[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => เอกสารธรรม => ข้อความที่เริ่มโดย: มดเอ๊ก ที่ 17 มิถุนายน 2553 21:02:56



หัวข้อ: คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead]
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 17 มิถุนายน 2553 21:02:56
(http://www.dhammajak.net/gallery/albums/userpics/normal_%C0%D4%A1%C9%D8%B3%D5%B8%D1%C1%C1%B9%D1%B9%B7%D2.jpg)
* คนเขียนคำนิยม บวชแล้ว เป็น ภิกษุณีธัมมนันทา
 
 
 
คำนิยม

 
" คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต " นั้นเป็นคัมภีร์ที่มีเอกลักษณ์ในตนเอง ทำให้นักวิชาการไทยให้ความสนใจแปลถ่ายทอดออกมาเป็นภาษาไทย มาหลายสิบปีแล้ว เล่มล่าสุดเป็นฉบับแปลของ ผศ. ดร. ภัทรพร สิรกาญจน แห่งคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สำหรับฉบับนี้มี ความแตกต่างกันไป คือเป็นฉบับที่ถ่ายทอดมาทาง อาจารย์กรรมะ ลิงปะ และอาจารย์จอกยัม ทรุงปา เป็นผู้รจนาอรรกถาประกอบ

สำหรับชาวพุทธในอเมริกานั้นการแนะนำท่านจอกยัม ทรุงปา ริมโปเช เป็นสิ่งไม่จำเป็น เพราะท่านเป็นบุคคลที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง ชาวพุทธในอเมริกามีหลายสาย ทั้งเถรวาท และมหายาน แบบจีน ญี่ปุ่น และธิเบต ในสายธิเบตนั้นท่านจอกยัม ทรุงปา เป็นอาจารย์ที่มี ลูกศิษย์มากที่สุดคนหนึ่ง ท่านได้รับการยอมรับว่าเป็นอาจารย์เก่าของธิเบตที่กลับชาติมาเกิดเพื่องานพระศาสนา เดิมบวชเป็นพระภิกษุใน พุทธศาสนา ต่อมาเมื่อเดินทางออกมาจากประเทศธิเบต ได้ออกมาอยู่ที่อังกฤษ และลาสิกขา แต่ยังคงเป็นอาจารย์สอนธรรมะ

ในบรรดาอาจารย์ผู้าสอนธรรมะทั้งหลายในตะวันตกนั้น จอกยัม ทรุงปา เป็นเลิศในการอธิบายธรรมะให้เป็นที่เข้าใจแก่ชาวตะวันตก งานประพันธ์ของท่านอาจารย์ได้สร้างแรงบันดาลใจในการปฏิบัติธรรมให้แก่ชาวพุทธเป็นอย่างมาก แต่ในชีวิตส่วนตัวนั้นท่านพร้อมไปด้วย สุรานารี ในชีวิตส่วนนี้ท่านอาจารย์ก็มิได้เคยปิดบังแก่สานุศิษย์ จึงเป็นเรื่องที่กล่าวขานกันยิ่งในบรรดาชาวพุทธทั้งหลาย ท่านอาจารย์สิ้นชีวิต ลงในวัยเพียง ๔๗ ปี ในวันที่บรรดาสานุศิษย์มาประชุมพร้อมกันเพื่อปลงศพของท่านนั้น ระหว่างพิธีพระอาทิตย์ทรงกลดชัดเจน

ด้วยความเป็นเลิศในความสามารถในการอธิบายพระธรรม การรจนาอรรถกถาฉบับนี้ จึงเป็นงานอีกเล่มหนึ่งที่ทำให้ชาวพุทธได้เข้าใจใน " คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต " ได้ดียิ่งขึ้น

ในชีวิตทั่วไปแล้วดูเหมือนมนุษย์ปุถุชนทั่วไปจะพยายามหลีกเลี่ยงความตาย ทั้งนี้เพราะความตายเป็นเรื่องลี้ลับไม่มีผู้ใดรู้ผู้ใดเห็น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเองทรงเตือนพระอานนท์ให้เจริญมรณานุสสติเป็นนิจ เพื่อมิให้ประมาท เรามักจะใช้เวลาเตรียมตัวกับการทำนั่นทำนี่ แต่จะมีสักกี่คนที่สนใจที่จะเตรียมตัวตายอย่างสมบูรณ์ และถูกต้อง

พุทธศาสนาฝ่ายธิเบต เป็นสายเดียวที่ศึกษาค้นคว้าเรื่องความตาย จนรวบรวมความรู้จากประสบการณ์นี้ขึ้นเป็นคัมภีร์เพื่อเป็นลายแทง นำทางให้พวกเราได้รู้จักมรรควิถีแห่งความตายที่ถูกต้อง เมื่อเวลานั้นมาถึงเราจึงไม่ตื่นตระหนกและสามารถไปได้อย่างถูกทาง
 
คัมภีร์ฉบับนี้ เป็นคัมภีร์อีกฉบับหนึ่งที่นำแสงสว่างทางปัญญามาสู่สังคมชาวพุทธเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติได้อย่างสมบูรณ์

ขอโมทนาแก่ผู้แปลที่ทำให้โลกหนังสือของไทยมีหนังสือที่เป็นประโยชน์เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเล่ม ส่วนผู้สามารถนำไปปฏิบัติได้ก็ย่อมเป็นกุศล สองฝ่าย คือทั้งผู้แปลและผู้ปฏิบัติ
 
 
ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์
คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๓๔


หัวข้อ: Re: คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead]
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 17 มิถุนายน 2553 21:03:16
(http://thaispecial.com/bookimages/9747232715/cover1.jpg)
 
 
คำนำของผู้แปล
 
เมื่อราว ๒ ปีที่ผ่านมา คุณปู่ของข้าพเจ้าได้ล้มป่วยลงด้วยโรคร้ายที่ไม่มีทางรักษาได้ สำหรับคนรุ่นใหม่อย่างข้าพเจ้า ที่กิจกรรมในสังคม เป็นไปตามความคาดหวังและการจัดวางอย่างสูตรสำเร็จ ความรู้สึกสูญเสียเช่นนี้ได้บ่มเพาะความจริงบางประการที่ข้าพเจ้าไม่ได้แลเห็น มาเสียนาน ความไม่แน่แท้และความสิ้นหวังที่จะยึดมั่นอยู่ในสิ่งเราควบคุมไม่ได้ แม้ข้าพเจ้าจะได้สูญเสียน้องชายและคุณยายไปในเวลา ไล่เลี่ยกัน แต่ก็เป็นไปในปัจจุบันทันด่วนเต็มที พิธีกรรมทั้งหลายที่มีก็จัดขึ้นในเวลารวดเร็วและหมดจดยิ่งนัก ในฐานะของญาติสนิท แห่งผู้วายชนม์ ข้าพเจ้ามีสิทธิพิเศษแค่การชำระเงิน และปฏิบัติตามกำหนดการพิธีกรรมเท่านั้น

แต่ในกรณีหลัง การเสื่อมสลายลงอย่างเชื่องช้า และการค่อย ๆ จากไป ทำให้ข้าพเจ้าได้ตัดสินใจแปลหนังสือเล่มนี้ขึ้น ด้วยหวังจะให้ ทันการได้อ่านในพิธีกรรมของคุณปู่ แต่ก็หาได้ลุล่วงดังใจหวัง ถึงอย่างนั้นก็ตาม เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ได้ก่อให้ข้าพเจ้าได้เกิดสติ เล็งเห็นถึงคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ ความตายไม่ใช่เรื่องปวดร้าว เป็นอาการอ่อนโยนของการยินยอมให้ร่างกายและสังขารที่เหนื่อยล้ามานาน ได้พักพิงอย่างสันติ เป็นช่วงเวลาอันมหัศจรรย์ที่เราจักได้ผ่านเข้าไปสู่โลกที่คุณไม่รู้จัก โลกที่เคลือบแคลง อย่างอาจหาญ การจัดการกับ ความตายเป็นสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ หากยังไม่รู้วิธีที่จะดำรงชีวิตอยู่ ที่จะเรียนรู้ความเป็นไปต่าง ๆ รอบตัวเราในขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่

ข้าพเจ้าหวังว่าหนังสือเล่มนี้คงมีประโยชน์ต่อผู้เป็นมากกว่าผู้วายชนม์ ต่อผู้อยู่มากกว่าผู้จาก เป็นแรงบันดาลใจของการเผชิญหน้ากับ ทุกสถานการณ์อย่างไม่หวาดหวั่น ข้าพเจ้ากราบขอบพระคุณ พระไพศาล วิสาโล ที่ทั้งได้มอบหนังสือเล่มนี้ให้และยังได้สอบทาน หลังการแปลเสร็จ ทั้งที่ท่านมีภาระมาก รวมทั้งคุณฐิติมา คุณติรานนท์ ผู้ประสานงานให้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย

 
อนุสรณ์ ติปยานนท์


หัวข้อ: Re: คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead]
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 17 มิถุนายน 2553 21:03:34
(http://dudespaper.com/wp-content/uploads/2009/08/chogyam3.jpg)
* ภาพ อาจารย์ตรุงปะ
 
 
คำนำ
 
 
คัมภีร์มรณศาสตร์ เป็นหนึ่งในบรรดาคำสอนว่าด้วยการหลุดพ้นหกประเภท อันได้แก ่การหลุดพ้นโดยอาศัยการระลึกได้ การหลุดพ้นโดยอาศัยการลิ้มรส การหลุดพ้นโดยอาศัยการสัมผัส คำสอนเหล่านี้ถูกรจนาขึ้นโดยท่านคุรุปัทมสมภพ และต่อมาภรรยาของท่านนามเยเซ ซอกยุง ได้จดจารึกเป็นลายลักษณ์อักษรพร้อมกับคัมภีร์สาธนา อันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเทพสันติสี่สิบสององค์ และเทพพิโรธห้าสิบแปดองค์
 
คุรุปัทมสมภพฝังคัมภีร์เหล่านี้ไว้ในเทือกเขากัมโป ใจกลางประเทศธิเบต ต่อมาท่านกัมโปปะคุรุท่านหนึ่ง ก็ได้จัดตั้งอารามของท่านขึ้นที่นั่น คัมภีร์และวัตถุศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากจะถูกฝังไว้ทั่วธิเบตและได้รับการขนานนามว่า " มหาสมบัติที่ซ่อนเร้น " ท่านคุรุปัทมสมภพจักถ่ายทอดพลังอำนาจในการค้นพบคัมภีร์เหล่านี้แก่ศิษย์เอกจำนวนยี่สิบห้าท่านด้วยกัน คัมภีร์เล่มนี้ถูกค้นพบโดยท่าน กรรมะ ลิงปะ เป็นหนึ่งในศิษย์ กลุ่มดังกล่าวของคุรุปัทมสมภพที่กลับชาติมาเกิด
 
คำว่าการหลุดพ้นในที่นี้หมายความว่า บุคคลใดก็ตามที่ได้รับรู้ถึงคำสอนเหล่านี้ แม้จะมีภาวะจิตอันเคลือบแคลงสงสัยหรือเปิดกว้าง ย่อม สัมผัสกับประพิมประพายแห่งการตรัสรู้ โดยผ่านอำนาจศักดิ์สิทธิ์ที่บรรจุอยู่ในคัมภีร์เล่มนี้
 
กรรมะ ลิงปะ เป็นคุรุในนิกายนยิงมา ทว่าสานุศิษย์ของเขาทั้งหมดสังกัดอยู่กับนิกายกาคิว เขาถ่ายทอดคำสอนเหล่านี้ให้แก่ โดกุล ดอร์จี ศิษย์ของเขาเป็นครั้งแรก
 
บรรดาผู้ศึกษาคำสอนเหล่านี้ จะทำการฝึกฝนสาธนา และทำความเข้าใจกับเทพทั้ง ๒ กลุ่ม ( มณฑล ) อย่างครบถ้วน จนกลายเป็น ประสบการณ์ของตนเอง ข้าพเจ้าเองได้รับการถ่ายทอดคำสอนนี้เมื่ออายุได้แปดขวบ และถูกฝึกฝนโดยวิปัสสนาจารย์ประจำตัวข้าพเจ้า อาจารย์จะพาข้าพเจ้าไปเยี่ยมเยียนผู้กำลังจะสิ้นใจเสมอประมาณ ๔ ครั้งต่อหนึ่งสัปดาห์ การทำการติดต่อสัมพันธ์กับกระบวนการแห่ง ความตายเช่นนี้ โดยเฉพาะการเฝ้ามองเพื่อนรักและญาติสนิทค่อย ๆ จากเราไปนั้น ย่อมมีความสำคัญต่อผู้ฝึกฝนคำสอนนี้มาก ทั้งนี้เพื่อให้ ความคิดในเรื่องของอนิจจังภาวะ กลายมาเป็นประสบการณ์ชีวิตแทนที่จะเป็นแต่ความนึกคิดทางปรัชญา
 
หนังสือเล่มนี้พยายามจะประยุกต์คำสอนดังกล่าวให้เข้ากับผู้สนใจ และบรรดานักศึกษาพุทธธรรมในโลกตะวันตก ข้าพเจ้าหวังว่า คัมภีร์สาธนาจะได้รับการแปลออกมาในกาลต่อไป เพื่อที่ว่าคำสอนแนวนี้ จะได้รับการถ่ายทอดออกมาอย่างครบถ้วน
 
เชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช


หัวข้อ: Re: คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead]
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 17 มิถุนายน 2553 21:03:52
(http://www.rigpawiki.org/images/e/e7/Peaceful_guhyagarbha.JPG)
 
 
บทนำ
 
โดยอาศัยการอธิบายเค้าโครงย่อ ๆ ของแนวคิดทางพุทธธรรมที่มีอยู่ในหนังสือเล่มนี้ ย่อมก่อประโยชน์ในการเข้าใจถึงรายละเอียดที่มีอยู่ใน ภาคอรรถาธิบาย การยึดมั่นในตัวตนของเรา ( ตัวกูของกู ) จักถูกวิเคราะห์ในระบบของขันธ์ห้า คำว่าขันธ์ แปลว่ารวมความได้ว่า กลุ่มหรือออกอง แต่ความหมายจริง ๆ ของมันคือ " องค์ประกอบทางจิต "

องค์ประกอบแรกได้แก่รูป อันเป็นจุดเริมของความเป็นปัจเจกและการดำรงอยู่อย่างแยกตัวออกมาและจัดแจงประสบการณ์ออกเป็นทั้ง อัตวิสัยและภววิสัย บัดนี้มีตัวตนแต่เดิมที่ใช้รับรู้โลกภายนอก ทันทีที่การรับรู้นี้บังเกิดขึ้น ก็จะบังเกิดปฏิกิริยาตอบโต้อันเป็นขันธ์ที่สอง นามว่า เวทนา เวทนาเป็นอารมณ์ที่ยังไม่อิ่มตัวเต็มที่ เป็นเพียงความรู้สึกรักชอบ หรือไม่แบ่งแยกเราเขา ตามสัญชาตญาณนั้น ๆ แต่แล้วมันเริ่มซับซ้อนขึ้น เมื่อเจ้าตัวตนนี่เริ่มประเมินตัวเอง โดยการเปลี่ยนสภาพจากผู้รับรู้เป็นผู้ลงมือกระทำ อันเป็นสถานะขันธ์ที่สาม นามว่าสัญญา หรือการรับรู้ เป็นความรู้สึกอันเต็มเปี่ยม เมื่อเจ้าตัวตนได้ตระหนักถึงแรงกระตุ้นและทำการตอบโต้โดยพลันต่อสิ่งต่าง ๆ องค์ประกอบที่สี่ได้แก่ สังขาร หรือการปรุงแต่ง อันจะครอบคลุมกิจกรรมทางอารมณ์และกิจกรรมทางปัญญาที่เฝ้าแปลความหมายที่ ตามติดการรับรู้ องค์ประกอบนี้จะผูกองค์ประกอบต่าง ๆ เข้าด้วยกัน และเริ่มสร้างบุคลิกลักษณะและกรรม ขั้นสุดท้ายจะเป็นวิญญาณ ที่ได้ผสมรวมทุกสัมผัสรับรู้และจิตใจเข้าด้วยกัน บัดนี้เจ้าตัวตนได้กลายเป็นสากลจักรวาลซึ่งแทนที่มันจะรู้โลกดังที่เป็นอยู่ มันกลับก่อ จินตนาการต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง

คำสอนพื้นฐานในหนังสือเล่มนี้ได้แก่การทำความเข้าใจถึงการที่บุคคลได้เกิดความรู้สึกเป็นตัวตนและถอนออกจากความรู้สึกดังกล่าว เมื่อทำได้เช่นนั้น ส่วนประกอบขันธ์ทั้งห้าของจิตซึ่งสับสนหรืออวิชชาจะกลายเป็นปัจจัยแห่งการตรัสรู้ องค์ประกอบทั้งห้าจะกลับสู่ ภาวะอันบริสุทธิ์ ซึ่งจะปรากฏในระหว่างห้าวันแรกของบาร์โดหรืออันตรภพ

ในระหว่างประสบการณ์ดังกล่าว ภูมิทั้งหกได้ปรากฏขึ้นด้วยเป็นภาวะจิตซึ่งมีอวิชชา ซึ่งจะได้รับการพรรณาอย่างละเอียดในคำสอนนี้ แต่ละภพจะปรากฏขึ้นพร้อมกับทางเลือกอื่น ๆ อันเป็นโอกาสละทิ้งซึ่งความปรารถนาเฉพาะอย่าง ละเลิกการยึดเพื่อความมั่นคงแห่งตัวตน แต่กลับปลดปล่อยตนเองเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับปัญญาซึ่งได้ปรากฏเป็นรูปลักษณ์ที่สอดคล้องกับแต่ละภพ

ปัญญาดังกล่าวเหล่านี้ได้แก่อาณาจักรแห่งตถาคตทั้งห้า คำว่า ตถาคต หมายถึงผู้ไปแล้วด้วยดี ซึ่งอาจให้ความหมายเทียบเคียงได้ว่า เป็นผู้ที่เป็นหนึ่งเดียวกับแก่นสารสาระแห่งสัจธรรมอันเป็นความหมายใกล้เคียงกับคำว่า พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน และชินะ ผู้ทรงชัย ตถาคตทั้งห้า เป็นพลังห้าแบบใหญ่ ๆ ของพุทธภาวะ อันหมายถึงปัญญาที่ได้ตื่นขึ้นแล้วอย่างสมบูรณ์ ตถาคตเป็นรูปปรากฏของปัญญาห้าประการ ทว่าในสังสารวัฏ อันหมายถึงโลกหรือภาวะแห่งจิตที่เราอาศัยอยู่ พลังงานเหล่านี้ปรากฏในรูปของอกุศลหรืออารมณ์อันสับสนทั้งห้า ทุกสิ่งในโลกหล้า ทั้งสัตว์สถานที่และสิ่งของต่าง ๆ ล้วนมีคุณลักษณ์โดดเด่นที่ข้องเกี่ยวกับหนึ่งในพลังงานทั้งห้า ดังนั้น นามอันเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปจึงได้แก่ ปัญจสกุล

ตถาคตองค์ที่หนึ่ง ที่สถิตอยู่ ณ ใจกลางแห่งมณฑล ได้แก่พระไวโรจนพุทธ พระองค์เป็นตัวแทนแห่งอกุศลพื้นฐาน อันได้แก่อวิชชา เป็นความโง่งมที่ระมัดระวังตั้งใจอันเป็นที่มาของอกุศลอื่น ๆ พระองค์ยังเป็นปัญญาแห่งธรรมธาตุ อันได้แก่ อากาศอันไม่มีขอบเขต ที่ซึ่งทุกอย่างได้บังเกิดขึ้น เป็นด้านหักล้างแห่งอวิชชา ความที่พระองค์ทรงเป็นต้นเค้าและเป็นศูนย์กลาง สกุลของพระองค์จึงเป็น ที่รู้จักกันในนามของตถาคตหรือพุทธะเป็นด้านตรงข้ามกับอวิชชา

ตถาคตองค์ที่สอง ได้แก่ พระอักโษภยพุทธ สถิตอยู่ทางทิศตะวันออกแห่งมณฑล ตามคติของชาวอินเดียจะอยู่ด้านล่างสุด ในบางคัมภีร์ พระอักโษภยพุทธอาจปรากฏอยู่ศูนย์กลางมณฑล โดยมีพระไวโรจนพุทธสถิตอยู่ทางทิศตะวันออกแทน อาจทำให้เกิดการสับเปลี่ยนคุณลักษณะพื้นฐานบางประการ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมสีขาวและสีครามจึงปรากฏในวันที่หนึ่งและวันที่สอง และมักเกิดความสับสน ในแบบแผนของมณฑล พระอักโษภยพุทธเป็นผู้ปกครองวัชรสกุล อกุศลประจำองค์ได้แก่ความก้าวร้าวและความเกลียดชัง อันได้รับ การแปรเปลี่ยนเป็นปัญญาญาณที่แจ่มใสดุจกระจกเงา ที่สะท้อนทุกสิ่งอย่างแจ่มชัดไม่บิดเบือน

ในทางทิศใต้แห่งมณฑล ค่อนมาทางซ้าย พระรัตนสัมภวพุทธ ผู้ปกครองรัตนสกุล รัตนะ หมายถึงเพชร และในบางกรณีหมายถึง มณีล้ำค่าที่สนองตอบความต้องการ ดังนั้นยาพิษในที่นี้จึงไก่ มานะ อันเป็นผลมาจากการครอบครองความมั่งคั่งในทุกรูปแบบ ด้านหักล้างของมันได้แก่ปัญญาญาณแห่งความเท่าเทียม และวางเฉย หรืออุเบกขา

ในทางทิศตะวันตก พระอมิตาภพุทธ อันอยู่ในสกุลปัทมะหรือดอกบัว พระองค์เป็นสัญลักษณ์ของความใคร่และกระหายต้องการเสพทุกสิ่งทุกอย่าง ปัญญาญาณ อันตรงข้ามอกุศลได้แก่ ความไม่แบ่งเขาแบ่งเรา อันก่อให้เกิดความสงบรำงับ และการปล่อยวางต่อความปรารถนา จนเปลี่ยนเป็นการุณย์แทน

ลำดับสุดท้าย ณ ทิศเหนือ หรือด้านขวาแห่งมณฑล พระอโฆสิทธิพุทธแห่งกรรมสกุล กรรมหมายถึง การกระทำ มีสัญลักษณ์คือดาบหรือ วัชรไขว้ ความริษยาเป็นอกุศลที่ข้องเกี่ยวกับผลกรรม อุบัติจากความทะยานอยากที่ไม่ได้รับการตอบสนองอันก่อให้เกิดกิจกรรมต่าง ๆ นานาติดตามมา กุศลตรงข้ามได้แก่ ปัญญาที่ยังกิจสำเร็จในการณ์ทั้งปวง

ตถาคตทั้งห้ายังมีคุณลักษณ์อื่นอีกมากมาย ซึ่งได้พรรนาแลอธิบายไว้ในภาคอรรถาธิบาย นอกจากนี้ ตถาคตทั้งห้าแต่ละองค์ยังมาคู่กับ อิตถีภาวะและประกายฉายฉานแห่งโพธิสัตว์ด้วย

ในขณะที่พระพุทธองค์ทั้งหลายเป็นรูปธรรมของการตรัสรู้ที่ไปพ้นความสับสนวุ่นวายของชีวิต พระโพธิสัตว์ทรงเป็นสัญลักษณ์แห่ง การบำเพ็ญกิจอย่างแข็งขันเพื่อประโยชน์แห่งสรรพสัตว์ พระโพธิสัตว์ทั้งหลายคือกิจกรรมภายนอกของปัญญาทั้งห้าร่วมกับพลังงาน แห่งอิตถีภาวะ ที่มอบความอุดมพรั่งพร้อม อันทำให้กิจสำเร็จและปรากฏออกมาอย่างเต็มที่ เหล่าทวยเทพดังกล่าวที่ปรากฏในหนังสือ เล่มนี้ถือได้ว่าเป็นการแสดงออกของโลกในท่ามกลางความเป็นจริง เทพเหล่านี้เป็นรูปปรากฏของพลังงานที่แตกต่างกันออกไป อันเราจักประสบอยู่เสมอทั้งใจ กาย จิต และอารมณ์ ถึงแม้ว่าเราจะไม่พินิจชีวิตของเราในแง่ของพลังงาน แต่ผลกระทบของมันก็บังเกิด ขึ้นกับเราตลอดเวลา ในภาคอรรถาธิบาย ท่าน เชอเกียม ตรุงปะ ได้ตีความพลังงานเหล่านี้โดยใช้ภาษาที่เราจดจำได้ง่าย ๆ ได้แก่ อารมณ์ คุณสมบัติ สภาพแวดล้อม วิถีชีวิต การกระทำและเหตุการณ์

ดังนั้น ถึงแม้ว่าหนังสือเล่มนี้จะเขียนขึ้นสำหรับผู้ตายโดยเฉพาะ แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันก็เป็นเรื่องของชีวิตด้วยเช่นกัน พระพุทธองค์ มิได้ทรงหยิบยกถกเถียงว่าภายหลังจากดับจากโลกนี้ไปจะมีอะไรบังเกิดขึ้นกับเรา นั่นเป็นเพราะว่าปัญหาดังกล่าวหาประโยชน์มิได้ในการแสวงหาสัจธรรมในปัจจุบันขณะ ทว่าแนวคิดเกี่ยวกับการกลับชาติมาเกิด การดำรงอยู่ในภพทั้งหก และสภาวะระหว่างภพ ล้วนเกี่ยว ข้องกับชีวิตนี้เป็นอย่างยิ่ง ส่วนมันจะเกี่ยวพันกับชีวิตหลังความตายหรือไม่ เป็นอีกประเด็นหนึ่ง การตระหนักว่า จุดประสงค์ของการอ่าน คัมภีร์มรณศาสตร์ให้ผู้ตายก็คือการเตือนใจเขาให้ระลึกถึงสิ่งที่เขาได้กระทำยามมีชีวิตอยู่ หนังสือเกี่ยวกับความตายเล่มนี้สามารถบอกเรา ได้ว่าเราควรจะดำรงชีวิตอยู่อย่างไรในปัจจุบันขณะ


ฟรานเชสก้า เฟอร์แมนเดิ้ล


หัวข้อ: Re: คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead]
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 17 มิถุนายน 2553 21:04:16
(http://www.shambhala.org/ntc/images/offerings/VACT_Hook_knife.jpg)
 
 
อรรถาธิบาย
โดย เชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช
 
 
ถ้อยความแห่งคัมภีร์
 
ดูเหมือนจะมีปัญหาพื้นฐานบางประการที่ต้องทำความเข้าใจร่วมกันเป็นเบื้องแรกเมื่อเราพูดถึงคัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต หากผู้อ่านศึกษา คัมภีร์เล่มนี้โดยเทียบเคียงกับคัมภีร์ศพแห่งอียิปต์ ในด้านของตำนานและเรื่องราวเล่าขานเกี่ยวกับบุคคลผู้ล่วงลับไป อาจทำให้เราคลาดออก จากประเด็นสำคัญ โดยเฉพาะประเด็นที่ข้องเกี่ยวกับหลักการพื้นฐานในเรื่องของการเกิดและการตายอันดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่องในชีวิตเรา ซึ่งอาจทำให้เราขนานนามคัมภีร์เล่มนี้ว่าเป็นคัมภีร์ชาตศาสตร์ได้ด้วยเช่นกัน คัมภีร์เล่มนี้ไม่ได้มุ่งความสนใจไปที่การสิ้นชีพเพียงอย่างเดียว แต่กลับมีมุมมองเกี่ยวกับความตายที่แตกต่างไปจากธรรมดามากทีเดียว มันเป็นคัมภีร์เกี่ยวกับช่องว่างเป็นช่องว่างระหว่างการเกิดและการตาย เป็นภาวะแวดล้อมที่ซึ่งเราจักปฏิบัติหายใจแสดงกิริยาอาการ เป็นสถานที่ที่ก่อแรงบันดาลใจให้เกิดหนังสือเล่มนี้ขึ้น
 
วัฒนธรรมบอนที่ดำรงอยู่ก่อนการเข้ามาของพุทธศาสนาในธิเบต มีคำชี้แนะอย่างละเอียดว่าสมควรจักปฏิบัติต่อพลังจิตที่ถูกละทิ้งไว้โดย ผู้ตายอย่างไรดี สิ่งที่ผู้ตายหลงเหลือไว้นั้น ได้แก่ รอยเท้า ระดับอุณหภูมิ อันทำให้คาดคิดได้ว่าทั้งวัฒนธรรมบอนและวัฒนธรรมอียิปต์ ต่างก็มีรากฐานจากประสบการณ์ดังกล่าว คำแนะนำดังกล่าวเป็นในแง่ว่าจะทำอย่างไรดีกับรอยเท้า มากกว่าจะมุ่งความสนใจไปยัง มโนวิญญาณของผู้ตาย ทว่าหลักการสามัญที่ข้าพเจ้าจะพูดถึงในที่นี้นั้น ได้แก่บรรดาความไม่แน่นอนที่ปรากฏในสภาวะเปี่ยมสติและ ความคลุ้มคลั่ง
 
คำว่าบาร์โดนั้นหมายถึง ช่องว่าง แต่กลับมิได้หมายเอาถึงช่วงพักในภายหลังการจบชีวิตของเราเท่านั้น หากยังหมายถึงช่องว่าง ในสถานการณ์ชีวิตประจำวันด้วย การแตกดับนั้นปรากฏในสภาวะการดำเนินชีวิตของเราอยู่ตลอดเวลา ประสบการณ์บาร์โดเป็นส่วนหนึ่ง จากการปรุงแต่งทางจิตวิทยาโดยพื้นฐานของเรา ความจริงแล้วประสบการณ์แห่งบาร์โดทุกประเภทอุบัติกับของเรา ทั้งความหวาดระแวง และความไม่แน่นอนแห่งชีวิตประจำวัน ตัวอย่างเช่นความไม่แน่ใจในสภาพความเป็นอยู่ของเรา เราไม่รู้ว่า ตนกำลังแสวงหาสิ่งใดหรือ มุ่งสู่สิ่งใด ด้วยเหตุนี้คัมภีร์เล่มนี้จึงมิใช่เป็นเพียงถ้อยความสำหรับผู้ที่กำลังจะตายหรือได้ดับสิ้นลงไปแล้ว หากยังเป็นสารสำหรับบุคคล ที่ได้ถือกำเนิดแล้วอีกโสตหนึ่งด้วย การเกิดและการดับเกิดขึ้นกับทุกผู้คนในทุก ๆ ขณะภาวะ
 
ประสบการณ์บาร์โดภพสามารถแยกพิจารณาได้เป็นเรื่องราวแห่งภูมิหก แห่งการคุมขังที่เราต้องเผชิญผ่าน เป็นภูมิหกแห่งสภาวะทางจิตใจ ของเรา ในรูปของภูติผีเทวาต่าง ๆ กัน ดังได้พรรณาบรรยายในคัมภีร์เล่มนี้ ในช่วงสัปดาห์แรกหลังการตายเราจะประสบกับเทพชั้นสูง ส่วนในสัปดาห์สุดท้าย จักปรากฏตถาคตทั้งห้าและเทพเฮรุกามากมาย และหมู่เการิศอันเป็นผู้เชิญสารแห่งตถาคตทั้งห้า เหล่าภูติผีปีศาจ เหล่านี้จักปรากฏตนในรูปแบบน่าหวาดกลัวและแปลกตายิ่งนัก รายละเอียดที่กล่าวถึงในที่นี้เป็นรูปแบบที่พบมากที่สุดในชีวิตประจำวัน สิ่งเหล่านี้หาใช่อาการจิตหลอนหรือนิมิตที่ปรากฏหลังการตายเท่านั้น หากยังเป็นแง่มุมในสถานการณ์แห่งชีวิตที่เราต้องเผชิญหน้า
 
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ภาพนิมิตมายาเหล่านี้อาจหมายถึงสิ่งที่ปรากฏในการฝึกฝนสมาธิภาวนา อันเป็นกระบวนการที่จะไม่มีใครช่วยเหลือ เกื้อกูลเราได้ ทุกสิ่งถูกทอดทิ้งให้เป็นเรื่องเฉพาะตัวอย่างโดดเดี่ยว เป็นการเผชิญหน้าในสิ่งที่เราเป็น อาจเป็นได้ที่คุรุหรือกัลยาณมิตร เป็นผู้ปลุกเร้าส่วนนั้น แต่โดยพื้นฐาน พวกเขาหามีส่วนร่วมด้วยไม่
 
แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เกิดขึ้นจริงภายหลังการตายของเรา มีใครเคยกลับมาจากเชิงตะกอนหรือหลุมศพและบอกเล่าถึง ประสบการณ์ที่เขาพานพบมาหรือ ทว่ารอยประทับเหล่านี้กลับทรงพลังมาก จนบุคคลที่เพิ่งถือกำเนิดมาใหม่จักมีความทรงจำในช่วงเวลา ระหว่างการเกิดและการตายอันใหม่สด ทว่าเมื่อเราเติบโตขึ้นเราจักตกอยู่ใต้อิทธิพลแห่งพ่อแม่ ผู้ปกครอง และสังคม อีกทั้งเรายังตกอยู่ ใต้แบบแผนการเลี้ยงดูอันแตกต่างกันไป ดังนั้นรอยประทับอันลึกล้ำจักลบเลือนไป เว้นแต่ในบางครั้งบางคราที่มันจะผุดขึ้นชั่วพริบตา เมื่อนั้นแลเราจักสงสัยใคร่รู้ในประสบการณ์เยี่ยงนั้น และเราจักเริ่มหวาดหวั่นที่จะสูญเสียสิ่งที่จับต้องได้อันได้แก่การดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้ จนทำให้เราปฏิเสธหรือลังเลต่อสิ่งที่เราจับต้องไม่ได้ การพิจารณาเรื่องราวเหล่านี้จากแนวคิดที่ว่ามีสิ่งใดปรากฏขึ้นภายหลังการตายของเรา ดูออกจะคล้ายกับการศึกษาเรื่องราวในตำนาน แต่จริงแล้วเราจำเป็นต้องมีประสบการณ์บางอย่างในภาวะบาร์โด
 
เรื่องราวเหล่านี้เป็นประสบการณ์ขัดแย้งแห่งกายและวิญญาณ ประสบการณ์ต่อเนื่องระหว่างการเกิดและการตาย ประสบการณ์บาร์โดแห่งธรรมดา แสงสุกใส ประสบการณ์ใกล้จุติ บิดามารดาในอนาคตหรือภูมิที่เราจะไปจุติ เราย่อมได้พบเห็นนิมิตแห่งเทพสันติและเทพพิโรธ ซึ่งปรากฏอย่างต่อเนื่องในเวลานั้น หากเราหาญกล้าและเข้มแข็งเพียงพอเราย่อมเฝ้ามองทุกสิ่งอย่างองอาจ ครั้นแล้วประสบการณ์แห่งความ ตายและสภาวะบาร์โดก็จะไม่เป็นเพียงตำนานหรือเรื่องราวที่น่าตื่นตระหนกอีกต่อไป เพราะว่าเราได้เตรียมตัวอย่างพร้อมมูลและ ทำความคุ้นเคยกับทุกสิ่งไว้ก่อนหน้าแล้ว


หัวข้อ: Re: คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead]
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 17 มิถุนายน 2553 21:04:45
(http://eighttreasuresyoga.com/wp-content/uploads/2008/11/color-006-buddhist-wheel-of-life-paro-dzong.jpg)


 
สภาวะบาร์โดที่ปรากฏก่อนตาย

 
 
 
ประสบการณ์บาร์โดแรกสุดได้แก่ ความไม่แน่ใจที่ว่าเขากำลังจะตายลงจริง เป็นความรู้สึกในแง่ของการพลัดพรากจากโลกที่เคยอาศัยอยู่ หรือเป็นในแง่ที่ว่าเขาจะมีชีวิตต่อไปได้หรือไม่ ความไม่แน่ใจหาใช่เป็นในเรื่องราวของการละร่างไป แต่เป็นเรื่องของการสูญเสียที่มั่น อันเคยดำรงอยู่ เป็นการก้าวออกจากโลกของความจริงสู่โลกมายา
 
เราอาจอ้างถึงโลกของความจริง ในแง่ที่ว่ามันเป็นสถานที่ที่เราประสบซึ่งความทุกข์ทรมาณ ความดีงามและความเลวร้าย มีความเจ้าปัญญา ที่สรรหาบรรทัดฐานสำหรับสิ่งต่าง ๆ ในลักษณะทวิลักษณ์ ซึ่งหากเราได้ทำการสัมผัสกับความรู้สึกทวิลักษณ์เหล่านี้อย่างจริงจัง จะพบว่า ประสบการณ์อันจริงแท้นั้นปราศจากการแบ่งแยกแม้แต่น้อย ดังนั้นสภาวะทวิลักษณ์นั้นถูกมองโดยทัศนคติอันแจ่มชัดและเปิดกว้างอัน ปราศจากความขัดแย้ง จะไม่มีปัญหาใด ๆ ทั้งสิ้น มีแต่ความเป็นหนึ่งเดียวที่โอบล้อมทุกสิ่งทุกอย่าง ความขัดแย้งนั้นเกิดจากว่าสภาวะ ทวิลักษณ์ไม่ได้ถูกมองดังที่มันเป็น มันถูกพิจารณาผ่านแง่มุมจนบิดเบี้ยวและโง่งม ในความเป็นจริงแล้วเราแทบไม่เคยรับรู้สรรพสิ่งดังที่มันเป็นเลย เราจึงเริ่มงุนงงสงสัยว่าสิ่งต่าง ๆ เช่นตัวฉัน และภาพเงาฉายแห่งฉันนั้นมีตัวตนอยู่จริงในขณะนั้น ดังนั้นเมื่อเราเอ่ยถึง โลกแห่งทวิลักษณ์ว่าเป็นความสับสนยอกย้อนจริงแล้ว ความสับสนยอกย้อนหาใช่โลกทวิลักษณ์อันสมบูรณ์ไม่ มันเป็นเพียงโลกแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ เท่านั้น อันเป็นโลกที่ก่อให้เกิดความไม่พึงใจและความไม่แน่นอนอย่างมหาศาล มันถูกก่อหวอดจนถึงจุดที่เกิดความรู้สึกหวาดกลัว ว่าจะกลายเป็นคนวิกลจริต เป็นจุดที่อาจพาเราผ่านพ้นโลกแห่งทวิลักษณ์เข้าสู่ความว่างอันบางเบาและอ่อนนุ่ม อันเป็นโลกแห่งความตาย เป็นสุสานที่ดำรงอยู่ในสายหมอก
 
คัมภีร์เล่มนี้พรรณาถึงความตายในรูปขององค์ประกอบแห่งร่างกายในภาวะที่ลุ่มลึกลงไปเรื่อย ๆ คุณจะรู้สึกเหนื่อยล้าเป็นอย่างมากเมื่อ ธาตุดินสลายกลายเป็นธาตุน้ำ และเมื่อธาตุน้ำสลายกลายเป็นธาตุไฟ ระบบหมุนเวียนภายในตัวคุณจะดูหยุดยั้งลง และเมื่อธาตุไฟสลาย กลายเป็นธาตุลม ความรู้สึกอบอุ่นหรือเติบโตก็จบสิ้นลง และเมื่อธาตุลมได้ละลายสู่อากาศธาตุคุณย่อมสูญเสียสายสัมพันธ์สุดท้ายที่มีต่อโลก ในที่สุดเมื่อที่ว่างและมโนวิญญาณแปรเปลี่ยนสู่ศูนย์กลางนาภีย่อมบังเกิดแสงสว่างภายใน สรรพสิ่งจะน้อมลงสู่เบื้องในอย่างสิ้นเชิง
 
ประสบการณ์ดังกล่าวนี้อุบัติขึ้นอย่างสม่ำเสมอ สถานะอันจับต้องได้อ้างอิงได้สูญสลายไป และบุคคลนั้นจักไม่แน่ใจว่าตนเองกำลังเข้าสู่ ภาวะวิมุตติหรือกำลังเสียสติกันแน่ เมื่อใดก็ตามที่ประสบการณ์เช่นนี้บังเกิดขึ้นมักปรากฏขั้นตอนสี่ห้าประการอยู่เสมอในขั้นแรก คุณลักษณ์อันจับต้องได้ ที่มีชีวิตจิตใจจะเริ่มพร่ามัว กล่าวอีกนัยหนึ่ง คุณได้สูญเสียสัมผัสทางกาย แล้วคุณจะหันมาเพื่อพาสิ่งที่กำลัง ทำงานอยู่อันได้แก่ธาตุน้ำ คุณย้ำเตือนกับตนเองว่า จิตใจคิดนึกของคุณยังทำงานอยู่ ในขั้นต่อไป จิตใจเริ่มเกิดความไม่แน่นอนว่ามันยัง ปฏิบัติงานอยู่หรือไม่ บางจุดในวงจรการทำงานของมันเริ่มชำรุดบกพร่อง หนทางเดียวในการติดต่อสื่อสาร คือ การผลักดันทางอารมณ์ คุณพยายามจะคิดถึงบุคคลที่คุณรักหรือเกลียดชัง บางสิ่งแจ่มชัด ด้วยเหตุที่คุณลักษณ์แห่งธาตุน้ำในระบบไหลเวียนไม่ทำงานอีกต่อไป ดังนั้นอุณหภูมิอันเร่าร้อนของความรักและความเกลียดชังจึงกลายเป็นของสำคัญ และแล้วคุณจะค่อยกลืนหายไปในอากาศ มีความรู้สึก บางเบาของความปลอดโปร่ง มีแนวโน้มว่าคุณจะเริ่มละทิ้งการผูกติดอยู่กับความรู้สึกรัก หรือการพยายามที่จะจดจำบุคคลที่คุณรัก สิ่งทั้งหลายดูจะดำดิ่งลงสู่ภายใน
 
ประสบการณ์ต่อไปได้แก่แสงสว่างเรืองรอง คุณมีทีท่าว่าจะปราชัยเพราะคุณได้ดิ้นรนมาเนิ่นนานแล้วและไม่อาจต่อสู้ต่อไปได้อีก ความรู้สึกทอดทิ้งที่ได้บังเกิดขึ้นแล้วในเวลานี้ ดูกับว่าความเจ็บปวดและความสมหวังได้บังเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อนในเวลาเดียวกัน สายธารอันเชี่ยวกรากของผืนน้ำที่เยียบเย็นดุจก้อนน้ำแข็งและผืนน้ำที่ร้อนระอุได้ไหลรินไปทั่วร่างของคุณ เป็นประสบการณ์อันหนักหน่วง เปี่ยมล้นและทรงพลัง ประสบการณ์แห่งความเป็นหนึ่งเดียวที่ความทุกข์ทนและปีติสุขไม่อาจแยกขาดออกจากกัน ความพยายามอย่าง แรงกล้าที่จะแบ่งแยกบางสิ่งถูกทำให้สับสนโดยแรงผลักดันอันยิ่งใหญ่สองประการอันได้แก่ ความหวังที่จะเข้าสู่วิมุตติสุข และ ความหวาดกลัวที่จะเสียจริต แรงยิ่งใหญ่สองประการที่เข้มข้นจนกระทั่งก่อให้เกิดความผ่อนคลาย และเมื่อคุณไม่ทำการดิ้นรนอีกต่อไป แสงสุกใสก็จะปรากฏตนตามธรรมชาติ
 
ขั้นต่อไปได้แก่การประสบแสงสุกใสในชีวิตประจำวัน แสงสุกใสคือฉากเบื้องหลัง หรือฉากอันเป็นช่องว่างเมื่อความมืดทึบได้จางลง ปัญญาบางประการได้เริ่มทำการเชื่อมต่อกับภาวะตื่นขึ้นแห่งจิต อันนำไปสู่ประพิมประพายแห่งสมาธิหรือพุทธภาวะซึ่งเรียกขานกันว่า ธรรมกาย ทว่าหากเราไม่อาจทำการเชื่อมต่อกับปัญญาพื้นฐานได้ และพลังแห่งความสับสนยังคงมีอำนาจเหนือกระบวนการแห่งจิต พลังอำนาจอันสั่งสมอย่างสะเปะสะปะจะกลับเป็นพลังงานเจือจางหลายระดับ อาจกล่าวได้ว่าจากพลังงานเปี่ยมล้นแห่งแสงสุกใส แนวโน้มในการยึดติดได้พัฒนาขึ้น จากจุดนี้ภพทั้งหกก็จักเกิดขึ้นโดยมีความเข้มข้นต่างกัน แต่อย่าลืมว่า ความเข้มข้นหรือความบีบรัดนั้นไม่อาจดำเนินไปโดยปราศจากพลังงานเป็นตัวกระตุ้น อีกนัยหนึ่งก็คือพลังงานถูกใช้ไปในการจับฉวย ซึ่งบัดนี้เราจะพิจารณาภูมิทั้งหกซึ่งขึ้นอยู่กับสัญชาตญาณการประพฤติตน


