารมณ์อันใดจึงเป็นผู้ไม่ดื่มน้ำเมา ฉัตตปาณีเมื่อจะกราบทูลว่า “ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ข้าพระพุทธเจ้าเมาแล้วจึงได้กินเนื้อบุตร ข้าพระพุทธเจ้าถูกความโศกถึงบุตรนั้นกระทบแล้ว จึงเว้นการดื่มน้ำเมา”
          เมื่อครั้งก่อนข้าพระองค์เป็นพระเจ้าพาราณสีเช่นเดียวกับพระองค์ ขาดน้ำเมาเสียแล้วก็ไม่สามารถจะดำเนินชีวิตไปได้ แม้อาหารที่ไม่มีเนื้อก็ไม่สามารถบริโภคได้ ที่พระนครไม่มีการฆ่าสัตว์ในวันพระ พ่อครัวซื้อเนื้อมาเก็บไว้แต่วันโกน เนื้อนั้นเก็บไว้ไม่ดี สุนัขจึงกินเสียหมด พ่อครัวหาเนื้อในวันพระไม่ได้ จึงปรุงอาหารมีสำหรับรสเลิศต่างๆ สำหรับพระราชา ยกขึ้นไปบนปราสาท แต่ไม่อาจนำเข้าไปได้ จึงเข้าไปเฝ้าพระเทวีกราบทูลว่า “ข้าแต่พระเทวี วันนี้ข้าพระองค์หาเนื้อไม่ได้ จึงไม่อาจนำพระกระยาหารที่ไม่มีเนื้อเข้าไปถวายได้ ข้าพระองค์จะทำอย่างไรดี”
          พระเทวีตรัสว่า “นี่แน่ะเจ้าโอรสของเราเป็นที่รักโปรดปรานของพระราชา พระราชาทรงเห็นโอรสของเราแล้ว ก็จะทรงกอดโอรสนั้นเพลินจนไม่ทรงทราบว่าเนื้อมีหรือไม่มีสำหรับพระองค์ เราจะแต่งตัวโอรสแล้วให้นั่งบนพระเพลาของพระราชา เวลาที่พระองค์ทรงหยอกล้อพระโอรส ท่านจึงค่อยนำพระกระยาหารเข้าไปถวาย”
          พระเทวีตรัสดังนั้นแล้วจึงตกแต่งพระราชกุมารโอรสของพระองค์ให้นั่งบนพระเพลาของพระราชา ในเวลาที่พระราชาทรงหยอกล้อเล่นกับพระโอรส พ่อครัวจึงนำพระกระยาหารเข้าไปถวาย
          พระราชาทรงเมาสุราไม่ทรงเห็นเนื้อในถาด จึงตรัสถามว่า “เนื้ออยู่ที่ไหน” พ่อครัวกราบทูลว่า
“ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ข้าพระองค์หาเนื้อไม่ได้ เพราะวันนี้เป็นวันพระ ไม่มีการฆ่าสัตว์”
          จึงตรัสว่า “ชื่อว่าเนื้อสำหรับเราหาได้ยากนักหรือ” จึงทรงหักคอพระโอรสที่นั่งอยู่บนพระเพลาจนถึงสิ้นพระชนม์ โยนไปข้างหน้าพ่อครัว ตรัสว่า “จงไปปรุงมาโดยเร็ว”
          พ่อครัวได้ทำตามรับสั่ง พระราชาได้เสวยพระกระยาหารด้วยเนื้อพระโอรสแล้ว มิได้มีผู้สามารถร่ำไห้ทัดทานแม้แต่คนเดียว เพราะกลัวพระราชา พระราชาครั้นเสวยเสร็จแล้วเสด็จเข้าห้องบรรทม ทรงตื่นบรรทมตอนใกล้รุ่ง ทรงสร่างเมาแล้วรับสั่งว่า “จงนำโอรสของเรามา”   
          ในกาลนั้น พระเทวีหมอบกันแสงร่ำไห้อยู่แทบพระบาท เมื่อพระราชาตรัสถามว่า “กันแสงเรื่องอะไร”
          “ข้าแต่พระองค์ เมื่อวานนี้พระองค์ทรงฆ่าพระโอรสแล้วเสวย
          ด้วยความโศกถึงพระโอรส ทรงเห็นโทษในการดื่มน้ำเมาว่า ทุกข์นี้เกิดขึ้นแก่เรา เพราะอาศัยการดื่มน้ำเมา แล้วทรงกำฝุ่นขึ้นมาทาพระพักตร์ ทรงอธิษฐานว่า ตั้งแต่นี้ไปเรายังไม่บรรลุพระอรหัต เราจักไม่ดื่มสุราอันทำความพินาศเช่นนี้ตราบนั้น ตั้งแต่นั้นมา พระองค์มิได้ทรงดื่มน้ำเมาอีกเลย
          ลำดับนั้น พระราชาตรัสถามฉัตตปาณีว่า ฉัตตปาณีท่านเห็นอารมณ์อะไรหรือ จึงไม่มีความรัก
          ฉัตตปาณีจึงกล่าวว่า “ข้าพระองค์เป็นพระราชาพระนามว่า กิตวาส โอรสของข้าพระองค์ทำลายบาตรของพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วสิ้นชีวิต ข้าพระองค์ไม่มีความรักเพราะโอรสนั้นเป็นเหตุ”
          แล้วเล่าความเป็นมาว่า
          ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท เมื่อครั้งก่อน ข้าพระองค์เป็นพระราชานามว่า กิตวาส ในกรุงพาราณสี โอรสของข้าพระองค์ได้ประสูติ ครั้นประสูติแล้ว โหรเห็นลักษณะพระโอรสแล้วทำนายว่า
           “ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท พระอาญาไม่พ้นเกล้า พระโอรสนี้จักอดน้ำสิ้นพระชนม์ พระเจ้าข้า
