[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => สมถภาวนา - อภิญญาจิต => ข้อความที่เริ่มโดย: Maintenence ที่ 28 เมษายน 2564 19:08:49



หัวข้อ: การอนุโมทนาบุญ : พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จ.ชลบุรี
เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 28 เมษายน 2564 19:08:49

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/71424703341391_169085093_3864014026969853_194.jpg)

การอนุโมทนาบุญ
โดย พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร  อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี

ผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิมีความเห็นที่ถูกต้องก็จะไม่กล้าทำบาป แล้วก็จะรวยหรือจะจนก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ สำคัญอยู่ที่ว่าใจมีความสุขหรือมีความทุกข์มากกว่า ถ้ารวยแล้วใจมีความทุกข์ก็จะรวยไปทำไม สู้จนแล้วมีความสุขดีกว่าเพราะความสุขทางจิตใจนี้สำคัญกว่าความสุขทางร่างกาย ความสุขของร่างกายนี้เป็นส่วนย่อยเมื่อมาเปรียบเทียบกับความสุขของจิตใจที่เป็นส่วนที่ใหญ่กว่า เช่นเดียวกับความทุกข์ของร่างกายกับความทุกข์ของใจก็เช่นเดียวกัน ความทุกข์ของร่างกายนี้เป็นส่วนย่อยแต่ความทุกข์ของใจนี้เป็นส่วนใหญ่ แล้วถ้ารู้ว่าอะไรเป็นเหตุที่ทำให้เกิดความทุกข์ทางจิตใจ ผู้ที่มีสีมมาทิฏฐิมีความเห็นที่ถูกต้องก็จะไม่กล้าทำ ถ้าต้องทุกข์ทางร่างกายก็ยินดีจะทุกข์ดีกว่าที่จะมากำจัดความทุกข์ทางร่างกายแล้วมาสร้างความทุกข์ทางจิตใจแทน เช่น เวลาอดอยากขาดแคลนก็ไปลักขโมยหรือไปฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเพื่อเอามาเป็นอาหารยังชีพ อันนี้เป็นการบำบัดความทุกข์ทางร่างกายแต่กลับเป็นการไปสร้างความทุกข์ทางจิตใจ ทำให้จิตใจทุกข์ที่เกิดจากการทำบาป และรับผลของบาปที่ยาวนานกว่ารับผลของความสุขทางร่างกายที่ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องตายไปอยู่ดี

ผู้ที่มีความเห็นที่ถูกต้องนี้จะไม่กระทำบาป เช่น พระอริยสงฆ์สาวกทุกๆ รูปนี้ท่านมีดวงตาเห็นธรรม เห็นความเป็นจริงของเรื่องของจิตใจว่าสุขเกิดจากอะไรและทุกข์เกิดจากอะไร ท่านก็จะไม่ทำสิ่งที่จะทำให้ใจเป็นทุกข์ ท่านก็จะทำแต่สิ่งที่ทำให้ใจเป็นสุข เช่น ทำทาน รักษาศีลไม่ทำบาป ภาวนา แล้วก็ทำบุญอย่างอื่นตามโอกาส เช่น ถ้าอยากจะให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วมีความสุขก็ทำบุญทำทานแล้วก็อุทิศบุญนั้นให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ถ้ามีผู้ที่อยากจะทำบุญก็ร่วมอนุโมทนาบุญ คือ สนับสนุนการทำบุญของท่านผู้นั้น เช่น เรามีลูกน้องอยากจะบวชอยากจะขอลาบวช เราก็สนับสนุนเปิดโอกาสยินดีให้เขาลาบวชได้ และอาจจะให้เงินเดือนด้วยเพราะเห็นว่าเป็นการกระทำที่ดี สนับสนุนผู้ที่กระทำความดี เช่น ไปบวช อย่างนี้เรียกว่า “อนุโมทนาบุญ” เวลาใครเขาทำบุญอย่าไปขัดขวาง อย่าไปห้ามเขา เช่น ลาไม่ได้ต้องทำงาน ถ้าจะไปบวชก็ต้องลาออก อย่างนี้เรียกว่าไม่อนุโมทนา ถ้าอยากจะอนุโมทนาอยากจะสนับสนุนให้เขาได้มีโอกาสได้ไปทำบุญได้ไปบวช ก็อนุญาตให้เขาลาบวชได้และให้เงินเดือนเขาด้วยในขณะที่เขาไปบวช เราก็จะได้บุญได้ความสุขใจที่เราได้สนับสนุนคนให้เป็นคนดี เพราะการไปบวชนี้ไม่ได้ทำให้กลายเป็นคนร้ายเพราะไปเรียนรู้ในสิ่งที่จะทำแต่สิ่งที่เป็นคุณเป็นประโยชน์กับตนเองและกับผู้อื่นนั่นเอง เช่น เมืองไทยเราเป็นเมืองพุทธนี่ ทางราชการเลยมีการอนุญาตให้ผู้ที่รับราชการลาบวชได้ ๙๐ วัน ใครรับราชการแล้วถึงเวลาอยากจะบวชนี้ขอลาบวชได้ ๙๐ วัน ไม่ตัดเงินเดือนด้วย ได้เงินเดือน

นี่แหละคือรูปแบบของการอนุโมทนาบุญ เวลาที่มีใครที่เกี่ยวข้องกับเราต้องการทำบุญและต้องผ่านความเห็นชอบของเรา เราควรที่จะส่งเสริมสนับสนุน ไม่ใช่ไปห้ามไปขัดขวางเขาเพื่อรักษาประโยชน์ของเรา เช่น การงานของเราขาดคนไปก็อาจจะทำให้การงานของเราสะดุดบ้าง แต่ถ้าเรามองถึงผลที่ดีทางจิตใจทั้งกับเขาและกับเรา เราก็ควรที่จะอนุโมทนาบุญ นี่คือลักษณะเรื่องของการอนุโมทนาบุญที่เป็นผลจริงๆ ไม่ใช่เวลาใครไปทำบุญเสร็จกลับมาบอกว่าได้ไปทำบุญมาก็สาธุ สาธุ กันไป อันนั้นมันก็สาธุทางปากเท่านั้นเอง แต่มันไม่ได้ประโยชน์อะไรทางจิตใจเพราะไม่ได้มีการเสียสละเพื่อทำให้เกิดความสุขของใจของเราขึ้นมา นี่การอนุโมทนาบุญที่แท้จริงนี้ต้องเกิดจากการที่เราได้เสียสละประโยชน์สุขของเราเพื่อประโยชน์สุขของผู้อื่น เพื่อให้เขาได้ทำบุญได้ทำสิ่งที่ดีทั้งกับตัวเขาเองทั้งกับผู้อื่น นี่ก็เป็นบุญอีกชนิดหนึ่งเรียกว่าการอนุโมทนาบุญ