หัวข้อ: Re: คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead]
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 17 มิถุนายน 2553 21:05:10
(http://z.about.com/d/buddhism/1/0/M/1/-/-/A6hellrealm.jpg)



นรกภูมิ
 
 
เราจะเริ่มต้นด้วยนรกภูมิ อันเป็นภูมิที่ตึงเครียดที่สุด ในขั้นแรกพลังงานหรือภาวะอารมณ์จะก่อตัวขึ้นจนถึงระดับหนึ่ง จนในบางครั้งคราว เราจะไม่แน่ใจว่าพลังงานควบคุมเราอยู่หรือเราเป็นฝ่ายควบคุมพลังกันแน่ บัดดลนั้นเราจะรู้สึกเสียสูญ จิตใจของเราจะจากไปสู่ ภาวะว่างเปล่า อันได้แก่ แสงสุกใส จากภาวะว่างเปล่านี้เองที่ความรู้สึกแรงกล้าที่จะต่อสู้ รวมทั้งความหวาดระแวงอันส่งผล ให้เราสะพรึงกลัว ทว่าเรากลับหาได้แน่ใจแจ่มชัดว่าใครกันแน่ที่เราต้องต่อกรด้วย และเมื่อทุกสิ่งได้ถูกสร้างขึ้นจนสมบูรณ์แบบความน่าสะพรึงกลัวนั้นก็หันก็หันมาเล่นงานตัวเราเอง เมื่อใดก็ตามที่เราพยายามต่อสู้กับเงาเบื้องหน้า เรากลับพบว่าเราได้จู่โจมด้านในของตัวเอง
 
อุทาหรณ์เปรียบดังชายพเนจรที่แลเห็นขาแกะอยู่เบื้องหน้าปรารถนาจะหยิบฉวยและกัดกิน แต่อาจารย์ของเขาบอกให้เขาทำตำหนิรูปไม้ กางเขนไว้ ต่อมาภายหลังเขาพบว่ารูปไม้กางเขนนั้นปรากฏอยู่หน้าอกของเขาเอง นั่นเป็นตัวอย่างที่ดีมาก คุณคิดว่ามีบางสิ่งภายนอกที่ต้อง ทำการต่อสู้หรือเข่นฆ่าหรือฟันฝ่า ในหลาย ๆ กรณีความโกรธแค้นก็เป็นเช่นนี้ คุณโกรธแค้นในบางสิ่งและพยายามจะทำลายมัน ในเวลา เดียวกันการณ์กลายกลับเป็นว่าคุณสร้างความพินาศให้กับตัวเอง เป็นการหันศรสู่ด้านใน และหันหลังวิ่งหนี ทว่าดูจะสายไปเสียแล้ว คุณกลับเป็นเหยื่อเสียเอง ไม่มีที่ให้หลบหนีไปไหนได้ คุณไล่ล่าตนเองอย่างไม่หยุดหย่อน นั่นแหละคือพัฒนาการแห่งนรก

การทรมาณอันน่าสะพรึ่งกลัวในนรกเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงภาพฉายทางจิตวิทยาของตัวเอง ในนรกภูมิคุณหาถูกลงทัณฑ์จริง ๆ ไม่ แต่กลับถูกข่มขู่ด้วยสภาพแวดล้อมอันน่าสะพรึงกลัวซึ่งพรรณากันไว้ในรูปของท้องทุ่งและหุบเขาเล็กร้อนแดง และบรรยากาศที่ลุกไหม้ เป็นไฟโชนอยู่ หากคุณปรารถนาจะหลบหนีคุณจำต้องทะลวงผ่านสิ่งเผาผลาญเหล่านี้ และหากไม่หลบหนีคุณก็จะถูกเผาไหม้เป็นเถ้าถ่าน มีหายนะที่บีบคั้นคุณอยู่ ความร้อนสาดเผามาจากทุกหนทุกแห่ง โลกทั้งโลกกลายเป็นเหล็กร้อนแดง แม่น้ำลำธารกลายเป็นเตาหลอม ท้องฟ้าแผ่คลุมไปด้วยเปลวเพลิง

รูปแบบของนรกอีกประการหนึ่งนั้นกลับเป็นไปในด้านตรงกันข้าม เป็นประสบการณ์แห่งหิมะและความหนาวเย็น เป็นโลกน้ำแข็งที่ทุกสิ่ง แข็งตัวไปหมด อันเป็นความก้าวร้าวอีกประการหนึ่ง ความก้าวร้าวที่ปฏิเสธการติดต่อสัมพันธ์กับบุคคลอื่น เป็นความขุ่นเคืองที่มาจากทิฏฐิ มานะอันแรงกล้า ทิฏฐิมานะเช่นนี้ได้กลายเป็นสภาพแวดล้อมอันหนาวเย็นที่เริ่มคลี่คลุมบรรยากาศและได้รับการเสริมแรงโดยความพึงพอใจ ส่วนรวม มันไม่ยินยอมให้เราแย้มยิ้มหรือเริงร่าหรือสดับฟังเสียงดุริยะใด ๆ
 
 
 
เปรตภูมิ
 
 
ครั้นแล้วจะปรากฏภูมิแห่งจิตอีกภูมิหนึ่ง เป็นภูมิแห่งพวกเปรตหรือภูติผีหิวกระหาย เราเข้าสู่แสงสว่างมิใช่เพราะความก้าวร้าว แต่เป็นเพราะความละโมบหิวกระหาย มีความรู้สึกยากไร้ แต่ขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกมั่งคั่งเป็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน

ในภูมิแห่งเปรตมีความรู้สึกอันโอ่อ่าแห่งความรุ่มรวย รู้สึกเป็นเจ้าของสิ่งต่าง ๆ มากมาย เมื่อใดทีคุณเกิดความต้องการคุณไม่จำเป็นต้อง ออกไปเสาะหา คุณพบว่ามันมีอยู่ในมือแล้ว และจึงทำให้คุณหิวกระหายมากขึ้น พลัดพรากมากขึ้น เป็นเพราะว่าคุณได้รับความพึงพอใจ จากการแสวงหาด้วย ทว่าบัดนี้เรามีทุกอย่างพร้อมมูล เราไม่สามารถเดินทางไปยังที่อื่นเพื่อแสวงหาและได้มาซึ่งสิ่งพึงประสงค์ มันช่างน่า เศร้าใจนัก เป็นความโหยหิวที่เติมเต็มมิได้

มันเหมือนกับตอนที่คุณเกิดอาการจุกแน่น คุณไม่สามารถจะกลืนกินอะไรลงไปได้อีก แต่คุณปรารถนาจะกินมันต่อไปอีก ดังนั้นคุณจึงเกิด ภาพลวงตาเกี่ยวกับรสชาติและความเอร็ดอร่อยในการรับประทาน กัดกิน กลืนและย่อยมัน กระบวนการดังกล่าวนี้ดูหรูหราโอชะ และคุณ จะรู้สึกอิจฉาเป็นยิ่งนักต่อบุคคลที่หิวโหยและยังกัดกินได้

สัญลักษณ์ของเปรตได้แก่คนที่มีท้องใหญ่มโหฬาร แต่กลับมีลำคอเรียวบางและปากเล็กจ้อย มีประสบการณ์หลากรูปแบบในภูมินี้ ซึ่งขึ้นอยู่กับระดับของความหิวกระหาย เปรตบางตนสามารถหยิบฉวยอาหารไว้ได้ แต่อาหารกลับมลายหายไปต่อหน้าต่อตาหรือ ไม่สามารถจะกลืนกินมันลงไปได้ บางตนก็หยิบฉวยได้จับยัดใส่ปากแต่กลับไม่สามารถกลืนลงไปในท้อง บางตนสามารถกลืนลงไปได้ แต่ครั้นพอตกถึงท้องมันกลับระเบิดออก ซึ่งจริงแล้วในโลกปัจจุบันของเรานี้ เราก็จะพบกับความหิวโหยระดับต่าง ๆ อยู่เสมอ

ความสุขในการครอบครองหาได้สร้างปีติมากมายแก่เราเลยไม่ เมื่อเราได้อะไรบางอย่างมา เราก็จะออกหาอย่างอื่นอีก แล้วก็จะตกอยู่ใน แบบแผนเดิมอีก มันจึงกลายเป็นความหิวกระหายอย่างสม่ำเสมอที่ไม่ได้มีพื้นฐานมาจากความยากจน แต่เป็นเพราะความรู้สึกว่าแม้เราจะมีสิ่งของมากมาย เรากลับไม่มีความสุขและชื่นชมมันได้เต็มที่ พลังดังกล่าวหรือการแลกเปลี่ยน เช่น การแสวงหาของสะสม การโอบรัดจับฉวย การจัดวาง การกลืนกิน ดูน่าตื่นเต้นมากกว่า พลังงานเช่นนี้ดูเย้ายวนยิ่งนัก แต่พอถึงการจับฉวยมันกลับดูน่ากลัว ครั้งแรกที่คุณได้จับต้องสิ่งของใด ๆ คุณปรารถนาจะครอบครองมัน แต่แล้วคุณไม่มีความสุขในการครอบครองอีกต่อไป แต่คุณเองก็จะไม่อยากปลดปล่อยสิ่งใดไป เป็นความสัมพันธ์ทั้งเกลียดทั้งรักต่อสรรพสิ่งภายนอก ตัวอย่างเปรียบเปรยได้แก่การแอบชื่นชมสวนเขียวขจีของ เพื่อนบ้าน ครั้นเมื่อมันได้เปลี่ยนมือเป็นของเราเอง เรากลับหามีความชื่นชมยินดีเยี่ยงแรกเห็นไม่ คุณลักษณ์อันอ่อนหวานของความรักใคร่ ได้เจือจางลงไป
 
 
 
เดรัจฉานภูมิ
 

 
เดรัจฉานภูมิมีคุณลักษณ์เด่นที่การขาดแคลนอารมณ์ขันอย่างยิ่งยวด เราพบว่าเราไม่สามารถดำรงความเป็นกลางไว้ในแสงสุกใสอย่างไม่สั่นคลอนได้ ดังนั้นเราจึงแสร้งทำตนใบ้บ้า เป็นการปล่อยวางอย่างชาญฉลาดที่สุด อันบ่งว่าเรากำลังซ่อนเร้นความจริงบางประการไว้ เป็นการเก็บกดอารมณ์ขัน ภูมินี้มีสัญลักษณ์เป็นสัตว์เดรัจฉาน ที่ไม่สามารถ ยิ้มหัว หรือสรวลสันต์ได้ สัตว์เดรัจฉานล้วนรู้จักความสุขและความเจ็บปวดดี แต่มันกลับไม่คุ้นเคยต่ออารมณ์ขันหรือการประชดประชันเอาเลย

คนเราอาจพัฒนาคุณลักษณ์เช่นนี้ได้โดยพึ่งพากรอบอ้างอิงทางศาสนาเทววิทยา หรือบทสรุปทางปรัชญาแนวคิดก็เป็นได้ หรือไม่ก็ทำตนด้านชา หรือไม่แยแส เมื่อเขาคิดว่าตนเองปลอดภัยดีแล้ว เขาย่อมประพฤติตนเป็นคนดี มีประสิทธิภาพและพึงพอใจกับชีวิต ยิ่ง เปรียบเสมือนชาวบ้านนอกที่เอาใจใส่ไร่นาเป็นอย่างดี เขาเฝ้าตรวจตรา หมั่นระวังระไว ไม่ย่อหย่อน หรืออาจเปรียบดังนักบริหารที่ ดำเนินธุรกิจ หรือหัวหน้าครอบครัวที่มีชีวิตมั่นคง เป็นสุข แน่นอนไม่มีอะไรผิดพลาด ไม่มีอะไรลึกลับสำหรับเขา หากเขาจะซื้อเครื่องมือ เครื่องใช้สักชิ้นเขาต้องแน่ใจว่ามันมีคู่มือประกอบด้วย ถ้ามีปัญหาในชีวิตเขาย่อมไปพบทนาย ผู้นำศาสนาหรือตำรวจ บุคคลมืออาชีพเหล่านี้ มั่นคงและปลอดภัยในที่มั่นของเขา ไม่มีอะไรพลาดคาดเดาได้แน่นอน และมีกลไกที่ย่ำอยู่อย่างสม่ำเสมอ

สิ่งที่ขาดหายไปในที่นี้ได้แก่เมื่อมีบางสิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น จักเกิดความรู้สึกหวาดระแวงขึ้นทันที อันเป็นการคุกคามขู่เข็ญ หากมีบุคคลใด ที่แลดูผิดแผกไป แลดูแตกต่างไป มีรูปแบบชีวิตอันไม่เหมือนใคร การดำรงอยู่ของบุคคลพวกนี้จะเริ่มสั่นคลอน สิ่งที่คาดเดาไม่ได้จักเริ่มขู่เข็ญ คุกคามพวกเขา ด้วยเหตุนี้ความซ้ำซากและความด้านชาจึงเป็นลักษณะเด่นแห่งเดรัจฉานภูมิที่ปราศจากอารมณ์ขัน


หัวข้อ: Re: คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead]
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 17 มิถุนายน 2553 21:05:41
(http://www.apsodog.ru/images/samsara.jpg)
* The Wheel of Life หรือ สังสาระ สังสารจักร วฏสงสาร
 



มนุษย์ภูมิ
 
 
 
 
มนุษย์ภูมิเป็นอีกสถานการณ์หนึ่งที่ไม่เหมือนเดรัจฉานภูมิในแง่ของการดิ้นรนและคุมขัง มนุษย์ภูมินั้นมีพื้นฐานจากอารมณ์ปรารถนา มีแนวโน้มที่จะสำรวจตรวจตราและแสวงหาแต่ความสุขสมหวัง เป็นภูมิแห่งการวิจัยและทะเยอทะยาน พยายามสร้างความร่ำรวยให้กับตนเองไม่สิ้นสุด อาจกล่าวได้ว่ามนุษย์ภูมินั้นไกล้เคียงกับเปรตภูมิในแง่ของการไขว่คว้าหาสรรพสิ่ง แต่ก็แอบแฝงคุณลักษณ์ แห่งเดรัจฉานภูมิไว้ด้วย ในแง่ที่จะทำแต่สิ่งที่คาดการณ์ล่วงหน้าได้ สิ่งพิเศษในมนุษย์ภูมิได้แก่ความสนใจอันแปลกประหลาดที่ติดมากับ ความปรารถนา อันทำให้มนุษย์เต็มไปด้วยเล่ห์มากอุบายและแปรเปลี่ยนไม่แน่นอน พวกเขาสามารถคิดผลิตเครื่องมือมากมายได้และนำ เอาไปใช้ในสถานการณ์อันซับซ้อน เพื่อใช้จัดการกับคนมากเล่ห์ ขณะเดียวกันบุคคลเหล่านั้นก็จะประดิษฐ์เครื่องมือแก้ลำขึ้นมาด้วย ดังนั้นเราจึงสร้างโลกของเราให้เต็มไปด้วยความสำเร็จและการบรรลุเป้าหมายมากมายไปหมด ทว่าการสร้างเครื่องมือและเครื่องมือตอบโต้ จะขยายตัวไม่หยุดหย่อน ก่อให้เกิดความปรารถนาและความสนเท่ห์ จนในที่สุดจะไม่สามารถทำงานใหม่นี้ให้เป็นจริงได้ เราต้องเกิดและต้องตายประสบการณ์ใหม่ ๆ อาจเกิดขึ้นได้ แต่มันก็เสื่อมสลายลงในที่สุดด้วย การค้นพบของเราอาจไม่จีรังหรือถาวรเอาเลย
 
 
 
 
 
อสุรภูมิ
 
ภูมิแห่งอสูุรหรือเทพริษยาเป็นภูมิสูงสุดเท่าที่การสื่อสารติดต่อจะเกิดขึ้นได้ เป็นภูมิแห่งสถานการณ์อันชาญฉลาด เมื่อคุณถูกแยกตนออก จากแสงสุกใสในฉับพลัน คุณจักบังเกิดความรู้สึกสับสนราวกับว่ามีใครบางคนได้นำคุณไปปล่อยทิ้งไว้กลางป่าดึกดำบรรพ์ คุณย่อมชะเง้อ และดูด้านหลังและสงกาสงสัยแม้เจ้าเงาของตัวคุณเอง ไม่ว่ามันจะเป็นเงาจริง ๆ หรือเล่ห์อุบายของใครบางคน ความหวาดระแวงเป็นระบบ ตรวจจับที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดเท่าที่อัตตาจะมีขึ้นได้ มันตรวจตราได้แม้สิ่งที่แผ่วบางและเล็กจ้อย สงสัยในทุกสิ่งอย่างและประสบการณ์ ทุกรูปแบบในชีวิตจะถูกมองว่าเป็นสิ่งที่บังคับขู่เข็ญ
 
ภูมินี้เป็นที่รู้จักกันดีในนามของภูมิแห่งความอิจฉาริษยา แต่ไม่ใช่ริษยาในรูปแบบที่เราคุ้นเคย มันเป็นอารมณ์ริษยาที่มีพื้นฐานอยู่บนการดิ้นรน เพื่ออยู่รอดและแสวงหาชัยชนะ ซึ่งไม่คล้ายคลึงกับมนุษย์ภูมิหรือเดรัจฉานภูมิ เป้าประสงค์ของภูมิแห่งอสูรคือการทำงานภายใต้เล่ห์กระเท่ห์ ซึ่งเป็นทั้งทรัพย์สมบัติและความเพลิดเพลินใจของมัน เปรียบดังบุคคลที่ถูกเลี้ยงดูแบบนักการทูต เติบโตแบบนักการทูต และตายไปแบบนักการทูต เล่ห์กลและการติดต่อสัมพันธ์เป็นแบบแผนชีวิตและการดำรงอยู่ของเขา เล่ห์กลเหล่านี้ปรากฏอยู่ในความสัมพันธ์ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ทางอารมณ์ ความสัมพันธ์ฉันมิตร หรือแม้แต่ในความสัมพันธ์ฉันครูและลูกศิษย์ก็ตาม
 
 
 
 
 
 
เทวดาภูมิ
 
 
 
ภูมิสุดท้ายได้แก่เทวดาภูมิ หรือเทวโลก เมือบุคคลได้ตื่นขึ้นในแสงสุกใสจักบังเกิดความสุขที่ไม่ได้คาดเดาเอาไว้และอยากจะถนอม ความสุขดังกล่าวนี้ไว้ แทนที่จะยินยอมสูญสลายสู่ปกติภาวะ ( นิพพานภาวะ ) เรากลับเกิดเห็นตระหนักถึงตนเองในฐานะของปัจเจกชน และปัจเจกชนนี้ได้นำมาซึ่งความรู้สึกชื่นชอบตนเองจนอยากจะรักษาตนเองในสภาพนี้ไว้ อันเป็นสภาวะแห่งสมาธิสุข เป็นสภาวะสงบ และซึมซาบดื่มด่ำยิ่งนัก ภูมิแห่งเทวดาเป็นที่รู้จักกันในฐานะ ภูมิแห่งมานะ มานะในแง่ที่มองทุกสิ่งโดยมีตนเองเป็นศูนย์กลาง เป็นการรักษาความสุขส่วนตัวไว้ ในอีกแง่หนึ่ง เป็นการเมามายอยู่กับตนเอง คุณเริ่มที่จะรู้สึกยินดีปรีดาในความมั่นใจที่คุณเป็นอะไรบางอย่าง แทนที่จะเป็นแสงสุกใสที่ปราศจากดินแดนพักพิง และเนื่องเพราะคุณเป็นอะไรบางอย่าง คุณจึงจำต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งตนเอง อันเป็นบ่อเกิดแห่งสภาวะอันสะดวกสบายและปีติสุข เป็นการซึมซาบดื่มด่ำกับตนเองอย่างยิ่งยวด
 
ภูมิทั้งหกแห่งจักรวาลเป็นแหล่งอาศัยในสังสารวัฏ และเป็นบันไดก้าวต่อไปสู่ภูมิแห่งธรรมกาย สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นการช่วยให้เข้าใจใน ความสำคัญของนิมิตที่บรรยายในคัมภีร์เกี่ยวกับภาวะบาร์โดแห่งการเกิด อันเป็นโลกอีกโลกหนึ่ง เป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างโลกสองโลก เป็นประสบการณ์ของภูมิทั้งหก จากมุมมองแห่งตัวตนที่กำลังจะเคลื่อนสู่ภูมิใหม่ นิมิตต่าง ๆ อาจมองได้ว่าเป็นการแสดงออกของพลังงานอันปกติ มากกว่าจะมองว่าเป็นเทพที่ช่วยคุณให้หลุดพ้นจากสังสารวัฏ หรือเป็นเหล่าปีศาจที่ไล่ล่าคุณ


หัวข้อ: Re: คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead]
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 17 มิถุนายน 2553 21:06:01
(http://www.thecinematheque.com/poster_tibetanbookofthedead1.jpg)
 
 
บาร์โดแห่งธรรมดา
 
นอกจากภูมิทั้งหกแล้วเรายังจำเป็นต้องทำความเข้าใจกับแนวคิดพื้นฐานของบาร์โด คำว่า " บาร์ " หมายถึงในระหว่าง " โด " หมายถึง เกาะแก่งหรือตำแหน่ง รวมความหมายถึงดินแดนที่อยู่ระหว่างสิ่งสองสิ่ง คล้ายดังแก่งในใจกลางทะเลสาบ บาร์โดนั้นอยู่ท่ามกลาง ความปกติและความวิกลจริต หรือในระหว่างความสับสนและการเปลี่ยนแปลงของความสับสนสู่ปัญญญาณ เราอาจกล่าวว่าเป็นสถานภาพระหว่างการเกิดและการตาย สถานการณ์ในอดีตเพิ่งผ่านพ้นไปและสถานการณ์ในอนาคตก็ยังมาไม่ถึง ดังนั้นจึงบังเกิดช่องว่างขึ้น นี้คือ ประสบการณ์บาร์โด
 
ธรรมดาบาร์โดคือ ประสบการณ์ที่เป็นแสงสุกใส ธรรมดาคือแก่นของสรรพสิ่งที่มันเป็นอยู่จริง เป็นคุณลักษณ์เช่นนั้นเอง ดังนั้นธรรมดา บาร์โดคือพื้นภูมิกลาง ๆ ที่เป็นสามัญ เปิดเผยและเป็นปกติและการรับรู้ถึงสภาพปกตินี้คือการได้ประจักษ์ชัดถึงธรรมกาย กายอันเป็นภาวะแห่งความจริงและกฎธรรมชาติ
 
ธรรมดานั้นปรากฏแสดงไม่ใช่ในรูปวัตถุหรือสิ่งที่แลเห็นได้แต่เป็นในรูปพลังงาน พลังงานที่มีคุณลักษณ์แห่งธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ และ อากาศธาตุ เราไม่ได้กำลังพูดถึงวัตถุธาตุในแบบธรรดาสามัญ ทว่าเราจักพูดถึงวัตถุธาตุที่คุณลักษณ์อันละเอียดอ่อน จากแง่มุมของผู้รับรู้ การประจักษ์ถึงตถาคตทั้งห้าในนิมิตมิใช่ตัวนิมิต และมิใช่การรับรู้และมิใช่ประสบการณ์ มันมิใช่นิมิต เพราะหากมันเป็นนิมิตคุณย่อมต้อง ดูแลมัน และการแลดูคือกระบวนการส่งออกนอกที่แยกตัวคุณเองออกจากสิ่งของ นัยเดียวกัน คุณไม่อาจรับรู้มันได้ เพราะหากคุณทำการรับรู้ คุณก็จะย่อยประสบการณ์ดังกล่าวนั้นสู่ระบบภายในตัวของคุณ อันเป็นรูปแบบสัมพันธ์แบบทวิลักษณ์ แม้คุณไม่สามารถรู้จักมันได้ เพราะตราบใดที่มีคนคอยแนะนำคุณว่าสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นประสบการณ์เฉพาะตัวของคุณ คุณย่อมแยกแยะพลังงานทั้งหลายออกจากตัวคุณ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้สำคัญมาก และต้องทำความเข้าใจให้ดี เพราะมันเป็นกุญแจดอกสำคัญในการทำความเข้าใจสัญลักษณ์ในภาพจิตกรรมแห่งตันตระ มีคำอธิบายอย่างแพร่หลายว่าภาพเทพศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้เป็นภาพของจิต แต่จริงแล้วภาพเหล่านี้กลับมีความหมายล้ำลึกกว่าที่คิด
 
หนึ่งในรูปแบบการฝึกฝนชั้นสูงที่อันตรายที่สุด ได้แก่การฝึกฝนให้เผชิญหน้ากับภาวะบาร์โดซึ่งได้แก่การนั่งสมาธิในความมืดอย่างยิ่งยวด ๒ สัปดาห์ ซึ่งย่อมบังเกิดนิมิตธรรมดาที่มีพื้นฐานอยู่บนหลักการแห่งตถาคตทั้งห้าโดยจะมีสภาพแตกต่างไปตามแต่ละบุคคล ตำแหน่ง ศูนย์กลางดวงหทัย ดังนั้นคุณจะเห็นรูปดวงตาจำนวนมากหลากแบบที่หัวใจของคุณ และภาพแห่งเทพดุร้ายมีศูนย์กลางอยู่ที่สมองของคุณ อันทำให้คุณได้พบเห็นดวงตาจำนวนหลากแบบจ้องมองซึ่งกันและกันอยู่ในสมองคุณ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ไม่ใช่นิมิตธรรมดา มันอุบัติขึ้น เพราะมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดความวิกลจริตและการสุญเสียการติดต่อสัมพันธ์กับหลักธรรมดา
 
ครั้นแล้วประสบการณ์อันเปี่ยมล้นและท่วมท้นแห่งแสงสุกใสจะพัฒนาต่อเนื่องไป จะเกิดอาการสว่างวูบและดับมิดสลับไป บางคราคุณจะเห็นแสงกระจ่างนี้ บางคราก็ไม่ หากแต่เข้าไปรวมตัวอยู่ในนั้นเลยทีเดียว ดังนั้นจึงเกิดมีการเดินทางติดต่อระหว่างธรรมกายและแสงสุกใส โดยทั่วไปแล้วราว ๆ สัปดาห์ที่ห้า จะบังเกิดความเข้าใจโดยพื้นฐานเกี่ยวกับตถาคตทั้งห้า นิมิตทั้งหลายจะอุบัติขึ้นแต่ไม่ได้เป็นไปในแง่ศิลปะ เราอาจจะไม่รู้ว่าสิ่งนี้ได้เคยปรากฏมาก่อน แต่คุณลักษณ์เชิงนามธรรมจะเริ่มพัฒนา โดยอาศัยพื้นฐานจากพลังงาน เมื่อพลังงานเริ่มเป็น อิสระและสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น มันจักเริ่มหันมาดูตนเองและทำการรับรู้ตนเองซึ่งเป็นสิ่งที่เหนือกว่าการรับรู้แบบสามัญ เปรียบเสมือนการที่คุณ ตัดสินใจเดินเพราะคุณเชื่อว่าคุณเดินได้เองโดยไม่ต้องอาศัยเครื่องค้ำจุน คุณก้าวเดินอย่างไม่รู้ตัว หาใช่เรื่องเพ้อฝันไม่ แต่เป็นประสบการณ์ ซึ่งคุณไม่รู้ตัวเลย


หัวข้อ: Re: คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead]
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 17 มิถุนายน 2553 21:06:29
(http://images.exoticindiaart.com/buddha/kalachakra_mandala_tf75.jpg)
 
 
ธรรมชาติแห่งนิมิต
 
 
นิมิตที่อุบัติขึ้นในสภาวะบาร์โด รวมทั้งลำแสงและสีสรรที่บังเกิดขึ้นอย่างพร้อมกันนั้น ไม่ได้ก่อเกิดจากองค์ประกอบใด ๆ ที่ต้องการ ประคับประคองของผู้รับรู้สัมผัส มันเพียงอุบัติขึ้นเป็นการแสดงออกของความเงียบงันและความว่างเปล่า การจะรับรู้นิมิตต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้องนั้น ผู้รับรู้จำต้องละทิ้งการยึดมั่นในตนเองลงเสียก่อน ตัวตนของเราในที่นี้ได้แก่สิ่งซึ่งเป็นเหตุให้เราทำสมาธิภาวนาหรือรับรู้บางสิ่งบางอย่าง
 
เมื่อใดก็ตามที่มีผู้รับรู้ บุคคลย่อมได้ประสบกับเหล่าเทพหรือสิ่งต่าง ๆ ที่อุบัติขึ้นนอกตัว การรับรู้เช่นนี้ช่างตื่นตาตื่นใจ และเป็นสุขยิ่งนัก นั่นเป็นเพราะว่ามันเป็นกระบวนการที่นอกจากจะมีผู้เฝ้ามองแล้ว ยังแฝงนัยบางอย่างที่ละเอียดอ่อน เป็นวิญญาณขั้นสามัญ เป็นแนวคิดและ แรงกระตุ้นอันละเอียดอ่อนลึกซึ้งที่มองสู่โลกภายนอก เป็นการเริ่มสัมผัสได้ถึงความงดงามแห่งความเปิดกว้าง ความว่างโล่งและความปีติสุข ซึ่งเข้าร่วมเป็นหนึ่งกับจักรวาล ความรู้สึกเปิดเผยและว่างโล่งของสากลจักรวาลนั้นช่างดูง่ายดาย และสะดวกดายที่จะเข้าไป เปรียบเสมือน การเดินทางเข้าสู่ครรภ์มารดา เป็นแหล่งพักพิงอันปลอดภัย มีแรงดึงดูดให้เข้าร่วมที่แรงกล้ามาก ผู้คนดูอบอุ่นและมีมิตรไมตรี สนทนาด้วย ถ้อยคำอ่อนหวาน บางทีก็มีนิมิตศักดิ์สิทธิ์บางประการปรากฏขึ้นในสภาวะนี้ด้วย แสงสว่างวาบหรือคีตบรรเลงและสิ่งสวยหรูดูจเคลื่อนใกล้ เข้ามา
 
ในกรณีของบุคคลที่สัมพันธ์กับตนเองไปในลักษณะเช่นนี้เป็นไปได้ว่า ภายหลังการตายเขาอาจเกิดขุ่นเคืองที่ได้เห็นนิมิตแห่งตถาคตทั้งห้า ในบาร์โดซึ่งจะมิได้ขึ้นตรงต่อการรับรู้ของเขา ในยามนี้นิมิตแห่งตถาคตทั้งห้าจะมิได้ปรารถนาการเข้าร่วมอีกต่อไป แต่กลับมีการต่อต้าน อย่างรุนแรง พวกเขาดำรงอยู่ที่นี้ อยู่ที่นั่นอย่างชวนขุ่นเคือง เพราะว่าพวกเขาจะไม่ตอบรับการติดต่อสัมพันธ์ในทุกรูปแบบ
 
นิมิตแรกที่บังเกิดขึ้นได้แก่นิมิตแห่งเทพสันติ สันติในที่นี้มิได้หมายถึงประสบการณ์แห่งความรักและความอบอุ่นดังเรากล่าวถึงในข้างต้น หากเป็นสันติในแง่ของความนิ่งเงียบที่โอบล้อมเราอยู่ไม่เคลื่อนไหว ไม่อาจจะเอาชนะหักหาญได้ ไม่แก่ชรา ไม่มีจุดสิ้นสุด ไม่มีจุดเริ่มต้น สัญลักษณ์แห่งสันติในที่นี้ได้แก่วงกลมที่ปราศจากทางเข้าเป็นสภาวะแห่งนิรันดรกาล
 
ไม่เพียงแต่ในประสบการณ์บาร์โดหลังการตายเท่านั้น แม้ในชีวิตประจำวันของเรา เหตุการณ์เช่นนี้ก็อุบัติขึ้นอย่างไม่ขาดสาย ยามใดก็ตาม ที่บุคคลเกิดความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับกับจักรวาล ทุกสิ่งทุกอย่างจะดูสวยสด รื่นรมย์และน่าปรารถนา เป็นไปได้ที่จะมีบางสิ่งบางอย่าง ก้าวย่างเข้ามา เป็นอย่างเดียวกับกับนิมิตแห่งเทพสันติ คุณจะพบว่า เป็นไปได้ที่คุณจะสูญเสียภูมิพำนัก สูญเสียการเข้าร่วมรวมตัว สูญเสีย เอกลักษณ์แห่งตน และเริ่มเลือนหายไปในสถานการณ์แห่งแสงสุกใส สภาวะของสันติสุขอันเลอค่าดูจะน่าตื่นอกตื่นใจ บ่อยครั้งทีเดียวที่ ศรัทธาของบุคคลอาจสั่นคลอนได้โดยประกายสว่างไสวจากมิติอื่น ที่ซึ่งแม้กระทั่งแนวคิดแห่งเอกภาพก็ไม่อาจใช้การได้อีกต่อไป
 
นอกจากนี้ยังปรากฏประสบการณ์ที่เป็นเทพพิโรธ อันเป็นรูปแบบแสดงออกอีกแง่มุมหนึ่งของสันติธรรม ความอำมหิต ที่ไม่ยินยอมให้เกิด การผิดพลั้งใด ๆ ถ้าคุณย่องเข้าหาพวกเขาและพยายามเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ พวกเขาจะจับคุณเหวี่ยงออกมา นั้นคือสิ่งซึ่งดำเนินอย่าง ต่อเนื่องพร้อมอารมณ์ในสถานการณ์อันมีชีวิตชีวา จะโดยเหตุใดก็ตาม การเข้าถึงเอกภาวะที่ซึ่งทุกสิ่งมีความสงบและกลมกลืน ไม่ใช่ตัว สัจธรรมสูงสุด เพราะเมื่อใดก็ตามที่การระเบิดออกทางอารมณ์ในรูปของความก้าวร้าวหรือมักใคร่บังเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน คุณจะตาสว่างขึ้น นั้นแลคือความโหดร้ายแห่งสันติสุข เมื่อคุณต้องเข้าเกี่ยวกับขบวนการผลิตอัตตา ทำให้สถานการณ์ทุกอย่างเป็นที่น่าพอใจ สัจจะอันแท้จริงแห่งความเปล่าเปลือยทางจิตและสีสรรแห่งอารมณ์จักปลุกคุณให้ตื่นขึ้น อาจเป็นไปอย่างรุนแรง ราวกับอุบัติเหตุหรือความโกลาหลฉับพลัน
 
แต่ก็แน่ละอาจเป็นได้ว่าพวกเราจะพากันเพิกเฉยต่อคำตักเตือนเหล่านี้ และพากันยึดมั่นอยู่แต่ความเชื่อดั้งเดิม ดังนั้นแนวคิดแห่งการละร่าง และเข้าสู่แสงสุกใส ครั้นแล้วก็ตื่นจากแสงสุกใสและได้รับรู้นิมิตเหล่านี้ในบาร์โดขั้นที่สาม อาจถูกมองในทางสัญลักษณ์ได้ว่าเป็นประดุจดัง การรับเข้าสู่อากาศธาตุอันว่างโล่ง เป็นอากาศธาตุที่ห้ามแม้กระทั่งร่างกายให้ล่องผ่าน เป็นอากาศที่ว่างที่คุณไม่อาจแสวงหาการรวมตัวได้ เพราะไม่มีสิ่งใดให้รวมตัวหรือพักพิง มีเพียงประกายแสงแห่งพลังงานที่ล่องลอยอยู่ ซึ่งอาจเบี่ยงเบนหรือส่งผ่านเข้าไปได้ นั่นคือนิยามแห่งจิตในกรณีเช่นนี้ จิตในที่นี้เป็นพลังงานลวงหลอกที่อาจเบี่ยงเบนไปสู่สถานการณ์แบบอื่น ๆ หรืออาจแปรรูปเป็นสถานการณ์ที่ถูกต้องได้ โอกาสที่บุคคลจะปลดปล่อยตนเองเข้าสู่สัมโภคกายภาวะแห่งตถาคตทั้งห้านั้นขึ้นอยู่กับว่า ยังมีความพยายามที่จะเล่นเกมส์แบบเดิมอยู่อีกหรือไม่
 
ในเวลาเดียวกันที่เราประสบอยู่กับสถานการณ์อันคมชัดและเร้าใจอยู่นี้ก็จะบังเกิดอาการทวนกลับไปมาของภูมิทั้งหกแห่งประสบการณ์ บาร์โด การรับรู้ภูมิทั้งหกและการรับรู้ตถาคตทั้งห้านั้นจะเป็นภาวะเดียวกันแต่มีหลายแบบ ดูเหมือนว่าผู้ที่ได้พบเห็นตถาคตทั้งห้ามักเป็น ผู้ที่มีความสามารถอย่างใหญ่หลวง ในการธำรงสายสัมพันธ์ระหว่างกายเนื้อและจิตใจไว้ได้อย่างเป็นไปเอง ไม่มีการแบ่งแยกระหว่าง มโนวิญญาณของร่างกายกับจิตใจ ทั้งคู่เป็นสิ่งเดียวกัน ดังนั้นจึงไม่มีความขัดแย้งใด ๆ บังเกิดขึ้น
 
คัมภีร์เล่มนี้กล่าวไว้ว่า นับแต่คุณได้ตื่นจากภาวะซึมซาบดื่มด่ำใจกายอย่างไร้สำนึก คุณมีประสบการณ์แห่งนิมิต รวบรัดแจ่มชัด และแม่นยำ ใสสว่างและน่าเกรงขาม คล้ายดังการแลเห็นภาพลวงตาในทุ่งกว้างแห่งฤดูใบไม้ผลิ คุณจะได้สดับเสียงที่กึกก้องดุจดังสายฟ้าฟาดทั่งทั้งธรณี ในสภาพแห่งจิตมีความรู้สึกปลดปล่อยและลอยตัว ในขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกเหมือนถูกท่วมทับด้วยปัญญานานา เปรียบดังมีศีรษะ แต่ปราศจากกาย ศีรษะขนาดมโหฬารลอยล่องอยู่ ณ อากาศเวิ้งว้าง ด้วยเหตุนี้มิมิตอันแท้จริงในสภาวะบาร์โดจึงแจ่มใส ชาญฉลาด และ สุกสว่างยิ่งนัก แต่กลับจับต้องไม่ได้ คุณไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าคุณกำลังอยู่ ณ แห่งหนตำบลใด มีเสียงกึกก้องระรัว คำรามอยู่เบื้องหลัง แผ่นดิน ก็สั่นไหว แต่กลับดูเหมือนว่าไม่มีสิ่งใดไหวติงเลยในขณะนั้น ถึงแม้ว่าภาพนิมิตในบาร์โดจะแจ่มชัดและดูลวงหลอกได้แนบเนียน อันเนื่อง มาจากการหย่าขาดจากร่างกายก็ตามที ประสบการณ์ไกล้เคียงกันนี้ก็อาจอุบัติได้ในชีวิตประจำวันเช่นกัน แม้ในชีวิตธรรมดาภาพลวงตา จะดูไม่สมจริง แต่ก็ยังมีคุณลักษณ์แห่งความไร้ชีวิตจิตใจทำงานอยู่ รวมทั้งความเปล่าเปลี่ยวและความไม่แน่ไม่นอนด้วย เมื่อผู้คนเริ่มตระหนัก ว่าพวกเขาสุญเสียที่มั่นที่ใช้สัมพันธ์อ้างอิงเช่นตัวตนไปแล้ว ประสบการณ์แห่งความอ้างว้างเหลือประมาณนี้ย่อมนำมาซึ่งความสั่นคลอนสั่นไหว อันสุดแมนจะทนทาน


หัวข้อ: Re: คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead]
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 17 มิถุนายน 2553 21:06:59
วันที่หนึ่ง
 
 
 
มีข้อความกล่าวในคัมภีร์เล่มนี้ว่า ภายหลังที่ไม่รู้สึกตัวมาเป็นวันที่สี่ บุคคลจะตื่นขึ้นสู่แสงสุกใส อันก่อให้เกิดความเข้าใจในทันทีว่าตนเอง ได้อยู่ในสภาวะบาร์โด และวินาทีนั้นเองที่ประสบการณ์สังสารวัฏจะฉายฉาน มีการรับรู้ถึงแสงสว่างและจินตภาพอันเป็นด้านผกผันแห่งกายและรูป แทนที่มันจะปรากฏตนรูปอันจับต้องได้ มันกลับปรากฏตนในรูปที่จับต้องไม่ได้
 
จากนั้นคุณก็ได้ประจักษ์กับแสงเจิดจรัส อันเป็นการเชื่อมโยงกันของกายและปัญญา ถึงแม้เราจะถูกดูดซึมเข้าสู่ภาวะสุกใส ภูมิปัญญาก็ยังคง ดำเนินต่อไปอย่างแหลมคมและแจ่มชัด พร้อม ๆ กับความเจิดจรัส และแล้วกายเนื้อ กายจิต ปัญญา และใจอันปราดเปรื่องก็จะสูญสลายสู่ อากาศธาตุ
 
ในกรณีเช่นนี้ พื้นที่ว่างแห่งอากาศธาตุจักเป็นสีคราม นิมิตที่ปรากฏขึ้นไดพ้แก่พระไวโรจนพุทธ พระไวโรจนพุทธนั้นได้แก่พระพุทธองค์ที่ปราศจากด้านหน้าและด้านหลัง พระองค์เป็นรูปนิมิตที่แผ่ไพศาลซึมซาบไปในทุกแห่งหนโดยปราศจากศูนย์กลางแน่ชัด ดังนั้นพระองค์ จึงปรากฏกายในท่วงท่าขัดสมาธิมีพระพักตร์สี่ด้านทอดพระเนตรออกไปในทิศทั้งสี่ มีพระวรกายสีขาว นั้นเป็นเพราะว่าการรับรู้ของพระองค์ นั้นไม่ต้องการสีสันอื่นเจือปน คงไว้แต่สีสันเดิมอันเก่าแก่เท่านั้น อันได้แก่สีขาว พระองค์ทรงถือธรรมจักร อันเป็นสัญลักษณ์แสดงถึง การไปพ้นจากกาละและเทศะ สัญลักษณ์โดยรวมของพระไวโรจนะพุทธ ได้แก่การปราศจากที่มั่นศูนย์กลาง และการครอบครองมุมมอง อันไพศาล ทั้งจุดศูนย์กลางและวงรัศมีดำรงอยู่ ณ ทุกแห่งหน เป็นการเปิดเผยจิตใจอย่างสิ้นเชิง
 
พร้อม ๆ กันนั้นก็บังเกิดนิมิตแห่งภูมิเทพเทวาขึ้น ภาพที่กว้างใหญ่ไพศาลปราศจากจุดศูนย์กลางก่อให้เกิดความหวาดหวั่นนั้นเป็นเพราะว่า เราไม่มีที่พักพิงอีกต่อไป ทว่าประกายนวลใสแห่งสีขาวจักเปรียบประดุจดังตะเกียงในพายุมืด ซึ่งเราจะมุ่งหน้าเข้าหามัน
 
ภูมิแห่งเทพเทวานั้นมักปรากฏในชีวิตประจำวันของเราเสมอ เมื่อใดก็ตามที่เราอยู่ในภาวะดิ่งนิ่งอยู่ใต้สภาวะปีติสุขและเริงรื่นคล้ายกับเข้าฌาน เมื่อใดที่ความปีติสุขเช่นนี้บังเกิดขึ้น ด้านตรงข้ามของมันอันได้แก่การใช้ศูนย์กลางก็อาจเกิดขึ้น มันเป็นสิ่งที่น่าขุ่นเคืองอย่างยิ่ง ไม่น่ายินดีเลย เพราะไม่มีสิ่งใดให้เราได้คลอเคลีย ไม่มีที่ให้เราแสวงหาความเพลิดเพลินใจ เป็นการดีที่เราจะแลเห็นทุกสิ่งได้กว้างไกล แต่หากปราศจากคนที่รับรู้สิ่งเหล่านั้นเสียแล้ว เรื่องเช่นนี้กลับน่าหวาดกลัวยิ่งนัก ความขัดแย้งระหว่างภูมิแห่งเทพเทวากับคุณลักษณ์แห่งพระไวโรจนพุทธ นั้นเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในชีวิตเรา บ่อยครั้งทีเราต้องเป็นผู้ตัดสินว่า เราจักยึดมั่นอยู่กับสิ่งซึ่งเป็นต้นตอศูนย์กลางแห่งความสุขใจ หรือว่า จะก้าวเข้าไปสู่ความเปิดโล่งอันบริสุทธิ์ผุดผ่องที่ปราศจากศูนย์กลางดี
 
ประสบการณ์ดังกล่าวเกิดจากความก้าวร้าว เพราะความก้าวร้าวจะฉุดรั้งเราให้ถอยหลังกลับและปิดบังเราจากการแลเห็น พระไวโรจนพุทธ ความก้าวร้าวเป็นสิ่งทึบตันอึดอัด เมื่อเราตกอยู่ภายใต้ความเกลียดชัง ก็เปรียบเสมือนการกลายเป็นตัวเม่นที่ทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องตนเอง จากการแลเห็นได้กว้างไกล เราไม่ต้องการจะมีสี่หน้า แม้ดวงตาข้างเดียวเราก็ไม่ปรารถนา เป็นเรื่องของการหมกมุ่นกับตนเองอย่างรุนแรง นั่นคือสาเหตุที่ว่าทำไมความก้าวร้าวจึงผลักไสเราจากคุณลักษณ์อันเปิดโล่งแห่งพระไวโรจนพุทธ


