หัวข้อ: “นะหน้าทอง” มนต์มหาเสน่ห์ คาถาหวงของครูอาจารย์ ใครอยากได้ต้องบวชเรียน เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 16 เมษายน 2564 19:19:40 (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/42434783445464__2_696x443_1_Copy_.jpg)
“นะหน้าทอง” มนต์มหาเสน่ห์ คาถาหวงของครูอาจารย์ ใครอยากได้ต้องบวชเรียน ที่มา - ศิลปวัฒนธรรม เผยแพร่ - วันพุธที่ 14 เมษายน พ.ศ.2564 นะหน้าทอง เป็นมนตรามหาเสน่ห์อันเป็นขั้นสุดยอดมหานิยมที่มีชื่อมาตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน แต่นี่ไม่ใช่ของง่ายที่จะทําให้ถูกต้อง การลงนะหน้าทองที่หลายท่านเคยเห็นหรือจินตนการถึง คือการเอาทองคําเปลวไปปะหน้าแล้วเอาเหล็กจารเขียน แต่ภาษิต จิตรภาษา ผู้เชี่ยวชาญภาษาไทย อดีตนักเขียนของศิลปวัฒนธรรม บอกว่า “นั้น มันเป็นของหลอกครับ, ไม่ใช่ของจริง” แล้วของจริงเป็นอย่างไร ไปฟัง ภาษิต จิตรภาษา เขียนอธิบายเรื่องนี้ไว้ในนิตยสารศิลปวัฒนธรรม เมื่อปี 2540 “ที่เขาทําอย่างนั้นก็เพราะอาจารย์ท่านเป็นพระ, และผู้มาขอนะ เป็นผู้หญิง, พระถูกต้องกายหญิงไม่ได้ ท่านก็ทําเอาลวกๆ โดย ใช้ทอง(แผ่นทองคำเปลว)ปิดหน้าผากแล้วเขียนคาถาลงไป. แต่ตัวอักขระที่เป็นอาคม ขลังนั้นก็หาติดอยู่ช้านานไม่, พอล้างหน้าก็ออกหมดแล้ว. แต่การทําอย่างนี้ดูดีครับ – ในทางรูปธรรม, ได้เห็นกันจะๆ ว่าทองปิดที่หน้าแล้วเขียนคาถาลงไป. ดูขลัง, ดูศักดิ์สิทธิ์, ก็เลยนิยมกันทั้งหญิงทั้งชาย. และก็ง่ายสําหรับอาจารย์ที่คิดหากิน, ของแท้ก็เลยละลายหายไป.” นะหน้าทองของแท้ของนั้นต้องสักหมึกลงขม่อม โดย “นะ” นี้ประกอบด้วยคาถา คือ นะ โม พุท ธา ยะ อุ จันท์ สูญญ์ ณะ ตัวคาถาแต่ละตัวข้างต้นนี้แหละ ต้องสักลงไปในผิวหนังบนขม่อมเป็นอักษรขอม แต่ละตัวก็ต้องปลุกเสกให้มีชีวิตขึ้นมาในขณะสัก ดังจะเห็นได้จากในตัวคาถา ดังนี้ นะ กาโล โหติ สมฺภโว จงมาบังเกิดเป็น นะ โม กาโล โหติ สมฺภโว จงมาบังเกิดเป็น โม พุท กาโล โหติ สมฺภโว จงมาบังเกิดเป็น พุท ธา กาโล โหติ สมฺภโว จงมาบังเกิดเป็น ธา ยะ กาโล โหติ สมฺภโว จงมาบังเกิดเป็น ยะ อุ กาโล โหติ สมฺภโว จงมาบังเกิดเป็น อุ จัน ทปุรพาปน ชายเต จงมาบังเกิดเป็น จันท์ สูญฺ ญมงฺสาปน ชายเต จงมาบังเกิดเป็น สูญฺญ์ ณะ อุณฺณาหงฺโลมาปน ชายเต จงมาบังเกิดเป็น อุณาโลม แม้คาถาที่กล่าวมาข้างนี้จะสักเป็นอักษรขอม แต่ก็ไม่ใช่ขอมธรรมดา ภาษิตอธิบายว่า “ต้องสักให้เป็นรูปยันต์ คือ ตัว นะ อยู่ตรงกลาง แล้วหุ้มด้วย โม ข้างใต้, แล้วครอบด้วย พุท กับ ธา, แล้วจุกก้นด้วย ยะ แล้วก็หุ้มด้วย ยะ อีกที่, แล้วต่อยอดด้วย อุ, จันท์, สูญญ์, ณะ อุ คือตัวอักษร อุ, จันท์ คือรูปพระจันทร์เสียว, สูญญ์ คือ ศูนย์ (วงกลม), ณะ คือ อุณาโลม” เมื่อสักแล้วใช่ว่าจะเสร็จสิ้น ใช่จะจบกันเพียงแค่นี้ เพราะแม้คาถาแต่ละตัวได้สร้างให้มีชีวิตขึ้นแล้ว แต่เมื่อไม่ได้ใช้ก็เหมือนนอนหลับไป ฉะนั้นเวลาที่ต้องการใช้จริงก็ต้อง “ปลุก” ขึ้นมาอีกทีหนึ่ง การปลุกทำได้ด้วยการเขียนอักขระต่างๆ ตามรูปยันต์ที่สัก แต่เขียนด้วย “แป้งผัดหน้า” แทนโดยเขียนใส่ฝ่ามือแล้วผัดหน้าก่อนออกจากบ้าน, และชักสังวาล 1 ครั้ง ด้วยการเอามือขวาแตะไหล่ซ้ายและมือซ้ายแตะไหล่ขวาลูบไขว้กันลงมาถึงชายโครง ใครที่ลงนะหน้าทอง กว่าจะออกจากบ้านได้แต่ละครั้งคงต้องใช้เวลาเตรียมตัวพอสมควร แต่ว่า “นะ” นี้เป็นของหวงของอาจารย์ ใครอยากได้ก็ต้องไปบวชเป็นลูกศิษย์ แล้วเรียนบาลีจนถึงขั้นที่เขียนอักษรขอมได้จึงจะให้ เมื่อก่อนนั้น พระ เณร ที่เรียนบาลีนั้น พอขึ้นประโยค 4 ก็ต้องเรียนอักษรขอมนะ เพราะคัมภีร์ต่างๆ ทางพุทธศาสนา แม้กระทั่งพระไตรปิฎกก็จารเป็นอักษรขอม เพิ่งมาเลิกเมื่อปี 2478 อุบายของท่านก็เพื่อชักชวนวัยรุ่นมาบวชเรียนนั่นเอง เพราะคนวัยนี้ยุ่งอยู่แต่เรื่องความรัก และการจีบหญิง บางก็เสาะหาคาถามหาเสน่ห์มหานิยมไว้เรียกสาว เมื่ออยากได้คาถา ไม่อยากบวชก็ต้องบวช แต่พอบวชไปแล้ว กว่าจะได้เรียนคาถาก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3-4 ปี ระหว่างนั้นต้องเรียนนักธรรมก่อน ธรรมะก็ขัดเกลาความอยากออกไปเสียชั้นหนึ่ง เพราะท่านบอกว่าวิชาเหล่านี้เป็น “เดรฉานวิชา” พอมาเรียนบาลีถึงขั้นพอจมองรู้ดูออกเข้า ความนิยมเรื่องคาถาอาคมก็เสื่อมไป |