          พระชนกชนนีทรงขนานนามพระโอรสนั้นว่า ทุฏฐกุมาร กุมารนั้นครั้นเจริญวัยแล้ว ได้ดำรงตำแหน่งเป็นอุปราช 
          พระราชาโปรดให้พระกุมารตามเสด็จ ข้างหน้าบ้าง ข้างหลังบ้างเสมอ และเพราะเกรงพระโอรสจะอดน้ำตาย จึงรับสั่งให้ขุดสระบัวไว้ในที่นั้นๆ ภายในพระนครในประตูทั้งสี่ด้าน รับสั่งให้สร้างศาลาไว้ตามสี่แยกเป็นต้น แล้วให้ตั้งตุ่มน้ำดื่มไว้
          วันหนึ่งพระกุมารแต่งพระองค์เสด็จประพาสอุทยานแต่เช้าตรู่ พบพระปัจเจกพุทธเจ้าในระหว่างทาง มหาชนเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วต่างก็กราบไหว้สรรเสริญและประคองอัญชลีแต่พระปัจเจกพุทธเจ้านั้น พระกุมารนั้นคิดว่า พวกที่ไปกับคนเช่นเราพากันกราบไหว้สรรเสริญประคองอัญชลีแด่สมณะโล้นนี้ ทรงพิโรธ ลงจากช้างเข้าไปหาพระปัจเจกพุทธเจ้า ตรัสถามว่า สมณะท่านได้ภัตตาหารแล้วหรือ” พระปัจเจกพุทธเจ้าบอกว่า
          “ได้แล้วพระกุมาร พระกุมารจึงแย่งบาตรจากมือพระปัจเจกพุทธเจ้าทุ่มลงบนพื้นดิน เหยียบย่ำยีภัตตาหารให้แหลกไป”
          พระปัจเจกพุทธเจ้าแลดูหน้าพระกุมารนั้น คิดว่าสัตว์ผู้นี้ทีจะวอดวายเสียแล้วหนอ
          พระกุมารตรัสว่า “สมณะเราเป็นโอรสของพระเจ้ากิตวาส มีนามว่า ทุฏฐกุมาร ท่านโกรธเรา มองดูตาเรา จะทำอะไรเรา”
          พระปัจเจกพุทธเจ้าบาตรตกแล้วจึงเหาะขึ้นสู่เวหาไปสู่เงื้อมเขานันทมูล ในป่าหิมพานต์ เบื้องทิศเหนือ ขณะนั้นเองกรรมชั่วของพระกุมารก็ให้ผลทันตา พระกุมารมีพระวรกายเร่าร้อนพลุ่มพล่าน ตรัสว่า
          “ร้อนเหลือเกิน ล้มลงที่นั้นเอง”
          น้ำทั้งหมดที่มีอยู่ ณ ที่นั้นๆ ก็เหือดแห้ง สระทั้งหลายก็แห้งผาด พระกุมารสิ้นชีวิตที่นั้นเอง ไปบังเกิดในนรกอเวจี
          พระราชาทรงสดับเรื่องราวนั้นแล้ว ถูกความโศกถึงพระโอรสครอบงำ ทรงดำริว่า ความโศกของเรานี้เกิดขึ้นแต่สิ่งที่เรารัก หากเราไม่มีความรักแล้ว ความโศกก็ไม่เกิดขึ้น ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปก็ไม่มีความรักเลย
          ลำดับนั้นพระราชาตรัสถามฉัตตปาณีว่า
          “ฉัตตปาณี ท่านรู้สึกอย่างไรจึงเป็นผู้ไม่โกรธ”
          ฉัตตปาณีกราบทูลว่า
          “ข้าพระองค์เป็นดาบสชื่อว่า อรกะ เจริญเมตตาจิตเจ็ดปีอยู่ในพรหมโลก  เจ็ดกัป เพราะฉะนั้นจึงเป็นผู้ไม่โกรธ”
          เมื่อฉัตตาปาณีกราบทูลองค์ ๔ ของตนอย่างนี้แล้ว พระราชาได้ทรงให้สัญญาที่นัดหมายไว้แก่บริษัท ทันใดนั้นเองเหล่าอำมาตย์มีพราหมณ์และคหบดีเป็นต้นต่างลุกฮือกันขึ้น กล่าวว่า “แน่ะ เจ้าคนกินสินบน โจรผู้ชั่วร้าย เจ้าไม่ได้กินสินบนแล้ว จึงคิดจะฆ่าบัณฑิต” ต่างช่วยกันจับมือและเท้ากาฬกะเสนาบดีพาลงจากพระราชนิเวศน์ ทุบศีรษะด้วยก้อนหินและไม้ ค้อน คนละไม้ละมือ จนถึงแก่ความตาย จึงจับเท้าลากไปทิ้งไว้ที่กองขยะ ตั้งแต่นั้นมาพระราชาทรงครองราชสมบัติโดยธรรม ครั้นสวรรคตแล้วก็เสด็จไปตามยถากรรม     
 

ธรรมนิทานชาดกเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“คบคนพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตพาไปหาผล”

พุทธศาสนสุภาษิตประจำเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
เสยฺยํ โส เสยฺยโส โหติ โย เสยฺยมุปเสวติ
คบคนดีก็พลอยมี ส่วนดีด้วย (๒๗/๑๑๓)
นิหียติ ปุริโส นิหีนเสวี
ผู้คบคนเลว ย่อมพลอยเลวลง (๒๐/๑๔๒) 

คัดจาก : หนังสือ พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ ฉบับสมบูรณ์ / จัดพิมพ์เพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดย สถาบันบันลือธรรม