หัวข้อ: Re: คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead]
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 17 มิถุนายน 2553 21:07:31
วันที่สอง
 
 
เมื่อพ้นจากธาตุน้ำ แสงนวลขาวก็ริบหรี่ลง และในทางทิศตะวันออก ณ ภูมิแห่งสุขาวดี พระตถาคตวัชรสัตว์ หรือพระอักโษภยพุทธจะ ปรากฏขึ้น

คำว่า อักโษภยะแปลว่า ผู้ไม่หวั่นไหว และวัชรสัตว์ แปลว่า สรรพสัตว์ที่มีคุณลักษณ์ดุจดังวัชระหรือเพชร ทั้งสองคำนี้หมายถึง ความแข็งแกร่ง ความหนักแน่น ในตำนานโบราณของชาวอินเดีย วัชระ ได้แก่ อัญมณีสูงค่าหรือสายฟ้า ที่สามารถทำลายล้างอาวุธ หรืออัญมณีอื่น ๆ ได้ แม้กระทั่งเพชร ตำนานเล่าว่ามีฤษีตนหนึ่งบำเพ็ญเพียรอยู่บนยอดเขาพระสุเมรุเป็นเวลานานนับศตวรรษ เมื่อ ฤษีตนนี้ดับชีพลง กระดูกของท่านได้กลายเป็นวัชระ พระอินทร์ได้เสด็จมาพานพบเข้าและนำติดตัวกลับไปทำเป็นอาวุธ เป็นวัชรศาสตรา ที่แหลมคมในทุกเหลี่ยมมุม วัชรศาสตรานั้นมีคุณลักษณ์เด่น สามประการ ได้แก่ หนึ่ง มันไม่อาจนำไปใช้อย่างพร่ำเพรื่อ สอง มันมีอำนาจสูงสุดในการทำลายคู่ต่อสู้ สาม มันจะย้อนกลับคืนสู่ผู้เป็นเจ้าของเสมอ มันเป็นอาวุธที่ทำลายไม่ได้ แข็งแกร่งและทรงพลังมาก

พระตถาคตวัชรสัตว์-อักโษภยะทรงถือวัชระห้าแยก อันมี ความแกร่งเป็นเลิศ ประทับนั่งอยู่บนบัลลังก์กุญชร ศักติหรือเทวีของพระองค์ ได้แก่ โลจนะพุทธะหรือดวงเนตรแห่งพุทธะ ในตำนานทางพุทธธรรมมีดวงเนตรอยู่ห้าประเภท เนตรแห่งกาย เนตรแห่งพุทธะ เนตรแห่งภูมิปัญญา เนตรแห่งสรวงสวรรค์ เนตรแห่งธรรมะ ในที่นี้เนตรแห่งพุทธะ หมายถึง การตรัสรู้แจ้งแล้ว คุณอาจครอบครอง สถานการณ์ที่แข็งแกร่ง มั่นคง แต่หากคุณไม่สามารถทำการสื่อสารกับสภาวะแวดล้อมได้ คุณจะเริ่มเซื่องซึมเฉื่อยชา ด้วยเหตุนี้คุณลักษณ์ แห่งอิตถีเพศจะเป็นตัวเปิดทางให้ นางเป็นผู้จัดการหาหนทางออกหรือการเคลื่อนไหวให้กับสรรพสิ่ง เป็นองค์ประกอบของการสื่อสาร ที่โยกย้ายความเย็นชาสู่การเลื่อนไหล เป็นสถานการณ์อันมีชีวิตยิ่ง

ผู้ติดตามอีกท่านหนึ่งได้แก่พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ คำว่า กษิติครรภ์ หมายถึง ครรภ์แห่งแผ่นดิน พระองค์เป็นตัวแทนแห่งความสมบูรณ์ และความงอกงาม เป็นรูปแบบของการเผยแพร่คำสอนอีกแบบหนึ่งของพระพุทธองค์ พระองค์มักร่วมทางมากับพระเมตไตรยโพธิสัตว์ โพธิสัตว์ผู้ทรงไว้ซึ่งความเมตตา ความแข็งแกร่งมั่นคง ความอุดมสมบูรณ์ ต้องพึ่งพาอารมณ์อ่อนโยนเมตตา เพื่อนำความมีชีวิตชีวา ถ่ายทอดสู่สิ่งที่แข็งกระด้าง ความกรุณาในที่นี้ก่อจากความรักอันไพศาล หาใช่ความกรุณาที่มุ่งแต่ตนเองไม่

ลำดับต่อมาได้แก่โพธิสัตว์สตรีนาม ลาสยา เป็นโพธิสัตว์แห่งการเริงร่ายหรือท่วงท่ามุทรา นางเป็นเทพีที่เลศในการแสดงมากกว่าการเริงรำ เป็นผู้แสดงให้เห็นถึงความงามและความสูงค่าแห่งร่างกาย เป็นความสง่างามและความเย้ายวนแห่งอิตถีเพศ นอกจากนี้ยังตามติดด้วยบุษบา เทวีแห่งบุปผาลดาวัลย์อันเป็นองค์คุณโพธิสัตว์แห่งทัศนียภาพ ทิวทัศน์และฉากประเทศ

สิ่งที่พ้นไปจากรูปขันธ์คือ ลำแสงที่สุกใสดุจกระจกแก้วและสว่างแวววาวแจ่มใสและเจิดจรัส ซึ่งฉายฉานจากดวงหทัยของวัชรสัตว์และชายาประจำองค์ พร้อมกันนี้ลำแสงจากนรกภูมิที่มีสีเทาสลัวปราศจากความใสสว่างก็จักบังเกิดขึ้นด้วย เมื่อผู้คนโดยทั่วไปได้ประสบพบกับคุณลักษณ์ อันสูงส่งแห่งวัชระเลอคำ เขาจักรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งซับซ้อน ดังนั้นเขาจึงหันเหความสนใจไปยังแสงสีเทาที่เกี่ยวโยงกับนรกภูมิ อันเป็นความ หวาดระแวงซึ่งสัมพันธ์เชื่อมโยงกับคุณลักษณ์ทางด้านปัญญาของวัชระ ในการจะทำความเข้าอกเข้าใจเหตุการณ์ได้อย่างถ่องแท้นั้น คุณจำต้องแลเห็นอย่างชัดแจ้งว่าเกิดข้อผิดพลาดประการใดขึ้น มากกว่าจะเฝ้าค้นหาในสิ่งที่ถูกต้อง นี่แลคือคุณลักษณ์แห่งปัญญาอันเป็นธรรมชาติ สูงส่งของวัชรสกุลเป็นทัศนคติที่เปี่ยมไปด้วยเหตุผล ปัญญาญาณของคุณจะตั้งอยู่บนพื้นแผ่นดินอันหนักแน่นหรือความเป็นปกติสามัญได้ มันย่อมกวนก่อความหวาดระแวงให้ตามติดมา


หัวข้อ: Re: คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead]
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 17 มิถุนายน 2553 21:07:56
วันที่สาม
 
 
 
เมื่อเวลาผ่านไป คุณลักษณ์แห่งธรรมธาตุของไวโรจนพุทธจักสร้างขอบเขตที่ว่างอันเวิ้งว้างขึ้น ส่วนคุณลักษณ์แห่งพระวัชรสัตว์ - อักโษภยพุทธ จักก่อให้เกิดความแข็งแกร่ง แข็งกร้าว และแล้วนิมิตแห่งรัตนสัมภวพุทธ จักปรากฏขึ้น รัตนสัมภวพุทธเป็นนิมิต แห่งสกุลรัตนะ ซึ่งกำเนิดจากความรุ่มรวยและความสง่างามสมเกียรติ ความมั่งคั่งจักแผ่กระจายไปในทุกแห่งหน โดยมีพื้นฐานจากความแข็งแกร่งร่ำรวยและแผ่ไพศาล ด้านเลวร้ายของคุณลักษณ์แห่งรัตนะได้แก่ อาศัยความรุ่มรวยรุกล้ำไปในดพินแดนของผู้อื่น รุกล้ำเข้าไปใน ดินแดนอันว่างเปล่า เป็นการแผ่ขยายทานกรุณาอย่างเกินขอบเขต ทำให้ปิดกั้นการสื่อสารอันเหมาะควร
 
รัตนสัมภวพุทธนั้นมีพระวรกายสีเหลืองอันหมายถึงโลก เป็นความงอกงามอุดมมั่งคั่ง พระองค์ทรงถือดวงมณีอันบ่งบอกถึง การหย่าขาด จากความยากจน ศักติของพระองค์มีนามว่ามามากีอันหมายถึงสายน้ำ ความสมบูรณ์แห่งผืนแผ่นดินย่อมต้องพึ่งพาแหล่งน้ำเป็นสำคัญ
 
พระโพธิสัตว์ที่ร่วมทางมาด้วยได้แก่ อากาศครรภ์ หรือ ครรภ์แห่งผืนฟ้า ผืนดินอันอุดมย่อมต้องการที่ว่างเพื่อใช้แลดูทัศนียภาพรอบ ๆ นอกจากนี้ยังมีพระสมันตภัทรโพธิสัตว์ ผู้ถึงพร้อมด้วยมหาจริยาและมหาปณิธาน ผู้คงความแข็งแกร่งของโลกโดยพื้นฐานไว้ ความแข็งแกร่งนั้นเป็นองค์ประกอบสำคัญในมณฑลทั้งหมดแห่งสกุลรัตนะ ในวัฒนธรรมเก่าแก่แห่งการเลือกที่เพาะปลูกหว่านไถ ใหม่นั้น ( ซึ่งอาจได้รับอิทธิพลและพัฒนามาจากวัฒนธรรมบอนของธิเบต ) คุณไม่อาจสุ่มหาที่ตั้งโดยปราศจากปัจจัยทางจิตวิทยาเข้ามา เกี่ยวข้อง ตำแหน่งสถานที่ต้องกอปรด้วยความรู้สึกว่างโล่งแห่งทิศตะวันออก ( บูรพา ) ความหอมหวานชื่นใจแห่งทิศใต้ ( ทักษิณ ) โดยอาศัยลำธารและสายน้ำ ความรู้สึกหนักแน่นแห่งทิศตะวันตก ( ปราจีน ) โดยอาศัยก้อนหินศิลาเป็นสำคัญ ความรู้สึกปกป้องแห่งทิศเหนือ ( อุดร ) โดยอาศัยทิวเขาเป็นแนวหลัก รวมทั้งการพิจารณาการไหลบ่าของทางน้ำโดยยึดรูปร่างแผ่นดินเป็นหลัก และบริเวณที่ใกล้เคียงกับ น้ำพุหรือตาน้ำ มักจะมีจุดที่ไม่ชื้นแฉะและมีแหล่งหินอันเหมาะสมในการเพาะปลูกสร้างเคหะสถาน ตำแหน่งที่มีแหล่งหินล้อมรอบด้วย ที่ตั้งและรูปร่างลักษณะอันถูกต้องเรียกขานกันในนามว่า สมันตภัทรปริมณฑล นอกจากนี้ สมันตภัทรโพธิสัตว์ยังข้องเกี่ยวกับแรงบันดาลใจ และความคิดด้านบวก เป็นความเชื่อมั่นศรัทธาและจิตใจอันดีงามที่มองไปในอนาคตเบื้องหน้า
 
รัตนะสัมภวพุทธจะร่วมทางกับศักตินาม มาลา เทวีที่ประทานให้ซึ่งเครื่องหอม พวงมาลา สร้อยคอ กำไลมือ และเครื่องประดับต่าง ๆ โพธิสัตว์สตรีอีกนางหนึ่งได้แก่ ธูป เทวีอันทรงไว้ซึ่งกำยานของหอม นางเป็นตัวแทนแห่งกลิ่นหอมจรุงใจในสภาพธรรมชาติแห่งพื้นพิภพ เป็นอากาศบริสุทธิ์ที่ปราศจากมลภาวะ เป็นสถานที่บริเวณอันพืชพันธุ์จะผลิใบแตกหน่อและสายน้ำจะไหลรินโคจร
 
แสงสว่างที่ผูกพันกับสกุลรัตนะได้แก่่่่แสงเหลืองนวลที่สงบรำงับไม่พร่ามัว แต่ดูราวกับว่าคุณลักษณ์อันรุ่มรวยและละเอียดอ่อนของ รัตนปริมณฑลสูงส่งและซับซ้อนเกินไป ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่ว่าบุคคลจะพลัดหลงไปสู่ซอกมุมโสมมและพึงใจอยู่แต่ตนเองอันเป็น มุมอับเล็ก ๆ ของความเย่อหยิ่ง ซึมเซา แห่งมนุษย์ภูมิ


หัวข้อ: Re: คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead]
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 17 มิถุนายน 2553 21:08:21
วันที่สี่
 
 
 
ในวันที่สี่จักถึงคราธาตุบริสุทธิ์แห่งไฟ ที่ปรากฏตนในรูปพระอมิตาภพุทธในปัทมสกุล พระอมิตภพุทธ หมายถึง พระผู้มีรัศมีหาที่สุดมิได้ คุณลักษณ์สำคัญแห่งปัทมสกุลได้แก่ความดึงดูด ความเย้ายวน ความเชื้อเชิญและอบอุ่น ความเปิดโล่ง และกรุณาคุณ รัศมีนั้นหาที่สุดมิได้ นั่นเป็นเพราะมันได้สาดส่องไปตามธรรมชาติ มิได้ร้องหารางวัลตอบแทนใด ๆ เป็นคุณลักษณ์แห่งธาตุไฟที่มิใช่ความก้าวร้าวชิงชัง หากแต่ ทำการเผาผลาญในทุกสิ่งโดยปราศจากการเลือกที่รักมักที่ชัง

พระอมิตาภพุทธทรงถือดอกบัวหรือปัทมะไว้ในมือ อันมีความหมายดังข้างต้น ดอกบัวจะแย้มบานเมื่อจันทราหรือสุริยาสาดฉายมาต้อง มันจะแย้มกลีบออกรับแสง ประดุจดังว่าทุกสถานการณ์จะได้รับการต้อบรับเสมอ นอกจากนี้มันยังแฝงคุณสมบัติแห่งความบริสุทธิ์เลอค่า ความเอื้ออาทรเช่นนี้อุบัติจากโคลนตมและฝุ่นผงแต่หาแปดเปื้อนแม้แต่น้อย พระองค์ทรงพาหนะมยุราอันหมายถึงความเปิดกว้างและ การตอบสนอง ในตำนานโบราณมยุราจักได้รับการชุบเลี้ยงโดยมียาพิษเป็นภักษาหาร สีสันบนตัวกำเนิดจากโอสถพิษอันร้ายแรง โดยอาศัยการเปิดเผย เปิดกว้าง ทำให้มันสามารถเผชิญหน้ากับสถานการณ์อันเลวร้ายได้อย่างไม่หวั่นไหว จริงแล้วความกรุณาจักอาจหาญร่าเริงได้ถึงขีดสุดก็ต่อเมื่อยามเผชิญหน้ากับสถานการณ์อันเลวร้ายเท่านั้น

ชายาของพระองค์ได้แก่ปันฑราสาสินี หรือนางในอาภรณ์ชุดขาว อันเกี่ยวข้องกับตำนานเก่าแก่ของอินเดียที่กล่าวถึงภูษาอันถักทอ จากใยหิน ซึ่งจะชำระล้างมลทินได้โดยเปลวไฟเท่านั้น นางเป็นตัวแทนแห่งอัคคีที่เผาผลาญทุกสิ่ง และเผยให้เห็นถึงผลจากการแผดเผา อันได้แก่ความบริสุทธิ์และความกรุณาอันเปี่ยมล้น

นอกจากนี้ยังปรากฏองค์พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรเจ้า ผู้ทรงความการุณย์ พระองค์ทรงทอดพระเนตรไปในทุกแห่งหน อันเป็นการแสดง ออกถึงปัญญาญาณขั้นสูงสุดของความกรุณา ที่ใดก็ตามที่ปรารถนาความกรุณา ท่านก็จักปรากฏตัวขึ้นดังสภาพธรรมดาสามัญ เฉียบคมและ เป็นไปโดยพลัน หาใช่ความกรุณาแบบบอดใบ้หรือปัญญาอ่อน แต่เป็นความกรุณาอันชาญฉลาดที่ปฏิบัติตนได้ดีเลิศ พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ ที่ปรากฏตนในที่นี้ด้วยนั้น แสดงให้เห็นถึงกลไกแห่งความกรุณา เป็นกลไกที่อุบัติจากปัญญามากกว่าอาศัยแรงกระตุ้นทางอารมณ์เพียงถ่ายเดียว พระมัญชุศรีโพธิสัตว์เป็นผู้ก่อกำเนิดสรรพเสียงที่ใช้ติดต่อแสดงความกรุณา พระองค์เป็นตัวแทนแห่งถ้อยคำของความว่างอันเป็นบ่อเกิด ของถ้อยคำทั้งปวง

สำหรับ คีตา โพธิสัตว์สตรีแห่งบทเพลง นางเป็นผู้ขับร้องท่วงทำนองแห่งพระมัญชุศรี ส่วนอโลคาเทวี คือโพธิสัตว์สตรีที่ถือดวงตะเกียง หรือคบเพลิง กระบวนการทั้งหมดแห่งความกรุณานั้นมีทั้ง จังหวะ ทำนอง และแสงสว่าง มีทั้งความลึกล้ำแห่งปัญญาและความแหลมคมอันทรงประสิทธิภาพ มีทั้งคุณสมบัติแห่งความบริสุทธิ์ของพุทธะเช่นเดียวกับคุณลักษณ์อันแผ่ไพศาลของพระอมิตาภพุทธ

ทั้งหมดนี้คือเทพแห่งปัทมสกุล ที่อยู่เหนือสัญญาขันธ์และเจิดจ้าด้วยลำแสงสีแดงแห่งภูมิปัญญาอันตระหนักแจ้งไม่เบี่ยงเบนเป็นสมบัติ ความกรุณานั้นคมชัดและเที่ยงตรง มันจึงจำต้องอาศัยปัญญาที่รู้จักแยกแยะซึ่งมิได้หมายถึงการเลือกยอมรับหรือปฏิเสธ แต่หากหมายถึง การแลเห็นสรรพสิ่งดังความเป็นจริง

ในคัมภีร์เล่มนี้ปัทมสกุลและความกรุณาเกี่ยวข้องกับเปรตภูมิอันทำให้เกิดข้อโต้แย้งบางประการ เพราะอารมณ์ปรารถนามักผูกพัน กับมนุษย์ภูมิเป็นที่ตั้ง คุณลักษณ์มากมายแห่งปัทมสกุลไม่ว่าจะเป็นความแหลมคม ความแจ่มชัด ความลึกล้ำ และความสูงส่งนั้นมักท่วมท้น มากล้นจนในบางครั้งคราบุคคลปรารถนาจะบอดใบ้อยากจะหลบหนีจากสิ่งสมบูรณ์พร้อมเช่นนี้และไปเพลิดเพลินกับอารมณ์อันเย้ายวนแทน


หัวข้อ: Re: คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead]
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 17 มิถุนายน 2553 21:08:45
วันที่ห้า
 
 
 
ในวันที่ห้ากรรมสกุลจักปรากฏตนขึ้น พร้อมกับคุณสมบัติใสสะอาดแห่งอากาศหรือสายลม แสงสาดส่องฉายฉานในที่นี้ได้แก่แสงสีเขียว เป็นสีแห่งความอิจฉาริษยาจากดินแดนแห่งกรรมที่สั่งสม พระอโฆสิทธิพุทธได้ปรากฏขึ้น กรรมสกุลนั้นข้องเกี่ยวกับการกระทำ ความสำเร็จ และประสิทธิภาพ ที่บังเกิดมีนั้นช่างทรงพลังและยากจะต้านทานได้ ดังนั้นมันจึงถูกมองว่าเป็นตัวทำลายล้างด้วยเช่นกัน พระอโฆสิทธิ หมายถึงการสำเร็จกิจทุกประการและบรรลุถึงอำนาจทั้งปวง

พระอโฆสิทธิพุทธทรงถือวัชระไขว้ไว้ในมือ วัชระนั้นเป็นเครื่องหมายแห่งความสำเร็จในทุกขอบข่ายแห่งการกระทำ เป็นความแข็งกร้าว แข็งแกร่ง และไม่อาจขจัดทำลายได้ดังที่ได้เคยกล่าวถึงวัชรสกุล วัชระไขว้เป็นตัวแทนแห่งกิจการงานที่ได้รับการตรวจตราอย่างถี่ถ้วน เป็นการใส่ใจในทุกแง่มุม เป็นวัชระอันหลากสีสัน
 
พระอโฆสิทธิพุทธจะทรงประทับนั่งอยู่บนชาง-ชาง อันเป็นสัตว์จำพวกครุฑ ครุฑประเภทนี้เชี่ยวชาญอย่างล้นเหลือในทางดุริยศาสตร์ ชาง-ชางจะถือฉิ่งไว้ในมือทั้งสองข้างขณะที่แบกพระอโฆสิทธิพุทธไว้บนหลัง ก่อให้เกิดภาพพจน์อันน่าเกรงขามและเป็นสัญลักษณ์ แห่งความสำเร็จในกาลทั้งปวง ชาง-ชางเป็นยอดแห่งวิหค เป็นวิหคชั้นสูงที่สามารถโผบินไปทั่วสากลจักรวาล บุกฝ่าไปทุกแห่งหน

ชายาประจำตัวของท่านนั้นได้แก่ สัมมายะ-ธารา เป็นเทพีแห่งถ้อยคำอันศักดิ์สิทธิ์ หรือในนามแห่งสัมมายวาจา ในพระสูตรแห่งตันตระ มีการตีความคำว่าสัมมายะแตกต่างกันไป ทว่าในกรณีดังกล่าวนี้ มันมีความหมายถึงความสมหวังอันเต็มเปี่ยมในสถานการณ์ขณะนั้น

พระโพธิสัตว์ที่ร่วมขบวนในกรรมสกุลนั้นได้แก่ วัชรปาณีหมายถึงผู้ทรงวัชระไว้ในฝ่ามือ เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงการธำรงไว้ซึ่งพละ กำลังอันมหาศาล ท่านทรงเป็นองค์คุณโพธิสัตว์แห่งพลังติดตามด้วยท่านศรวณี-วิศคันภิม ผู้ขจัดเสียซึ่งนิวรณ์ขวางอารมณ์หากนิวรณ์ เข้าครอบงำในระหว่างกระทำกรรม ซึ่งเกิดจากความเข้าใจผิดหรือความไม่สามารถสัมผัสกับปัจุบันขณะ ดังนั้นท่านจะเข้ามาขจัดล้าง นิวรณ์และเปี่ยมล้นด้วยอำนาจแห่งชัยชนะ

โพธิสัตว์สตรีแห่งกรรมสกุลนั้นได้แก่ คันธะ และไนเวทยะ คันธะเป็นเทวีแห่งน้ำปรุงเครื่องหอม นางถือหัวน้ำหอมที่ทำจากโอสถ สมุนไพรนานาชนิด อันแสดงถึงประสาทสัมผัส ในการประกอบกิจการอันเป็นกุศล คุณจำเป็นต้องมีประสาทสัมผัสอันฉับไว ส่วน ไนเวทยะนั้นเป็นผู้ประทานซึ่งอาหารหล่อเลี้ยง เป็นภักษาหารแห่งสมาธิภาวนาที่บำรุงเลี้ยงกิจการอันเชี่ยวชาญ

กรรมสกุลนั้นอยู่เหนือสังขารปรุงแต่ง และเชื่อมโยงอยู่กับอสุรภูมิ อีกครั้งหนึ่งที่ภูมิปัญญาได้ทำการเผชิญหน้ากับความสับสนหรืออวิชชา และทั้งคู่ต่างก็ปองหมายในสิ่งเดียวกัน อันได้แก่การครอบครองกักขัง ทว่าภูมิปัญญานั้นครอบครองโอกาสความเป็นไปได้ทั้งปวง ในขณะ ที่ความสับสนครอบครองกระบวนการคับแคบในการจัดการกับปัญหา นั้นเป็นเพราะว่าภูมิปัญญาล้วนแจ่มชัดต่อหนทางขจัดปัญหา นั้นเป็น ไม่ว่าจะเป็นในแง่อัตวิสัย - สภาววิสัย การใช้พลกำลัง พื้นผิว อารมณ์ ความเข้มข้น ความเร่ง พื้นที่ว่างหรือสิ่งใด ๆ อื่น ในขณะที่ความสับสนแทบไม่เคยพัฒนาตนเองหรือแผ่ขยายแนวคิดหนทางใด ๆ เลย ความสับสนเป็น ปัญญาล้าหลังต่ำทราม ในขณะที่ความชาญฉลาดคือปัญญาที่พัฒนาถึงขีดสุดแล้ว


หัวข้อ: Re: คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead]
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 17 มิถุนายน 2553 21:09:14
 ;D


หัวข้อ: Re: คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead]
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 17 มิถุนายน 2553 21:09:41
(http://www.thangkapaintings.com/Themes/Template/dhyani_buddha_thangka.jpg)

วันที่หก
 
 
บัดนี้ถึงวาระที่บรรดาเทพแห่งสันติสี่สิบสององค์ ตถาคตทั้งห้า จตุรบาลทั้งสี่ เทวีทั้งสี่และภูมิทั้งหกอุบัติขึ้นอย่างพร้อมเพรียง เราตกอยู่ ในสถานการณ์ที่สับสนอลหม่าน ตถาคตทั้งห้าจักเติมเต็มที่ว่างจนแน่น ในทุกทิศทาง ในทุกแง่มุมของอารมณ์ ไม่มีรอยปริรอยแยก ไม่มีการหลบหนี ไม่มีการเบี่ยงเบน ทวารผ่านเข้าออกทั้งสี่จักถูกเฝ้าระวังโดยเทพเฮรุกาทั้งสี่

นายทวารแห่งทิศบูรพาเป็นที่รู้จักกันในนามของผู้พิชิต ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความสงบสันติ ทว่าท่านกลับปรากฏตนในรูปของ ความพิโรธโกรธเกรี้ยว จนทำให้เกิดความเกรงขามสะพรึงกลัว จนคุณไม่กล้าจะฝ่าออกไป ท่านเป็นตัวแทนแห่งสันติสุขที่ไม่มีทางหักล้าง ทำลายหรือสั่นคลอนได้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมท่านจึงได้รับสมญาว่าผู้พิชิต

นายทวารแห่งทิศทักษิณนั้นได้แก่ปรปักษ์แห่งยมราชท่านข้องเกี่ยวกับกรรมที่เพิ่มพูนซึ่งความมั่งคั่ง ความมั่งคั่งในเชิงธรรมดาสามัญนั้นมี ข้อจำกัดแห่งสถานที่และเวลา ดังนั้นผู้ที่ผ่านพ้นข้อจำกัดเหล่านี้ไปได้ย่อมเป็นปรปักษ์อันกล้าแข็งแห่งยมราช

ในทิศหรดีนั้นเป็นเทพหยครีวะมีศรีษะเป็นม้าท่านเป็นสัญลักษณ์แห่งการตักเตือนภัย เนื่องจากเสียงอาชานั้นสามารถปลุกคุณจากอาการ หลับใหลได้ในทุกสถานการณ์ สัญญาณเตือนภัยนั้นข้องเกี่ยวกับการดึงดูด อันเป็นความปรารถนาที่กอปรด้วยปัญญา แทนที่คุณจะตกอยู่ภายใต้อาการหลงใหล คุณกลับจะได้รับการปลุกให้ตื่น

ในทิศทักษิณนั้นนายทวารบาลได้แก่ ท่านอมฤตากุนดาลี วงแหวนแห่งอมฤต อันหมายถึงยาขจัดพิษ ท่านทรงเกี่ยวข้องกับความตาย และมรณกรรม ถ้าแรงกระตุ้นจากความสิ้นหวังนั้นรุนแรงจนบุคคลถึงกับสังหารตนเอง ยาขจัดพิษจักปกปักชีวิตคุณไว้ การฆ่าตัวตายหาใช่ ทางออกไม่ บัดนี้คุณได้รวบรวมคุณสมบัติสี่ประการไว้ในตน อันได้แก่ การธำรงอย่างสงบในชัยชนะชั้นสูง การไปพ้นข้อจำกัดแห่งเวลาและ สถานที่ การสร้างสัญญาณเตือนตนจากความหลงใหล การสร้างยาขจัดพิษภัยเพื่อทำลายล้าง การสังหารตนเอง บัดนี้คุณได้ถูกจับยึดอยู่ อย่างหมดหนทางหลบหนี

ยิ่งไปกว่านั้นยังมีหมู่เทวีที่เฝ้าพิทักษ์ทวารทั้งสี่ เทวีที่ทรงคันเบ็ด อันใช้เกี่ยวกระหวัดคุณดังปลาน้อยหากคุณคิดหลบหนี หรือในกรณีที่คุณ ก่อร่างความหยิ่งทะนง ให้ที่ว่างนั้นไม่อาจถูกคุกคามได้ เทวีที่ทรงบ่วงแส้จักจับคุณมัดนับแต่ศีรษะจรดเท้า มิให้คุณทำการแผ่ขยายความหยิ่ง ทะนงไปได้ หนทางหลบอีกประการหนึ่งได้แก่การทะยานวิ่งโดยอาศัยความไขว่คว้าเป็นตัวเร่ง เทวีแห่งโซ่ตรวนจักพันธนาการจนคุณไม่ อาจขยับเขยื้อนไปไหนได้ และหากคุณจะใช้การข่มขวัญโกรธเกรี้ยวข่มขู่ผู้อื่นให้เปิดทางหนีแก่คุณ เทวีแห่งเสียงระฆังแก้วจะระรัวกลบเสียง คำรามก้าวร้าวและเสียงโกรธเกรี้ยวให้สงบลง

ครั้นแล้วคุณจะต้องเผชิญหน้ากับภูมิทั้งหกแห่งพิภพจักรวาล พระพุทธองค์แห่งเทวโลก พระพุทธองค์แห่งอสุรภูมิ พระพุทธองค์แห่งมนุษย์ภูมิ พระพุทธองค์แห่งเดรัจฉานภูมิ พระพุทธองค์แห่งเปรตภูมิ และพระพุทธองค์แห่งนรกภูมิ จักอุบัติขึ้นจากศูนย์กลางดวงหทัยของคุณ อันเป็นสถานที่ที่เชื่อมโยงอยู่กับอารมณ์ความปรารถนา และความพึงพอใจ


หัวข้อ: Re: คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead]
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 17 มิถุนายน 2553 21:10:07
วันที่เจ็ด
 
 
 
ในกาลต่อไป เหล่าวิทยาธรจักอุบัติเรืองรองออกจากลำคออันเป็นอวัยวะที่ใช้ในการสื่อสาร ในขณะที่เทพแห่งสันติเกี่ยวข้องกับดวงหทัย เทพพิโรธเกี่ยวข้องกับสมอง ถ้อยคำย่อมเป็นสะพานเชื่อมโยงระหว่างขั้วทั้งสอง โดยมีวิทยาธรเป็นเทพอารักษ์เส้นทาง วิทยาธรหมายถึง ผู้ทรงไว้ซึ่งปัญญาหรือญาณทัสนะอันมิใช่ทั้งความสงบสันติหรือก้าวร้าว หากแต่เป็นการธำรงความเป็นกลางไว้ภายใน พวกเขาช่างดึงดูดใจ ทรงพลัง และสูงส่ง เป็นตัวแทนแห่งอำนาจศักดิ์สิทธิ์จากคุรุตันตระ ที่ครอบครองพลังอำนาจเหนือมนต์วิเศษแห่งจักรวาล

ในเวลาเดี่ยวกัน แสงสีเขียวแห่งเดรัจฉานภูมิจักก่อตัวขึ้นเป็นสัญลักษณ์แห่งอวิชชาและความโง่งมที่จำต้องพึ่งพาคำสอนแห่งคุรุเพื่อ ขจัดให้แจ้ง


หัวข้อ: Re: คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead]
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 17 มิถุนายน 2553 21:10:33
(http://www.metahistory.org/images/Heruka2.jpg)
 
 
 
เทพพิโรธ
 
 
บัดนี้เมื่อนิมิตแห่งตถาคตทั้งห้าได้แปรเปลี่ยนเป็นเทพเฮรุกาและชายาประจำตน คุณสมบัติประจำสกุลก็ย่อมดำเนินสืบเนื่องไปเปรียบดัง การแสดงหรือละครโรงใหญ่ ที่มีพละแห่ง วัชรสกุล ปัทมสกุล กรรมสกุล และสกุลอื่น ๆ เป็นตัวละครเอกมากกว่าจะยึดถืออยู่แต่ คุณสมบัติขั้นพื้นฐาน เทพเฮรุกานั้นมีสามเศียร หกกร อันเป็นสัญลักษณ์ถึงพลังแห่งการแปรเปลี่ยน ซึ่งปรากฏในตำนานการพิชิตรุทร

รุทร นั้นเป็นตัวแทนของบุคคลที่ยึดมั่นในตนเองอย่างรุนแรง มีตำนานเล่าว่า ยังมีสหายสองคนเล่าเรียนศิลปวิทยาอยู่กับอาจารย์คนเดียวกัน อาจารย์ของพวกเขาสั่งสอนว่าแก่นแท้แห่งคำเทศนาที่เขาได้ถ่ายทอดให้ก็คือ การบรรลุแจ้งอย่างฉับพลัน หากบุคคลได้อุทิศตนให้แก่กิจกรรม ทั้งปวงอย่างยิ่งยวด พวกเขาจะเป็นประดุจดังเมฆาในนภากาศที่จักได้รับความสว่างโดยพลัน อันเป็นความสว่างที่แอบอยู่หลังเมฆหมอกมา แต่เดิม ศิษย์ทั้สองต่างเข้าใจนัยความหมายต่างกันไป หนึ่งได้ออกจาริกไปและเริ่มต้นขัดเกลาตนเองโดยเรียนรู้คุณสมบัติแห่งตนทั้งดีและเลวร้าย และในที่สุดก็สามารถเป็นอิสระจากคุณสมบัติเหล่านั้นไปเองโดยปราศจากการบีบคั้นพยายาม ศิษย์อีกคนนั้นเดินทางออกไปในดินแดนอัน ห่างไกลจัดสร้างโรงคณิกา ก่อตั้งซ่องโจร ใช้ชีวิตอันตำช้า เข้าปล้นชิงหมู่บ้านในละแวก เข่นฆ่าเหล่าบุรุษ และข่มขืนอิสตรีไม่ละเว้น

แล้วจากนั้นทั้งคู่ได้มาพานพบกันอีกครั้งหนึ่ง ต่างฝ่ายต่างตื่นตระหนกในพฤติกรรมของกันและกันที่ใช้ในการปลดปล่อยตนเอง ทั้งสองจึง ตัดสินใจเดินทางไปพบอาจารย์เพื่อให้ทำการตัดสินชี้แนะ ทั้งคู่ได้เล่าถึงประสบการณ์ที่พานพบในเวลาผ่านมา ฝ่ายอาจารย์ได้ทำการสรรเสริญ แนวทางของศิษย์คนแรกว่าเป็นไปในมรรคาอันถูกต้องและประณามแนวทางของศิษย์คนที่สองว่าเป็นอนันตริยกรรมยิ่งนัก ศิษย์คนที่สองทน รับการตำหนิประณามและแลเห็นสิ่งที่เขาก่อร่างนั้นพินาศย่อยยับไปไม่ได้ เขาจึงเปลือยดาบออกจากฝัก แล้วสังหารอาจารย์ของตนเสีย เมื่อสิ้นชีพลงจึงไปเกิดเป็นแมลงป่องนับห้าร้อยชาติ เป็นสุนัขจิ้งจอกห้าร้อยชาติ และยังถือกำเนิดในภูมิอันมีโทษทัณฑ์อีกคณานับ ในที่สุด แล้วเขาจึงได้รับการถือกำเนิดเป็นรุทร

ในภพภูมินี้ เขามีรูปกาย สามเศียร หกกร มีเขี้ยวและเล็บอันยาวโง้ง หลังจากการถือกำเนิด มารดาก็สิ้นชีพลงในไม่ช้า เหล่าเทพต่างเกรงกลัว ในเภทภัยที่จะตามติดมา พวกเทพจึงนำเขาพร้อมด้วยซากศพแห่งมารดาไปไว้ในสุสานและกลบหลุมฝังเสีย ทว่าทารกน้อยนั้นกลับรอดชีวิต มาได้โดยอาศัยโลหิตและมังสาของศพมารดาเป็นอาหาร จิตใจของเขาจึงดุร้ายยิ่งนักและยังทรงพลังอันกล้าแข็ง เขาส่งเสียงขู่คำรามไป ทั่วสุสาน กำราบพวกผีป่าและเทพเป็นพวกและจัดตั้งอาณาจักรของตนเอง จนในที่สุดเขาก็สามารถครอบครองไตรพิภพไว้ได้

ในเวลานั้น อาจารย์และศิษย์อีกท่านหนึ่งได้เข้าถึงซึ่งภาวะวิมุตติสุขแล้ว ทั้งคู่คิดว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องทำการปราบปรามรุทร ดังนั้น องค์วัชรปาณีจึงอวตารกายเป็นหยครีวะ ในกายดุสีแดงชาดและทรงร้องคำรามถึงสามครั้ง เพื่อประกาศว่าท่านได้เข้ามารุกรานอาณาจักรของรุทรแล้ว ครั้นแล้วท่านจึงชำแรกผ่านรุทรทางเวจมรรค รุทรจึงถึงซึ่งความปราชัย เขายอมรับในความพ่ายแพ้และอุทิศตนให้ใช้ ต่างพาหนะเดินทางหรือบัลลังก์ประทับ ส่วนเครื่องทรงชั้นสูงสุด อาทิเช่น มงกุฎกระโหลก สังวาลย์กระดูก หนังเสือ ผ้าคลุมไหล่ที่ทำ จากหน้ามนุษย์และหน้าคชสาร เสื้อเกราะ ปีกคู่ จันทร์เสี้ยวที่รัดเกศา และเครื่องประดับอื่น ๆ ได้กลายเป็นอาภรณ์แห่งเทพเฮรุกา

ในช่วงแรกจะปรากฏปฐมเฮรุกาที่หาได้เกี่ยวข้องกับปัญจสกุลเลยไม่ เฮรุกาตอนนี้เกิดจากช่องว่างระหว่างปัญจสกุล เป็นมหาเฮรุกา ที่ปลุกเร้าพลังพื้นฐานแก่เทพพิโรธทั้งปวง ในยามต่อมาจะปรากฏพุทธเฮรุกา วัชรเฮรุกา รัตนเฮรุกา ปัทมเฮรุกา และกรรมเฮรุกา หรือ พร้อมด้วยองค์ศักติประจำตน หากเขาเป็นตัวแทนแห่งพลังอันรุนแรงกล้าแข็ง และเปี่ยมล้นเบิกบานอันคุณไม่อาจท้าทายอาจหาญได้ โดยพื้นฐานแล้วคุณลักษณ์แห่งปัญจสกุลนั้นได้แก่ สภาวะอันสงบสันติ เปิดเผย และโอนอ่อน นั่นเป็นเพราะว่าสกุลเหล่านี้ได้ตั้งตระหง่าน มั่นคงจนไม่มีสิ่งใดมาสั่นคลอนสั่นไหวได้ ด้วยเหตุนี้เมื่อพละแห่งสันติได้แปรเปลี่ยนเป็นความก้าวร้าวอันรู้จักกันดีในนามของ กรุณาแห่งพิโรธธรรม จึงเป็นความรุนแรงที่ปราศจากความอาฆาตแค้นเคืองใด ๆ

ครั้นแล้วเการีเทวะจักปรากฏตนขึ้น อันเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของเทพพิโรธในขณะที่เฮรุกาแห่งปัญจสกุลแสดงพละพื้นฐานดังเป็นอยู่จริง เหล่าเการีจักแสดงพละที่ไหลริน เการีขาวจักเริงร่ายอยู่บนซากศพ ภารกิจของนางได้แก่การดับสิ้นซึ่งความคิดปรุงแต่ง ดังนั้นนางจึงทรง คฑาที่ทำขึ้นจากซากศพของทารก ซากศพนั้นเป็นสัญลักษณ์ที่ชี้ให้เห็นถึงสภาวะปกติของสรรพสัตว์ ร่างกายที่ปราศจากชีวิตก็คือสภาวะ ที่ปราศจากความคิดปรุงแต่งทุกรูปแบบ ไม่ว่าดีหรือชั่ว อันเป็นสภาวะอทวิลักษณ์แห่งจิต ส่วนเการีเหลืองจักทรงคันศรและลูกศร นั่นเป็น เพราะว่านางเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งความชำนาญและสรรพความรู้ ภารกิจของนางได้แก่ การผสมรวมคุณลักษณ์เด่นสองประการนี้เข้าด้วยกัน ส่วนเการีแดงจะทรงธงชัยที่ทำขึ้นจากผิวหนังของพวกพรายทะเล พรายทะเลเป็นสัญลักษณ์แห่งห้วงสังสารวัฏ ที่ไม่อาจหลบหนีออกไปได้ การถือธงประกาศของนางนั้นหมายความว่าสังสารวัฏนั้นไม่อาจจะถูกปฏิเสธทำลาย แต่ต้องทำการยอมรับมันดังที่มันเป็นจริง ครั้นแล้ว ในเบื้องทิศบูรพาจักปรากฏเวตาลีกายสีนิล ถือทรงถ้วยวัชระและถ้วยกะโหลก นางนั้นเป็นตัวแทนแห่งคุณลักษณ์อันไม่แปรผันของธรรมดา ภาวะ วัชระนั้นเป็นอาวุธที่ไม่มีสิ่งใดทำลายได้ ส่วนถ้วยหัวกะโหลกนั้นเป็นสัญลักษณ์แห่งอุปายะโกศวะ ( ความชำนาญการ ) ด้วยเช่นกัน เราจะไม่สอบสวนอะไรลึกไปกว่านี้ เพียงแต่จะให้แนวคิดหลักเกี่ยวกับพวกเการีและตัวแทนต่าง ๆ ที่ต้องเกี่ยวข้องกับปริมณฑลอันโหดร้าย กราดเกรี้ยวเทพแต่ละองค์มีภารกิจที่ต้องแสดงอำนาจของตนอย่างเต็มที่

เทพพิโรธเหล่านี้เป็นต่างตัวแทนแห่งความหวัง ส่วนเทพสันตินั้นเป็นตัวแทนแห่งความหวาดกลัว เป็นความหวาดกลัวในความหมายที่เป็น ความขุ่นเคือง นั่นเป็นเพราะว่าอัตตาตัวตนไม่สามารถจะทำการใด ๆ ได้เลย เทพพิโรธเหล่านี้ไม่อาจพิชิตได้ และไม่ต่อกรกลับด้วย ความ หวังของพลังงานพิโรธเป็นความหวังในสถานการณ์ที่สร้างสรรค์ สม่ำเสมอ ดังพลังพื้นฐานที่ดำเนินอย่างต่อเนื่อง ไม่ดี ไม่ชั่ว สถานการณ์ อาจแลดูทรงพลังอยู่นอกเหนือการควบคุมของคุณ แต่จริงแล้วไม่มีความสงสัยว่าคุณควรจะควบคุมมันหรือปล่อยให้มันควบคุมคุณกันแน่ ความคิดที่จะควบคุมมันนั้น ย่อมก่อให้เกิดความโกลาหลมโหฬาร เปรียบเสมือนการขับรถบนท้องถนนจู่ ๆ คุณก็คิดว่าคุณขับรถเร็วมากไป คุณจึงเหยียบเบรคอย่างกระทันหัน อันก่อให้เกิดอุบัติเหตุอย่างใหญ่หลวง สำหรับภารกิจของเการีนั้นได้แก่การแทรกตัวลงไปในระหว่างกาย และจิต จิตในที่นี้ได้แก่ปัญญาญาณ ความฉลาด กายได้แก่แรงกระตุ้น เช่น ความตื่นตกใจ อันเป็นการกระทำทางกาย พวกเการีมักจะสอด แทรกตัวลงระหว่างปัญญาและการกระทำ ทำให้ความต่อเนื่องแห่งการยึดมั่นในตัวตนขาดตอน นี่แหละคือความโหดร้ายอันแท้จริง พวกเขา จะแปรเปลี่ยนพลังงานแห่งการทำลายล้างให้กลายเป็นพลังงานแห่งการสร้างสรรค์ ประดุจเดียวกับการที่รุทรแปรเปลี่ยนเป็นเฮรุกา ด้วยเหตุ นี้เองสัญชาติญาณที่อยู่เบื้องหลังการปลุกเร้าจะได้รับการแปรเปลี่ยนไป


หัวข้อ: Re: คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead]
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 17 มิถุนายน 2553 21:11:01
(http://michaelrichie.com/History/China%2020052006/Photos/Buddha%27s%20eyes%20and%20prayer%20flags.jpg)
 
 
 
 
 
ผู้กำลังจะจากไป
 
 
 
สำหรับชนชาวธิเบตแล้วความตายหาใช่เรื่องน่าหวาดหวั่นหรือคุกคามเลย แต่ในประเทศตะวันตก ดูเหมือนว่ามันจะเป็นสิ่งบีบคั้นรุนแรง ยิ่งนัก ยามเราไกล้ตายนั้นแทบจะไม่มีใครพูดความจริงขั้นสุดท้ายกับเราเลย เป็นการปฏิเสธซึ่งความรักและเมตตาอย่างสูง เป็นความน่า สะพรึงกลัว ในแง่ที่ว่าไม่มีผู้ใดปรารถนาจะเอื้ออาทรต่อจิตใจของผู้ตายอย่างแท้จริง
 
เป็นการสำคัญมากที่ผู้ตายสมควรได้ทราบว่าตนเองกำลังจะจากไป ไม่ว่าเขาจะมีอาการหมดหวังหรือไม่สามารถสื่อสารกับเราได้ก็ตาม สิ่งนี้อาจฟังดูยากเย็นแสนเข็ญ แต่ทว่านี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่คุณจะได้แสดงความสัตย์ซื่อจริงใจออกมา ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะเป็นสามีหรือ ภรรยาของคุณ มันเป็นสถานการณ์อันทรงคุณค่าที่ในบั้นปลายสุดท้าย ยังมีผู้คนห่วงใยความรู้สึกของคุณ ไม่มีใครเสแสร้งหลอกลวงคุณ อีกต่อไป ไม่มีใครพูดเท็จเพียงเพื่อรักษาน้ำใจคุณซึ่งบังเกิดมาตลอดชีวิต เราได้มาบรรจบกับความจริงขั้นสุดท้าย เป็นความไว้วางใจซึ่ง งดงามยิ่ง อันควรที่เราจะพยุงพยายามสานแนวคิดดังกล่าวนี้
 
ในความเป็นจริงแล้ว การปลูกฝังความสัมพันธ์กับผู้ที่กำลังจะจากไปเป็นเรื่องสำคัญยิ่งนัก การบอกกล่าวต่อเขาว่าความตายหาใช่เรื่อง เหลวไหลไกลตัวอีกต่อไป แต่มันกำลังเกิดขึ้นกับเขาในขณะนี้ " มันกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว เราเป็นมิตรสหายของคุณ บัดนี้เรากำลังเเฝ้าดู การจากไปของคุณ เรารู้ว่าคุณกำลังจะตาย และคุณเองก็รู้ว่าคุณกำลังจะตายเหมือนกัน บัดนี้เป็นช่วงเวลาที่เราต้องแยกจากกันแล้ว " การแสดงออกดังกล่าวนี้เป็นการแสดงออกของการสื่อสารสัมพันธ์อันดีงามที่สุด อันเป็นการบ่งให้เห็นถึงการสร้างพลังใจอย่างใหญ่หลวง แก่ผู้ที่กำลังจะจากไป
เราควรสร้างความสัมพันธ์กับร่างของผู้กำลังจะจากไป พินิจดูความเสื่อมสลายแห่งสังขาร แห่งประสาทรับรู้ต่าง ๆ มีแต่ผู้บ่มฝังกำลังใจ อันกล้าแข็งเท่านั้นที่ยังคงแย้มยิ้มอยู่จนวาระสุดท้าย เขากำลังจะต่อต้านขัดขืนกับอายุขัย ต่อต้านขัดขืนกับความเสื่อมสลายของสังขาร ผู้ใกล้ชิดพึงตระหนักถึงสถานการณ์เช่นนี้ด้วย
 
เพียงแค่การอ่านคัมภีร์มรณศาสตร์อาจจะไม่ช่วยอะไรมากนัก เว้นเสียแต่ผู้ใกล้ตายจักล่วงรู้ว่าคุณกำลังประกอบพิธีกรรมบางประเภทให้เขา คุณจำเป็นต้องเข้าใจให้ถ่องแท้ต่อแบบแผนพิธีกรรมทั้งปวง คุณควรจะทำให้มันดูเหมือนเป็นบทสนทนาตอบโต้ระหว่างคุณและผู้กำลังจากไป นอกเหนือจากการท่องอ่านแบบธรรมดา คุณควรกล่าวกับผู้ตายเช่นนี้ว่า " เธอกำลังจะจากไป เธอกำลังจะละทิ้งซึ่งมิตรสหายและครอบครัว ทรัพย์สมบัติและความสุขรอบตัว สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ เธอจะสลัดทิ้งไปสิ้น เธอจะละทิ้งพวกเราไป หากทว่ายังคงมีบางสิ่งดำเนินสืบเนื่องไป มีบางสิ่งที่ต่อเนื่องไปในความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับญาติมิตรและคำสอนอันสูงส่ง เธอไม่ควรจะยึดมั่นในตัวตนอีกต่อไป เมื่อเธอตายจะบังเกิด ความเจ็บปวดต่าง ๆ นานา ในขณะที่เธอผละจากร่าง ภาพเหตุการณ์ในอดีตจะย้อนกลับมาดุจภาพลวงตา ไม่ว่าจะเป็นนิมิตหรือภาพลวงตา ใด ๆ ก็ตาม เธอควรข้องเกี่ยวกับมันในฐานที่เป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ หาควรเตลิดหลบหนีไม่ แต่ควรเผชิญหน้าอย่างกล้าหาญในสิ่งที่เกิดขึ้น "

 
ในขณะที่คุณกำลังดำเนินการสนทนา ปัญญารับรู้และวิญญาณของผู้ตายกำลังหมองมัวลงและใกล้จะดับสูญ ในขณะเดียวกันก็บังเกิด มโนวิญญาณขั้นสูงที่สามารถรับรู้ภาวะขณะนั้นได้ ดังนั้นหากคุณจะสามารถสร้างสรรค์ความเชื่อมั่นและความอบอุ่นตามธรรมชาติให้ บังเกิดมีขึ้นได้ ในแง่ที่ว่าคุณได้ถ่ายทอดความจริงใจต่อผู้กำลังจะจากไป มากกว่าเพียงแค่การถนอมน้ำใจโดยการกล่าวแต่สิ่งที่คุณคาดคิด ว่าเขาต้องการฟัง ความจริงใจเช่นนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก
 
เป็นไปได้ที่อาจมีการบรรยายให้เห็นแจ้งถึงภาวะเสื่อมสลายจากดธาตุดินสู่ธาตุไฟ จากธาตุไฟสู่ธาตุน้ำและสืบเนื่องไป เป็นการมอดดับแห่ง กายสังขาร แล้วอุบัติขึ้นในภาวะสุกใสการนำพาผู้ตายสู่ภาวะสุกใสจำต้องมีหลักการแนวคิดพื้นฐานบางประการ ซึ่งได้เแก่ ความมั่นคงอาจหาญ คุณควรปลอบโยนผู้ตายว่า " มิตรสหายของเธอรู้ดีว่าเธอกำลังจะจากไป แต่พวกเขาปราศจากความตื่นตระหนก พวกเขาพากันมาอยู่ ณ ที่นี้แล้ว พวกเขากำลังจะบอกให้เธอทราบว่าวาระแห่งการจบชีพได้มาถึงแล้ว ไม่มีอะไรน่าหวาดระแวงอยู่เบื้องหลังเลย การอยู่ด้วยกันอย่างพร้อมเพรียง และสงบเป็นสิ่งสำคัญมากเมื่อบุคคลได้ตายลง การคงอยู่ในปัจจุบันอย่างไม่พรั่นพรึงนั้นช่างทรงพลังยิ่ง เพราะในขณะนั้นมีความไม่แน่นอน ระหว่างกายกับจิตอย่างสูง ร่างกายและมันสมองกำลังเสื่อมสลายลง แต่คุณเองที่ได้เชื่อมโยงสัมพันธ์เหตุการณ์ขณะนั้น ทำให้มีฐานที่มั่นคง
 
ตราบใดที่นิมิตแห่งเทพสันติและเทพพิโรธได้ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าผู้ตาย เราจำต้องปล่อยให้เขาได้เผชิญหน้ากับเหตุการณ์เหล่านี้ตามลำพัง ในคัมภีร์เล่มนี้กล่าวว่าคุณต้องปลุกปลอบดวงวิญญาณของผู้ตายและบอกกล่าวถึงนิมิตเหล่านั้น คุณอาจทำเช่นนั้นได้หากคุณยังสามารถธำรง รักษาความต่อเนื่องไว้ได้ แต่ออกจะดูเป็นการคาดหวังเกินไปตราบใดที่ผู้ตายเป็นเพียงสามัญชนที่ไม่เคยผ่านการภาวนา ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่า การติดต่อระหว่างคุณกับผู้ตายยังดำเนินต่อไป ประเด็นของเรื่องจะกลับกลายเป็นว่า ในขณะที่คุณกำลังอ่านถ้อยคำในคัมภีร์นั้นคุณเพียง แต่พูดคุยกับตนเองแทน ความสงบมั่นคงของคุณเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของผู้ตาย ถ้าคุณธำรงความหนักแน่นไม่หวั่นไหวได้อย่างดีเลิศ ผู้ตายในบาร์โดจะรับรู้ติดต่อกับคุณได้โดยอัตโนมัติ คุณจำต้องเก็บรักษาความสงบไม่หวั่นไหวและความเข้มแข็งที่มีส่งมอบแสดงออกต่อผู้ตาย สัมพันธ์กับเขา เปิดเผย สัตย์ซื่อต่อเขาในปัจจุบันกาล และพัฒนาซึ่งการพบกันแห่งใจสอง


หัวข้อ: Re: คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead]
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 17 มิถุนายน 2553 21:11:27
(http://www.meditationmd.org/Assets/Vajrasattva_Web.jpg)



 
การเข้าสู่มหาวิมุตติ โดยผ่านการสดับฟัง
 
 
 
ขอถวายสักการะแด่บรรดาเหล่าคุรุ
พระอมิตตาภพุทธ ผู้มีรัศมีอันหาที่สุดมิได้ - ธรรมกาย
ปทุมเทพแห่งสันติ และความพิโรธโกรธา - สัมโภคกาย
คุรุปัทมะสัมภวะ เทพอารักษ์แห่งสรรพสัตว์ - นิรมาณกาย
 
คัมภีร์ " มหาวิมุตติโดยการสดับฟัง " เล่มนี้ เป็นหนทางที่ใช้ปลดปล่อยสู่วิมุตติสุขในบาร์โดสำหรับบรรดาผู้ฝึกโยคศาสตร์ที่มีความสามารถพอประมาณ คัมภีร์เล่มนี้แบ่งออกเป็นสามส่วนด้วยกัน ส่วนหนึ่งได้แก่คำแนะนำสำหรับผู้ฝึกฝน ส่วนที่สองได้แก่เนื้อหาแห่งคัมภีร์ ส่วนทีสาม ได้แก่บทสรุป
 
ในส่วนของคำแนะนำในคัมภีร์เล่มนี้ เป็นส่วนที่ผู้ฝึกฝนต้องทำความเข้าใจให้ดีเสียก่อน อันจะเป็นหนทางนำไปสู่การปลดปล่อยสรรพสัตว์ ที่เปี่ยมไปด้วยวิชชาชั้นสูง แต่หากไร้ซึ่งวิชชาดังกล่าว บุคคลพึงฝึกฝนการเคลื่อนย้ายวิญญาณ ซึ่งจะชักนำเข้าสู่วิมุตติภาวะในทันทีหลังจาก ละทิ้งซึ่งสังขาร วิธีนี้ใช้ปลดปล่อยสรรพสัตว์ที่ทรงวิชชาพอประมาณ แต่ถ้าไม่สำเร็จในกิจดังกล่าวนี้ บุคคลจะต้องพยายามเข้าถึง " มหาวิมุตติโดยการสดับฟัง " ขณะอยู่ในภาวะบาร์โดแห่งธรรมดา
 
ด้วยเหตุนี้ผู้ฝึกฝนพึงทำการวินิจฉัยบรรดานิมิตแห่งความตายตามลำดับ ตามคัมภีร์ว่าด้วย " การปลดปล่อยสัญลักษณ์แห่งความตาย " โดยฉับพลัน หากเขากระทำการได้สัมฤทธิ์ผล เขาย่อมสามารถเคลื่อนย้ายวิญญาณได้เป็นผลสำเร็จ ซึ่งจะนำไปสู่การปลดปล่อยโดย ฉับพลันทันทีที่คำนึงเท่านั้น ถ้าการเคลื่อนย้ายลุล่วงไปด้วยดี การอ่านคัมภีร์เล่มนี้ก็หาจำเป็นไม่ แต่หากเขาผู้นั้นทำการไม่สำเร็จ ก็จำเป็นต้องทำการอ่านคัมภีร์เล่มนี้อย่างชัดถ้อยชัดคำและถูกต้อง ในระยะประชิดร่างของผู้ตาย
 
หากร่างกายของผู้ป่วยมิได้อยู่ที่นั่น ผู้อ่านควรนั่งลงบนเสื่อหรือฟูกนอนของเขาและอ้างอิงอำนาจแห่งสัจจะ เรียกมโนสำนึกของผู้ป่วยให้ มาหา และเริ่มต้นสร้างจินตภาพว่าเขาได้มานั่งฟังอยู่เบื้องหน้าในช่วงเวลานี้เสียงคร่ำครวญร่ำไห้เป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา ดังนั้นบรรดา ญาติสนิทจะต้องถูกกักออกไปจากบริเวณ ถ้าร่างของผู้ตายยังคงอยู่ ณ ที่นั้น ในช่วงวิกฤตที่ลมหายใจกำลังจะแผ่วสิ้นไป และชีพจร จะหยุดดับลง คุรุหรือญาติทางธรรมของเขาที่เขาเคารพรักและศรัทธาจักต้องอ่านคัมภีร์ " มหาวิมุตติโดยการสดับฟัง " เล่มนี้ที่ข้างหูของเขา
 
ในการอ่าน " คัมภีร์มหาวิมุตติโดยการสดับฟัง " จำต้องมีการถวายเครื่องสักการะอันประณีตต่อพระรัตนตรัยถ้ามีเครื่องถวายพอเพียง แต่หากในที่แห่นั้นขาดแคลนเครื่องบูชา ควรจะสักการะถวายเฉพาะสิ่งที่จัดหามาได้ และจินตนาการเอาในส่วนที่เหลือ ผู้อ่านจะต้อง ทำการท่อง " บทสวดดลบันดาลวอนขอต่อพุทธองค์และโพธิสัตว์ทั้งหลายเพื่อคุ้มครองชีพ " สามครั้งหรือเจ็ดครั้ง และทำการท่อง ออกเสียง " บทสวดดลบันดาลเพื่อการรอดพ้นจากภยันตรายในบาร์โด " รวมทั้ง " วลีสำคัญแห่งบาร์โดทั้งหก " แล้วจึงทำการอ่าน " มหาวิมุตติโดยการสดับฟัง " สามครั้งหรือเจ็ดครั้ง
 
เนื้อหาหลักของคัมภีร์นั้นแยกออกเป็นสามส่วน การปรากฏตัวของแสงสุกใสในบาร์โดช่วงเวลาก่อนหมดลมหายใจเป็นส่วนแรก ส่วนที่สอง นั้นได้แก่การเตือนให้ตระหนักถึงภาพนิมิตในบาร์โดแห่งธรรมธาตุ ส่วนที่สามได้แก่การแนะนำให้ทำการปิดทางเข้าสู่ครรภ์อุทรในบาร์โด ช่วงที่จะกำเนิด
 
เบื้องแรกเมื่อมีการปรากฏตนของแสงสุกใสในบาร์โดช่วงขณะก่อนจบชีวิตลง เมื่อได้ทำการอ่านคัมภีร์เล่มนี้ ผู้คนทั่วไปที่แม้จะได้รับ การฝึกฝนสมาธิภาวนาแต่ไม่อาจจำแสงสุกใสได้ แม้ว่าพวกเขาจะมีความฉลาดเฉลียวสักปานใด จะจำแสงสุกสกาวได้ และจะผ่านเลย ประสบการณ์ในบาร์โดเข้าสู่ธรรมกายที่จักไม่หวนกลับมาเกิดอีก
 
สำหรับวิธีการอ่านนั้น จะเป็นการดีหากได้คุรุหรืออาจารย์ใหญ่ที่เขาได้รับการถ่ายทอดคำสอนมาประกอบพิธี หรือไม่ก็เป็นญาติทาง ศาสนธรรม ที่เขาได้รับเอาแนวทางสัมมาปฏิบัติมาประพฤติ หรือไม่ก็เป็น กัลยาณมิตรในสายสกุลเดียวกัน หากหาบุคคลเหล่านี้ไม่ได้ ก็ควรต้องเป็นบุคคลที่สามารถอ่านได้ชัดเจนและถูกต้องและควรอ่านซ้ำไปซ้ำมาหลายเที่ยวด้วยกัน การกระทำดังกล่าวนี้จะเตือนเขา ให้นึกถึงคำสั่งสอนแห่งคุรุที่ได้ถ่ายทอดมาแล้วในกาลก่อน อันทำให้เขารู้ทันทีเมื่อแสงสุกใสอุบัติขึ้น และได้รับการปลดปล่อยสู่วิมุตติสุข เป็นการแน่นอน
 
เมื่อลมหายใจใกล้จะสิ้นสุดลง ลมปราณจักซึมซาบเข้าสู่ธูติแห่งปัญญา และแสงสกาวซึ่งปลอดพ้นจากสิ่งบดบังจักเฉิดฉายอย่างกระจ่างชัด ในมโนวิญญาณ ถ้าลมปราณเกิดการย้อนกลับและลับหายเข้าไปในนาภีซ้ายขวา สภาวะแห่งบาร์โดจักบังเกิดขึ้นทันที ดังนั้นการอ่านจะต้อง กระทำก่อนที่ลมปราณจะสูญหายเข้าไปในนาภีซ้ายขวา ช่วงเวลาที่ชีพจรภายในดำรงอยู่หลังการดับสิ้นของลมหายใจจะเป็นระยะชั่วรับประทาน อาหารหนึ่งมื้อ
กระบวนวิธีในการอ่านคัมภีร์นั้นจะได้ผลดีที่สุดถ้าการเคลื่อนย้ายวิญญาณกระทำเมื่อลมหายใจใกล้จะสุดสิ้นลง แต่หากทำไม่ได้ ผู้อ่านควร กล่าวคำเหล่านี้
 
" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล ( ชื่อของผู้ตาย ) บัดนี้เวลาที่ท่านจต้องเสาะหาหนทางของท่านเองได้มาถึงแล้ว ทันทีที่ลมหายใจในกายท่านสุดสิ้นลง แสงสุกใสอันเป็นปกติวิสัยแห่งบาร์โดแรกจะปรากฏขึ้น ดังที่คุรุได้อบกเล่าแก่ท่านในกาลก่อน สิ่งที่ปรากฏนี้ได้แก่ธรรมดา ซึ่งเปิดโล่งและ ว่างเปล่าดุจอากาศธาตุ เป็นที่ว่างอันสุกสกาว เป็นจิตอันเปล่าเปลือยที่ปราศจากหลักยึดหรือปริมณฑล จงจำสิ่งนี้ให้ได้ และพิงพักอยู่ในสภาวะดังกล่าวนี้ และข้า ฯ จะติดต่อกับท่านในยามนั้นด้วย "
 
ข้อความดังกล่าวนี้จำต้องปลูกฝังลงในความคิดคำนึงของผู้ตายให้มั่นคง โดยการกล่าวทวนไปทวนมาหลาย ๆ ครั้งที่ข้างหูของเขา จนกว่าเขาจะสิ้นลมลงไป ครั้นเมื่อเราได้สังเกตเห็นว่าลมหายใจของเขาได้สุดสิ้นลงแล้ว ให้วางผู้ตายลงในท่าสีหไสยาสน์ และจับชีพจรสองเส้น ที่ก่อให้เกิดการหลับไหล กดให้แน่น จนกระทั่งมันหยุดเต้นระรัว เมื่อนั้นลมปราณที่ได้เข้าสู่ธูติ จะไม่สามารถตีย้อนกลับได้ และจะผุดขึ้น ผ่านพรหมรันธะ
 
บัดนี้เนื้อความในคัมภีร์จะถึงกาลบอกกล่าว ในเบื้องแรกจะปรากฏบาร์โดขั้นปฐมที่เรียกขานกันในนามของ รัศมีสุกใสแห่งธรรมธาตุ อันเป็นจิตแน่วแน่แห่งธรรมกาย ที่อุบัติในสรรพสัตว์ บุคคลธรรมดาจะรับรู้สภาพดังกล่าวนี้อย่างไม่รู้สึกตัวอันเนื่องมาจากลมปราณได้ ดำดิ่งกลมกลืนไปกับอวธูติ
 
ในช่วงระหว่างการสิ้นสุดของลมหายใจและชีพจร ระยะเวลาที่ดำเนินอยู่นั้นไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขแห่งจิตใจ และขั้นของ การฝึกในธรรมะ มันอาจคงอยู่ได้เป็นเวลานานในบุคคลที่ผ่านการฝึกฝนเคี่ยวกรำมาเป็นอันมาก และแน่วแน่ในอำนาจแห่งสมาธิภาวนาที่สงบนิ่งและละเอียดอ่อน ในการอ่านคัมภีร์บทนี้ ผู้อ่านจะต้องอ่านทวนไปทวนมาจนกว่าจะมีน้ำเหลืองไหลออกมาจากทางช่องศีรษะ ในบุคคลที่เปี่ยมไปด้วยความชั่วร้ายและหยาบช้าระยะเวลามีเพียงชั่วดีดนิ้วมือเท่านั้น แต่ในบางบุคคลมันอาจคงอยู่ได้ชั่วเวลารับประทาน อาหารหนึ่งมื้อ ในตำราและพระสูตรตันตระกล่าวว่าช่วงเวลาที่ไร้ความรู้สึกตัวนี้ดำรงอยู่ถึงสี่วัน ผู้อ่านจะต้องใช้เวลาประกอบพิธีในระยะเวลาดังกล่าว
 
ในพิธีดังกล่าว หากผู้ตายมีความสามารถจะดำเนินการด้วยตัวเองโดยอาศัยคำสอนที่ได้เรียนรู้มาแล้ว แต่หากเขาไม่สามารถจะช่วยเหลือตนเองได้ คุรุของเขาหรือศิษย์แห่งคุรุองค์นั้นหรือพี่น้องทางธรรมของผู้ตายจะต้องเขยิบเข้ามาใกล้กายของผู้ใกล้ตายและอ่านตัวบทคัมภีร์ อย่างช้า ๆ และแจ่มชัด ถึงลำดับของนิมิตในความตาย " เมื่อภาพของแผ่นดินได้เลือนหายสู่ห้วงน้ำ เมื่อห้วงน้ำกลายเป็นอัคคีระอุ เมื่ออัคคีได้แปรเปลี่ยนสู่ท้องนภา และเมื่อท้องนภาได้กลายสู่มโนวิญญาณ .... เช่นนี้ ต่อไปเรื่อย ๆ " เมื่อการพรรณาลำดับแห่งนิมิตใกล้จะ สิ้นสุดลง ผู้อ่านจะต้องทำการปลุกปลอบใจผู้ใกล้ตายให้ทำความในใจว่า " ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล " หรือในกรณีที่ผู้ตายเป็นคุรุธรรม จงขานว่า " ดูกร ท่านผู้เป็นที่เคารพ " " อย่าปล่อยให้ความคิดของท่านร่อนเร่พเนจรไป " ถ้อยคำนี้ควรกระซิบเบา ๆ ที่ข้างหูของผู้ใกล้วายชนม์ ในกรณีที่ผู้นั้นเป็นญาติทางศาสนธรรมหรือบุคคลอื่น ผู้อ่านจะต้องขานชื่อของเขาและกล่าวถ้อยคำเหล่านี้
 
" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล สิ่งที่เรียกกันว่ามรณะได้มาสู่ท่านแล้ว ท่านจงทำความในใจดังนี้ ' ข้า ฯ ได้มาถึงซึ่งมรณกาล ณ บัดนี้ ข้า ฯ จะแน่วแน่อยู่เพียงแต่วิมมุติภาวะแห่งจิต ไมตรี มิตรภาพ กรุณาคุณ และเข้าสู่ภาวะตรัสรู้ยิ่งแล้วเพื่ออำนวยประโยชน์แด่สรรพสัตว์ที่มี มากมายเหลือคณานับดุจสากลจักรวาล ด้วยการอธิษฐานจิตเยี่ยงนี้ เพื่อประโยชน์แห่งสรรพสัตว์ ข้า ฯ จะระลึกว่าแสงสุกใสนั้นย่อมได้ แก่ธรรมกาย และในภาวะเช่นนั้น ข้า ฯ จะทำให้แจ้งซึ่งมหาสัญลักษณ์ ข้า ฯ จะมุ่งหน้าสู่หนทางแห่งประโยชน์สุขของสรรพสัตว์ หากแม้นว่าไม่อาจสัมฤทธิ์ดังใจหวัง ข้า ฯ จะระลึกได้ซึ่งภาวะบาร์โด และเข้าถึงมหาสัญลักษณ์อันมิอาจจะแบ่งแยกได้ในภาวะบาร์โด ข้า ฯ จะประกอบกรรมดีเพื่อปลดปล่อยสรรพสัตว์อันหาที่ประมาณมิได้ ในทุกอุบายวิธีที่ทำได้เพื่อผลประโยชน์แก่สัตว์ที่ร่วมเกิดแก่เจ็บตายทั้งมวล ' เพื่อมิไห้ความคิดดังกล่าวลบเลือนไป ท่านต้องทบทวนและฝึกฝนสมาธิภาวนาที่ท่านได้รับการสอนสั่งมาในอดีต "
 
ถ้อยคำดังกล่าวถูกกล่าวขานอย่างชัดถ้อยคำที่ข้างหูของผู้วายชนม์ เพื่อที่จะเตือนเขาให้ระลึกถึงการฝึกฝนในอดีตโดยไม่ปล่อยให้จิตออก เร่ร่อนไปแม้เพียงเสี้ยวเวลา ครั้นแล้วเมื่อลมหายใจของเขาได้สุดสิ้นลงให้ท่านกดชีพจรเส้นที่ลึกที่สุดอันทำให้เกิดการหลับใหล และกล่าว ย้ำในถ้อยคำเช่นนี้ว่า " ท่านที่เคารพ บัดนี้แสงสุกใสได้อุบัติอยู่เบื้องหน้าของท่านแล้วจงทำความจดจำมันให้จงได้ และพักผ่อนในระหว่างนั้น " คำกล่าวนี้ใช้กับคุรุธรรมหรือกัลยาณมิตรที่สูงกว่าผู้อ่าน


หัวข้อ: Re: คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead]
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 17 มิถุนายน 2553 21:12:06
(http://www.buddhanet.net/e-learning/history/buddhist-art/images/t_sakyamuni.jpg)



 
 
ในกรณีของบุคคลอื่นให้ใช้คำกล่าวเช่นนี้ว่า " ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล ( ชื่อของผู้ตาย ) บัดนี้แสงกระจ่างใสแห่งธรรมธาตุได้ฉายฉานอยู่ เบื้องหน้าท่านแล้ว จงจดจำให้ได้ ดูกรทายาทแห่งอริยสกุล ณ เพลานี้จิตตะสภาวะแห่งท่านเป็นความว่างเปล่าล้วน ๆ โดยธรรมชาติ มันไม่มี คุณสมบัติอย่างอื่นอยู่เลย และไม่ปรากฏองค์ประกอบหรือสีสรรใด ๆ ด้วย สภาวะนี้เองที่ได้แก่ธรรมดา พุทธสตรี ในนามของ สมันตรภัทรติ ทว่าสภาวะจิตดังกล่าวนี้มิใช่เพียงความว่างเปล่า มันไม่มีสิ่งใดกีดขวาง มันเจิดจรัส ผ่องใส และสั่นไหวยิ่ง จิตนี้คือสมันตรภัทรพุทธะ คุณสมบัติสองประการต่อไปนี้ได้แก่ ความว่างเปล่าที่ปราศจากธาตุใด ๆ ความสั่นไหวโอนอ่อนและสุกสกาวอันไม่อาจแยกเป็นสองได้นี้เอง คือธรรมกายแห่งพุทธองค์ จิตของท่านได้แก่ความใสสว่างและความว่างที่ไม่อาจขาดแยกออกจากกัน ได้รวมตัวอยู่ในรูปของกลุ่มแสง อันเจิดจ้า มันปราศจากการเกิดและดับสลายจึงเป็นพุทธองค์แห่งประภารัศมีอันเป็นอมตภาวะ การระลึกสิ่งนี้ได้นับว่าสำคัญมาก เมื่อใดที่ท่าน ได้รับรู้ธรรมชาติบริสุทธิ์ของจิตว่าคือพุทธะ การมองกลับเข้าไปสู่จิตของตนก็คือ การพักพิงอยู่ในจิตแห่งพุทธะ "
 
ถ้อยคำดังกล่าวควรกล่าวซ้ำประมาณสามหรือเจ็ดเที่ยวอย่างชัดเจนและถูกต้อง ในขั้นแรกจะทำให้เขาระลึกได้ถึงสิ่งที่คุรุได้สอนสั่งเขาใน กาลอดีต ในขั้นต่อมา เขาจะระลึกได้ว่าจิตอันเปล่าเปลือยของเขานั้นประภัสสรแต่เดิมมา ในขั้นสาม เขาจะระลึกได้ว่าตนเองเป็นผู้ใดแน่ เขาจะเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมกายภาวะและเข้าสู่วิมุตติสุข
 
ครั้นระลึกได้ถึงแสงสุกใสนับแต่แรกเห็น ผู้ตายย่อมไปสู่ความรำงับเสียได้ แต่หากการณ์ไม่เป็นไปเช่นนั้น แสงสุกสกาวลำดับที่สองจัก ปรากฏตัวขึ้น ช่วงเวลาดังว่านี้สั้นกว่าหนึ่งมื้ออาหารเสียอีกหลังจากการสิ้นสุดของลมหายใจ
 
ไม่ว่าผู้ตายจะประกอบกรรมดีหรือกรรมชั่วไว้ในอดีตก็ตามลมปราณจะไหลเข้าสู่นาภีขวาหรือซ้าย และผ่านออกทางกลางกระหม่อม มโนสำนึกจะกระจ่างชัดในบัดดล ระยะเวลาในยามนี้จะยาวนานเกินกว่าหนึ่งมื้ออาหารหรือไม่ ย่อมขึ้นอยู่กับความอ่อนไหวละเอียดอ่อนของผู้ตาย และการฝึกฝนปฏิบัติครั้งยังมีชีวิตอยู่ เมื่อวิญญาณได้หลุดออกจากร่าง เขาย่อมไม่แน่ใจว่าได้ตายลงแน่นอนแล้วหรือไม่ เขาจะได้แลเห็นญาติมิตรและเพื่อนพ้องชุมนุมอยู่รอบ ๆ ร่างดังก่อนสิ้นชีพ และได้ยินซึ่งเสียงร่ำไห้ที่ระงมไปทั่ว
 
ในช่วงเวลาที่ผลกรรมยังไม่ปรากฏ และยมราชผู้ทรงไว้ด้วยความน่าสะพรึงกลัวยังเสด็จมาไม่ถึง คำแนะนำสู่สุคติภพควรจะได้รับการ กล่าวขานอีกครั้ง มีข้อที่ควรจำว่ามีความแตกต่างระหว่างผู้ที่ได้รับการฝึกฝนอย่างสมบูรณ์พร้อม กับผู้ที่ฝึกฝนแบบบริกรรมนิมิต ถ้าเขา ได้ผ่านการฝึกฝนในแบบสมบูรณ์ครบถ้วน ผู้อ่านจะต้องเรียกชื่อผู้ตายสามครั้งและทำการทบทวนบทสวดข้างต้นอีกครั้งเพื่อเตือนให้ ระลึกถึงแสงสุกใส แต่หากเขาเป็นผู้ผ่านการฝึกฝนแบบบริกรรมนิมิต ผู้อ่านควรอ่านสาธนาคัมภีร์ให้ดังก้อง และอธิบายพรรณาให้เห็นถึง ยิดัมประจำตัวของผู้ตาย และเตือนเขาด้วยถ้อยคำดังกล่าวนี้ " ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล จงแน่วแน่ในสมาธิอยู่ที่ยิดัมของท่าน อย่าแส่ส่าย จงเพ่งเล็งอยู่ที่ยิดัมอย่างมั่นคง จงมองนิมิตนี้ว่าเป็นเพียงปรากฏการณ์ปราศจากแก่นสารแน่นอนที่เปรียบประดุจดังจันทราในสายน้ำ อย่าได้คิดว่าเป็นรูปทรงที่มีตัวตน " แต่ถ้าผู้ตายที่ไม่ได้ผ่านการฝึกฝนใด ๆ จงกล่าวกับเขาดังนี้ว่า " จงแน่วแน่อยู่ในพระพุทธองค์ที่เปี่ยมด้วยกรุณา ( พระอวโลกิเตศวร ) "
 
แม้แต่ผู้ที่ไม่รู้จักภาวะบาร์โดก็จะเข้าใจภาวะนี้ได้หากได้รับการชี้แนะข้างต้น ทว่าสำหรับผู้คนที่ไม่เคยผ่านการฝึกฝนสมาธิภาวนามาก่อน แม้พวกเขาจะได้รับการชี้แนะโดยเหล่าคุรุวิปัสสนาจารย์ในยามมีชีวิตอยู่ พวกเขาก็ไม่สามารถจดจำบาร์โดสภาวะด้วยตนเองได้ ดังนั้น เหล่าคุรุหรือกัลยาณมิตรจำต้องทำการช่วยเหลือพวกเขา เป็นเรื่องสำคัญมากที่เราจำต้องช่วยชี้แนะผู้ตายที่ไม่สามารถจดจำคำสอนระหว่างอยู่ในภาวะบาร์โดช่วงขณะก่อนตายได้ นั่นเป็นเพราะว่าพวกเขาสับสนจากอาการเจ็บไข้อย่างหนักและเวทนากล้า แม้ว่าเขาจะได้รับ การฝึกฝนสมาธิภาวนามาบ้างก็ตาม แต่หากสัมมาปฏิบัติของเขาได้เสื่อมทรามลง เขาย่อมมีสิทธิ์ร่วงหล่นลงสู่ภูมิอันต่ำช้า
เป็นการดีมากหากพวกเขาสามารถทำความเข้าใจได้นับแต่บาร์โดแรกถึงแม้ว่าเขาทำการไม่สัมฤทธิ์ผล แต่ถ้าวิปัสสนาญาณของเขามีคนเตือน ให้ตื่นขึ้นในบาร์โดที่สองเขาย่อมหลุดพ้นจากสังสารวัฏได้ ภายในบาร์โดที่สอง วิญญาณของเขาที่ยังไม่แน่แก่ใจว่าเขาได้ตายลงแล้วหรือไม่ จะกระจ่างชัดขึ้น มีนามเรียกขานกันทั่วไปว่าเป็น กายมายาอันบริสุทธิ์ ถ้าหากเขาทำความเข้าใจคำสอนในตอนนี้ได้มารดาและบุตรแห่งธรรมธาตุจะประสบพบกัน เขาจะไม่ถูกครอบงำโดยวิบากกรรมอีกต่อไป เปรียบดังแสงสุริยะฉายฉานเหนือความมืดมัว อำนาจแห่งวิบาก กรรมถูกขจัดโดยแสงกระจ่างใส อาการหลุดพ้นจึงเป็นไปได้ บาร์โดที่สองนั้นจะปรากฏขึ้นเบื้องหน้ากายทิพย์ วิญญาณจักสามารถสดับเสียง ได้ดังยามมีชีวิตอยู่ ถ้าคำสอนสั่งเป็นที่เข้าใจอย่างถ่องแท้ในเวลานี้ก็เท่ากับสำเร็จประโยชน์แล้วและเนื่องจากภาพมายาอันสับสนแห่งผลกรรม มิได้บังเกิดขึ้น เขาย่อมบังคับตนให้ไปได้ทุกแห่งหน
 
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่สามารถจดจำแสงกระจ่างในบาร์โดแรกได้ เขาย่อมถูกปลดปล่อยหากสามารถจดจำแสงกระจ่างในบาร์โดที่สองได้ แต่หากเขายังไม่ได้รับการปลดปล่อยแม้ในบัดนี้ บาร์โดที่สาม อันได้แก่บาร์โดแห่งธรรมธาตุจักปรากฏขึ้น ภาพมายาแห่งวิบากกรรม จะอุบัติขึ้นด้วย การอ่านคำสอนเกี่ยวกับบาร์โดแห่งธรรมดาในเวลานี้จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะมันทรงอำนาจและมีคุณูปการสูง
 
ในเวลาเหล่านี้ ญาติมิตรของเขาจะพากันร่ำไห้และโศกศัลย์ เขาจะไม่ได้รับอาหารเลี้ยงดูอีกต่อไป เสื้อผ้าจะถูกเปลี่ยน ที่นอนจะถูกแบ่งแยกออก ผู้ตายจะแลเห็นผู้อื่นแต่ผู้อื่นไม่อาจแลเห็นผู้ตายได้ เขาย่อมอาจแลเห็นมวลมิตรได้ แต่มวลมิตรไม่อาจแลเห็นเขาได้ เขาย่อมได้ยินถ้อยคำ สนทนาของผู้อื่น แต่ผู้อื่นไม่อาจได้ยินเสียงเรียกขานของเขา ดังนั้นเขาจึงจากไปด้วยความเศร้าโศกเหลือประมาณ ปรากฏการณ์ทั้งสาม อย่างจะอุบัติขึ้นในเวลานี้ อันได้แก่ เสียง สี และประภารัศมี เขาจะสลบไปด้วยความหวาดกลัว ไหวหวั่นและพรั่นพรึง ดังนั้นในเวลานี้ การอ่านถ้อยคำเกี่ยวกับบาร์โดแห่งธรรมธาตุควรเริ่มขึ้นตอนนี้ จงเรียกชื่อของผู้ตาย แล้วกล่าวถ้อยความต่อไปนี้อย่างแจ่มชัด
 
" ดูกร ทายาทแห่งอริยะสกุล จงฟังคำข้า ฯ อย่าแชเชือน ท่านจะประสบกับบาร์โดหกสภาวะด้วยกัน อันได้แก่ บาร์โดแห่งการเกิด บาร์โดแห่งความฝัน บาร์โดแห่งสมาธิภาวนา บาร์โดแห่งชั่วขณะก่อนตาย บาร์โดแห่งธรรมดา และบาร์โดแห่งการแปรเปลี่ยน ดูกร ทายาทแห่งอริยะสกุล ท่านจะได้ประสบกับบาร์โดสามสภาวะนี้ในภายภาคหน้า อันได้แก่ บาร์โดแห่งชั่วขณะก่อนตาย บาร์โดแห่งธรรมดา และบาร์โดแห่งการแปรเปลี่ยน ในบาร์โดทั้งสามนี้ แสงกระจ่างจากธรรมดาจักฉายฉานจนถึงเมื่อวานนี้ แต่ท่านกลับไม่อาจจดจำ มันได้ ท่านจึงพเนจรมายังบัดนี้ นับแต่นี้ท่านจะได้ประสบกับบาร์โดแห่งธรรมดา และบาร์โดแห่งการแปรเปลี่ยน ดังนั้นจงจดจำในสิ่งที่ข้า ฯ จะชี้แนะแก่ท่าน อย่าแชเชือนเป็นอันขาด
 
" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล บัดนี้สิ่งที่เรียกขานกันว่าความตาย ได้มาสู่แล้ว ไม่ใช่เพียงท่านผู้เดียวหรอกที่ต้องจากโลกนี้ไป ความตายบังเกิด กับทุกคน ดังนั้นจงอย่ารู้สึกผูกพันและหลงใหลในชีวิตนี้ แม้ท่านจะเกิดความปรารถนาแรงกล้าหรือดื้อดึงสักเพียงใด ท่านก็ไม่อาจจะรั้งอยู่ บนโลกต่อไปได้ ท่านทำได้เพียงแต่ร่อนเร่อยู่ในสังสารวัฏ อย่าหลงใหล อย่าละโมบ จงยึดมั่นในไตรสรณาคมณ์ ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล ไม่ว่านิมิตมายาอันน่าสะพรึงกลัวใด จะปรากฏขึ้นในบาร์โดแห่งธรรมดา จงอย่าลืมถ้อยความเหล่านี้ แต่จงทบทวนความหมายของมัน จุดสำคัญอยู่ที่การจดจำมันให้ได้
 
บัดนี้เมื่อบาร์โดแห่งธรรมดาได้อรุณขึ้นเบื้องหน้าข้า ฯ
ข้า ฯ จะละทิ้งความคิดเกี่ยวกับความกลัวและความไหวหวั่นเสีย
ข้า ฯ จะระลึกเสมอว่าสิ่งที่ปรากฏเป็นเพียงภาพสะท้อนจากใจข้า ฯ
และรับรู้ว่ามันคือนิมิตแห่งบาร์โด
บัดนี้ข้า ฯ ได้มาถึงจุดวิกฤติเป็นตายแล้ว
ข้า ฯ จะไม่พรั่นพรึงต่อภาพสันติอันงดงามหรือพิโรธกราดเกรี้ยวประการใด
อันเป็นภาพสะท้อนจากใจข้า ฯ เอง
 
" จงสาธยายคัมภีร์ต่อไป กล่าวถ้อยคำเหล่านี้อย่างชัดและถูกต้อง และระลึกถึงความหมายของมัน อย่าหลงลืมเป็นอันขาด เพราะประเด็น สำคัญได้แก่การจดจำอย่างแม่นยำไม่ว่าสิ่งใดจะปรากฏขึ้นว่าล้วนเป็นนิมิตจากใจท่านเอง
 
" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล เมื่อกายและจิตของท่านแยกขาดออกจากกัน ธรรมธาตุภาวะจะปรากฏขึ้น บริสุทธิ์ และใสกระจ่าง จนยากจะ จ้องดู ช่างใสสว่างและเจิดจ้า ใสสว่างจนน่ากลัว เปล่งแสงดุจดังภาพลวงตาบนผืนแผ่นดินในฤดูใบไม้ผลิ อย่าหวาดกลัวมัน อย่าไหวหวั่น มันเป็นประภารัศมีโดยธรรมชาติของธรรมธาตุแห่งตัวท่าน ดังนั้นจงจดจำมันให้ได้
 
" เสียงคำรามแห่งสายฟ้าฟาดจะอุบัติจากภายในแสงสว่างเป็นแสงโดยธรรมชาติแห่งธรรมดาภาวะ กึกก้องราวกับเสียงสายฟ้านับพันอุบัติ โดยพลัน เนื่องด้วยมันเป็นเสียงตามธรรมชาติของธรรมดาแห่งตัวท่าน ดังนั้นจงอย่ากลัวอย่าไหวหวั่น ท่านได้ครอบครองในสิ่งที่มีนามว่า กายทิพย์แห่งความคิดฝ่ายต่ำ ท่านไร้ซึ่งกายเนื้อที่มีมังสาและโลหิต ดังนั้นไม่ว่าเสียง สีสรร หรือรัศมีเช่นใดจักปรากฏขึ้น มันย่อมมิอาจ ทำร้ายท่านได้และท่านก็ไม่อาจจะตายลงได้ เป็นการง่ายดายยิ่งนักที่จะระลึกเสมอว่ามันคือนิมิตจากตัวท่าน รับรู้ว่าท่านกำลังตกอยู่ในบาร์โดสภาวะ
 
" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล หากท่านไม่อาจจดจำสิ่งเหล่านี้ได้ว่าเป็นนิมิตจากใจท่านเอง ไม่ว่าท่านจะฝึกฝนสมาธิภาวนาเพียงใดขณะที่ท่าน มีชีวิต หากท่านไม่เข้าใจคำสอนนี้แล้ว แสงประกายสีจะข่มขวัญท่าน เสียงคำรามจะข่มขู่ท่าน และประภารัศมีจะทำให้ท่านพรั่นพรึง หาก ท่านไม่เข้าใจประเด็นหลักแห่งคำสอน ท่านย่อมไม่อาจจดจำ เสียง แสง และรัศมีต่าง ๆ ได้ ดังนั้น ท่านย่อมจะวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏ อีกต่อไป
 
" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล หลังจากหลับใหลมาเป็นเวลาสี่วันครึ่ง ท่านจะเริ่มเคลื่อนไหว และตื่นจากการสลบไสล ท่านจะประหลาดใจ ว่ามีสิ่งใดบังเกิดกับท่าน จงระลึกว่าบัดนี้ท่านได้อยู่ในภาวะบาร์โดแล้ว ขณะที่สังสารวัฏเริ่มจะย้อนกลับ และทุกสิ่งที่ท่านเห็นจะปรากฏตน ดังแสงและจินตภาพ


หัวข้อ: Re: คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead]
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 17 มิถุนายน 2553 21:12:37
" พื้นที่ทั้งหมดของอากาศธาตุจะฉายฉานด้วยแสงสีคราม และพระไวโรจนพุทธจะปรากฏตนเบื้องหน้าท่านจากมัชฌิมภูมิ ภูมิแห่งวงแหวนอันไร้จุดเริ่มต้น กายสีขาวนวล นั่งบนบัลลังก์สิงห์ ถือวงล้อแปดซี่ในมือ สวมกอดศักติแห่งวัชระอากาศธาตุ แสงสีคราม แห่งวิญญาณขันธ์อย่างหมดจดบริสุทธิ์ เป็นภูมิปัญญาแห่งธรรมธาตุอันสว่างไสว กระจ่างใส แหลมคมและเจิดจ้า จะพุ่งเข้าหาท่านจาก หว่างกลางหทัยขององค์ไวโรจนพุทธและองค์ศักติ ทะลวงผ่านท่านจนมิอาจมองได้ด้วยตาเปล่า ในเวลาเดียวกันนั้น แสงสีขาวมัวจาก ภูมิแห่งเทพเทวาจะพุ่งเข้าสู่ท่านด้วยด้วยและทะลุผ่านท่านไป ในเวลานั้นเอง โดยอิทธิพลของผลกรรม ท่านจะรู้สึกหวาดกลัวและ หลบหนีจากภูมิปัญญาแห่งธรรมธาตุและแสงสีครามนวล แต่กลับหลงใหลพึงใจกับแสงสีขาวมัวของเทพเทวา จำไว้ว่า อย่าหวาดหวั่น ต่อแสงสีครามแห่งปัญญาอันเลิศ ซึ่งสว่างไสว เจิดจ้า คมชัดและใสกระจ่างเป็นอันขาด เพราะว่ามันคือประภารัศมีแห่งพุทธสกุลเป็น ปัญญาญาณแห่งธรรมธาตุภาวะ จงมุ่งหน้าเข้าหามันอย่างช้า ๆ ด้วยศรัทธาและการอุทิศตนและการยินยอมพร้อมใจ คิดอยู่เสมอว่า " มัน คือ แสงอันเบาบางแห่งกรุณาคุณของพระไวโรจนพุทธอันศักดิ์สิทธิ์ ข้า ฯ ขอถือเอาท่านเป็นสรณะ จงตระหนักว่าพระไวโรจน์ อันศักดิ์สิทธิ์ได้มาเชื้อเชิญท่านถึงในบาร์โดอันเปี่ยมด้วยภยันตราย ในรูปของลำแสงสีขาวของกรุณาคุณแห่งพระไวโรจนเจ้า
 
" จงอย่าพึงใจในแสงสีขาวแห่งทวยเทพ อย่าหลงใหลหรือสมัครใจในมัน หากท่านยินดีในมันท่านจะร่อนเร่ในภูมิแห่งทวยเทพและวนเวียน อยู่ในภูมิทั้งหก มันเป็นอุปสรรคขัดขวางเส้นทางสู่วิมุตติสุข อย่าจ้องดูมัน แต่จงพึงใจในแสงสีครามนวล และท่องบทสวดอันก่อแรง บันดาลใจด้วยความรู้สึกแน่วแน่ต่อองค์ไวโรจนพุทธ
 
เมื่อเร่ร่อนผ่านอวิชชาอันแรงกล้า ข้า ฯ ท่องอยู่ในสังสารวัฏ
โดยหนทางอันกระจ่างสุกใสแห่งภูมิปัญญาของธรรมธาตุ
ขอให้องค์ไวโรจนพุทธผู้ศักดิ์สิทธิ์ปรากฏอยู่เบื้องหน้าข้า ฯ
ศักติของพระองค์รานีแห่งวัชรอากาศธาตุอยู่เบื้องหลัง
นำข้า ฯ ผ่านหนทางอันตรายในบาร์โด
และนำเข้าสู่ภาวะสมบูรณ์แห่งพุทธ "
 
โดยการท่องกล่าวบทสวดเพื่อขอแรงบันดาลใจนี้ด้วยศรัทธาแรงกล้า เขาผู้นั้นย่อมถูกกลืนหายเข้าไปในลำแสงสีรุ้งของพระไวโรจนพุทธ ผู้ศักดิ์สิทธิ์และเหล่าศักติของพระองค์ และกลายเป็นสัมโภคกายพุทธประจำมัชฌิมภูมิ เป็นประภารัศมีอันแน่นหนา


หัวข้อ: Re: คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead]
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 17 มิถุนายน 2553 21:13:09
ถึงแม้จะได้รับการชี้แนะดังนี้ก็ตาม เขาก็ยังหวาดกลัวในลำแสงและประภารัศมีอันเนื่องจากความก้าวร้าวและอาการวิกลจริตแห่งจิต และหลบหนีไป และหาดเขายังสับสนแม้ภายหลังจากท่องบทสวด ในวันที่สองวงล้อแห่งทวยเทพของวัชรสัตวพุทธะมาเชื้อเชิญเขา พร้อมกับอกุศลที่จะนำเขาเข้าสู่นรก ดังนั้น เพื่อชี้แนะเขา ผู้อ่านควรเรียกชื่อผู้ตายและกล่าวถ้อยคำต่อไปนี้
 
" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล จงฟังคำข้า ฯ อย่าแชเชือน ในวันที่สอง แสงสีขาวและคุณสมบัติอันบริสุทธิ์แห่งธาตุน้ำจะฉายฉานและ ในเวลาเดียวกันนั้น พระวัชรสัตวะ-อักโษภยะผู้ศักดิ์สิทธิ์จะปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าท่านจากภูุมิตะวันออกครามครึ้มแห่งแดนสุขาวดี กายของท่านสีครามเข้ม ถือวัชระห้าแฉกไว้ในมือและนั่งบนบัลลังก์กุญชร สวมกอดศักตินามพุทธ-โลจนา ร่วมทางด้วยโพธิสัตว์ สององค์ กษิติครรภ์และเมตไตรย และสองโพธิสัตว์สตรีลาสยาและบุษบา พุทธะทั้งหกจึงปรากฏขึ้น
 
" แสงสีขาวจากรูปขันธ์ที่บริสุทธิ์หมดจด เป็นภูมิปัญญาที่กระจ่างใสดุจกระจกเงา ใสสว่างและกระจ่างชัดจะพวยพุ่งเข้าหาท่านจากกลางหว่างหทัยขององค์พระวัชรสัตว์และองค์ศักติ และทิ่มแทงผ่านร่างของท่านจนไม่อาจจ้องมองด้วยนัยน์ตาเปล่า ในเวลาเดียวกัน หมอกควันจากนรกภูมิจะปรากฏขึ้นด้วย พวกพุ่งเข้าหาท่าน ทิ่มแทงผ่านท่านไปโดยอิทธิพลของความก้าวร้าวชิงชัง ท่านจะรู้สึกหวาดกลัว และหลบหนีจากแสงสุกใสอันกระจ่างชัด แต่กลับรู้สึกหลงใหลในหมอกควันจากนรกภูมิ ในช่วงเวลานั้น จงอย่าหวาดกลัวแสงสีขาว อันกระจ่างใสแจ่มชัด และคมกริบ ทว่าจงจดจำไว้ว่ามันคือตัวแทนแห่งภูมิปัญญา จงมุ่งหน้าเข้าหามันด้วยศรัทธาและความหวัง อุทิศตน ให้แก่มัน และคิดว่า " มันเป็นแสงสีขาวแห่งกรุณาคุณของพระวัชรสัตว์ ข้า ฯ ขอหวังเป็นที่พึ่งที่ระลึก " จงตระหนักว่าพระวัชรสัตว์ ผู้ศักดิ์สิทธิ์ได้มาเชิญเชื้อท่านถึงในบาร์โดอันเปี่ยมด้วยภยันตราย ในรูปของแสงสีขาวแห่งกรุณาคุณของพระวัชรสัตว์ ดังนั้นจงมุ่งปรารถนาในมัน
 
อย่างพึงใจในหมอกมัวแห่งนรกภูมิอันเป็นหนทางเชิญเชื้อจากความพิกลพิการทางจิตของท่านเอง ซึ่งสั่งสมจากความก้าวร้าว หากท่านเกิด ความผูกพันกับมัน ท่านจะพลัดหล่นสู่นรกภูมิ และดิ่งลงไปในโคลมตมแห่งความทรมาณอันสุดจะทานทน อันไม่มีผู้ใดหลบหนีไปได้ มันเป็นอุปสรรคขัดขวางหนทางสู่วิมุตติ อย่ามองดูมันเป็นอันขาด ทว่าจงยุติความก้าวร้าว อย่าข้องแวะกับมันเป็นอันขาด อย่าโอนอ่อน ตามมัน แต่จงมุ่งหวังในแสงสีขาวอันสุกใสกระจ่างจ้า และท่องบ่นบทสวดเพื่อสร้างแรงบันดาลใจด้วยสมาธิอันแรงกล้าต่อองค์พระวัชรสัตว์อันศักดิ์สิทธิ์
 
 
เมื่อร่อนเร่ผ่านอวิชชาอันแรงกล้า ข้า ฯ ท่องอยู่ในสังสารวัฏ
โดยหนทางอันกระจ่างสุกใสแห่งภูมิปัญญาที่ใสสว่างดุจกระจกเงา
ขอองค์พระวัชรสัตว์ผู้ศักดิ์สิทธิ์จงปรากฏอยู่เบื้องหน้าข้า ฯ
ศักติของพระองค์นามพุทธะ - โลจนาอยู่เบื้องหลับ
นำข้า ฯ ผ่านหนทางอันตรายในบาร์โด
และนำข้า ฯ เข้าสู่ภาวะสุขสมบูรณ์แห่งพุทธะ "
 
 
โดยการท่องกล่าวบทสวดเพื่อขอแรงบันดาลใจด้วยศรัทธาอย่างแรงกล้า ผู้ตายย่อมเลือนหายสู่ลำแสงสีรุ้งในหว่างหทัยของ พระวัชรสัตวพุทธ และกลายเป็นสัมโภคกายพุทธประจำทิศบูรพาแห่งแดนสุขาวดี


หัวข้อ: Re: คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead]
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 17 มิถุนายน 2553 21:14:15
ถึงแม้จะได้รับการชี้แนะดังกล่าวนี้ บุคคลบางจำพวกอาจยังหวาดกลัวต่อรัศมีของกรุณาคุณ โดยเหตุมาจากมานะและม่านมายาอันวิกล จริตประจำตน บุคคลเหล่านี้จะหลบลี้ไปด้วยเหตุนี้ในวันที่สามวงแหวนแห่งทวยเทพจากรัตนะสกุล จะปรากฏเพื่อเชื้อเชิญพวกเขา พร้อม ๆ กับเส้นทางเรืองแสงชักจูงสู่มนุษ์ภูมิ เพื่อประสงค์จะช่วยเขาให้รอดพ้นอีกครา ผู้สาธยายคัมภีร์ควรเรียกชื่อผู้ตายและกล่าวถ้อยความต่อไปนี้
 
" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล จงฟังคำข้าอย่าแชเชือน ในวันที่สามลำแสงสีเหลืองคุณสมบัติอันประภัสสรแห่งแผ่นดินจะฉายฉาน และในยามนั้น พระรัตนสัมภวพุทธอันศักดิ์สิทธิ์จักปรากฏตนเบื้องหน้าท่านจากทักษิณภูมิแฝงไว้ซึ่งสีเหลืองลออตาเร้าปีติอย่างยิ่ง ร่างของท่านจะนวลจรัสถือคฑาเอกอุในมือ ประทับนั่งบนบัลลังก์แห่งอาชา สวมกอดนางมามากิ ชายาประจำตน ร่วมขบวนด้วยโพธิสัตว์ สองท่านคือ อากาศครรภ์และสมันตภัทร และโพธิสัตว์สตรีสองนางได้แก่ มาลา และ ธูปะ ครั้นแล้วเหล่าพุทธะทั้งหกจักปรากฏตน จากอากาศธาตุแห่งแสงสีรุ้ง
 
" แสงสีเหลืองนวลแห่งเวทนาขันธ์อันหมดจดบริสุทธิ์นั้น เป็นภูมิปัญญาแห่งความทัดเทียม ประดับประดาด้วยแสงนานา อันกระจ่างและ สุกใส ดวงตาของท่านจักไม่อาจรู้แสงได้ ลำแสงจะพุ่งเข้าหาท่านจากหว่างกลางหทัยของรัตนสัมภวพุทธและเหล่าศักติชายาทะลุผ่าน ไปในดวงใจของท่าน เวลาเดียวกันนั้นเอง แสงสีครามจากมนุษย์ภาวะจะทิ่มแทงหัวใจของท่านด้วย และโดยอิทธิพลแห่งมานะกล้า ท่านจะหวาดกลัวและหลบหนีจากแสงสีเหลืองอันคมกริบและแจ่มจ้า แต่กลับหลงใหลพึงพอใจกับแสงนวลครามแห่งภูมิมนุษย์ จำไว้ว่า อย่าหวาดหวั่นต่อแสงสีเหลืองนวล อันชัดคมและสว่างไสว แต่จงจดจำว่ามันคือสัญลักษณ์แห่งโลกุตรปัญญา ปลดปล่อยจิตของท่าน ให้พิงพักอยู่ในนั้น อย่ากระทำสิ่งใด ๆ เข้าหามันด้วยใจปรารถนา หากท่านจดจำได้ว่ามันคือประภารัศมีตามธรรมชาติแห่งจิตแล้วไซร้ แม้ท่านจักไม่เคยอุทิศตน ไม่เคยท่องบทสวดเพื่อปลุกเร้ากำลังใจมาก่อนเลย ทั้งจินตภาพและลำแสงรวมทั้งรัศมีที่ปรากฏจะเข้าร่วมเป็น เอกภาพกับท่าน ท่านจะเข้าสู่ภาวะวิมุตติสุข แต่หากท่านไม่อาจทำความระลึกได้ว่ามันเป็นรัศมีตามธรรมชาติแห่งจิตใจในตัวท่านเอง จงสวดอ้อนวอนอย่างหนัก เพ่งความคิดว่า " สิ่งนี้คือแสงรัศมีแห่งพระรัตนสัมภวะผู้เปี่ยมไปด้วยกรุณาคุณ ข้าขอถือเอาท่านเป็นสรณะ " ด้วยเหตุที่มันคือรัศมีใสสกาวที่ก่อกำเนิดจากอำนาจแห่งความกรุณาของพระรัตนสัมภวพุทธผู้ศักดิ์สิทธิ์ ท่านจึงควรปรารถนาถึงมัน
 
" จงอย่าพึงใจในแสงสีครามนวลแห่งมนุษย์ภูมิ อันเป็นลำแสงเชื้อเชิญจากอำนาจใฝ่ต่ำ อันสั่งสมจากอวิชชาภายในตัวท่าน ถ้าท่านรักใคร่ ยินดีในมัน ท่านจะพลัดตกสู่มนุษย์ภูมิและต้องประสบภัย ชาติ ชรา มรณะ และทุกข์นานาประการอีกและย่อมไม่อาจหนีจากสังสารวัฏได้ สิ่งนี้นับเป็นเครื่องกีดขวางหนทางสู่วิมุตติสุข ดังนั้นจงอย่างเพ่งมองมัน ทว่าจงละทิ้งความโง่งม ละทิ้งความคิดใฝ่ต่ำ อย่าทำความสนใจ อย่าลุ่มหลง เพ่งสมาธิไปที่แสงนวลกระจ่างอันเจิดจรัส และท่องบทสวดอันก่อแรงบันดาลใจ ด้วยจิตแน่วแน่เป็นหนึ่งเดียว ต่อองค์รัตนสัมภาวพุทธ
 
 
เมื่อเร่ร่อนผ่านอวิชชาอันแรงกล้า ข้าท่องอยู่ในสังสารวัฏ
โดยหนทางอันกระจ่างสุกใสแห่งองค์ของความเท่าเทียม
ขอให้องค์รัตนสัมภวพุทธผู้ศักดิ์สิทธิ์ปรากฏอยู่เบื้องหน้าข้า ฯ
ศักติของพระองค์นามมามากิ เบื้องหลัง
นำข้า ฯ ผ่านเส้นทางอันตรายในบาร์โด
และนำเข้าสู่ภาวะสุขสมบูรณ์แห่งพุทธะ"
 
 
 
โดยการท่องมนต์เพื่อขอแรงบันดาลใจนี้ด้วยศรัทธาแรงกล้า เขาผู้นั้นย่อมถูกกลืนหายเข้าไปในลำแสงสีรุ้งจากหทัยของพระรัตนสัมภวะผู้ศักดิ์สิทธิ์ และเหล่าศักติของพระองค์ และกลายร่างเป็นสัมโภคกายพุทธ ประจำทักษิณภูมิ


หัวข้อ: Re: คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead]
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 17 มิถุนายน 2553 21:14:44
อาศัยการชี้แนะดังกล่าวนี้ การบรรลุแจ้งย่อมเป็นไปได้แน่นอน ไม่ว่าบุคคลนั้นจะอ่อนแอสักเพียงใดก็ตามที ภายหลังการแนะนำดังกล่าวนี้ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า บุคคลที่ไม่อาจรอดพ้นได้ ย่อมเป็นบุคคลที่ได้ประกอบอกุศลกรรมอย่างหนักหรือปล่อยปละละเลยการปฏิบัติธรรม เขาจะ ถูกรบกวนจากความโลภและอาการวิกลจริตแห่งจิต พวกเขาจะหวาดกลัวในสรรพเสียง และแสงสว่างทั้งปวงจึงทำการหลบหนีไป ดังนั้น ในวันที่สี่ วงแหวนแห่งพระอมิตาภพุทธผู้ศักดิ์สิทธิ์จะมาเชื้อเชิญพวกเขาต่อไป พร้อมกับประกายแสงจากเปรตภูมิ ที่บังเกิดจากความ ปรารถนาและความเสื่อมทราม เพื่อช่วยเหลือเขาอีกครั้ง ท่านควรขานชื่อของผู้ตายและกล่าวถ่อยคำต่อไปนี้
 
" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล จงฟังคำข้าอย่าแชเชือน ในวันที่สี่ แสงสีแดงซึ่งแฝงคุณสมบัติแห่งธาตุไฟ จะฉายฉาน เวลาเดียวกันนั้น องค์พระอมิตาภะผู้ศักดิ์สิทธิ์ จักปรากฏขึ้นเบื้องหน้าท่านจากภูมิแห่งทิศตะวันตกภูมิแห่งความปีติเริงรื่น กายของพระองค์จะแดงฉาน ทรงถือดอกบัวไว้ในมือประทับนั่งบนบัลลังก์มยุรา สวมกอดองค์ศักตินาม ปัณฑรวาสินี ร่วมทางด้วยคือพระอวโลกิเตศวร และพระมัญชุศรีเจ้า และโพธิสัตว์สตรีสององค์นาม คีตาและอโลคา องค์พุทธะทั้งหกนี้จะปรากฏออกจากอากาศธาตุแห่งแสงสีรุ้ง
 
" แสงสีแดงแห่งสัญญาขันธ์อันบริสุทธิ์หมดจด เป็นภูมิปัญญาแห่งการไม่แบ่งแยก ประดับประดาห้อมล้อมด้วยวงแหวนแห่งแสงสีอันเจิดจรัสและสุกใส คมกริบและโล่งว่าง อันอุบัติจากกลางหว่างดวงหทัยขององค์อมิตาภพุทธและศักติ มันจะเสียดลึกไปในใจของท่านจนไม่ อาจเพ่งดูได้ อย่าไหวหวั่นต่อมันเป็นอันขาด เวลานั้นเองแสงสีเหลืองนวลจากฝูงเปรตจะปรากฏขึ้นด้วย อย่าแยแสมันเป็นอันขาด ละทิ้ง ความปรารถนาและความต้องการทั้งปวงเสีย
 
" ในเวลานั้น ภายใต้อิทธิพลแห่งความปรารถนาอันแรงกล้า ท่านจะรู้สึกไหวหวั่นและหลบหนีออกจากแสงสีแดงจ้าอันเฉียบคม แต่กลับ รู้สึกยินดีในแสงสีเหลืองนวลของเหล่าเปรต จงระลึกว่าอย่าไหวหวั่นต่อแสงสีแดง อันคมชัด สว่างไสว เจิดจรัสและแจ่มจ้า จงจำไว้ว่า มันคือตัวแทนแห่งโลกุตตรปัญญา ผ่อนคลายจิตของท่านให้พักพิงอยู่เบื้องใน ผ่อนคลายในภาวะอกรรม เข้าหามันด้วยแรงศรัทธาและ ความปรารถนา หากท่านจดจำได้ว่ามันคือรัศมีแห่งจิตเบื้องในของท่าน แม้ว่าท่านจะไม่เคยอุทิศตน ไม่เคยสาธยายมนต์เพื่อปลุกเร้าแรง บันดาลใจเลยก็ตาม ทั้งรูปและแสงสีอันทรงประภารัศมีจะเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับท่าน และท่านจะเข้าสู่ภาวะตรัสรู้ยิ่ง แต่หากท่านไม่ อาจจดจำมันได้ จงอ้อนวอนมันด้วยความรู้สึกศรัทธายิ่งว่า " สิ่งนี้คือแสงสว่างแห่งพระกรุณาคุณขององค์อมิตาภพุทธผู้ศักดิ์สิทธิ์ ข้า ฯ ขอถือเป็นสรณะ " ด้วยเหตุที่มันคือรัศมีเกี่ยวกระหวัดแห่งกรุณาคุณแห่งองค์พระอมิตาภพุทธ จงอุทิศตนต่อมัน อย่าหลีกหนี เป็นอันขาด
 
" อย่าหวาดกลัว อย่าผูกพันข้องแวะในแสงสีเหลืองนวลแห่งเหล่าเปรตเป็นอันขาด นั้นเป็นแสงแห่งจิตใจฝ่ายต่ำที่สั่งสมจากอวิชชาอัน แรงกล้าของท่าน ถ้าท่านเกิดความพึงพอใจในมัน ท่านจะเกิดในภูมิแห่งเปรตและประสบความระทมทุกข์อันประมาณมิได้ จากความ โหยหาและหิวกระหาย อันเป็นอุปสรรคขัดขวางหนทางสู่วิมุตติสุข ดังนั้นจงอย่าเกี่ยวข้องกับมัน จงเพ่งสมาธิไปที่แสงสีแดงจ้า อันเจิดจรัส และกล่าวท่องบทสวดเพื่อสร้างแรงบันดาลใจด้วยความรู้สึกแน่วแน่เป็นหนึ่ง ต่อองค์พระอมิตาภพุทธอันศักดิ์สิทธิ์ รวมทั้งองค์ศักติของท่าน
 
 
อาศัยความปรารถนาทำให้ข้า ฯ วนเวียนอยู่ในสังสารวัฏ
ณ แสงเจิดจรัสแห่งภูมิปัญญาอันไม่แบ่งแยก
ขอให้องค์พระอมิตาภพุทธได้ปรากฏกายอยู่เบื้องหน้าข้า ฯ
ศักติของพระองค์ ปัณฑรวาสินีปรากฏอยู่เบื้องหลัง
ช่วยนำข้า ฯ ผ่านหนทางเปี่ยมอันตรายในบาร์โด
และนำข้า ฯ เข้าสู่ภาวะอันสุขล้นแห่งพุทธะ "
 
 
โดยการท่องบทสวดดังกล่าวนี้ด้วยความรู้สึกศรัทธาอันแรงกล้า เขาย่อมเลือนหายไปในแสงสีรุ้ง ณ ใจกลางหทัยขององค์พระอมิตาภพุทธ และองค์ศักติ กลับกลายเป็นสัมโภคกายพุทธประจำภูมิตะวันตกอันเปี่ยมสันติสุข


หัวข้อ: Re: คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead]
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 17 มิถุนายน 2553 21:16:32
ยากนักที่บุคคลจะไม่เข้าถึงวิมุตติด้วยวิธีนี้ แต่แม้กระนั้นสัตว์บางประเภทกลับไม่สามารถละทิ้งอำนาจใฝ่ต่ำอันเกิดจากความเคยชินอัน ยาวนานและภายใต้อิทธิพลจากความอิจฉาริษยาและวิบากกรรม พวกเขาย่อมหวาดกลัวในสุรเสียงและรัศมีนานา ทำให้หลุดรอดจากการ เกี่ยวกระหวัดของกรุณาธรรม และพลัดตกลงไปต่ำลงถึงวันที่ห้าในบาร์โดสภาวะ หมู่วงล้อแห่งพระอโฆสิทธิพุทธพร้อมด้วยวงแหวน รัศมีแห่งกรุณาจะมาเชิญเชื้อพวกเขา เส้นทางอันสว่างโพลงของเหล่าอสูรซึ่งเกิดจากอารมณ์แห่งความเกลียดชัง ก็เชื้อเชิญเขาด้วย เพื่อทำการช่วยเขาอีก ท่านควรขานชื่อผู้ตายและกล่าวถ้อยคำต่อไปนี้
 
" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล จงฟังคำข้าอย่าแชเชือน ในวันที่ห้า แสงสีเขียวมรกต คุณลักษณ์อันบริสุทธิ์แห่งอากาศธาตุจะฉายฉาน และขณะนั้นเอง พระอโฆสิทธิพุทธผู้ศักดิ์สิทธิ์ จ้าวพิภพแห่งวงแหวน จะปรากฏจากภูมิแห่งทิศเหนืออันเขียวขจี ภูมิแห่งการกระทำอันสั่งสม กายของพระองค์เขียงครึ้ม ทรงวัชระไว้ในมือ นั่งบนบัลลังก์นก ชาง - ชาง กระพืออยู่ในท้องฟ้า สวมกอดองค์ศักตินาม สัมมา - ธารา ร่วมทางด้วยโพธิสัตว์สตรีสองนางนาม คันธะและนัยเวทยา พุทธะทั้งหกองค์จักปรากฏจากแสงสีรุ้งอันเวิ้งว้าง
 
" แสงสีเขียวแห่งสังขารขันธ์บริสุทธิ์หมดจด เป็นภูมิปัญญาแห่งการกระทำอันสมบูรณ์พร้อม เขียวขจี คมใสและจิดจ้าล้อมด้วยรัศมีมากมาย อันอุบัติจากกลางหว่างดวงใจขององค์อโฆสิทธิพุทธและองค์ศักติ เสียดแทงไปในหัวใจของท่าน จนดวงตาของท่านไม่อาจเบิกจ้องอยู่ได้ อย่าหวาดกลัวมันเป็นอันขาด มันเป็นการละเล่นโดยพลันแห่งใจ อันมีที่พำนักอยู่ในสถานะขั้นสูงอันปลอดจากกิจกรรมและความกังวลทั้งปวง ห่างไกลจากความรักหรือความเกลียดชัง ขณะเดียวกันนั้น แสงสีแดงละมุนจากพวกอสูรที่ก่อกำเนิดจากความเกลียดชังจะฉายส่อง ต้องตัวท่าน จงกำหนดสมาธิแน่วแน่จนปราศจากความแตกต่างระหว่างความรักและความชัง เรื่องทุกประการเกิดจากความอ่อนแอของ ปัญญาญาณ อย่าพึงใจในอารมณ์ใด ๆ ทั้งสิ้น
 
" ในยามนั้น ภายใต้อิทธิพลจากความริษยาอันแรงกล้า ท่านจะไหวหวั่นและผละหนีจากแสงสีเขียวมรกตอันคมกริบและเจิดจรัส แต่กลับพึงใจและรักใคร่ในแสงสีแดงละมุนของเหล่าอสูร จงระลึกว่าแสงสีเขียวนั้นเป็นตัวแทนแห่งโลกุตรปัญญา ผ่อนคลายจิตให้แอบอิงกับมัน อยู่ในภาวะอกรรม อ้อนวอนมันด้วยศรัทธาอันเปี่ยมล้นจากความคิดที่ว่า " นี้คือรัศมีแห่งกรุณาคุณขององค์อโฆสิทธิพุทธ ข้า ฯ ขอถือเวลาเป็นสรณะ " ด้วยเหตุที่มันคือรัศมีเกี่ยวกระหวัดแห่งพระกรุณาธรรมจากองค์อโฆสิทธิเจ้า เป็นโลกุตตรปัญญาแห่งการกระทำอันหมดจด จงเพ่งความปรารถนาไปที่มันและอย่าผละหนี แม้ว่าท่านจะหลบลี้ มันก็จะตามท่านไปไม่ห่าง
 
" อย่าหวาดกลัว อย่าไหวหวั่น อย่าไยดีต่อแสงสีแดงละมุนของพวกอสูร มันเป็นเส้นทางอันอุบัติจากความริษยา หวาดระแวงที่สั่งสมไว้ใน กาลก่อนของท่าน ถ้าท่านข้องแวะกับมัน ท่านจะพลัดตกไปในอสุรภูมิ และประสบกับหายนภัยอันสุดทนทานจากการแย่งชิงต่อสู้อัน เป็นอุปสรรคขัดขวางท่านสู่วิมุตติสุข ดังนั้นอย่าแยแสมัน ละทิ้งอำนาจใฝ่ต่ำเสีย เพ่งจิตไปที่แสงสีเขียวอันกระจ่างใสและเจิดจรัส ท่องบทสวดเพื่อสร้างกำลังใจด้วยจิตอันแน่วแน่เป็นหนึ่งเดียวต่อองค์พระอโฆสิทธิพุทธและองค์ศักติ
 
 
จากอารมณ์ริษยาทำให้ข้าเร่ร่อนอยู่ในสังสารวัฏ
โดยอาศัยหนทางแห่งภูมิปัญญาและการกระทำอันหมดจด
ขอให้องค์พระอโฆสิทธิพุทธอันศักดิ์สิทธิ์จงปรากฏเบื้องหน้าข้า ฯ
ศักติของพระองค์ สัมมา - ธารา ปรากฏอยู่เบื้องหลัง
นำข้า ฯ ผ่านพ้นหนทางอันตรายในบาร์โด
และนำข้า ฯ เข้าสู่สภาวะพุทธะอันสมบูรณ์ "
 
 
 
 
โดยการกล่าวบทสวดเพื่อขอแรงบันดาลใจด้วยศรัทธาอันแรงกล้า เขาย่อมเลือนหายสู่แสงสุกใสกลางดวงใจของพระอโฆสิทธิพุทธและ องค์ศักติ กลับกลายเป็นสัมโภคกายพุทธในภูมิทางทิศเหนืออันหมดจด


หัวข้อ: Re: คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead]
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 17 มิถุนายน 2553 21:17:35
ไม่ว่ากุศลกรรมของเขาจะเบาบางสักเพียงใด โดยได้ยินการชี้แนะหลายครั้งหลายคราถ้าเขาไม่อาจระลึกได้ในคราก่อน เขาย่อมระลึกได้ใน คราต่อไป ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เข้าถึงภาวะวิมุตติ แต่แม้ว่าเขาจะได้รับการชี้แนะหลายครั้งครา บุคคลที่หมกมุ่นกับความคิดใฝ่ต่ำมา เป็นเวลานาน และไม่คุ้นเคยกับนิมิตอันแจ่มใสของพุทธะทั้งห้าจะถูกฉุดรั้งไปข้างหน้าด้วยความรู้สึกใฝ่ต่ำ พวกเขาจะไม่ถูกเกี่ยวกระหวัด โดยรัศมีแห่งกรุราธรรม แต่กลับพรั่นพรึงและหวาดหวั่นในแสงและสีสรร เลื่อนไหลลงสู่ภูมิอันต่ำช้า ดังนั้นในวันที่หก พุทธะทั้งห้าสกุล พร้อมด้วยองค์ศักติและเทพติดตามจะปรากฏตัวพร้อม ๆ กัน และภายในเวลาเดียวกันนั้นเอง ลำแสงจากภูมิทั้งหกจะฉายฉานพร้อมกันด้วย เพื่อจะทำการชี้แนะสั่งสอนเขา ท่านควรเรียกชื่อผู้ตาย และกล่าวถ้อยคำต่อไปนี้
 
" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล จงฟังคำข้า ฯ อย่าแชเชือนแม้ว่าท่านจะได้รับการสอนสั่งเมื่อแสงแห่งปัญจสกุลปรากฏขึ้นจนถึงเมื่อวานนี้ ภายใต้อิทธิพลของความคิดใฝ่ต่ำ ท่านจึงหวาดกลัวและจึงอยู่ที่นี่จนบัดนี้ ถ้าหากท่านระลึกได้ว่ารัศมีตามธรรมชาติของภูมิปัญญาแห่ง ปัญจสกุลเป็นนิมิตอันกำเนิดจากตัวท่านเอง ท่านย่อมมลายหายไปสู่แสงสีรุ้งแห่งร่างของเทพหนึ่งในปัญจสกุล และกลายเป็น สัมโภคกายพุทธ แต่การณ์กลับเป็นว่าท่านกลับหลงลืมหลักสำคัญไป ท่านจึงได้เร่ร่อนอยู่จนบัดนี้ ดังนั้นจงเฝ้าดูอย่าแส่ส่าย
 
" บัดนี้ หมู่ปัญจสกุลจะปรากฏตัวพร้อม ๆ กัน และสิ่งที่เรียกว่าภูมิปัญญาทั้งสี่จะมาเชื้อเชิญท่าน จงจดจำพวกเขาให้ได้ ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล แสงแห่งองค์สี่ของธาตุอันพิสุทธิ์ทั้งสี่จะฉายฉาน และในเวลาเดียวกัน องค์พุทธไวโรจนะและชายาจักปรากฏตนขึ้น จากภูมิตรงกลางดังคราก่อน ซึ่งเป็นภูมิที่ไม่อาจรุกล้ำทำลายได้ ส่วนพุทธวัชรสัตว์และชายา รวมทั้งเทพบริวาร จะปรากฏจากภูมิประจำ ทิศตะวันออก อันได้แก่ภูมิแห่งความรื่นเริงสุขเปี่ยมล้น พุทธรัตนสัมภวะและองค์ชายาและเทพบริวารจะปรากฏจากภูมิประจำแดนใต้ ภูมิแห่งความศักดิ์สิทธิ์ ส่วนองค์อมิตาภพุทธพร้อมด้วยองค์ชายาและเทพบริวารจะปรากฏจากภูมิปีติสุขทิศตะวันตกของดอกอุบลชาติ ส่วนองค์พุทธอโฆสิทธิพุทธพร้อมด้วยชายาและบริวารจะปรากฏจากภูมิประจำทิศเหนืออันได้แก่ภูมิแห่งการกระทำอันหมดจด เหล่าทวยเทพจะปรากฏจากอากาศธาตุแห่งแสงสี
 
" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล นอกเหนือจากเหล่าพุทธองค์ในปัญจสกุล เทพปกปักพิโรธแห่งทวารบาลทั้งปวงจะปรากฏตนขึ้น เทพวิชัย- ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ เทพยามันตกะ-ผู้พิฆาตความตาย เทพหยะครีวะ-ผู้มีศีรษะเป็นม้า เทพอมฤตกุณฑลินี-มาลาแห่งน้ำทิพย์ และเทพธิดาปกปิดทวารบาลทั้งปวง นับแต่ เทวีอังคุศ-ตะของ้าว เทวีบาศก์-ห่วงคล้อง เทวีศฤงกาล-โซ่ตรวน เทวีคันธะ-ระฆัง องค์เทพผู้ศักดิ์สิทธิ์และพระอาทิพุทธผู้ศักดิ์สิทธิ์จักปรากฏตนขึ้นนับแต่ท้าวอินทรา-ผู้เสียสละตนอย่างไม่ว่างเว้น ต้นตระกูลของหมู่เทวดา ท้าววิมลจิตร-อาภรณ์อันล้ำค่า ต้นตระกูลของเหล่าอสูร ท้าวศักยะ-ราชสีห์ ต้นตระกูลของสัตว์มนุษย์ ทุรสิงห์-ราชสีห์ผู้เด็ดเดี่ยว ต้นตระกูลแห่งสัตว์เดรัจฉาน ชวาลามุข-เปลวไฟที่พวยพุ่งออกจากปาก ต้นตระกูลแห่งพวกเปรต ธรรมะราชา-ราชาแห่งธรรม ต้นตระกูลแห่งสัตว์นรก สมันตภัทร และสมันตภัทรี พุทธะบิดาและพุทธะมารดาแห่งเหล่าพุทธะทั้งหลาย จะปรากฏตนขึ้น เทพสี่สิบสององค์นี้แห่งสัมโภคกายจะอุบัติจากภายในร่างกายเขาและปรากฏกายอยู่เบื้องหน้า พวกเขาเป็นรูปทรงอันพิสุทธิจากนิมิตแห่งใจ ดังนั้นจงจดจำพวกเขาให้ได้
 
" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล ภูมิเหล่านี้มิได้มีตำแหน่งแห่งหนที่แท้จริง แต่กลับดำรงอยู่ในทิศทั้งสี่แห่งหทัยของท่าน โดยมีศูนย์กลาง อยู่ตรงที่ดวงหทัยที่ห้า บัดนี้พวกเขายังได้อุบัติขึ้นจากภายในหทัยท่านแล้ว กำเนิดของพวกเขามิได้มาจากที่ใดเลย หากเป็นการละเล่นอย่าง เป็นไปเองของจิตใจท่าน ดังนั้นจงจดจำให้ดี ทายาทแห่งอริยสกุล จินตภาพเหล่านี้ไม่ใหญ่และเล็ก แต่ได้สัดส่วนเหมาะสม พวกเขา ล้วนมีเครื่องประดับ ภูษาอาภรร์ สีสรร ท่าทางบัลลังก์และสัญลักษณ์เป็นของตนเอง พวกเขากระจายออกเป็นห้าคู่ แต่ละคู่ถูกล้อม รอบด้วยปัญจรัศมีเป็นมณฑลรวม เทพและเทพีแห่งสกุลทั้งห้าจะปรากฏตนอย่างพร้อมเพรียงในเวลาเดียวกัน จงจดจำพวกเขาให้ได้ เพราะพวกเขาคือเหล่ายิดัมของตัวท่านเอง
 
" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล จากหทัยของเหล่าพุทธองค์ในปัญจสกุลและองค์ศักติประภารัศมีแห่งภูมิปัญญาทั้งสี่จะฉายฉานอยู่บนดวงหทัยของท่าน ทั้งแจ่มชัดและสดใสเปรียบดังลำแสงอาทิตย์ที่กระจายจ้า
 
" ในเบื้องแรก ภูมิปัญญาแห่งธรรมธาตุ แทนด้วยอาภรณ์สีขาวนวล ใสสว่างจนน่าสะพรึงกลัว จะฉายฉานอยู่ที่กลางดวงใจของท่านโดย มีแหล่งกำเนิดจากฤดีของพระไวโรจนพุทธ ณ วงแหวนนั้นรัศมีสีขาวทอประกายจะปรากฏขึ้น ใสกระจ่างและแจ่มชัดเหมือนดังกระจกเงา ที่ถูกจับคว่ำลง ประดับด้วยรัศมีทรงกลดห้าวงที่คล้ายคลึงกันมีทั้งเล็กและใหญ่ ดังนั้นมันจึงปราศจากจุดศูนย์กลางหรือเส้นรอบวง
 
" จากดวงใจของพระวัชรสัตวพุทธ บนผืนผ้าสีครามเฉิดฉายแห่งภูมิปัญญาที่ใสสว่าง ประดุจกระจกจะปรากฏวงกลมสีครามดังชาม สีขี้นกการเวกทั่วหน้า ประดับประดาด้วยทรงกลดใหญ่และเล็ก
 
" จากดวงใจของพระรัตนสัมภวพุทธ บนผืนผ้าสีเหลืองเฉิดฉายแห่งภูมิปัญญาของความเสมอภาคจะปรากฏวงกลมสีเหลือง ดังจานทองคว่ำหน้า ประดับประดาด้วยวงกลมใหญ่และเล็ก
 
" จากดวงใจของพระอมิตาภพุทธ บนผืนผ้าสีแดงเจิดจรัสแห่งภูมิปัญญาของความเชื่อมั่น แข็งกล้า จะปรากฏวงกลมสีแดงดุจชาม ประการังคว่ำหน้า ฉายฉานด้วยแสงลึกล้ำแห่งปัญญา แจ่มใส และสุกสว่าง ประดับประดาด้วยวงกลมทั้ง ๕ ลักษณะคล้ายคลึงกัน ทั้งใหญ่เล็ก จนไร้ศูนย์กลางและเส้นรอบวง
 
" รัศมีเหล่านี้จะฉายฉานจับจ้องอยู่ที่ดวงใจของท่าน
 
" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล สิ่งเหล่านี้อุบัติจากการละเล่นอย่างเป็นไปเองของใจ พวกมันมิได้ปรากฏจากแห่งหนอื่น ดังนั้นจงอย่าข้องแวะ กับมันเป็นอันขาด อย่าหวาดกลัว อย่าไหวหวั่น แต่จงผ่อนพักในภาวะที่ปราศจากความคิดปรุงแต่ง ในภาวะดังกล่าวจินตภาพทั้งหลาย และลำแสงเบาบางจะเข้าร่วมกับท่านและท่านจะผ่านเข้าสู่วิมุตติสุข
 
 
" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล แสงสีเขียวของภูมิปัญญาอันสำเร็จหมดจดมิได้บังเกิดขึ้น นั่นเป็นเพราะว่าพลังงานของท่านยังไม่สมบูรณ์เต็มที่
 
 
" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล นี้เรียกว่าประสบการณ์แห่งภูมิปัญญาทั้งสี่ที่รวมกัน อันเป็นทางผ่านแห่งองค์วัชรสัตวพุทธ ใ นยามนี้ จงจดจำคำสอนขององค์คุรุที่ได้รับการชี้แนะมาก่อนหน้านี้ ถ้าท่านเข้าใจความหมายของคำสอน ท่านจะมีศรัทธาในประสบการณ์ แห่งการอดีต และดังนั้นท่านจะจดจำได้ซึ่งประสบการณ์ดังกล่าว เปรียบประดุจดังการพบกันของมารดาและบุตรหรือการได้พบกันของ มิตรสหายเก่าอีกครั้ง เมื่อตัดวิจิกิจฉาทั้งปวงลงเสีย ท่านจะจำนิมิตของตัวท่านได้และมุ่งเข้าสู่หนทางบริสุทธิ์และไม่แปรผัน แห่งธรรมธาตุสภาวะ และโดยอาศัยดังกล่าวนี้ สมาธิอันต่อเนื่องจะอุบัติขึ้น และท่านจะละลายหายเข้าไปสู่รูปแบบการดำรงตนอันยิ่งใหญ่ ของภูมิปัญญา และกลายเป็นสัมโภคกายพุทธที่ไม่มีวันเสื่อม
 
" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล ในเวลาเดียวกันกับที่แสงแห่งภูมิปัญญาบังเกิด แสงแห่งความมัวหมองจากภูมิทั้งหกที่เป็นมายาจะฉายฉานขึ้น แสงสีขาวละออตาของทวยเทพ แสงสีแดงเพลิงแห่งอสุรภูมิ แสงสีครามนวลแห่งมนุษย์ภูมิ แสงสีเขียวมรกตแห่งเดรัจฉานภูมิ แสงสีเหลืองละมุนแห่งเปรตภูมิ และหมอกควันจากนรกภูมิ แสงทั้งหกจะอุบัติพร้อมกับแสงใสกระจ่างแห่งภูมิปัญญา ในเวลาดังกล่าว อย่ายึดติดหรือข้องแวะกับมันเป็นอันขาด แต่จงผ่อนพักอย่างอิสระในสภาวะที่ปราศจากความคิดปรุงแต่ง ถ้าท่านหวาดกลัว แสงแห่งภูมิปัญญาเหล่านี้ และข้องแวะอยู่แต่แสงหมองมัวของภูมิทั้งหก ท่านจะกำเนิดเป็นหนึ่งในสัตว์แห่งภูมิทั้งหกและ ท่านจะรู้สึกเหนื่อยหนัก เพราะไม่อาจหลบหนีออกจากมหาสมุทรแห่งสังสารวัฏได้
 
" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล ถ้าท่านไม่ได้รับการชี้แนะโดยถ้อยคำแห่งบรรดาวิปัสสนาจารย์ ท่านจะหวาดกลัวในจินตภาพเหล่านั้น รวมทั้งไหวหวั่นในแสงแห่งปัญญาอันบริสุทธิ์ แต่กลับไปข้องแวะอยู่กับแสงหมอกมัวแห่งสังสารวัฏ จงอย่าทำเช่นนั้นเป็นอันขาด แต่จงอุทิศตนให้กับแสงแห่งโลกุตตรปัญญาอันบริสุทธิ์ คมชัดและสว่างไสว จงเพ่งความคิดอย่างแรงกล้าว่า โดยอำนาจ แห่งรังสีอันเบาบางของปัญญาและกรุณาคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลาย เหล่าพุทธะแห่งปัญจสกุล ได้โปรดเสด็จมารับข้า ฯ ไปด้วยความกรุณา ข้า ฯ ขอถือท่านเป็นสรณะ จงอย่างพึงใจในรัศมีจากภูมิทั้งหกอันเป็นมายา อย่าติดยึดอยู่กับมันแต่จงท่องอ่านบทสวด เหล่านี้ด้วยจิตสมาธิอันแรงกล้าในพุทธะห้าสกุลและองค์ชายา
 
 
ผ่านโอสถพิษทั้งห้า ข้า ฯ จึงเร่ร่อนออยู่ในสังสารวัฏจวบจนบัดนี้
โดยอาศัยมรรควิธีอันใสกระจ่างแห่งภูมิปัญญาทั้งสี่ที่รวมกัน
ขอให้พระชินสีห์และองค์พุทธะแห่งปัญจสกุลเสด็จอยู่เบื้องหน้าข้า ฯ
เหล่าชายาแห่งปัญจสกุลเสด็จอยู่เบื้องหลังข้า ฯ
นำข้า ฯ ผ่านหนทางลวงล่อแห่งภูมิทั้งหกอันเปี่ยมด้วยอวิชชา
และนำข้า ฯ ผ่านหนทางอันตรายในบาร์โด
และนำข้า ฯ เข้าสู่ดินแดนแห่งพุทธะอันบริสุทธิ์
 
 
โดยกล่าวท่องบทสวดดังกล่าวนี้ อริยชนย่อมจดจำนิมิตจากใจตน และเข้าร่วมในสภาวะที่ปราศจากความขัดแย้งและกลายเป็นองค์พุทธะ ปุถุชนทั่วไปจะจดจำตนเองได้โดยอาศัยการอุทิศตนอันแรงกล้าและได้มาซึ่งวิมุตติสุข แม้แต่บุคคลต่ำช้าก็ยังสามารถป้องกันการไปเกิดยังภูมิอันต่ำช้าได้ โดยอาศัยอำนาจอันบริสุทธิ์จากบทสวดและมุ่งทำความเข้าใจในความหมายของภูมิปัญญาทั้งสี่ที่ร่วมกัน และเข้าสู่ภาวะ ตรัสรู้ธรรมผ่านเส้นทางแห่งพระวัชรสัตวพุทธ โดยได้รับการชี้แนะอย่างแจ่มชัดและเที่ยงตรงสรรพสัตว์ย่อมจดจำข้อความได้และได้รับ การปลดปล่อยสู่วิมุตติสุข


หัวข้อ: Re: คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead]
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 17 มิถุนายน 2553 21:18:03
(http://www2.bremen.de/info/nepal/Gallery-2/Wrathful/5-16/Heruka2.jpg)
 
 
 
บัดนี้จะเป็นคำแนะนำว่าบาร์โดภาวะแห่งเทพพิโรธปรากฏขึ้นได้อย่างไร
 
 
 
จวบจนบัดนี้มีเจ็ดขั้นด้วยกันที่จะต้องผ่านบนหนทางอันตรายในบาร์โดที่เขาได้ประสบพบกับเทพสันติ และแม้เขาจะได้รับการถ่ายทอด ชี้แนะในแต่ละขั้นตอนแล้ว หากเขาจะไม่อาจทำการระลึกได้ในขั้นแรก ๆ เขาย่อมระลึกได้ในขั้นตอนอื่น และการตรัสรู้สู่วิมุตติสุขอันหา ที่สุดมิได้จะบังเกิดขึ้น แม้นว่าบุคคลจำนวนมากจะถูกปลดปล่อยจากสังสารวัฏโดยวิธีดังกล่าวนี้ แต่ส่ำสัตว์นั้นมีมากมายมหาศาล มีอกุศล อันแน่นหนา มีม่านปกคลุมอันพิกลพิการทั้งหนักหนาและใหญ่โต มิจฉาทิฏฐิดำรงมาเป็นเวลานานนัก และวัฏฏะแห่งความสับสนและอวิชชา ไม่เคยถดถอยหรือพอกพูน ด้วยเหตุนี้จึงมีบุคคลอีกจำนวนมากที่ยังไม่ได้รับการปลดปล่อย แต่กลับเร่ร่อนลงสู่ภูมิอันต่ำช้า แม้เขาจะได้รับ การชี้แนะอย่างแจ่มกระจ่างมาตลอดแล้วก็ตาม
 
ด้วยเหตุนี้ หลังจากได้ประสบกับเทพสันติ วิทยาธรและทักคินีจะได้ผ่านพ้นไปแล้ว เทพพิโรธผู้กระหายเลือดและเร่าร้อน ๕๘ ตน จักปรากฏขึ้น โดยกลายร่างจากเทพสันติ บัดนี้พวกเขาไม่เหมือนก่อนแล้ว นี้เป็นช่วงบาร์โดแห่งเทพพิโรธ ดังนั้นบุคคลทั้งหลายจึงถูก ถมทับโดยความหวาดกลัวอันแรงกล้า และยิ่งเป็นการยากที่จะทำการจดจำนิมิตต่าง ๆ ในเวลานี้ สภาพจิตนั้นไม่อาจควบคุมตนเอง ซีดจางลงและวิงเวียนโซซัดโซเซ แต่หากการระลึกได้นั้นได้บังเกิดขึ้นแม้เพียงเสี้ยวนาที การปลดปล่อยนั้นก็ง่ายดายนัก เพราะว่าจาก อิทธิพลแห่งการอยู่เหนือความกลัวย่อมทำให้จิตไม่ฟั่นเฟือนฟุ้งซ่าน และด้วยเหตุนั้นจิตจึงสำรวมกำลังได้เป็นจุดเดียว
 
หากแม้นบุคคลนั้นมิได้ทำความระลึกในคำสอนดังกล่าวนี้ ถึงเขาจะทำการเรียนรู้มามากมายปานมหาสมุทรกว้างก็ไร้ประโยชน์ แม้กระทั่ง คุรุอาจารย์ที่ปฏิบัติตามพระวินัยและเหล่าวิปัสสนาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ก็ยังฟุ้งซ่านสับสน และไม่อาจจดจำคำสอนในกาลก่อนได้ ด้วยเหตุนั้น พวกเขาจึงเร่ร่อนอยู่ในสังสารวัฏ ยิ่งบุคคลธรรมดาแล้วพวกเขาย่อมทนทุกข์มากกว่าปกติ ในการหลบหนีจากความกลัวอันเข้มข้น พวกเขา ได้พลัดตกลงไปสู่ภูมิอันต่ำช้าและรับทุกข์ทรมาณยิ่งนัก แต่สำหรับผู้ผ่านการฝึกฝนโยคะตันตระ แม้ว่าเขาจะเป็นสานุศิษย์ที่ต่ำต้อยปานใด เขาย่อมจะจดจำเหล่าเทพกระหายเลือดนี้ได้ว่าเป็นองค์ยิดัมในชั่วพลันที่เผชิญ เหมือนดังการพบเพื่อนเก่า ด้วยเหตุนี้เขาจึงเชื่อมั่นในเทพ เหล่านี้และเข้าร่วมโดยไม่แบ่งแยกกับพวกเขา และกลับกลายเป็นพระพุทธองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ เคล็ดลับอยู่ที่ว่าในยามมีชีวิตอยู่ เขาได้ใช้ เทพกระหายเลือดเป็นบริกรรมนิมิตและทำการบวงสรวงบูชาพวกเขา ผนวกกับการพบเห็นรูปวาดหรือประติมากรรมของทวยเทพเหล่านี้ เขาจดจำภาพในที่นี้ได้และประสบกับวิมุตติสุขในที่สุด
 
ทว่าในหมู่บรรดาเหล่าวิปัสสนาจารย์ที่ปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนในศาสนา ถึงเขาจะใช้ความเพียรพยายามสักปานใด และแตกฉาน เพียงใดในพระสูตรในยามมีชีวิตอยู่ หากแต่ครั้นเขาได้ดับร่างลงโดยปราศจากสื่อบอกเหตุ เช่น มีอัฐิที่ใสแก้ว มีรัศมีพระอาทิตย์ทรงกลด ในยามประชุมเพลิง รวมทั้งปรากฏการณ์บอกเหตุอื่น ๆ แสดงว่าเขาฝึกฝนตันตระในทางที่ผิดและไม่อาจผสานผสมตันตระเข้าไปในดวงจิต พวกเขาไม่รู้จักเหล่าเทพแห่งตันตระ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่อาจจดจำเทพเหล่านั้นได้เมื่อเขาปรากฏตนในบาร์โด และเมื่อประสบกับสิ่ง ที่มิได้เคยพบเห็นมาก่อน พวกเขาจึงคิดว่านิมิตเหล่านี้เป็นศัตรูและบังเกิดโทสะต่อมัน ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงได้ร่วงหล่นสู่ภูมิอันต่ำช้า นั่นเป็นเหตุผลว่า เหตุใดที่บรรดานักปราชญ์และผู้เคร่งครัดในวินัย แต่มิได้ฝึกฝนในตันตระ อัฐิที่ใสดุจแก้ว หรือรัศมีทรงกลดจึงมิได้ ปรากฏแก่เขา
 
สำหรับผู้ฝึกฝนในตันตระ แม้ว่าเขาจะต่ำต้อยยิ่งนักประพฤติตนหยาบช้าในโลก ไร้สัมมาคารวะและไม่บริสุทธิ์เคร่งครัด รวมทั้งบุคคลที่ไม่ สามารถฝึกฝนตันตระให้สำเร็จ แต่เป็นเพราะว่าเขามีความศรัทธาในตันตระวิชาและไม่มีข้อสงสัยใดในการเข้าสู่วิมุตติสุขโดยวิธีนี้ ด้วยเหตุ นี้แม้พฤติกรรมของเขาจะไม่เป็นที่ยอมรับกันในโลกมนุษย์ แต่ในยามที่เขาดับชีพลงกลับปรากฏอัฐิที่ใสประดุจแก้ว และรัศมีอาทิตย์ทรงกลด แก่เขา นี่เป็นเพราะว่าคำสอนแห่งตันตระนั้นทรงไว้ซึ่งอำนาจอันสูงส่ง
 
สำหรับเหล่าผู้ฝึกฝนตันตระเหนือเกินเกณฑ์ทั่วไป ผู้ซึ่งสำรวมจิตในสมาธิและมีการฝึกฝนอันสมบูรณ์ และได้ท่องบ่นหทัยมนตราเป็น การสมบูรณ์ ไม่จำเป็นต้องเร่ร่อนอยู่เป็นเวลานานในบาร์โดแห่งธรรมดา ทว่าในชั่วขณะที่เขาหยุดลมหายใจ เหล่าวิทยธร นักรบ และทักคินี จะเชื้อเชิญเขาสู่แดนสุขาวดี นิมิตที่บ่งบอกนั้นได้แก่ ท้องฟ้าจะแจ่มใส ร่างของเขาจะเลือนหายไปในสายรุ้ง ฝนจะพรำกลิ่นหอมจะรวยริน คีตะจะบรรเลงในท้องฟ้า รัศมีอาทิตย์จะทรงกลด และปรากฏอัฐิธาตุอันสุกใสขึ้น
 
ด้วยเหตุนี้ บรรดานักปราชญ์ ผู้เคร่งครัดวินัย และสานุศิษย์แห่งตันตระที่ปล่อยให้องค์สัมมาปฏิบัติเสื่อมทรามลง และบุคคลสามัญจำต้อง พึ่งพาคัมภีร์ " มหาวิมุตติโดยการสดับฟัง " สำหรับผู้เจริญสมาธิภาวนาที่ผ่านการฝึกฝนมหามุทรา และมหาสัมปานา( มหาอติหรืออติโยคะ ) ย่อมจดจำแสงกระจ่างในบาร์โดชั่วขณะก่อนตายได้และเข้าถึงซึ่งธรรมกายสภาวะ ทำให้เขาไม่มีความจำเป็นต้องพึ่งพาคัมภีร์ " มหาวิมุตติโดยการสดับฟัง "
 
หากพวกเขาจดจำแสงกระจ่างระหว่างบาร์โดชั่วขณะก่อนตายได้ พวกเขาย่อมเข้าถึงธรรมกายสภาวะ แต่หากพวกเขาทำการระลึกได้ใน บาร์โดแห่งธรรมดา เมื่อเทพสันติและเทพพิโรธปรากฏขึ้น พวกเขาย่อมเข้าสู่สัมโภคกายสภาวะ แต่หากเขาทำการระลึกได้ในบาร์โดแห่งการแปรเปลี่ยน พวกเขาย่อมเข้าสู่นิรมาณกายสภาวะและเกิดในภพอันสูงส่งกว่าเดิม ที่พระสัทธรรมได้แพร่ไปถึง และเนื่องจากผลการ กระทำนั้นส่งไปถึงชีวิตหน้า อันเป็นเหตุผลว่าทำไมคัมภีร์ " มหาวิมุตติโดยการสดับฟัง " จึงเป็นคำสอนที่ปลดปล่อยสู่วิมุตติสุขได้ โดยปราศจากสมาธิภาวนา เป็นการปลดปล่อยขั้นสูงโดยอาศัยเพียงการสดับฟัง เป็นคำสอนอันลึกซึ้งที่ก่อให้เกิดการตรัสรู้ในพริบตา ดังนั้น สรรพสัตว์ที่เข้าถึงคำสอนย่อมไม่พลัดตกสู่ภูมิอันต่ำช้า ทั้งคัมภีร์ " มหาวิมุตติโดยการสดับฟัง " และ คัมภีร์ " มหาวิมุตติโดยการสวมใส่ " จะต้องถูกอ่านอย่างชัดเจน เพราะเมื่อคำสอนทั้งคู่ถูกนำมาใช้รวมกัน จะเปรียบประดุจมณฑลทองที่ประดับด้วยพลอยการเวก


หัวข้อ: Re: คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead]
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 17 มิถุนายน 2553 21:18:29
(http://www.buddhistimages.co.uk/thangkas/images/large/T100.jpg)



บัดนี้สาระสำคัญอันยิ่งยวดของคัมภีร์ " วิมุตติโดยการสดับฟัง " จะได้รับการสั่งสอน มันจักแสดงแถลงไขว่าบาร์โดภาวะแห่งเทพพิโรธ ปรากฏขึ้นได้อย่างไร จงเรียกนามของผู้ตายสามครั้งและกล่าวถ้อยคำต่อไปนี้

" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุลจงฟังคำข้า อย่าแชเชือน ถึงแม้ว่าช่วงบาร์โดแห่งเทพสันติจะได้ปรากฏขึ้นแล้ว ท่านก็ยังมิอาจระลึกพวกเขาได้ ดังนั้นท่านจึงได้ร่อนเร่มาจนถึงที่นี่ บัดนี้ในวันที่แปด เหล่าเทพกระหายเลือดจักปรากฏกายขึ้น จงจดจำพวกเขาให้ได้อย่าหวั่นไหว "


" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล ท่านผู้มีนามศักดิ์สิทธิ์ว่าพุทธะเฮรุกาจะอุบัติขึ้นจากภายในกระหม่อมของท่าน ปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าอย่าง แจ่มชัดและเป็นจริง กายของเขาเป็นสีแดงดุจผลองุ่น มีสามเศียร หกกร ขาสี่ขาไขว้ไปมา ใบหน้าซีกขวามีสีขาวนวล ซีกซ้ายมีสีแดงจ้า ซีกตรงมีสีดุจผลองุ่น ร่างของเขาใสสว่างดุจก้อนแสง ตาทั้งเก้าจ้องมองท่านอย่างโกรธเคือง คิ้วของเขาประดุจสายฟ้าฟาด ซี่ฟันของเขา วาวดุจทองแดง เขาส่งเสียงหัวเราะก้อง อะ ลา-ลา และ ฮ่าฮ่า ผิวปากดัง ซู่ว์ ผมสีแดงทองมวยมุ่นสู่เบื้องบนส่งประกายวาว ศีรษะของเขาสวมด้วยมงกุฏกะโหลก และดวงสุริยัน-จันทรา ร่างของเขาประดับด้วยอสรพิษดำและกะโหลกสด ๆ มือทั้งหกคู่นั้นแบ่งถือ ศาสตราวุธ มือแรกข้างขวาถือวงล้อ มือที่สองถือขวาน มือที่สามถือดาบ มือแรกข้างซ้ายถือระฆัง ถือคันไถไว้ในมือกลาง ถือถ้วยกะโหลกศีรษะไว้ในมือสุดท้าย ชายาประจำองค์ได้แก่ นางพุทธะ-โกรดิสวารี สวมกอดร่างเขาอยู่ มือขวาของนางโอบรัดอยู่รอบคอของเขา มือซ้ายถือถ้วยที่ทำจากกะโหลกศีรษะ ล้นด้วยโลหิตจ่อที่ริมฝีปากของภัสดา พุทธะเฮรุกาส่งเสียง ร้องจากเพดานบน และคำรามดุจฟ้าผ่า เปลวไฟแห่งปัญญาจะพวยพุ่งออกจากหว่างกลางวัชระเรืองแสงบนศีรษะ เขายืนตระหง่านอยู่บน บัลลังก์ที่พยุงไว้ด้วยครุฑ ที่งอขาข้างหน้าไว้แล้วเหยียดอีกข้างออก

" อย่าหวาดกลัวพวกเขาเป็นอันขาด อย่าไหวหวั่น อย่าสับสน ระลึกไว้เสมอว่าพวกเขามีรูปลักษณ์ดังใจของท่าน เขาคือองค์ยิดัมประจำตัวท่าน ดังนั้นจงอย่าหวาดกลัวไปเลย จริง ๆ แล้วพวกเขาคือ พระไวโรจนพุทธและองค์ชายา ดังนั้นจงอย่าหวาดกลัวไปเลย การระลึกได้และ การปลดปล่อยสู่วิมุตติสุขจะบังเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน "
เมื่อกล่าวถ้อยคำดังกล่าวนี้แล้ว ผู้ตายจะจดจำองค์ยิดัมได้ในที่สุดและเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน และกลายเป็นสัมโภคกายพุทธในที่สุด

แต่หากผู้ตายเกิดหวาดกลัวและหลบหนีไป จึงมิอาจระลึกได้ ดังนั้นในวันที่เก้าสาวกผู้กระหายเลือดแห่งวัชรสกุลจะมาเชื้อเชิญเขา ดังนั้นเพื่อทำการชี้แนะเขาอีกครั้ง ผู้อ่านควรเรียกชื่อผู้ตายและกล่าวถ้อยคำต่อไปนี้

" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล จงฟังคำข้า ฯ อย่าแชเชือน ในวันที่เก้าบริวารแห่งวัชรสกุล อันมีนามว่า วัชระเฮรุกาผู้ศักดิ์สิทธิ์จะอุบัติขึ้นจาก ฟากฟ้าตะวันออกของกลางกระหม่อมท่าน ปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้า มีกายสีน้ำเงินบาง มีสามเศียรหกกร ขาสี่ขาไขว้ไปมา ใบหน้าซีกขวา มีสีขาวนวล ซีกซ้ายมีสีแดงเพลิง ซีกตรงมีสีน้ำเงิน ถือวัชระไว้ในมือด้านขวา ถือถ้วยที่ทำจากกะโหลกศีรษะไว้ในมือกลาง มือถือขวานไว้มือสุดท้าย ถือระฆังไว้ในมือแรกด้านซ้าย ถือถ้วยกะโหลกศีรษะไว้ในมือกลาง และถือคันไถไว้ในมือสุดท้าย ชายาประจำองค์ ได้แก่ พระนางวัชระโกรดิสวารี มือขวาของนางโอบรัดอยู่รอบคอของเขา มือซ้ายถือถ้วยที่ทำจากกะโหลกศีรษะล้นด้วยโลหิตจ่อที่ริมฝีปากภัสดา

" อย่าหวาดกลัวเขาเป็นอันขาด อย่าาพรั่นพรึง อย่าสับสน ระลึกไว้เสมอว่าพวกเขามีรูปลักษณ์ดังใจท่าน เขาเป็นองค์ยิดัมประจำตัวท่าน ดังนั้นจงอย่าหวาดกลัวไปเลย จริง ๆ แล้วพวกเขาคือองค์พุทธวัชรสัตว์พร้อมด้วยศักติ ดังนั้นจงมีศรัทธา การระลึกได้และการปลดปล่อย สู่วิมุตติสุขจะบังเกิดขึ้นพร้อมกัน "

เมื่อคำสอนนี้ถูกหยิบยกขึ้นมา เขาย่อมจดจำองค์ยิดัมประจำตนได้และเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพวกท่านและกลายเป็นพุทธะในสัมโภคกายภาวะ

ทว่าในบุคคลที่กอปรขึ้นด้วยอกุศลกรรมอันหนักหนาสาหัส เขาย่อมเกิดความหวาดกลัวและทำการหลบหนี ด้วยเหตุนั้นการระลึกจึงไม่อาจ เกิดขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้ในวันที่สิบ บริวารผู้กระหายเลือดแห่งรัตนสกุลจักมาเชื้อเชิญพวกเขา ดังนั้นจึงควรทำการชี้แนะต่อเขาอีก ผู้อ่านควรเรียกชื่อของผู้ตายและกล่าวถ้อยคำต่อไปนี้


" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล จงฟังคำข้า ฯ อย่าแชเชือน ในวันที่สิบบริวารอันกระหายเลือดแห่งรัตนสกุล มีนามว่ารัตนะเฮรุกาผู้ศักดิ์สิทธิ์ จะปรากฏตนออกจากทิศใต้ของกระหม่อมท่าน ร่างของเขานั้นจะมีสีเหลืองนวล สามเศียร หกกร ขาสี่ขาไขว้ไปมา ซีกหน้าด้านขวามีสีขาว ซีกด้านซ้ายมีสีแดงเพลิง ซีกตรงกลางมีสีเหลืองเข้ม ถือเพชรนิลจินดาไว้ในมือด้านแรกขวา ถือซ่อมสามขาเสียบศีรษะมนุษย์ ๓ หัวด้วยกัน ไว้ในมือกลางด้านขวา และถือไม้เท้าไว้ในมือสุดท้าย ถือระฆังไว้ในมือแรกข้างซ้าย ถือถ้วยกระโหลกศีรษะไว้ในมือกลาง ซ่อมสามขาไว้ ในมือท้าย ศักติของเขาได้แก่ รัตนะโกรดิสวารี สวมกอดเขาอยู่ มือขวาโอบอยู่รอบคอ มือซ้ายถือถ้วยกะโหลกศีรษะล้นไปด้วยเลือด จ่อที่ริมฝีปากของภัสดา

" อย่าหวาดกลัวพวกเขาเป็นอันขาด อย่าไหวหวั่น อย่าพรั่นพรึง จงจำไว้ว่าเขาเป็นนิมิตมายาอันเกิดจากใจท่าน เขาเป็นองค์ยิดัมประจำตัวท่าน ดังนั้นจงอย่าหวาดกลัวพวกเขา ความจริงแล้วพวกเขาคือ องค์รัตนสัมภวะผู้ศักดิ์สิทธิ์พร้อมด้วยชายา ดังนั้นจงดำรงความสงบ การระลึกได้และการบรรลุสู่วิมุตติสุขจะเป็นไปอย่างฉับพลัน "

เมื่อคำชี้แนะผ่านพ้นไป ผู้ตายย่อมจดจำองค์ยิดัมประจำตัวได้ และเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียว ไม่แบ่งแยกและกลายเป็นองค์พุทธะผู้บริสุทธิ์


หัวข้อ: Re: คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead]
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 17 มิถุนายน 2553 21:19:02
ทว่าแม้จะได้รับคำชี้แนะดังกล่าวเช่นนี้ เขาก็ยังถูกฉุดดึงด้วยจิตใจใฝ่ต่ำ อันก่อให้เกิดความหวาดกลัวและทำการหลบหนีไป ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่อาจจดจำองค์ยิดัมได้ แม้ว่าเขาจะได้ประสบกับเทพยามันตากะแแล้วก็ตามที เขาก็ยังไม่อาจทำความระลึกได้ ดังนั้นในวันที่สิบเอ็ด องค์ประธานแห่งปัทมสกุลผู้กระหายโลหิต นามปัทมะเฮรุกาอันศักดิ์สิทธิ์จะปรากฏตัวขึ้น จากฟากฟ้าตะวันตกของกระหม่อม และ สำแดงกายอยู่อย่างชัดแจ้งพร้อมด้วยองค์ชายาของเขา ร่างกายของเขามีสีแดงเข้ม สามเศียร หกกร ขาสี่ขาไขว้กันไปมา หน้าซีกขวาสีขาวโพลง ซีกซ้ายเป็นสีน้ำเงินคราม ด้านตรงเป็นสีแดงเข้ม มีหกกร ในแขนข้างขวาทรงถือดอกบัวไว้เป็นลำดับแรก ถือซ่อมสามขาที่เสียบไว้ด้วยศีรษะมนุษย์ในลำดับต่อมา และคันเบ็ดในลำดับท้ายสุด ในแขนข้างซ้ายทรงถือระฆังไว้เป็นลำดับแรก ถือถ้วยรูปกะโหลกที่เอ่อล้นไปด้วยโลหิตมนุษย์ในลำดับต่อมา และกลองขนาดย่อมในลำดับสุดท้าย ชายาของเขาได้แก่ปัทมะโกรดิสวารี สวมกอดร่างของเขาอยู่ มือขวาของนางโอบรัดรอบคอเขา แขนข้างซ้ายถือถ้วยหัวกะโหลกโชกไปด้วยโลหิตจ่ออยู่ริมฝีปากภัสดา

" อย่าหวาดกลัวพวกเขาไปเลย อย่าพรั่นพรึง อย่าหวั่นไหว แต่จงทำใจให้เริงรื่นและพึงระลึกให้ได้ว่าเขาเป็นมายาจากจิตท่านเอง เขาคือองค์ยิดัมประจำตนท่าน ด้วยเหตุนี้จึงมิควรหวาดกลัวไหวหวั่น ตัวตนอันแท้จริงของเขาได้แก่ พระอมิตาภพุทธผู้ศักดิ์สิทธิ์ร่วมทาง กับองค์ชายา ดังนั้นพึงทำการระลึกถึงคำสอน และการปลดปล่อยสู่วิมุตติสุขจะบังเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน "

เมื่อคำชี้แนะดังกล่าวนี้สิ้นสุดลง เขาย่อมจดจำได้ว่านิมิตมายานั่นคือองค์ยิดัมประจำตัวเขา และเขาจะรวบร่างเป็นหนึ่งและกลายเป็น องค์พุทธะผู้ศักดิ์สิทธิ์

ทว่า ภายหลังจากการได้รับการชี้แนะดังกล่าวนี้แล้ว เขายังอาจถูกฉุดรั้งด้วยอำนาจใฝ่ต่ำและเกิดความหวาดกลัวและหลบหนีไป ด้วยเหตุนั้นจึงไม่อาจจดจำองค์ยิดัมประจำตนได้ ดังนั้นในวันที่สิบสอง องค์ประธานแห่งกรรมสกุลผู้กระหายเลือดจักปรากฏกายขึ้นพร้อม ด้วยเการิศ ปิศาจและโยคินี เพื่อทำการเชื้อเชิญเขา ถ้าเขาไม่อาจทำการระลึกในคำสอนได้ เขาย่อมหวาดกลัวอย่างแรงกล้า ด้วยเหตุนี้เพื่อทำการชี้แนะต่อเขาอีก ผู้อ่านควรเรียกชื่อผู้ตายและกล่าวถ้อยคำต่อไปนี้

" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล จงฟังคำข้า ฯ อย่าแชเชือน เมื่อวันที่สิบสองมาถึงองค์ประธานแห่งกรรมสกุลผู้กระหายโลหิต นามกรรมะเฮรุกา จะอุบัติจากฟากเหนือของกระหม่อม และปรากฏกายอยู่เบื้องหน้าท่านอย่างแจ่มแจ้งพร้อมด้วยองค์ชายา ร่างของเขา เขียวครึ้มมีสามเศียร หกกร ขาสี่ข้างแยกออกจากกัน ซีกหน้าด้านขวามีสีขาวโพลง ซีกหน้าด้านซ้ายมีสีแดงเพลิง ซีกหน้าตรงเขียวครึ้มดูลึกลับ ในแขนข้างขวาทรงถือดาบไว้เป็นลำดับแรก ถือซ่อมสามขาที่ใช้เสียบศีรษะมนุษย์ไว้ในลำดับต่อมา และทรงถือคันเบ็ดไว้เป็นลำดับสุดท้าย ในแขนข้างซ้ายทรงถือระฆังไว้เป็นเบื้องแรก ถือถ้วยที่ทำจากกะโหลกศีรษะมนุษย์ไว้ในลำดับต่อมา และทรงถือคันไถไว้ในลำดับสุดท้าย ศักติของเขาได้แก่กรรมะโกรดิสวารี สวมกอดร่างของเขาอยู่ แขนข้างขวาของนางโอบอยู่รอบคอเขา แขนข้างซ้ายถือถ้วยหัวกะโหลกโชกไปด้วยโลหิตจ่อที่ริมฝีปาก

" อย่าหวาดกลัวเขาไปเลย อย่าพรั่นพรึง อย่าหวั่นไหว จงจดจำไว้ว่าเขาเป็นนิมิตมายาจากใจของท่านเอง เขาคือองค์ยิดัมประจำตัวท่าน ดังนั้นจงอย่าหวาดกลัว ที่จริงแล้วเขาคือพระอโฆสิทธิพุทธร่วมทางด้วยองค์ชายา ดังนั้นจงอุทิศตนอย่างแรงกล้า การจดจำและ การปลดปล่อยสู่วิมุตติสุขจะเกิดขึ้นโดยฉับพลัน "
เมื่อคำกล่าวนี้ถูกกล่าวขึ้นเพื่อชี้แนะผู้ตาย เขาย่อมจดจำองค์ยิดัมประจำตนได้ และเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับท่านและกลายเป็น องค์พุทธะผู้ศักดิ์สิทธิ์


โดยอาศัยคำสอนดังกล่าวนี้จากคุรุของเขา ผู้ตายย่อมจดจำภาพทั้งหลายที่ปรากฏว่าเป็นนิมิตแห่งใจตน เป็นการละเล่นของใจ และเขาจะได้รับการปลดปล่อยสู่วิมุตติสุข ทุกสิ่งจะเป็นดังสิงห์โตร้ายที่ถูกแช่แข็ง เขาย่อมหวาดหวั่นหากไม่รู้ว่ามันเป็นสิงห์โตที่ถูกแช่แข็งไว้ แต่เมื่อใดก้ตามที่มีคนไปแสดงว่า สิ่งนี้คืออะไรกันแน่ เขาย่อมประหลาดใจและไม่หวาดกลัวอีกต่อไป ณ ที่นี้เขาหวาดกลัว เพราะว่าเหล่าทวยเทพอันกระหายเลือดปรากฏตนในรูปกายอันใหญ่โตและแขนขาอันมโหฬาร คับแน่นผืนฟ้า แต่เมื่อใดก็ตามที่เขาได้รับการชี้แนะว่าเหล่าทวยเทพล้วนเป็นภาพมายาแห่งใจ หรือเป็นองค์ยิดัมประจำตน แสงสุกใสที่เขาได้สำรวมจิตไว้ในกาลก่อนและแสงสุกใส ในตนเองที่อุบัติขึ้นในภายหลัง จะเข้ารวมตัวกันเปรียบประดุจมารดาโอบอุ้มบุตร เปรียบประดุจการพบปะกับบุคคลที่เขาคุ้ยเคยเป็นอย่างดี แสงสุกใสที่ปลดปล่อยออกจากจิตของเขาจะอุบัติขึ้นอย่างฉับพลันเบื้องหน้า และเขาจะได้รับการปลดปล่อยโดยอำนาจแห่งตน

แต่หากเขาไม่ได้รับการชี้แนะดังนี้ แม้กระทั่งบุคคลที่ผ่านการฝึกฝนอย่างดีเยี่ยม ก็อาจหลบหนีจากสถานที่แห่งนี้และต้องวนเวียน วนสังสารวัฏไม่สิ้นสุด ครั้นแล้วเหล่าเการิศทั้งแปดและปิศาจหลายเศียรจะอุบัติ
จากกลางกระหม่อมของท่านและปรากฏตนขึ้นเบื้องหน้า ดังนั้นเพื่อทำการชี้แนะเขาอีกครั้งหนึ่ง ผู้อ่านควรทำการเรียกชื่อผู้ตายและกล่าวถ้อยคำต่อไปนี้

" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล จงฟังคำข้า ฯ อย่าแชเชือน เการิศทั้งแปดจะอุบัติจากใจกลางกระหม่อมและปรากฏตนขึ้นเบื้องหน้าท่าน อย่าหวาดกลัวพวกเขาเป็นอันขาด

" จากฟากตะวันออกของกระหม่อม เการิศ-ขาว จะอุบัติขึ้นถือซากศพกับไม้เท้าในมือข้างขวาและถือถ้วยกะโหลกศีรษะเปี่ยมด้วยเลือด ในมือซ้าย อย่าหวาดกลัวเป็นอันขาด จากฟากใต้ของกระหม่อมเการิศ-เหลือง จะยิงธนูออกจากคันศร จากฟากตะวันตกปราโมหะ-แดง จะถือธงพรายทะเล จากฟากเหนือเวตาลี-ดำ จะถือวัชระและถ้วยที่ทำจากกะโหลกศีรษะเปี่ยมด้วยโลหิต จากฟากตะวันออกเฉียงใต้ ปุคคาสิ-แสด จะถืออวัยวะภายในไว้ในมือขวาและใช้มือซ้ายช่วยในการกัดกิน จากฟากฟ้าตะวันตกเฉียงใต้กัศมาลี-เขียวเข้ม จะดื่มโลหิต จากถ้วยกะโหลกที่นางถือไว้ในมือซ้ายและใช้มือขวาจับวัชระคนถ้วย จากทิศตะวันตกเฉียงเหนือ คันธาลี-สีเหลืองอ่อน จักฉีกศีรษะและ ร่างของมนุษย์ให้แยกจากกัน ถือหัวใจไว้ในมือข้างขวาและกัดกินร่างกายด้วยมือข้างซ้าย จากทอศตะวันออกเฉียงเหนือสมาสานี-สีคราม จักฉีกศีรษะและร่างของมนุษย์ให้แยกขาดจากกันและกัดกิน แปดเการิศจากทิศทั้งแปดจะล้อมรอบเทพเฮรุกาผู้กระหายเลือดทั้งห้า อันอุบัติขึ้นจากใจกลางกระหม่อมและปรากฏตนอยู่เบื้องหน้า จงอย่าหวาดกลัวพวกเขาเป็นอันขาด

" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล จงฟังคำข้า ฯ อย่าแชเชือน หลังจากนี้แปดปิศาจแห่งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ จะอุบัติขึ้นจากใจกลางกระหม่อม และปรากฏตนอยู่เบื้องหน้าท่าน

" ทางทิศตะวันออก สิงหมุกขา กายสีม่วง ศีรษะเป็นสิงห์แขนสองข้างรองอยู่ที่หน้าอก คาบซากศพคนไว้ในปาก สลัดแผงขนคอไปมา จากทิศใต้วยัคฆ์ ( พยัคฆ์ ) มุกขา กายสีแดง ศีรษะเป็นเสือสองแขนไขว้ชี้ลงสู่พื้นดิน ดวงตาของนางจับจ้องและขู่คำราม จากทิศตะวันตก ศกลาลมุกขา กายสีดำ ศีรษะเป็นสุนัขจิ้งจอก ถือมีดโกนไว้ในมือข้างขวาและเครื่องในในมือซ้าย กัดกินและเลียโลหิตจากอวัยวะภายใน จากทิศเหนือ สวานะมุกขา ศีรษะเป็นสุนัขป่า ใช้มือสองข้างจรดซากศพติดริมฝีปาก ดวงตาจับจ้องไปเบื้องหน้า จากทิศตะวันออกเฉียงใต้ คฤชรมุกขา กายสีเหลืองอ่อน ศีรษะเป็นนกแร้ง แบกซากศพมนุษย์ขนาดใหญ่ไว้เหนือบ่า ถือโครงกระดูกไว้ในมือของนาง จากทิศตะวันตกเฉียงใต้ กานกะมุกขา กายสีแดงเข้ม ศีรษะเป็นเหยี่ยว ถือแผ่นหนังไว้เหนือไหล่ จากทิศตะวันตกเฉียงเหนือ กากามุกขา กายสีดำ ศีรษะเป็นอีกา ถือถ้วยกะโหลกศีรษะไว้ในมือซ้ายและถือดาบไว้ในมือขวา กัดกินหัวใจและปอด ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ อุลุมุกขา กายสีน้ำเงินเข้ม ศีรษะเป็นนกเค้าแมว ถือวัชระไว้ในมือขวาและถือดาบไว้ในมือซ้ายกำลังกินซากศพ แปดปิศาจจากสถานที่ ศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้จะพากันห้อมล้อมเทพเฮรุกาผู้กระหายเลือด ซึ่งอุบัติจากกลางกระหม่อมของท่านและปรากฏตนอยู่เบื้องหน้า อย่าหวาดกลัวพวกเขาเป็นอันขาด จงจำไว้ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการละเล่นแห่งใจ อันเป็นนิมิตจากตัวท่านเอง

" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล ภาพธิดาทั้งสี่แห่งจตุรบาลจะอุบัติขึ้นจากกลางกระหม่อมของท่านและปรากฏตนอยู่เบื้องหน้า ดังนั้นจงจดจำ พวกนางให้ได้ดังนี้


" จากทางทิศตะวันออกของกระหม่อม อังกุศ กายขาว ศีรษะเสือโคร่ง ถือง้าวและถ้วยกะโหลกศีรษะอันเปี่ยมด้วยเลือดจะอุบัติ และปรากฏขึ้นเบื้องหน้า ทิศใต้ บาศก์ กายเหลือง ศีรษะเป็นสุกรตัวเมีย ถือบ่วงบาศก์ ทิศตะวันตก ศฤงคาร กายสีแดง ศีรษะเป็นสิงห์โต ถือโซ่เหล็ก ทางทิศเหนือ ฆณฏา กายสีเขียว ศีรษะงู ถือกระดิ่งในมือ เทพธิดาทั้งสี่แห่งจตุรบาลจะอุบัติจากกลาง กระหม่อมของท่านและปรากฏกายอยู่เบื้องหน้า จงจดจำพวกเขาให้ได้ว่าล้วนเป็นองค์ยิดัมแห่งตัวท่านเอง

" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล หลังจากเวลาดังกล่าว เทพเฮรุกาอันดุร้ายสามสิบตนจะปรากฏขึ้น โยคินียี่สิบแปดนางจะร่วมทางมา พวกเขาจะอุบัติจากกลางกระหม่อมของท่านเช่นกันและปรากฏตนอยู่เบื้องหน้า ล้วนมีศีรษะแตกต่างกันไป ถืออาวุธต่าง ๆ กัน อย่าหวาดกลัวพวกเขา แต่จงจำไว้ว่าทุกสิ่งล้วนเป็นการละเล่นแห่งใจ เป็นนิมิตจากตัวท่านเอง ใชช่วงเวลาวิกฤตนี้ จงระลึกถึงคำสั่งสอนของคุรุให้ได้

" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล จากทิศตะวันออก โยคินีประจำทิศทั้งหกนางจะอุบัติจากกลางกระหม่อมของท่านและปรากฏขึ้นเบื้องหน้า ฝูงรากษส ปิศาจ สีม่วงคล้ำ มีศีรษะเป็นยักษ์ ถือวัชระไว้ในมือ พราหมมี กายสีส้ม ศีรษะเป็นงู ถือดอกบัว มหาเทวี เทพธิดาผู้ยิ่งใหญ่ กายสีเขียวเข้ม ศีรษะเป็นเสือดาว ถือตรีศูล โลภะ เจ้าแห่งความโลภ กายสีน้ำเงิน ศีรษะเป็นพังพอน ถือกงจักร กุมารี ผู้บริสุทธิ์ กายสีแดง ศีรษะเป็นหมีเหลือง ถือหอกสั้น และอินทรานี กายสีขาว ศีรษะเป็นหมีสีน้ำตาล ถือวงอวัยวะภายใน จงอย่าหวาดกลัวพวกเขา เป็นอันขาด

" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล จากทิศใต้ โยคินีประจำทิศทั้งหกนางจะอุบัติขึ้นจากกลางกระหม่อมและปรากฏตนอยู่เบื้องหน้า วัชระ กายสีเหลือง ศีรษะเป็นหมู ถือมีดดาบคมกริบ สันติ ความสงบ กายสีแดง ศีรษะเป็นพรายทะเล ถือแจกันไว้ในมือ อมฤตา สายธารแห่งอมตะ กายสีแดง ศีรษะเป็นแมลงป่อง ถือดอกบัว จันทรา ดวงจันทร์ กายสีขาว ศีรษะเป็นนกเหยี่ยว ถือวัชระในมือ ทัณฑะ ไม้เท้า กายสีเขียว ศีรษะเป็นจิ้งจอก ถือไม้เท้าในมือ และรากษส ปิศาจ กายสีเหลืองเข้ม ศีรษะเป็นเสือ ถือถ้วยกะโหลกเปี่ยมด้วยเลือดในมือ จงอย่าหวาดกลัวพวกเขาเป็นอันขาด

" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล จากทิศตะวันตก โยคินีประจำทิศทั้งหกนางจะอุบัติขึ้นจากกลางกระหม่อม และปรากฏตนอยู่เบื้องหน้า ภักษินี ผู้หิวกระหาย กายสีเขียวเข้ม ศีรษะเป็นนกแร้ง ถือไม้เท้าไว้ในมือ ระตี ความสุข กายสีแดงศีรษะเป็นม้า ถือแขนขาของซากศพ ขนาดใหญ่ มหาพละ ผู้ทรงพลังอันเข้มแข็ง กายสีขาว ศีรษะเป็นครุฑ ถือไม้เท้า รากษส ปิศาจ กายสีแดง ศีรษะเป็นสุนัข กำลังใช้มีดวัชระในมือตัดสิ่งของอยู่ กามะ ความปรารถนา กายสีแดง ศีรษะเป็นนก ยิงธนูจากคันศรในมือ วสุรักษา ผู้พิทักษ์ทรัพย์สิน กายสีเขียวเข้ม ศีรษะเป็นกวาง ถือแจกัน จงอย่าหวาดกลัวพวกเขาเป็นอันขาด

" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล จากทิศเหนือ โยคินีประจำทิศทั้งหกนางจะอุบัติขึ้นจากกลางกระหม่อมและปรากฏตนอยู่เบื้องหน้า วายุเทวี เทพธิดาแห่งสายลม กายสีน้ำเงิน ศีรษะเป็นสุนัขป่า โบกธงไปมา นารี อิสตรี กายสีแดง ศีรษะเป็นกระบือ ถือเสาหลัก วาราหิ สุกรตัวเมีย กายสีดำ ศีรษะเป็นสุกรตัวเมีย ถือพวงมาลาที่ทำจากฟัน วัชระ กายสีแดง ศีรษะเป็นกา ถือหนังของทารก มหาหัสดินทร ช้าง กายสีเขียวเข้ม ศีรษะเป็นช้าง ถือซากศพขนาดใหญ่ในฝ่ามือ ดื่มเลือดจากซากศพ วรุณเทวี เทพธิดาแห่งน้ำ กายสีน้ำเงิน ศีรษะเป็นอสรพิษ ถือพวงมาลาทำจากฝูงอสรพิษ จงอย่าหวาดกลัวพวกเขาเป็นอันขาด

" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล โยคินีทั้งสี่แห่งจตุรบาลจะอุบัติจากภายในกระหม่อมของท่านและปรากฏตนอยู่เบื้องหน้าท่าน จากทิศตะวันออก วัชระ-ขาว ศีรษะเป็นนกโกกิลา ถือง้าวเหล็ก จากทิศใต้ วัชระ-เหลือง ศีรษะเป็นแพะ ถือบ่วงบาศก์ในมือ จากทิศตะวันตก วัชระ-แดง ศีรษะเป็นสิงโต ถือโซ่เหล็ก จากทิศเหนือ วัชร-เขียว ศีรษะเป็นงู ถือระฆัง โยคินีทั้งสี่เหล่านี้จะอุบัติจาก ภายในกระหม่อมของท่านและปรากฏตนเบื้องหน้าท่าน


หัวข้อ: Re: คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead]
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 17 มิถุนายน 2553 21:19:31
โยคินีทั้ง ๒๘ ตนที่กล่าวมานี้จะอุบัติขึ้นเองจากการแปรเปลี่ยนของรูปทรงที่ดำรงอยู่เดิมแห่งเทพเฮรุกาผู้ดุร้าย ด้วยเหตุนี้จึงควรจดจำพวกเขาให้ได้

" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล ธรรมกายภาวะจักปรากฏตนในรูปของเทพสันติอันเป็นส่วนหนึ่งแห่งสุญตาภาวะ จงจดจำพวกเขาให้ได้ ส่วนสัมโภคกายภาวะจักปรากฏตนในรูปของเทพพิโรธอันเป็นส่วนหนึ่งแห่งแสงสุกใส ในยามนี้ เมื่อเทพกระหายเลือดห้าสิบแปดองค์ อุบัติจากภายในกระหม่อมท่านและปรากฏตนอยู่เบื้องหน้าท่าน ท่านย่อมตระหนักได้ว่านิมิตมายาที่ปรากฏขึ้นจากล้วนอุบัติจากประภารัศมี ภายในตน และท่านย่อมแปรเปลี่ยนเป็นพุทธะผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่แบ่งแยกจากเทพกระหายเลือด

" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล ถ้าท่านไม่อาจทำการระลึกถึงได้ในยามนี้ ท่านจะเกิดความหวาดกลัวและหลบหนีจากไป และได้รับความทุกข์ ทรมาณมากขึ้น หากท่านไม่อาจทำการระลึกถึงคำสอนได้ ท่านจะแลเห็นเหล่าเทพกระหายเลือดนี้ว่าเป็นยมราช ท่านจะรู้สึกหวาดกลัว พวกเขา ท่านจะรู้สึกหวาดหวั่นและพรั่นพรึงและถึงสลบไสลไป นิมิตมายาของท่านจะกลายเป็นบรรดาภูติผี และท่านจะวนเวียนอยู่ใน สังสารวัฏ แต่หากท่านหลุดพ้นจากความผูกพันหรือความหวาดกลัว ท่านย่อมไม่ต้องวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏ

" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล ร่างกายอันใหญ่โตของเทพสักดิ์สิทธิ์และพิโรธนั้นมีขนาดเปรียบดังท้องฟ้าอันไพศาล ขนาดปานกลางก็เปรียบ เท่าเขาพระสุเมรุ และขนาดเล็กก็ปานเท่าโครงกระดูกของมนุษย์เราต่อกันสิบแปดเท่า ถึงกระนั้นก็ไม่ควรหวาดกลัวและไหวหวั่น ปรากฏการณ์ทั้งหลายล้วนเป็นเพียงประกายวูบวาบไม่จีรังและนิมิตมายาเท่านั้น โดยการระลึกได้ว่านิมิตเหล่านี้เป็นประภารัศมีตามธรรมชาติ แห่งจิตของท่านเอง ด้วยเหตุนี้รัศมีจากตัวท่านจะเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับแสงวูบวาบและจินตภาพดังกล่าว และตัวท่านจะกลายเป็น ผู้ตรัสรู้ยิ่ง ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล ไม่ว่าท่านจะแลเห็นสิ่งใด ไม่ว่ามันจะน่ากลัวสักเพียงใดจงจำไว้ว่ามันเป็นนิมิตจากดวงจิตของท่านเอง ถ้าท่านจดจำมันได้ ท่านย่อมกลายร่างเป็นพุทธะผู้ศักดิ์สิทธิ์โดยพลัน ไม่ต้องสงสัยเลย สิ่งที่เรียกว่าการตรัสรู้โดยฉับพลัน ไม่ต้องสงสัยเลย สิ่งที่เรียกว่าการตรัสรู้โดยฉับพลันอันเปี่ยมล้นจะบังเกิด ณ จุดนี้ จงจำคำสอนนี้ให้ดี

" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล ถ้าท่านยังไม่อาจจดจำความในคำสอนได้และยังคงหวาดกลัวอยู่ เทพสันติทั้งหลายจะปรากฏตนในรูปมหากาละ ส่วนเทพพิโรธจะปรากฏในรูปของราชันย์ ธรรมะ-ยมราช และท่านจะวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏที่ห้อมล้อมด้วยนิมิตของท่านที่แปรเปลี่ยนเป็น ฝูงปิศาจ

" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล ถ้าท่านยังไม่สามารถจดจำนิมิตจากใจท่านได้แม้ว่าท่านจะได้ปฏิบัติธรรมมานานแล้วนับชั่วกัปกัลป์ และแม้ท่าน จะได้ทำการเล่าเรียนพระสูตรและตันตระมาเป็นเวลานาน ท่านก็ไม่อาจเข้าสู่การตรัสรู้ธรรมได้ แต่หากท่านสามารถจดจำนิมิตจากใจท่านได้ โดยอาศัยเคล็ดลับเพียงประการเดียวและถ้อยคำเพียงคำเดียว เพียงคำเดียวท่านย่อมกลายเป็นองค์พุทธะผู้ศักดิ์สิทธิ์ได้


" หากท่านไม่อาจจดจำนิมิตจากใจท่านได้ พวกเขาย่อมปรากฏตนในรูปของราชะธรรมะ - ท้าวยมราช ภายในบาร์โดแห่งธรรมดาชั่วฉับพลัน ที่ท่านตายลง ร่างกายอันมโหฬารแห่งยมราชจะโป่งพองคับท้องฟ้า ร่างขนาดกลางของเขานั้นปานเท่าพระสุเมรุ จะท่วมท้นจักรวาล เขี้ยวขบอยู่ที่ริมฝีปากด้านล่าง ดวงตาแวววาวดุจกระจกเงา ผมบนศีรษะม้วนมุ่นอยู่เหนือศีรษะ มีเอวอันกว้างใหญ่และคอเรียวบาง ถือบันทึกผลกรรมไว้ในมือ กู่ก้องให้สังหารและลงทัณฑ์ พวกเขาจะฉีกศีรษะออกจากกาย เลียลิ้มเศษสมอง ดึงลากอวัยวะภายในออกมา อาศัยวิธีนี้ พวกเขาย่อมจะครอบคลุมพื้นที่ทั่วจักรวาล


" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล เมื่อนิมิตดังกล่าวนี้ปรากฏขึ้น จงอย่าหวาดกลัวเป็นอันขาด บัดนี้ท่านได้ครอบครองกายทิพย์อันเกิด จากวิบากกรรม ไม่ว่าท่านจะถูกสังหารและตัดออกเป็นชิ้น ๆ ท่านก็จักไม่มีวันตาย จริงแล้วตัวท่านเองเป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ ของสุญตาภาวะ ดังนั้นจึงหามีอะไรให้ต้องหวาดเกรงไม่ ยมราชนั้นอุบัติจากจิตอันทรงประภารัศมี พวกเขาไม่มีแก่นสารอันแน่นอน สุญตาภาวะย่อมไม่อาจถูกทำลายโดยสุญตาภาวะได้ จงเชื่อมั่นเถิดว่า บรรดาเทพสันติและเทพพิโรธ เหล่าเฮรุกาผู้กระหายเลือด เทพศีรษะเป็นสัตว์ รัศมีสีรุ้ง รูปกายอันน่าหวาดกลัวของยมราช ล้วนไม่มีแก่นสารแน่นอน พวกเขาเกิดขึ้นโดยการละเล่นแห่งใจโดยฉับพลัน ถ้าท่านทำความเข้าใจในสิ่งนี้ได้ ความกลัวทั้งหลายจะถูกขจัดสิ้นไปและท่านจะเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวและกลายเป็นผู้ตรัสรู้ยิ่ง ถ้าท่านทำ การตระหนักเช่นนี้ได้ พวกเขาคือองค์ยิดัมของท่านนั้นเอง


" จงทำความเข้าใจดังนี้ว่า พวกเขาได้มาทำการเชื้อเชิญฉันภายในหนทางอันตรายแห่งบาร์โด ฉันขอถือพวกเขาเป็นสรณะ จงระลึกถึง พระรัตนตรัย จงจดจำองค์ยิดัมของท่านให้ได้ และเรียกชื่อพวกเขาพร้อมทั้งอ้อนวอนพระรัตนตรัยด้วยคำต่อไปนี้ " ข้า ฯ ได้วนเวียนอยู่ใน สังสารวัฏเป็นเวลาเนิ่นนานแล้ว โปรดเป็นผู้กูภัยชีวิตข้า ฯ โดยอาศัยความกรุณาของท่าน โปรดนำข้า ฯ ไปด้วยเทอญ " จงวอนขอ เทพกระหายเลือดเหล่านี้ ด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า และท่องบทสวดเพื่อปลุกเร้าแรงบันดาลใจ



เป็นเพราะอำนาจใฝ่ต่ำอันแรงกล้า ข้า ฯ จึงร่อนเร่อยู่ในสังสารวัฏ
ในแสงสุกใสแห่งการละทิ้งความหวาดกลัวทั้งปวง
ขอให้องค์ภควา ทั้งสันติและพิโรธจงปรากฏอยู่เบื้องหน้า
เทพธิดาผู้โหดเหี้ยม ราชินีแห่งอากาศธาตุจงปรากฏอยู่เบื้องหลัง
นำข้า ฯ ผ่านหนทางอันตรายในบาร์โด
และนำข้า ฯ เข้าสู่ภาวะพุทธะอันสมบูรณ์
เมื่อต้องจากลาบรรดามิตรสหายที่รัก ข้า ฯ จึงร่อนเร่อยู่อย่างเดียวดาย
รูปทรงอันไร้แก่นสารของข้า ฯ ได้ปรากฏขึ้น
ขอให้ข้า ฯ จดจำตนเองได้อย่างไม่พรั่นพรึง
เมื่อรูปทรงแห่งเทพสันติและเทพพิโรธปรากฏขึ้น
ขอให้ข้า ฯ ระลึกได้ในทันทีอย่างเชื่อมั่นและไม่หวาดหวั่น
เมื่อข้า ฯ ต้องเผชิญกับผลแห่งวิบากกรรม
ขอให้องค์ยิดัมได้โปรดชะล้างความเจ็บปวดนานาแก่ข้า ฯ ด้วย
เมื่อแสงแห่งธรรมดาได้กัมปนาท ก้องดุจอสนีบาต
ขอให้เป็นดุจเสียงสาธยายมนต์แห่งอักขระทั้งห้า
เมื่อข้า ฯ ต้องตามติดในผลกรรม โดยปราศจากการเกื้อกูลใด ๆ
ขอให้องค์พระอวโลกิเตศวรเจ้าผู้เปี่ยมกรุณาช่วยข้า ฯ ด้วยเทอญ
เมื่อข้า ฯ ได้รับการทรมาณทรกรรมจากความรู้สึกใฝ่ต่ำ
ขอให้สมาธิอันสว่างไสวและแจ่มกระจ่างปรากฏขึ้น
ขอให้องค์ประกอบทั้งห้า ( ขันธ์ 5 ) ไม่อุบัติเป็นปรปักษ์
ขอให้ข้า ฯ ได้ประสบกับภูมิแห่งปัญจพุทธองค์ด้วยเทอญ

" จงท่องคำสวดเพื่อปลุกเร้าแรงบันดาลใจนี้อย่างจริงจัง ความกลัวทั้งหลายจะสูญหายไป และท่านจะเป็นพุทธะผู้บริสุทธิ์ในสัมโภคกายภาวะ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่ต้องจดจำข้อความให้ได้ จงอย่าหวั่นไหวเป็นอันขาด "

ถ้อยคำต่อไปนี้จะต้องได้รับการกล่าวทวน สามถึงเจ็ดครั้งไม่ว่าผู้ตายจะมีความชั่วร้ายสักเพียงใดหลงเหลืออยู่ ก็สามารถปลดเปลื้องลงเสียได้ แต่ถึงจะกระทำให้แก่เขาเพียงใด หากเขาไม่อาจระลึกได้ พวกเขาก็จะวนเวียนอยู่ในบาร์โดลำดับสาม อันได้แก่ บาร์โดแห่งการเกิด ดังนั้น การชี้แนะจึงควรกระทำต่อไปนี้

มีผู้คนมากมาย ที่ไม่ว่าพวกเขาจะผ่านการฝึกฝนมามากหรือน้อยก็ตามในสมาธิจิต ก็ยังสับสนด้วยความหวาดกลัวในบาร์โดชั่วขณะก่อนตาย ดังนั้นนอกจากอาศัยคัมภีร์ " วิมุตติโดยการสดับฟัง " แล้ว ก็ไม่มีทางช่วยอื่นใดอีก สำหรับบุคคลที่ได้ผ่านการฝึกฝนสมาธิภาวนามาช้านาน บาร์โดแห่งธรรมดาจะอุบัติขึ้นอย่างฉับพลัน เมื่อจิตและกายของเขาแยกขาดออกจากกัน บุคคลที่สามารถจดจำดวงจิตของตนได้ และเคย พบพานนิมิตดังกล่าวในยามมีชีวิตอยู่จะมีกำลังมากเมื่อแสงกระจ่างได้ปรากฏขึ้นในบาร์โดชั่วขณะก่อนตาย ดังนั้นการฝึกฝนในระหว่างมีชีวิตอยู่จึงสำคัญมาก ส่วนบุคคลที่ในขณะมีชีวิตอยู่ได้ทำสมาธิภาวนาโดยใช้บริกรรมนิมิตและมีการฝึกฝนอันสมบูรณ์พร้อมแห่งตันตระ จะเข้มแข็งมากเมื่อเทพสันติและเทพพิโรธอุบัติขึ้นในระหว่างบาร์โดแห่งธรรมดา ดังนั้นจึงเป็นการสำคัญมากที่จะต้องฝึกฝนจิตโดยอาศัย คัมภีร์ " วิมุตติโดยการสดับฟังในบาร์โด " โดยเฉพาะในยามมีชีวิตอยู่

เนื้อหาคัมภีร์เล่มนี้ทุกคนควรทำความเข้าใจ ควรสอนอย่างครบถ้วน ควรอ่านดัง ๆ ควรจดจำอย่างถูกต้อง ควรฝึกฝนวันละสามครั้ง ไม่ย่อหย่อน ความหมายของถ้อยคำในคัมภีร์จะต้องกระจ่างในดวงจิต ไม่ควรลืมเลือนความหมายและถ้อยคำ แม้จะปรากฏมือสังหาร ฤาฆาตกรนับร้อยนับพันไล่ล่าก็ตามที เพราะชื่อคัมภีร์อันได้แก่ " มหาวิมุตติโดยการสดับฟัง " นั้นมีความสำคัญนัก แม้บุคคลที่ได้ประกอบ อนันตริยกรรมทั้งห้าประการ ก็ย่อมจะได้รับการปลดปล่อยสู่วิมุตติสุข แม้ได้สดับเข้า ดังนั้นจึงควรจะได้รับการเผยแพร่อย่างกว้างขวาง ในสาธุชนผู้ใคร่ธรรม และเผยแพร่ไปในทุกแห่งหน

แม้เพียงได้ยินถ้อยความในคัมภีร์เล่มนี้สักคราหนึ่ง และอาจจะไม่ทำความเข้าใจมันได้แจ่มชัดนัก แต่เนื่องจากในสภาวะแห่งบาร์โดจิตจะกระจ่างสดใสกว่าเดิมถึงเก้าเท่า ดังนั้นจึงย่อมจดจำมันได้โดยไม่ตกหล่นหลงลืม ด้วยเหตุนี้จึงควรทำการสอนสั่งด้วยคัมภีร์นี้ตลอดชั่วชีวิต และควรจะอ่านข้างเตียงของผู้ป่วย และควรอ่านข้างหูศพผู้ตาย ควรเผยแพร่ให้ทุกทิศทางและทั่วถึง

การได้ประสบพบเห็นคัมภีร์เล่มนี้ถือว่าเป็นโชคอันล้ำเลิศเป็นการยากที่จะได้ประสบพบเห็นคัมภีร์เล่มนี้ เว้นแต่ผู้ที่ได้ขจัดผลกรรมชั่วและได้สั่งสมคุณงามความดีมาเนิ่นนาน หากมีใครได้สดับฟังข้อความ เขาผู้นั้นย่อมได้รับการปลดปล่อย แม้เขาจะไร้ซึ่งศรัทธาก็ตามที ดังนั้น คัมภีร์นี้จึงควรได้รับการเทิดทูนเป็นอย่างดี เพราะเป็นคัมภีร์ที่ดึงเอาแก่นสารแห่งพระธรรมทั้งปวงมารวมกัน
ท่อนสุดท้ายแห่งการชี้แนะถึงบาร์โดแห่งธรรมดา มีนามว่า

" มหาวิมุตติโดยการสดับฟัง " คำสอนในบาร์โดภาวะ
เพื่อการปลดปล่อยสู่วิมุตติสุขโดยการสดับฟังและท่องจำ

สรรพมงคล


หัวข้อ: Re: คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead]
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 17 มิถุนายน 2553 21:20:02
(http://1.bp.blogspot.com/_Z8mwJp4iSOo/R-jtPMQaqvI/AAAAAAAAF_U/p9iS_8gvtO8/s400/buddha-singing-bowls.jpg)

ขอถวายสักการะต่อเหล่าทวยเทพ
คุรุ องค์ยิดัมและทักคินี
ขอจงอำนวยให้เกิดวิมุตติในบาร์โดด้วยเทอญ
จากถ้อยความแห่ง " มหาวิมุตติโดยการสดับฟัง "
บาร์โดแห่งธรรมดาได้รับการสอนสั่งแล้วในข้างต้น
บัดนี้ ขอให้ผู้ตักเตือนให้ระลึกถึงบาร์โดแห่งการเกิด
จงมาที่นี่เถิด
 
 
 
ถึงแม้บาร์โดแห่งธรรมดาจักได้รับการถ่ายทอดหลายหนก่อนหน้านี้ ยกเว้นก็แต่บุคคลที่ได้ผ่านการทำสมาธิและประจักษ์แจ้งในคำสอน และประกอบแต่กุศลกรรม ทั้งนี้เพราะการที่จะระลึกได้ถึงความกลัวและอกุศลกรรมนั้น เป็นเรื่องยากมากสำหรับคนที่ไม่เชี่ยวชาญด้าน สมาธิภาวนาหรือคนต่ำทราม ด้วยเหตุนี้ นับจากวันที่สิบเป็นต้นไป ผู้ตายควรได้รับการตักเตือนอีกครั้งด้วยถ้อยคำต่อไปนี้
 
 
" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล จงตั้งใจฟังให้ดีและทำความเข้าใจให้ได้ เหล่าสัตว์นรก ทวยเทพ และวิญญาณในบาร์โดแห่งธรรมดา ท่านกลับจดจำไม่ได้ ดังนั้นท่านจึงหลับใหลไปด้วยความหวาดกลัวเป็นเวลาห้าวันครึ่ง ทว่าเมื่อท่านฟื้นตื่นขึ้นมา วิญญาณของท่านจะ กระจ่างใสกว่าเดิม รูปร่างคล้ายตัวท่านยามมีชีวิตอยู่จะลุกขึ้นมา ในคำกล่าวของคัมภีร์ตันตระมีว่า
 
 
อาศัยกายเนื้อในกาลก่อนและกาลต่อไปภายในบาร์โดแห่งการเกิด สมบูรณ์พร้อมด้วยประสาทสัมผัส พเนจรไปโดยปราศจากสิ่งกีดขวาง ครอบครองอำนาจวิเศษอันเกิดจากวิบากกรรม และเห็นด้วยนัยน์ตาบริสุทธิ์ของทวยเทพ ที่มีคุณลักษณ์อย่างเดียวกัน
 
 
คำว่า " กาลก่อน " หมายความว่าคุณมีร่างกายดั่งในยามมีชีวิตอยู่อันเปี่ยมด้วยเลือดและเนื้อหนัง เกิดจากความทรงจำของคุณที่มีต่อมัน กอปรด้วยรัศมีในตน และตำหนิบางประการคล้ายในยามมีชีวิตอยู่ นี้คือประสบการณ์แห่งกายทิพย์ ดั่งนามที่ถูกขนานว่ากายทิพย์ในประสบการณ์แห่งบาร์โดในช่วงเวลานี้ หากคุณจะจุติไปเกิดเป็นเทวดา คุณจะได้แลเห็นนิมิตแห่งเทวโลกและไม่ว่าคุณจะจุติไปเกิดเป็น อะไร อสูร มนุษย์ เดรัจฉาน เปรต หรือสัตว์นรก คุณก็จะประสบกับภพภูมิเหล่านั้น ดังนั้นคำว่าในกาลก่อนจึงหมายถึงช่วงเวลาสี่วันครึ่ง ที่คุณคิดว่ามีร่างกายดังเมื่อครั้งมีชีวิตอยู่ คำว่า ในกาลต่อไป หมายความว่า ภายหลังจากนี้คุณจะได้ประสบกับภพภูมิที่คุณจะไปก่อเกิด ในภายหลัง ดังนั้นจึงเรียกว่า " ในกาลก่อนและในกาลต่อไป "
 
" ไม่ว่านิมิตใดจากใจท่านจะปรากฏขึ้นในเวลานี้ อย่าติดตามหรือข้องแวะกับมันเป็นอันขาด ถ้าท่านข้องแวะกับมันหรือยอมจำนนต่อมัน ท่านจะเร่ร่อนไปในภูมิทั้งหกและได้รับความทรมาณอันแสนสาหัส "
 
" ถึงแม้ว่านิมิตในบาร์โดแห่งธรรมดาจะปรากฏขึ้นจนถึงเมื่อวานนี้ ท่านกลับไม่อาจจดจำมันได้ ดังนั้นท่านจึงเร่ร่อนมาถึงที่นี่ บัดนี้ ถ้าท่านสามารถสำรวมสมาธิได้ไม่หวั่นไหว พิงพักอยู่ในจิตอันเปลือยเปล่าบริสุทธิ์ในสุญตาธรรมอันสว่างไสว ที่คุรุของท่าน ได้เสนอท่าน จงพำนักอยู่ในภาวะที่ไม่ได้ยึดติดในสิ่งใดและอกรรม ทำเช่นนี้ด้วยท่าจะได้รับซึ่งวิมุตติสุข และไม่พลัดเข้าสู่ครรภ์อุทร "
 
" ถ้าท่านไม่สามารถจดจำมันได้ จงเพ่งนิมิตถึงยิดัมของท่าน รวมทั้งคุรุเหนือเศียรและจงเร่งความเสียสละอย่างแรงกล้า สิ่งนี้สำคัญมาก จงเพียรแล้วเพียรอีกอย่าหวั่นไหว "
 
ดังนั้นจึงพึงกล่าวว่า หากบุคคลใดระลึกได้เมื่อใด เขาย่อมได้รับการปลดปล่อยเป็นอิสระ และไม่เร่ร่อนไปในภูมิทั้งหก ทว่าภายใต้อิทธิพล ของผลกรรมอันต่ำทรามย่อมเป็นการยากที่จะกระทำเช่นนั้นได้ ดังนั้นจึงควรกล่าวถ้อยคำเช่นนี้
 
" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล จงฟังถ้อยคำเหล่านี้อย่าแชเชือน ' สมบูรณ์พร้อมด้วยประสาทสัมผัส ' หมายความว่า แม้ท่านจะมีดวงตาอันบอด สนิท เป็นใบ้ ขาเสีย หรือเลวร้ายกว่านั้นในยามมีชีวิตอยู่ก็ตามที แต่บัดนี้ในสภาวะบาร์โด ดวงตาของท่านจะแลเห็นรูปต่าง ๆ หูของท่านจะ ได้ยินสรรพสำเนียง ประสาทสัมผัสของท่านจะแจ่มใสไม่พร่ามัว ดังนั้นพึงกล่าวว่า " ศักยภาพชั้นสูงแห่งประสาทสัมผัส " นี่เป็นสัญลักษณ์ ว่าท่านได้ตายไปแล้วและกำลังร่อนเร่อยู่ในสภาวะบาร์โด ดังนั้นพึงจดจำให้ได้ถึงคำสอนนี้
 
" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล ' ปราศจากการกีดขวาง ' หมายความว่า ในขณะที่ท่านคงสภาพกายทิพย์ และจิตของท่านได้แยกขาดจาก องค์ประกอบทั้งหลาย ท่านปราศจากกายเนื้ออีกต่อไป ดังนั้น บัดนี้ท่านจึงสามารถผ่านเข้าออกอย่างอิสระ ทะลุผ่านเขาพระสุเมรุใหญ่ ตระเวณไปทุกแห่งหน ยกเว้นแต่เพียงครรภ์อุทรของมารดาและวัชระอาสน์ เป็นสัญญาณเตือนว่าท่านได้ร่อนเร่อยู่ใน บาร์โดแห่งการเกิด ดังนั้นพึงทำการระลึกถึงคำสอนสั่งของเหล่าคุรุและขอที่พึ่งพิงในพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เปี่ยมด้วยกรุณา
 
" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล ' การครอบครองซึ่งอำนาจวิเศษอันเกิดจากวิบากกรรม ' หมายความว่า บัดนี้ท่านได้มีอำนาจวิเศษจากอิทธิพล ของกรรมที่สอดคล้องกับการกระทำของท่านซึ่งหาได้มาจากอำนาจแห่งสมาธิหรือธรรมะไม่ ท่านสามารถจักเดินรอบพระสุเมรุครบสี่ทิศ ภายในเวลาชั่วพริบตา ไปทุกแห่งหนที่ท่านต้องการอย่างทันทีทันใด เพียงชั่วขณะที่ท่านครุ่นคิดกำหนดถึงมัน หรือเพียงชั่วเวลามนุษย์เรา ยืดแขนเข้าและออก ทว่าอำนาจวิเศษเหล่านี้ไม่น่าพึงพอใจ อย่าใส่ใจกับมัน บัดนี้ท่านสามารถจะโอ้อวดได้อย่างไร้ความกังวล สามารถ กระทำทุกสิ่งดั่งใจปรารถนา จงตั้งสติให้มั่นคงและนึกถึงแต่คำสอนของคุรุประจำตน
 
" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล ' แลเห็นโดยนัยน์ตาอันบริสุทธิ์ของทวยเทพที่มีคุณลักษณ์อย่างเดียวกัน ' หมายความว่า บุคคลผู้ที่กำลังจะไปเกิด ในสภาพใด ย่อมแลเห็นผู้อื่นที่ร่วมภพภูมิเดียวกัน หากเขาจะจุติไปเกิดเป็นเทวดาย่อมแลเห็นหมู่เทวดา จงอย่าข้องแวะกับอำนาจวิเศษนี้ เพ่งสมาธิระลึกถึงแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เปี่ยมด้วยความกรุณา การแลเห็นด้วยนัยน์ตาบริสุทธิ์ของทวยเทพยังอาจมีนัยถึง การแลเห็นโดย อาศัยอำนาจอันบริสุทธิ์จากฌานสมาบัติหรือสมาธิชั้นสูงด้วยเช่นกัน ซึ่งมิได้เกิดจากอำนาจวิเศษของเหล่าทวยเทพ ซึ่งนั้นย่อมหมายถึงว่า มันอาจไม่ดำรงอยู่ตลอดเวลา หากพวกเขาเพ่งจิต เขาย่อมแลเห็นได้ แต่หากสมาธิของเขาถูกรบกวนแล้ว การแลย่อมปราศนาการไป
 
" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล โดยความอาลัยต่อร่างเดิม ท่านจะแลเห็นบ้านเรือนและครอบครัวของท่านอีก คล้ายดังว่าท่านได้พบกับพวกเขาในความฝัน ทว่าแม้ท่านจะทำการสนทนาเจรจากับพวกเขา เขาก็จะไม่ตอบรับพูดคุยกับท่าน ญาติมิตรและครอบครัวของท่านจะพากัน คร่ำครวญโศกศัลย์ ท่านจะฉุกคิดว่า " นี่ฉันตายไปแล้วแน่นอนหรือนี่ ฉันจะทำประการใดต่อไปดี แล้วท่านจะรู้สึกเจ็บปวดแสนสาหัสดุจดัง ปลาน้อย เกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นทรายร้อนระอุ แต่ในขณะนี้ความเจ็บปวดก็หามีประโยชน์ใดไม่ ถ้าท่านมีคุรุประจำตน จงขอที่พึงในท่าน เหล่านั้น หรือยึดเอาเหล่ายิดัม หรือพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เปี่ยมด้วยกรุณา แม้ว่าท่านจะผูกพันอยู่กับญาติมิตรก็ไร้ประโยชน์ อย่าสร้างความ ผูกพันใด ๆ ให้ยึดถือแต่องค์พระมหามุนี ท่านจะปราศจากซึ่งความกลัวและความทุกข์
 
" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล เมื่อท่านถูกพัดพาด้วยสายลมกรรโชกแห่งผลกรรม จิตของท่านจะปราศจากเครื่องยึดเหนี่ยวหมุนวนดุจพายุ สลาตัน ควบคุมและบังคับมิได้ ลอยเคว้งคว้างดุจขนนกบางเบา ท่านจะกล่าวกับผู้ที่กำลังเศร้าโศกว่า ' ฉันอยู่ที่นี่แล้ว อย่าร่ำไห้ไปเลย ' ทว่าพวกเขากลับไม่ได้ยินท่านเลย ดังนั้นท่านจะฉุกคิดได้ว่า ' ฉันได้ตายไปแน่แล้วหรือนี่ ' ความปวดร้าวจะโถมทับท่าน อย่าทนทรมาณ เยี่ยงนี้เลย ตลอดเวลาจะมีหมอกควันสีเทาประดุจ ดังแสงสีเทาในรุ่งอรุณแห่งฤดูใบไม้ผลิ ทั้งยามกลางวันและกลางคืน ภาวะเช่นนี้ ในบาร์โดแห่งการเกิดจะปรากฏอยู่เป็นเวลา หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก หรือ เจ็ดสัปดาห์ ประมาณ ๔๙ วัน ซึ่งก็ไม่ใช่ตัวเลขตายตัวนัก ขึ้นอยู่กับอิทธิพลจากผลกรรมเป็นใหญ่
 
" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล ในเวลานี้พายุร้ายแห่งผลกรรมอันน่ากลัว ด้านทานมิได้ จะควงพัดอย่างเกรี้ยวกราด และโจมตีท่านจากด้านหลัง อย่าหวาดกลัวมัน มันเป็นเพียงนิมิตอันสับสนจากจิตท่านเอง เป็นความมืดมนอันหนักหน่วง น่าสะพรึงกลัวไม่อาจขัดขืนได้ มีเสียงขู่กรรโชก อันน่าพรั่นพรึงว่า ' โจมตี ' และ ' สังหาร ' อย่าหวาดกลัวเป็นอันขาด สำหรับในบุคคลที่ได้ประกอบซึ่งอนันตริยกรรม ปิศาจที่กัดกินเลือดเนื้อ จะปรากฏขึ้นจากวิบากกรรม ถือศาสตราวุธมากมาย โห่ร้องดังยามสงคราม ตะโกนกู่ฆ่าฟัน ท่านจะรู้สึกเหมือนถูกไล่ล่าโดยสัตว์ป่าอันดุร้าย หลากชนิด ถูกไล่ตามโดยกองทัพมหึมา ในหิมะ สายฝน พายุ และความมืด เสียงภูผาจะสั่นไหว สายน้ำจะทะลัก พระเพลิงจะลุกลามและ พายุร้ายจะโอบล้อม ในความหวาดกลัวท่านจะหลบหนีไปในทุกที่ที่เป็นไปได้ แต่แล้วหุบเหวจะปรากฏ มีสามสี คือ แดง ขาว และดำ ลึกและอันตราย ท่านจะพลัดตกลงไปหาพวกเขา
 
" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล เงื้อมผานั้นมิใช่ของจริง เป็นสัญลักษณ์ของความก้าวร้าว อารมณ์ปรารถนา และอวิชชา เมื่อท่านระลึกได้ว่า กำลังตกอยู่ในบาร์โดแห่งการเกิด และร้องเรียกหานามแห่งพระผู้ทรงไว้ซึ่งความกรุณา ท่านจะได้รับการช่วยเหลือ " โอพระผู้มีพระภาคเจ้ผู้ทรงไว้ซึ่งความกรุณา คุรุของข้าน้อย องค์พระรัตนตรัยอันประเสริฐ อย่าปล่อยให้ข้าถูกผจญและพลัดตกสู่นรกเบื้องต่ำเลย " จงเพ่งพินิจ อย่างแรงกล้าเยี่ยงนี้ อย่าลืมเป็นอันขาด


หัวข้อ: Re: คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead]
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 17 มิถุนายน 2553 21:20:24
(http://artspiral.org/images/Chenrezig22_1.jpg)

*ภาพองค์เชนเรสิก 1000 กร หรือ พระอวโลกิเตศวรพันมือ  ศิลปะธิเบต


ในกรณีของบุคคลที่ได้ประกอบคุณงามความดี เปี่ยมคุณธรรมและปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง ความร่าเริงปีติสุขจะมาเชิญเชื้อเขา ความสดใส งดงามเริงรื่นและความศักดิ์สิทธิ์นานับประการจะประกาศให้ท่านได้รับรู้ ในกรณีบุคคลที่โง่งมและหมักหมมด้วยอวิชชา ที่ไม่คยประกอบกรรมดีและกรรมชั่ว พวกเขาย่อมไม่ประสบทั้งความปีติสุขและความปวดร้าว มีเพียงแต่อวิชชาและความโง่งมเท่านั้นที่จะปรากฏขึ้น ไม่ว่าเหตุการณ์ใดจะปรากฏต่อหน้าท่านก็ตาม อย่าหลงใหลหรือข้องแวะกับมันเป็นอันขาด จงถวายมันแก่เหล่าคุรุและ องค์รัตนตรัย ละเว้นจากความปรารถนาและข้องแวะติดพันในใจของท่าน ถ้าเหตุการณ์อันเปี่ยมด้วยความโง่งมปรากฏขึ้น โดยปราศจากความปีติสุขหรือความปวดร้าวก็ตามที จงผ่อนพักจิตของท่านในภาวะมหาสัญลักษณ์คือ ภาวะที่ว่างจากสมาธิภาวนา และปลอดจากความฟุ้งซ่าน
 
" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล ในเวลานี้ สะพาน วิหาร และอาราม กระท่อม สถูป และสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ จะปรากฏขึ้นคุ้มหัวท่านชั่วขณะ แต่ท่านไม่อาจพักอยู่ที่นั้นได้เนิ่นนาน เป็นเพราะว่าจิตของท่านได้ถูกแยกออกจากกายจนท่านไม่อาจตั้งมันขึ้นได้ใหม่ ท่านรู้สึกโกรธเกรี้ยว และเหน็บหนาว วิญญาณดูบางเบา มีความเร็วสูงล่องลอยและไม่มั่นคง ครั้นแล้วท่านจะคิดว่า " อา บัดนี้ข้าได้ตายไปแล้ว ข้าจะทำอะไรต่อไปดี " ครั้นคิดเช่นนี้ดวงใจของท่านจะว่างเปล่าลงดุจห้องว่างและหนาวเย็นลงในฉับพลัน ท่านจะรู้สึกถูกบีบคั้น เจ็บปวดเหลือประมาณ จนท่านต้องเคลื่อนย้ายตำแหน่งไปเรื่อย ๆ ไม่อาจหยุดยั้งลงที่ใด จงจำไว้ว่า อย่าเก็บกักความคิดใด ๆ แต่จงพักพิงจิตอยู่ในภาวะปกติตามธรรมชาติ
 
บัดนี้เป็นเวลาที่ท่านจะไม่ได้รับประมานอาหาร เว้นแต่อาหารที่เขาอุทิศให้ท่านเท่านั้น ไม่มีมิตรสหายผู้ใดปรากฏร่วมทางกับท่าน สิ่งหล่านี้เป็นสัญลักษณ์แห่งกายทิพย์อันเร่ร่อนอยู่ในบาร์โดแห่งการแปรเปลี่ยน ในเวลานี้ความสุขและความปวดร้าวได้ถูกกำหนดขึ้นจากผลกรรมของท่าน ท่านจะแลเห็นบ้านเกิด มิตรสหาย ญาติพี่น้องและศพของท่านเอง ท่านจะครุ่นคิดว่า ' บัดนี้ฉันได้ตายไปแล้ว ฉันจะทำประการใดต่อไปดี ' กายทิพย์ของท่านจะเจ็บปวดยิ่งนัก ท่านจะคิดว่า ' ทำไมฉันไม่แสวงหาร่างใหม่เล่า ' ครั้นแล้วท่านจะ เดินทางไปในทุกแห่งหนเพื่อค้นหาร่างกายใหม่ ท่านจะพยายามกลับเข้าร่างเดิมถึงเก้าครั้ง แต่ความนาวเย็นจะทำให้ศพของท่านเย็นชืด ส่วนความร้อนก็จะทำให้ศพเน่าเปื่อย หรือมิฉะนั้นญาติมิตรของท่านอาจทำการเผาหรือฝังมันในป่าช้าก็เป็นได้และอาจปล่อยให้เป็นเหยื่อ ของนกกาหรือสัตว์ป่า เพราะช่วงเวลาได้ล่วงเลยมายาวนานนับแต่การผ่านพ้นไปในบาร์โดแห่งธรรมดา ดังนั้นท่านจะมิมีที่ใดให้พักพิงในบาร์โด ท่านจะเสียใจยิ่งนัก และมีความรู้สึกปวดร้าวประดุจถูบบีบรัดด้วยหินผา ความเจ็บปวดดังกล่าวนี้คือคุณลักษณ์ แห่งบาร์โดของการแปรเปลี่ยน แม้ว่าท่านจะเสาะหาร่างกายเพื่ออาศัย ท่านก็จะได้แต่ความปวดร้าวเป็นผลตอบแทน ดังนั้นจงปล่อยวาง ความปรารถนาในร่างกายและพักพิงในความว่างอย่างแน่วแน่
 
 
" เมื่อได้รับการชี้แนะดังกล่าวนี้ ย่อมบรรลุถึงการหลุดพ้นจากบาร์โด กระนั้นก็ตามที ทั้ง ๆ ที่ได้รับการชี้แนะท่านก็ยังไม่อาจระลึกได้ ทั้งนี้เพราะอกุศลกรรมอันร้ายแรง ถึงตอนนี้ผู้อ่านควรขานหรือเรียกชื่อผู้ตาย และกล่าวถ้อยคำต่อไปนี้
 
" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล ( ชื่อ ) จงฟังทางนี้ เป็นเพราะกรรมท่านเอง จึงทำให้ท่านทุกข์ทรมาณ ท่านไม่อาจกล่าวโทษผู้ใดได้ มันเป็นเพราะกรรมของท่าน ดังนั้น บัดนี้จงขอที่พึ่งในพระรัตนตรัยอย่างแน่วแน่ ซึ่งจะคุ้มครองท่าน ถ้าท่านไม่ทำเช่นนี้ และไม่รู้จัก สมาธิมหาสัญลักษณ์ และไม่เพ่งจิตต่อองค์ยิดัมของท่าน มโนธรรมในจิตท่าน จะรวบรวมกุศลกรรมทั้งหมดของท่านและนับด้วยอาศัย เมล็ดกรวดสีขาว ส่วนความรู้สึกต่ำช้าในตัวท่าน จะรวบรวมอกุศลทั้งหมดของท่านและนับด้วยก้อนกรวดสีดำอันทำให้ท่านสั่นกลัวและ กล่าวคำโกหกว่า ' ฉันไม่เคยประพฤติตนต่ำช้า ' ครั้นแล้ว พญยมราชจะกล่าวว่า ' ข้าดูผลการกระทำในอดีตของท่านจากในกระจก ' และเมื่อพญายมได้มองเข้าไปในกระจกแห่งวิบากกรรม ทั้งบาปและคุณงามความดีของท่านจะปรากฏขึ้นโดยฉับพลัน แจ่มชัดและคมกริบ ดังนั้น แม้ท่านจะโกหกก็ไร้ประโยชน์ ยมทูตจะนำท่านไป เอาเชือกพันรอบคอ บั่นศีรษะของท่านให้ขาดออกจากร่าง ขยี้หัวใจของท่าน ให้เป็นผุยผง ดึงตับไตไส้พุง เลียสมองของท่าน ทว่าท่านกลับไม่ตาย แม้ว่าท่านจะถูกสับแล่ออกเป็นชิ้น ๆ ก็ตาม ท่านก็จะฟื้นคืนชีพ ขึ้นมาใหม่
 
" การถูกสับแล่ครั้งแล้วครั้งเล่าก่อให้เกิดความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส อย่าไหวหวั่น เมื่อเม็ดกรวดสีขาวถูกตรวจนับ อย่าโกหก อย่าหวั่นเกรงท่านท้าวยมราช เพราะว่าท่านมีกายทิพย์ ท่านจึงไม่สามารถตายแม้จะถูกสังหารและแล่เป็นต้น ท่านเป็นความว่างเปล่าตาม ธรรมชาติเดิม ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องหวาดกลัว ท้าวยมราชก็เป็นความว่างเปล่าตามธรรมชาติ เป็นนิมิตอันสับสนจากใจท่านและ ท่านก็เป็นความว่างเปล่า เป็นกายทิพย์แห่งความฝักใฝ่อันไร้สำนึก ความว่างย่อมไม่อาจทำอันตรายต่อความว่างได้ สิ่งที่ไร้คุณลักษณ์ย่อมไม่ อาจทำอันตรายสิ่งที่ไร้คุณลักษณ์ พญายมราช เทวดา ภูติผี ปิศาจศีรษะวัว และเหล่านิมิต ไม่มีคุณสมบัติใดที่ต่างไปจากนิมิตอันสับสน จากจิตท่านอยู่ ดังนั้นพึงระลึกให้ได้ว่านี้คือ สภาวะการณ์ในบาร์โดเท่านั้น


หัวข้อ: Re: คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead]
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 17 มิถุนายน 2553 21:20:50
(http://www.iloveulove.com/images/maitreya2.jpg)
* ภาพพระไมตรียะ หรือ พระศรีอาริยเมตไตรย ศิลปะทังก้า ธิเบต




จงบำเพ็ญจิตภาวนา ต่อมหาสัญลักษณ์ หากท่านไม่ทราบว่าจะเริ่มทำสมาธิอย่างไรดี จงมองดูอย่างพินิจที่ธรรมชาติของสิ่งอันก่อความ หวาดกลัวแก่ท่าน และท่านจะได้พบกับความว่างที่ไร้ธรรมชาติแน่นอน สิ่งนี้มีนามว่า ธรรมกายสภาวะ ทว่าความว่างเช่นนี้มิได้หมายถึง การปฏิเสธความดำรงอยู่ ธรรมชาติของมันนั้นน่ากลัว ส่วนจิตที่มีความตื่นตัวและแจ่มใส ได้แก่จิตแห่งสัมโภคกาย ความว่างและ ความสว่างสุกใสหาใช่สิ่งที่แตกต่างกัน ธรรมชาติของความว่างได้แก่ความสุกใส และธรรมชาติของความสุกใสได้แก่คามว่าง บัดนี้ ความว่าง - ความสุกสกาวอันแยกขาดกันไม่ได้ หรืออีกนัยหนึ่งคือจิตอันเปลือยเปล่าได้ถูกเปลื้องออกในที่โล่งแจ้ง และดำรงอยู่ ในสภาวะดั้งเดิม อันได้แก่ สวาภาวิกากาย และพลังอำนาจของมันตามธรรมชาติก็อุบัติในทุกแห่งหนโดยปราศจากสิ่งกีดขวาง สิ่งนี้ได้แก่ นิรมาณกายอันเปี่ยมด้วยกรุณาคุณ
 
" ดูกร ทายาทแห่งอริยกุล จงยึดเอาหนทางเหล่านี้อย่าแชเชือน ทันทีที่ท่านระลึกได้ ท่านจะเข้าถึงภาวะตรัสรู้อันยิ่งในจตุรกาย อย่าหวั่นไหว เพราะนี้คือเขตแดนแบ่งแยกระหว่างสรรพสิ่ง ผู้ระทมทุกข์และเหล่าพระพุทธองค์ในอดีต มีโศลกกล่าวถึงชั่วขณะนี้ว่า
 
เพียงพริบตา พวกเขาก็แยกออกจากกัน
เพียงพริบตา การตรัสรู้ประจักษ์แจ้งก็บังเกิด
 
" จนถึงยามเมื่อวานนี้ ท่านยังตกอยู่ในความสับสน แม้ว่าเหตุการณ์ในบาร์โดมากมายจักบังเกิดขึ้นท่านก็กลับไม่รับรู้มัน และกลับบังเกิด ความหวาดกลัวอย่างยิ่ง ถ้าท่านสับสนในตอนนี้พันธะผูกพันแห่งกรุณาคุณจะถูกตัดขาดและท่านจะพลัดตกไปยังสถานที่ที่ไม่มี การปลดปล่อยใด ๆ ดังนั้น จงระแวดระวังให้ดี "
เมื่อได้รับการชี้แนะดังนี้ แม้ว่าผู้ตายจะไม่ทำการระลึกได้ในก่อนหน้านี้ เขาจะตระหนักรับรู้ได้ในยามนี้เองและเข้าสู่ภาวะวิมุตติสุข แต่หากเขาเป็นปุถุชนผู้ไม่ล่วงรู้ถึงกลวิธีแห่งสมาธิจิตเช่นนี้ ผู้อ่านพึงกล่วถ้อยคำต่อไปนี้
 
" ดูกร ทายาทแห่งอริสกุล " ถ้าท่านไม่รู้วิธีการทำเพ่งพินิจดังกล่าว จงระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และองค์พระอวโลกิเตศวรเจ้า ผู้เปี่ยมด้วยความกรุณาอย่างยิ่ง พึงยึดท่านเหล่านี้เป็นที่ระลึก แล้วเพ่งพินิจว่าภาพสะท้อนอันแสนน่าสะพรึงกลัว นั้นคือองค์พระอวโลกิเตศวรเจ้า หรือองค์ยิดัมประจำตัวท่าน จงระลึกถึงคุรุของท่านให้ได้ รวมทั้งคำสอนอันลึกลับที่ได้ถ่ายทอดแก่ท่าน ครามีชีวิตอยู่ และกล่าวออกไปแก่ราชันย์ผู้ทรงธรรมพญายมราช แล้วแม้ว่าท่านจะพลัดตกสู่หุบเหวท่านก็จะไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ เลย จงระงับความหวาดกลัวและความหวั่นไหวเสีย "
 
เมื่อได้รับการชี้แนะด้วยถ้อยคำดังกล่าวนี้ แม้ว่าผู้ตายจะไม่ได้รับการปลดปล่อยมาก่อนหน้านี้ เขาก็จะได้รับการปลดปล่อยในยามนี้นี่เอง แต่ก็มีความเป็นไปได้เช่นกัน ที่เขาอาจหลงลืมและไม่ได้รับการปลดปล่อยจากประสบการณ์ จึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่ต้องพยายามอีกครั้ง ดังนั้นผู้อ่านต้องเรียกชื่อผู้้้้ตายอีกครั้ง และกล่าวถ้อยคำต่อไปนี้
 
" ประสบการณ์ในขณะนี้จะกระชากท่านสู่ภาวะปีติและปวดร้าวสลับไปมาแทบทุกขณะจิต คล้ายดังแรงส่งของกลไกปืน ดังนั้นจงอย่าสร้าง อารมณ์ปรารถนาหรือก้าวร้าวใด ๆ ขึ้นเป็นอันขาด
 
" ถ้าท่านจะได้ไปเกิดยังภูมิชั้นสูง ในขณะที่กำลังจะไปอยู่ในภูมินั้นเอง หากญาติพี่น้องท่านในสถานที่ที่ท่านจากมาได้ทำการบูชายันสัตว์ จำนวนมากเพื่ออุทิศผลให้แก่ผู้ตาย ความคิดอันไม่บริสุทธิ์จะอุบัติขึ้นในตัวท่านและท่านจะรู้โกรธเกรี้ยวอย่างรุนแรงอันจะทำให้ท่านต้อง ไปเกิดเป็นสัตว์นรก ดังนั้นไม่ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นในที่ที่ท่านจากมา จงอย่ามีความโกรธแค้นเป็นอันขาด แต่จงเน้นสมาธิอยู่แต่ความกรุณา
 
" ถ้าท่านเกิดยึดติดกับทรัพย์สมบัติที่ได้ทิ้งไว้เบื้องหลังหรือเกิดความรู้สึกหวงแหน โดยล่วงรู้มาว่า มีบุคคลอื่นจะได้ครอบครองบ้าน และเสพสุขจากมันแทนท่านแล้ว ท่านเกิดโกรธเกรี้ยวบุคคลที่ท่านได้จากมา แน่นอนว่ามันย่อมเป็นเหตุทำให้ท่านได้ไปเกิดเป็นสัตว์นรก หรือเปรตอันหิวโหย แม้ว่าท่านกำลังจะได้ไปเกิดในภพชั้นสูงก็ตาม จำไว้เสมอว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น การข้องแวะติดยึดในทรัพย์สมบัติ นั้นไม่มีประโยชน์ เพราะท่านไม่อาจจะครอบครองมันได้อีก จงระงับเสียซึ่งความปรารถนาและไขว่คว้าในทรัพย์สมบัติทั้งปวง จงทิ้งมันไป ทำการตัดสินใจให้แน่วแน่ ไม่ว่าใครจะเป็นของคนต่อไปก็ตามที ปล่อยให้มันดำเนินไปตามครรลอง อย่าหวงแหนอยู่เลย จงทำในใจด้วยจิตเป็นหนึ่งเดียวว่า ท่านกำลังถวายสิ่งเหล่านั้นให้แก่รัตนตรัยและดำรงอยู่ในสภาวะไร้ความปรารถนาใด ๆ
 
" เมื่อพิธีกรรม สำหรับผู้ตายถูกประกอบขึ้นเพื่อท่าน และการชำระล้างต่อภพภูมิอันต่ำช้าถูกจัดทำขึ้นเพื่อท่าน โดยอาศัยประสาทสัมผัส เหนือมนุษย์อันละเอียดอ่อน ที่มีผลจากกรรมของท่านเอง ทำให้ท่านได้แลเห็นว่าพิธีกรรมนั้นทำโดยไม่บริสุทธิ์ เฉื่อยชา ไม่ใส่ใจทำอย่าง ลวก ๆ ปราศจากการอธิษฐาน ท่านจะรับรู้ได้ถึงการขาดศรัทธาและความไม่เชื่อมั่นในในคำสอน แลเห็นถึงอกุศลกรรมที่ทำขึ้นเพราะ ความหวาดกลัว และความมัวหมองแห่งพิธีกรรม ท่านจะคิดว่า ' ดูสิพวกเขากำลังหลอกลวงข้า ฯ ' ความคิดเช่นนี้จะทำให้ท่านเศร้าโศก เสียใจและสิ้นหวังท้อแท้ เมื่อถึงที่สุด ท่านจะไร้ศรัทธาอันบริสุทธิ์ นี้ย่อมเป็นเหตุทำให้ท่านตกไปสู่ภูมิอันต่ำช้า ความคิดเช่นนี้ไม่มีประโยชน์ ใดเลย แต่กลับก่อผลเลวร้ายขึ้นอีก ดังนั้นไม่ว่าพิธีกรรมจะถูกประกอบขึ้นดดยญาติมิตรที่ท่านทิ้งไว้เบื้องหลังจะมีมลทินสักเพียงใด จงครุ่นคิดอย่างเปี่ยมล้นด้วยศรัทธาและความเชื่อมั่นว่า " ภาพสะท้อนจากจิตของฉัน เป็นของเศร้าหมอง แต่จะมีความเศร้าหมองในถ้อยคำแห่งพระพุทธองค์ได้อย่างไร สิ่งเหล่านี้เกิดภาพสะท้อนอันสับสนจากจิตของฉันเอง เปรียบดังแลเห็นความบูดเบี้ยวของใบหน้า ในกระจก อันที่จริงแล้วสำหรับคนเหล่านั้นร่างของเขาคือพระสงฆ์ คำพูดของเขาคือพระธรรม จิตของเขาคือพุทธภาวะ ดังนั้น ข้า ฯ ขอถือเอาเป็นสรณะ ถ้าเป็นเช่นนั้นไม่ว่าจะมีพิธีกรรมเช่นใดประกอบขึ้นเพื่อท่าน มันก็จะช่วยเหลือท่าน เป็นการสำคัญมากที่จะมีความคิดอันบริสุทธิ์เยี่ยงนี้ อย่าลืมเป็นอันขาด
 
" ถ้าท่านกำลังจะไปเกิดในภูมิอันต่ำช้าสามภูมิ และขณะที่ท่านกำลังจะไปอยู่ภูมินั้นเอง ญาติพี่น้องของท่านที่ท่านได้ละทิ้งไว้เบื้องหลัง กำลังประกอบพิธีกรรมทั้งไตรทวารอันได้แก่ กาย วาจา ใจ ดังนั้น ท่านจึงรู้สึกปีติยินดีเป็นล้นพ้นเมื่อแลเห็นเช่นนั้น นี่จะเป็นเหตุให้ท่าน ได้ไปเกิดในภูมิชั้นสูงทันที แม้ว่าท่านกำลังจะเคลื่อนสู่ภูมิอันต่ำช้าก็ตาม ดังนั้นมันจึงช่วยท่านได้มาก เป็นการสำคัญที่ต้องนำคนให้ปลอดจากความคิดอันมัวหมอง หากให้มีศรัทธาอย่างบริสุทธิ์จริงใจไม่มีเคลือบแฝง จงตั้งใจให้ดี
 
" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล จงบจนบัดนี้ จิตของท่านได้อยู่ในบาร์โดที่ปราศจากเครื่องพยุงค้ำ ดังนั้นมันจึงบางเบาและแกว่งไกว ไม่ว่าจะมีความคิดเช่นใดอุบัติขึ้น ทั้งดีและชั่วก็ตามมันจะทรมาณมาก ดังนั้นจงอย่าคิดถึงอกุศลกรรม จงระลึกถึงการปฏิบัติธรรม อันบริสุทธิ์ หากท่านไม่เคยฝึกฝนตนมาก่อน จงอุทิศตนอย่างจริงใจ และมีแต่ความคิดอันสว่างไสว จงขอยึดเอาองค์พระอวโลกิเตศวร ราชา และองค์ยิดัมผู้ทรงกรุณาอันไพศาล กล่าวท่องบทสวดอ้อนวอนเพื่อขอกำลังใจด้วยความแน่วแน่อย่างแรงกล้า
 
 
 
 
เมื่อแยกจากมิตรสหายอันเป็นที่รัก
ข้า ฯ เดินทางอย่างร่อนเร่โดดเดี่ยว
รูปลักษณ์อันว่างเปล่าของภาพที่สะท้อนออกจากตัวฉันได้ปรากฏขึ้น
ขอให้เหล่าพระพุทธองค์โปรดแผ่อำนาจแห่งกรุณามาถึง ข้า ฯ ด้วย
เพื่อที่ความน่าสะพรึงกลัวแห่งบาร์โดจะไม่มาสู่ข้า ฯ
เมื่อข้า ฯ ต้องผจญกับอำนาจจากอกุศลกรรม
ขอให้องค์ยิดัมของข้า ฯ ได้ขจัดเสียซึ่งความทุกข์ทรมาณ
เมื่อเสียงแห่งธรรมชาติคำรามขึ้นดังสายฟ้านานานับ
ขอให้มันกลับกลายเป็นเสียงสวดของอักขระหกตัว
เมื่อข้า ฯ ต้องติดตามวิบากกรรมไปโดยปราศจากผุ้ช่วยเหลือ
ขอให้องค์ผู้ทรงกรุณาอันแผ่ไพศาล ( อวโลกิเตศวร )
จงเป็นผู้ช่วยข้า ฯ ให้รอด
เมื่อข้า ฯ ได้ทนทุกข์จากกรรมแห่งอำนาจใฝ่ต่ำโดยไม่รู้สึกตัว
ขอให้สมาธิแห่งความปีติสุขและความสว่างไสวจงอุบัติขึ้น
 
 
 
 
จงสวดมนต์บทนี้อย่างเข้มแข็ง มันจะนำทางท่านในบาร์โด จงเชื่อมั่นในมันว่าจะไม่นำไปสู่ความหลอกลวงหรือล้มเหลว นี้เป็นสิ่งสำคัญมาก "


หัวข้อ: Re: คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead]
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 17 มิถุนายน 2553 21:21:10
เมื่อคำชี้แนะเหล่านี้ผ่านไปแล้ว ผู้ตายจะจดจำและระลึกได้ และได้รับการปลดปล่อยในที่สุด แต่แม้นหากผู้ตายจะได้พยายามครั้งแล้วครั้งเล่า การระลึกได้ก็เป็นของยาก เพราะอิทธิพลจากอกุศลกรรมนานา ดังนั้นจึงเป็นการดีที่จะอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่า จงเรียกชื่อของผู้ตาย และกล่าวถ้อยคำต่อไปนี้
 
" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล หากท่านไม่เข้าใจว่าได้บังเกิดสิ่งใดขึ้นแล้ว นับแต่บัดนี้ร่างของท่านในกาลก่อนจะบางเบาลง และร่างของท่าน ในอนาคตเบื้องหน้าจะกระจ่างชัดขึ้น ครั้นแล้วท่านจะรู้สึกเศร้าเสียใจและคิดว่า ' สภาพเช่นนี้ช่างทุกข์ทรมาณนัก ดังนั้นฉันจะแสวงหา ร่างอยู่ไม่ว่าประเภทใดก็ตาม ' ครั้นแล้วท่านจะวิ่งพล่านไปเบื้องหน้า ไปด้านหลัง ไปยังทุกสิ่งที่ปรากฏขึ้น แสงทั้งหกแห่งภูมิทั้งหกจะ ฉายฉานและภูมิที่ท่านจะไปจุติอันเนื่องจากผลกรรมจะฉายฉานสว่างไสวที่สุด
 
" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล จงฟัง หากท่านจะถามว่า แสงทั้งหกเป็นเช่นใดบ้าง แสงสีขาวคือภูมิแห่งเทพเทวา สีแดงเป็นภูมิแห่งอสูร สีน้ำเงินเป็นภูมิแห่งมนุษย์ สีเขียวเป็นภูมิแห่งเดรัจฉาน สีเหลืองเป็นภูมิแห่งเปรต หมอกควันเป็นภูมิแห่งนรก นี้คือแสงหกประเภท ในเวลานี้ร่างของท่านจะยึดเอาแสงของสถานที่ที่ท่านจะจากไปถือกำเนิด
 
" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล ในยามนี้แก่นแท้แห่งคำสอนเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ไม่ว่าแสงจากภูมิใดจะฉายฉาน จงแน่วแน่อยู่ในองค์ผู้ทรงไว้ซึ่งมหากรุณา จงเพ่งพินิจความคิดว่าเมื่อลำแสงปรากฏขึ้น นั่นคือองค์ผู้ทรงไว้ซึ่งมหากรุณา นี้คือประเด็นคำสอนอันลึกซึ้งที่สุด เป็นสิ่งสำคัญยิ่งและป้องกันการเกิดได้
 
" จงเพ่งสมาธิเป็นเวลานานในเทพที่เป็นองค์ยิดัมประจำตนว่าเป็นนิมิตที่ปราศจากธรรมชาติอันแท้จริงในตัวมันเอง เปรียบดังมายา อันมีนามเรียกขานว่า กายมายาอันบริสุทธิ์ ครั้นแล้วจงปล่อยให้องค์ยิดัมปลาสนาการไปจากภายในและพิงพักชั่วขณะในสภาวะสว่างสุกใส ว่างเปล่าซึ่งมิได้ประกอบขึ้นจากสิ่งใด จงเพ่งสมาธิเยี่ยงนี้สลับไปมา และภายหลังจากนั้นปล่อยให้ดวงจิตของท่านปลาสนาการไปจาก ภายใน ที่ใดมีอากาศธาตุที่นั้นมีดวงจิตและที่ใดมีดวงจิตที่นั้นมีธรรมกาย ( สภาวะตามธรรมชาติ ) จงพักผ่อนอยู่ในภาวะอันเรียบง่าย และปราศจากตัวตนแห่งธรรมกาย
 
ในสถานการณ์เช่นนี้การเกิดจะถูกขัดขวางและเขาจะกลายเป็นพุทธะผู้ตื่นแล้ว แต่ในบุคคลที่ผ่านการฝึกฝนมาเพียงเล็กน้อยและต่ำทราม และมิได้เชี่ยวชาญในวิปัสสนาญาณย่อมไม่อาจทำความเข้าใจในสาระสำคัญของคำสอน และจะยังดำรงความสับสนไว้ในตน ออกเร่ร่อน ไปจนถึงทางเข้าแห่งครรภ์มารดร ด้วยเหตุนี้คำแนะนำเพื่อปิดทางเข้าสู่ครรภ์อุทรจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก ดังนั้นผู้ประกอบพิธีจึงควรเรียกชื่อ ของผู้ตายและกล่าวถ้อยความต่อไปนี้
 
" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล ถ้าท่านไม่อาจระลึกถึงสิ่งที่เกิดก่อนหน้านี้ ท่านจะรู้สึกว่ากำลังถูกดูดขึ้นลงหรือกวัดแกว่งไปมาโดยอิทธิพลของวิบากกรรม ดังนั้นในเวลานี้จงเพ่งสมาธิไปที่องค์พระอวโลกิเตศวรเจ้า และจดจำถ้อยความเหล่านี้ให้จงได้
 
" ต่อจากนี้ ท่านจะได้ประสบกับบรรยากาศอาการดังที่ได้พรรณามาแล้ว ทั้งพายุ ลมกรด พายุหิมะ และพายุจากนรกชั่ว ความมืด จะครอบคลุมในทุกแห่งหน ชายฉกรรจ์จำนวนมากจะออกไล่ล่าท่าน ท่านจะหนีจากเขาพ้นไปได้ บุคคลที่ปราศจากกุศลกรรมจะรู้สึก เหมือนถูกผลักไสไปยังสถานที่อันทุกข์ทรมาณ ในขณะที่บุคคลผู้เปี่ยมไปด้วยเมตตาธรรมจะรู้สึกดังได้ประสบกับสถานที่อันเปี่ยมด้วยความสุข
 
" ในเวลานี้ ทายาทแห่งอริยสกุล สัญญาณทั้งปวงแห่งดินแดนและแห่งหนที่ท่านจะไปเกิดจะปรากฏขึ้น ดังนั้นจงฟังคำข้า ฯ อย่าแชเชือน มีประเด็นสำคัญอยู่ในคำสอนต่อไปนี้ แม้ว่าท่านจะไม่ได้ทำความเข้าใจในความลับแห่งการระลึกได้มาก่อนก็ตาม และแม้ว่าท่านจะเป็น บุคคลที่มีการฝึกฝนในระดับต่ำ ท่านก็อาจจะได้รับประโยชน์ล้ำค่าในตอนนี้ ดังนั้น ตั้งใจฟังคำข้า ฯ ให้แน่ชัด
 
" ในยามนี้ การปิดหนทางเข้าสู่ครรภ์มารดาเป็นเรื่องสำคัญมาก มีวิธีดำเนินการอยู่สองวิธีด้ยกันคือ หนึ่ง หยุดยั้งบุคคลที่จะล่วงสู่ครรภ์ อุทรเสีย สอง ปิดทางเข้าที่ถูกเลือกเสีย ในตอนนี้ท่านจะได้รับคำสอนที่ใช้ในการหยุดยั้งบุคคลผู้ที่กำลังจะล่วงเข้าไป
 
" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล ( ชื่อ ) จงสร้างนิมิตแห่งองค์ยิดัมประจำตนให้แจ่มชัด ทำความตระหนักรู้ว่านั้นคือนิมิตที่ปราศจากแก่นสาร แน่นอนในตัวเอง เปรียบประดุจดังภาพมายาหรือเงาจันทร์ในสายน้ำ ถ้าท่านไม่มีองค์ยิดัมประจำตนให้เพ่งนิมิตที่องค์พระอวโลกิเตศวรเจ้าแทน สร้างนิมิตให้ใสกระจ่าง ครั้นแล้วจงปล่อยให้องค์ยิดัมนั้นเลือนหายไปในกาย และเพ่งสมาธิจิตไปที่ความสว่างไสวอันว่างเปล่า โดยปราศจากเรื่องราวความคิดใด ๆ นี่คือเคล็ดวิธีอันลึกซึ้ง กล่าวกันว่าโดยอาศัยวิธีนี้ ครรภ์อุทรจะถูกกั้นมิให้ผ่านเข้าไป ดังนั้น จงเพ่งสมาธิเยี่ยงนี้ให้ได้ผล
 
" ทว่า หากวิธีนี้ไม่อาจหยุดยั้งท่านลงได้ และท่านเกือบจะผ่านเข้าสู่ครรภ์อุทรอยู่แล้ว ยังมีคำสอนอันลึกซึ้งที่จะใช้ปิดทางเข้าสู่การเกิดได้ จงฟังตามให้ดี ท่องตามข้า ฯ ถ้อยคำเหล่านี้มีที่มาจาก " วลีสำคัญแห่งบาร์โดสภาวะ "
 
บัดนี้เมื่อบาร์โดแห่งการแปรเปลี่ยนได้ปรากฏขึ้น เบื้องหน้าข้า ฯ
 
ข้า ฯ จะเพ่งจิตแน่วแน่มิหวั่นไหว
และจะวิริยะบากบั่นในการสืบทอดผลจากกุศลกรรม
ปิดเสียซึ่งทางเข้าสู่ครรภ์มารดาและขัดขืน
ยามนี้ ความอดกลั้น และความคิดอันสว่างไสวเป็นที่ต้องการยิ่ง
ข้า ฯ จะละทิ้งความริษยาทั้งปวงลงและเพ่งสมาธิแน่วแน่แต่องค์คุรุและองค์ศักติ ฯ
 
 
จงกล่าวถ้อยคำเหล่านี้อย่างชัดเจน เพื่อปลุกเร้าความทรงจำ เป็นเรื่องสำคัญมากที่ควรจะกำหนดสมาธิแน่วแน่ที่ความหมายของมัน และนำไปปฏิบัติ


หัวข้อ: Re: คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead]
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 17 มิถุนายน 2553 21:21:31
" ความหมายของคำว่า ' บัดนี้ เมื่อบาร์โดแห่งการแปรเปลี่ยนได้ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าข้า ฯ ' หมายความว่า บัดนี้ท่านเองได้เร่ร่อนอยู่ในบาร์โดแห่งการแปรเปลี่ยน สัญญาณบ่งบอกนั้นได้แก่ ถ้าท่านจ้องมองลงบนผิวน้ำท่านจะไม่แลเห็นตัวท่านเลย อีกทั้งร่างของท่านยัง ปราศจากเงาประจำกาย บัดนี้กายเนื้ออันกอปรด้วยโลหิตและมังสะไม่ได้ดำรงอยู่อีกต่อไป เหลือเพียงแต่สัญญาณแห่งกายทิพย์ที่ร่อนเร่ อยู่ในบาร์โดแห่งการแปรเปลี่ยน ดังนั้นบัดนี้ท่านจะต้องแน่วแน่อยู่ในอารมณ์เป็นหนึ่ง การรวบรวมจิตไปที่จุดเดียวเป็นเรื่องสำคัญมาก เปรียบประดุจดังการควบคุมม้าด้วยบังเหียน หากท่านมุ่งจิตไปยังเรื่องใดมันจะอุบัติเป็นตัวคนขึ้น ดังนั้นจงอย่าพะวงคิดถึงเรื่องราวชั่วร้าย เป็นอันขาด จงระลึกถึงแต่ถ้อยความอันทรงคุณค่า พระธรรมสิ่งที่ได้เล่าเรียนมา รวมทั้งพระสูตร อันทรงคุณานูปการ ตัวอย่างเช่น พระสูตร " วิมุตติโดยการสดับฟัง " เป็นต้น ที่ท่านได้รับการสั่งสอนในโลกมนุษย์ และจงพยายามอิงแอบอยู่กับผลแห่งกรรมดีอันเป็น เรื่องสำคัญมาก อย่าลืมเป็นอันขาด อย่าหวั่นไหวใด ๆ ช่วงเวลาที่แบ่งแยกระหว่างการก้าวขึ้นสู่หรือร่วงหล่นสู่ที่ต่ำได้มาถึงแล้ว หากท่านแค่ได้พลัดหล่นไปในความเกียจคร้านเพียงพริบตา ท่านจะทนทรมาณนานนับกัปกัลป์ แต่หากท่านสามารถสำรวมจิตเป็นหนึ่งได้ ท่านจะมีความสุขตลอดกาล จงเพ่งจิตเป็นหนึ่งเดียวและอิงแอบอยู่ในกุศลกรรม
 
 
บัดนี้เวลาที่จะต้องปิดทางเข้าสู่ครรภ์อุทรได้มาถึงแล้ว นี่คือคำสอน
 
จงปิดทางเข้าสู่ครรภ์มารดรและคิดต้านทานขัดขืน
ความพากเพียรวิริยะและความคิดอันประภัสสรเป็นสิ่งสำคัญมาก
 
 
ช่วงเวลาวิกฤตได้มาถึงแล้ว ในชั้นแรกทางเข้าสู่ครรภ์มารดรจะถูกปิดลง และมีวิธีการอยู่ห้าประการในการปิดกั้นมัน จงทำความเข้าใจให้ดี
 
 
" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล ในเวลานี้ภาพสะท้อนของชายหญิงที่เสพสังวาสกันจะปรากฏขึ้น เมื่อท่านแลเห็นพวกเขา อย่าได้มุ่งเข้าไปเป็นอันขาด ให้ท่านสร้างนิมิตว่า ชายหญิงทั้งคู่นั้นคือตัวแทนแห่งองค์คุรุและองค์ศักติประจำตน ท่านเองจงหมอบกราบทำความเคารพ และถวายเครื่องบูชาด้วยศรัทธาแรงกล้าและขอรับคำสอนสั่ง ขณะที่ท่านตั้งใจแน่วแน่อยู่ในความคิดนี้ ทางผ่านสู่ครรภ์มารดรจะถูกปิดลงเป็นแน่
 
 
" ทว่าหากหนทางนี้ไม่อาจสัมฤทธิ์ผลลงได้ และตัวของท่านจวนจะผ่านไปเกิดแล้ว จงเพ่งสมาธิที่องค์คุรุและศักติว่าคือองค์ยิดัมประจำ ตนท่าน หรือเป็นองค์พระอวโลกิเตศวรเจ้าและชายา ถวายเครื่องบูชาแด่เทพเหล่านี้อย่างเต็มใจ โดยศรัทธาแรงกล้า ท่านจงวอนขอท่านช่วย นำสู่ภาวะตรัสรู้ นี้จะปิดทางเข้าสู่ครรภ์มารดร
 
 
" แต่แม้นว่าหนทางนี้ไม่สัมฤทธิ์ลง และท่านเกือบจะพลัดตกสู่ครรภ์มารดรแล้ว นี่คือคำแนะนำขั้นที่สามเพื่อหันเหจิตใจออกจากความ ปรารถนาและความก้าวร้าว การเกิดนั้นแบ่งออกเป็นสี่ประเภทด้วยกัน คือ หนึ่งเกิดจากไข่ สองเกิดจากมดลูก สามเกิดเอง สี่เกิดจาก ความเปียกชื้น ทั้งสี่ประเภทนี้ การเกิดจากไข่และเกิดจากมดลูกนั้นคล้ายคลึงกัน จากนิมิตก่อนหน้านี้ของชายหญิงคู่หนึ่ง หากท่านได้ เข้าสู่มดลูกในช่วงเวลานั้นตามอำนาจความโกรธและความปรารถนา ท่านย่อมไปเกิดเป็นม้า นก สุนัข มนุษย์ และสัตว์อื่น ๆ ไม่ว่าท่าน จะไปเกิดเป็นสัตว์ประเภทใดก็ตามที หากท่านจะถือกำเนิดเป็นบุรุษเพศ ท่านจะรู้สึกว่าตนเองเป็นบุรุษโดยพลันและรู้สึกโกรธเคืองตัวบิดา อย่างรุนแรง และรู้สึกปรารถนาในตัวของมารดา หากท่านจะเกิดเป็นสตรีท่านจะรู้สึกอิจฉาและริษยา อาฆาตต่อมารดา และเกิดคามต้องการ ในตัวบิดาอย่างยิ่ง สิ่งเหล่านี้จะชักจูงท่านเข้าสู่ครรภ์มารดร หลังจากนั้นท่านจะรู้สึกเป็นสุขเมื่อเชื้ออสุจิและรังไข่ได้มาประสบรวมตัวกัน ครั้นแล้วท่านจะสิ้นสติไป ไข่อ่อนจะขยายขนาด กลมขึ้น ๆ และก่อตัวเป็นรูปไข่ และในที่สุดเมื่อร่างกายได้เจริญเติบโตเต็มที่ และได้คลอดออกจากครรภ์มารดา ท่านจะเปิดตาออก และกลายร่างเป็นลูกสุนัข จากตอนแรกที่ได้เป็นมนุษย์ บัดนี้ท่านได้กลายเป็นสุนัข เสียแล้ว ดังนั้นท่านจะทนทรมาณอยู่ในกรงขัง หรือในเล้าหมู หรือในรังมด หรือในรูไส้เดือน หรือมิฉะนั้นก็จักถือกำเนิดเป็นวัวหนุ่ม หรือแกะ หรือแพะ ฯลฯ เป็นอย่างอื่นไปเรื่อย ๆ ไม่ทวนกลับ ท่านจะต้องทนทุกข์นานาชนิด จากลำดับขั้นของความโง่งมอันใหญ่หลวง รวมทั้งอวิชชากล้า การวนเวียนอยู่ในภูมิทั้งหก ทั้งสัตว์นรก เปรต และสัตว์ต่าง ๆ ท่านจะทรมาณโดยความทุกข์นานัปการ ไม่มีสิ่งใดจะน่าหาดกลัวหรือทรงพลังมากไปกว่านี้ บุคคลใดก็ตามที่ไม่ได้ทำการศึกษาคำสอนอันศักดิ์สิทธิ์แห่งคุรุธรรมย่อมตกลง ไปในหุบเหวแห่งวัฏสงสารตามอาการดังกล่าวนี้ และทนทรมาณเหลือคณานับ เป็นความทุกข์ทนที่ไม่อาจแบกรับได้ ดังนั้นจงฟังถ้อยคำ ของข้า ฯ และทำความเข้าใจให้ได้
 
" บัดนี้คำแนะนำเพื่อปิดเสียซึ่งการเข้าสู่ครรภ์อุทรโดยการผละจากความก้าวร้าวและลุ่มหลงจะได้ส่งผ่านสู่ท่าน โปรดจงฟังให้ดี และทำความเข้าใจให้จงได้ ดังต่อไปนี้
 
จงปิดทางผ่านสู่ครรภ์อุทรเสีย จงคิดขัดขืน บัดนี้เป็นช่วงเวลาที่ความวิริยะพากเพียรและมโนกรรมอันผ่องแผ้วเป็นสิ่งสำคัญ จงละทิ้งความริษยา และเพ่งสมาธิไปยังเหล่าคุรุและองค์ชายา


หัวข้อ: Re: คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead]
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 17 มิถุนายน 2553 21:21:56
เหตุการณ์ดังข้างต้นจะบังเกิดขึ้นอีก ท่านจะมีความรู้สึกริษยาแรงกล้าแรงกล้า ถ้าท่านจะต้องถือกำเนิดเป็นเพศชาย ท่านจะเกิดความรักใคร่ ในมารดาและเกลียดชังบิดายิ่งนัก แต่หากท่านจะต้องกำเนิดเป็นสตรี ท่านจะหลงใฝ่ในบิดาและชิงชังต่อมารดา คำสอนสั่งอันมีความ หมายลึกซึ้งจึงมีความสำคัญยิ่ง
 
" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล เมื่ออารมณ์ปรารถนาและความก้าวร้าวบังเกิดขึ้น ให้ท่าน ตั้งจิตเป็นสมาธิและนึกถึงแต่เพียงว่า ข้า ฯ เป็นสัตว์ผู้มากล้นด้วยอกุศลกรรมจึงได้เร่ร่อนอยู่ในสังสารวัฏตราบจนบัดนี้ โดยเหตุที่ข้า ฯ ยังผูกพันอยู่แต่อารมณ์ปรารถนาและความก้าวร้าว หากข้า ฯ ยังคงกระทำเช่นนี้ต่อไปอีก ข้า ฯ ย่อมต้องวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏไม่สิ้นสุด และจมดิ่งไปในความลึกลับสุดหยั่งถึงแห่งมหาสมุทรของความทุกข์ทนเป็นเวลาเนิ่นนาน ดังนั้น บัดนี้ ข้า ฯ จะละทิ้งอารมณ์ปรารถนาและความก้าวร้าวทั้งมวล โดยเพ่งจิตของข้า ฯ อย่างแรงกล้าและไม่เบี่ยงเบนไปยังความคิดดังกล่าวนี้ ย่อมส่งผลให้ปิดทางเข้าสู่ครรภ์อุทรได้ ในคัมภีร์แห่งตันตระมีคำกล่าวว่า ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล อย่าหวั่นไหว จงเพ่งจิตไปที่จุดเดียวไม่เบี่ยงเบน
 
" แต่หากว่า ภายหลังการกระทำเช่นนั้น ทางเข้าสู่ครรภ์อุทรก็ไม่อาจปิดลงได้ และท่านก็เกือบจะผ่านเข้าไปแล้ว ดังนั้นมันจึงจำต้องถูกปิด โดยคำแนะนำที่ข้องเกี่ยวกับธรรมชาติอันไม่เป็นแก่นสารและลวงล่อของสรรพสิ่ง จงเพ่งจิตความคิดไปดังกล่าวนี้ว่า " โอม บิดร และมารดร มหาวายุอันเกรี้ยวกราด ลมกรด สายฟ้าแลบ ภาพสะท้อนอันน่าสะพรึงกลัวและปรากฏการณ์ที่ข้า ฯ ได้ประจักษ์เห็นล้วนเป็นมายา ไม่ว่ามันจะปรากฏตนในรูปใด มันหามีแก่นสารไม่ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงล้วนเป็นของเทียมและไม่จริง คล้ายดังภาพลวงตา มันไม่เที่ยงแท้แน่นอน มันไม่อาจทรงตัวอยู่ได้ ความลุ่มหลงมีประโยชน์อะไร ความหวาดกลัวมีประโยชน์อะไร มันทำให้เราหลงคิดว่า สิ่งไม่มีแก่นสารนั้นมีแก่นสาร สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นภาพสะท้อนจากจิตของข้าฯ เอง และเนื่องจากจิตนั้นเป็นมายาและมิได้ดำรงอยู่ ตั้งแต่แรกเริ่ม มันจะเกิดขึ้นจากภายนอกได้ที่ไหน ข้าฯ ไม่เคยประจักษ์แจ้งเช่นนี้มาก่อนเลย และจึงหลงคิดว่าสิ่งไม่เที่ยงแท้นั้นเที่ยงแท้ สิ่งเท็จเป็นสิ่งจริง มายาคือแก่นสาร ดังนั้นข้า ฯ จึงได้เฝ้าวนเวียนออยู่ในสังสารวัฏนับกัลป์ และหากข้า ฯ ยังไม่ยอมตระหนักว่า มันเป็นภาพลวงตา ข้า ฯ ก็ย่อมจะร่อนเร่อยู่ในสังสารวัฏเป็นเวลาเนิ่นนานและจมดิ่งอยู่ใต้เปือกตมอันอับชื้นของความทรมาณ ณ บัดนี้ สิ่งทั้งปวงเปรียบเสมือนประดุจความฝัน เปรียบประดุจมายา เปรียบประดุจเสียงสะท้อน เปรียบประดุจตัวนครแห่งแคว้นคันฐารวาส เปรียบประดุจภาพหลอน เปรียบประดุจภาพลวงตา เปรียบประดุจดังความพิการแห่งจักษุสัมผัส เปรียบประดุจดังเงาจันทร์บนผืนน้ำ มันย่อมไม่อาจเป็นจริงไปได้ แม้เพียงชั่วขณะก็ตามที จริงแล้วมันหามีแก่นสารใดไม่ แต่กลับอุดมไปด้วยความเท็จ
 
" ด้วยความแน่วแน่แรงกล้าในความคิดเช่นนี้ จงเชื่อมั่นในความจริงแม้ว่ามันจะสั่นคลอน เมื่อใดก็ตามที่บุคคลใดได้ยึดมั่นในความคิดเช่นนี้ อย่างแรงกล้า ความลุ่มหลงในอัตตาจะถูกขจัดสิ้นไป ถ้าท่านเข้าใจความไร้แก่นสารจากก้นบึ้งแห่งหัวใจ ทางผ่านสู่ครรภ์อุทรย่อมถูกปิดลง แน่นอน
 
" แต่แม้จะกระทำดังกล่าวนี้แล้ว ความยึดมั่นที่ว่าสรรพสิ่งนั้นเที่ยงแท้ก็ไม่อาจจะถูกทำลายลงได้ ประตูสู่ครรภ์อุทรก็ยังไม่ถูกปิดลง และท่านเองก็เกือบจะหลุดเข้าไปสู่ครรภ์อุทรแล้ว จงฟังคำตักเตือนอันลึกซึ้งต่อไปนี้
 
" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล หลังจากลงมือประกอบกิจดังกล่าวแล้ว ทางเข้าสู่ครรภ์อุทรก็ยังไม่ปิดลงไปได้ ดังนั้นโดยอาศัยวิธีที่ห้า ซึ่งเป็นการเพ่งจิตไปที่ความใสสว่างจักช่วยท่านได้ พึงปฏิบัติดังนี้
 
' สิ่งทั้งหลายทั้งปวงอุบัติจากจิตของฉันเอง และจิตของฉันเองนั้นล้วนว่างแต่เดิม มันไม่อาจอุบัติขึ้นและไม่อาจถูกทำลายได้ ' จงเพ่งความคิดที่เรื่องนี้ รักษาจิตให้อยู่ในภาวะธรรมชาติและไม่หวั่นไหว ดำรงอยู่ในธรรมชาติเดิมของมัน ดุจดังน้ำที่เติมลงในน้ำ ผ่อนคลาย เปิดโล่งและอ่อนโยน โดยการปล่อยให้มันเป็นไปอย่างธรรมชาติและเปิดเผย ท่านสามารถแน่ใจได้ว่า ทางเข้าสู่ครรภ์อุทร ที่ก่อให้เกิดสี่ประเภทจะต้องถูกปิดลงอย่างแน่นอน "
คำสอนอันเป็นสัตย์จริงและลึกซึ้ง ที่ใช้ในการปิดทางเข้าสู่ครรภ์อุทร ได้รับการถ่ายทอดมาแล้วนับแต่เบื้องต้น ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะมีคุณธรรม สูงส่งหรือต่ำทรามเพียงใดก็ตาม ย่อมได้รับการปลดปล่อยสู่วิมุตติสุขในที่สุด ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นเล่า ? สาเหตุแรกนั้นเป็นเพราะวิญญาณ ในบาร์โดสภาวะได้ครอบครองญาณสัมผัสอันเหนือธรรมคติ ดังนั้นพวกเขาย่อมสดับได้ในถ้อยคำที่กล่าวทวน สาเหตุประการที่สองนั้นคือ แม้ว่าเขาหูหนวก ตาบอดก็ตามที บัดนี้เขากลับมีประสาทสัมผัสอันเพียบพร้อม ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้ยินในถ้อยคำที่ถูกกล่าวออกมา ประการสาม เนื่องจากความกลัวเข้าครอบงำอย่างต่อเนื่อง เขาจึงครุ่นคิด ไม่เขวเป็นอื่นว่าจะทำอะไรดี ดังนั้นเขาจึงฟังสิ่งที่ข้าฯ พูด ประการที่สี่ ในขณะที่ดวงวิญญาณปราศจากสิ่งค้ำจุน มันย่อมสามารถเดินทางไปได้ในทุกแห่งหนดังใจนึกคิด จึงย่อมสะดวกที่จะชักนำจิต ไปในทางที่ควร และเนื่องจากจิตปัจจุบันสะอาดใสกว่าเดิมถึงเก้าเท่า ดังนั้นแม้เขาจะทึ่มโง่สักเพียงใด อาศัยอำนาจจากวิบากกรรม ในยามนี้จิตย่อมแจ่มใสจนอาจจดจ่อแน่วแน่ในสิ่งที่ถ่ายทอด ด้วยเหตุผลเหล่านี้ การประกอบพิธีกรรมเพื่อผู้ตายจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก
 
ดังนั้นการเฝ้าอ่านคัมภีร์ " มหาวิมุตติโดยการสดับฟัง " นี้เป็นเวลาถึงเก้าวัน จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก แม้ว่าเขาอาจจะไม่ได้รับการปลดปล่อย ในวันแรก ๆ ก็ตาม เขาก็อาจได้รับการปลดปล่อยในภายหลังก็ได้ ดังนั้นคำสอนสั่งจึงมีแยกออกเป็นจำนวนมาก


หัวข้อ: Re: คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead]
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 17 มิถุนายน 2553 21:22:28
ทว่า ยังมีผู้คนอีกมากมายที่ไม่เคยชินกับการประกอบกุศลกรรม ทว่ากลับมากไปด้วยอกุศลกรรมมาแต่เริ่ม อาจอยู่ภายใต้ม่านคลุมแห่ง ความพิกลพิการทางจิตอันทรงพลัง ซึ่งทำให้เขาไม่ได้พานพบกับวิมุตติสุข ถึงแม้ว่าเขาจะได้รับการบอกเล่าและชี้แนะอารมณ์ ( วัตถุ ) เพื่อใช้ในการทำสมาธิหลายครั้งหลายครากันก็ตามที ดังนั้นบัดนี้ หากหนทางเข้าสู่ครรภ์อุทรยังไม่ได้รับการสกัดกั้นลง คำสอนอันลึกซึ้ง เพื่อคัดเลือกเส้นทางสู่การเกิดจำต้องได้รับการถ่ายทอด เบื้องแรก ท่านควรอ้อนวอนเพรียกหาต่อเหล่าองค์พุทธะและองค์โพธิสัตว์ เพื่อขอความช่วยเหลือท่าน กล่าวไตรสรณคมน์ แล้วจึงเรียกชื่อผู้ตายสามครั้ง และกล่าวข้อความต่อไปนี้
 
" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล ( ชื่อ ) ที่ได้ละโลกนี้ไป จงฟังคำข้า ฯ ถึงแม้ว่าท่านจะได้รับการถ่ายทอดคำสอนดังข้างต้นหลายครั้งหลายครา ด้วยกัน ท่านก็ยังไม่อาจทำความเข้าใจได้แจ่มแจ้ง ณ บัดนี้ หากทางเข้าสู่ครรภ์อุทรยังไม่ได้ปิดลง เวลาที่ท่านต้องละร่างและสถานที่ไปเกิด ได้มาถึงแล้ว มีคำสอนอันลีกซึ้งและเป็นสัตย์จริงมากมายที่ท่านจะใช้เลือกทางเข้าสู่ครรภ์อุทร ดังนั้นจงทำความเข้าใจให้ดีอย่าหลงลืมละเลย จงตั้งใจฟังด้วยความแน่วแน่มั่นคง และทำความเข้าใจให้ได้
 
" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล บัดนี้สัญญาณและลักษณาการแห่งดินแดนที่ท่านจะไปเกิดจะบังเกิดขึ้น ดังนั้นพึงทำความจดจำให้ได้ จงตรวจสอบและเลือกดินแดนที่ท่านจะไปถือกำเนิด
 
" ถ้าท่านจะไปเกิดในดินแดนตะวันออก อริยบุคคล ท่านจะแลเห็นทะเลสาปห้องล้อมด้วยฝูงห่านตัวผู้และตัวเมีย จงพยายามขัดขืน และอย่าไปเกิดยังที่แห่งนั้น ถึงแม้ว่ามันจะดูเปี่ยมไปด้วยความสุข มันเป็นสถานที่ที่พระธรรมจะไม่มีวันแพร่ไปถึง ดังนั้น จงอย่าเข้าไปเป็นอันขาด
 
" ถ้าท่านจะไปเกิดในดินแดนตะวันตก ดินแดนแห่งฝูงวัวป่าอันคึกคะนอง ท่านจะแลเห็นทะเลสาปห้อมล้อมด้วยม้าตัวผู้และม้าตัวเมีย อย่าเข้าไป จงถอยกลับ ถึงแม้ว่ามันจะดูมีความปีติสุข มันก็ยังเป็นสถานที่ที่พระธรรมจะไม่มีวันแพร่ไปถึง ดังนั้นจงอย่าได้เข้าไปเป็น อันขาด
 
" ถ้าท่านจะไปเกิดในดินแดนทางตอนเหนือ ดินแดนแห่งสำเนียงอันไม่พึงใจ ท่านจะแลเห็นทะเลสาปห้องล้อมด้วยฝูงวัวหรือต้นไม้ จงจำไว้ว่ามันเป็นสัญลักษณ์แห่งการเกิด อย่าได้เข้าไปเป็นอันขาด ถึงแม้ว่าท่านจะมีอายุยืนและมีทรัพย์สินมหาศาล แต่พระธรรม จะไม่เผยแพร่ไปถึง ดังนั้นจงอย่าเข้าไปเป็นอันขาด
 
" ถ้าท่านจะต้องไปเกิดในเทวโลก ท่านจะแลเห็นวัดวาอารามหลายสถาน ประดับประดาด้วยจินดามณีอันล้ำค่า ถ้าท่านเหมาะสมกับสถานที่ แห่งนั้น ท่านก็ควรจะเดินทางเข้าไป
 
" ถ้าท่านจะต้องไปเกิดในอสุรภูมิ ท่านจะได้แลเห็นพุ่มไม้อันงดงาม หรือกงล้อแห่งไฟบรรลัยกัลป์ อย่าเข้าไปเป็นอันขาดแต่จงขัดขืน
 
" ถ้าท่านจะต้องไปเกิดในเดรัจฉานภูมิ ท่านจะได้แลเห็นถ้ำหินอันมืดมัว และร่องรูใหญ่บนพื้นดิน รวมทั้งกระท่อมฟาง จงอย่าฝ่าเข้าไปเป็น อันขาด
 
 
" ถ้าท่านจะต้องไปเกิดในเปรตภูมิ ท่านจะได้แลเห็นตอไม้และซากไม้สีดำทะมึนเกาะติดอยู่ด้วย คูกาสึกและพื้นดินดำ ถ้าท่านจะไปเกิดที่ แห่งนี้ ท่านจะถือกำเนิดเป็นเปรต และประสบความทรมาณนานา รับโทษจากความโหยหิวและกระหาย ดังนั้นอย่าเข้าไปเป็นอันขาด จงขัดขืนอย่างเต็มที่
 
" ถ้าท่านจะไปเกิดในนรกภูมิ ท่านจะได้ยินบทเพลงที่ขับร้อง โดยบุคคลที่เปี่ยมด้วยอกุศลกรรม หากท่านถูกดึงดูดเข้าไปอย่างหมดทาง แก้ไข ท่านจะพบปะตนเองกำลังเดินทางผ่านเส้นทางอันมืดมิด จะปรากฏเคหาสนืสีดำและสีแดง คันถนนและถนนสีดำ ถ้าผ่านไปยังที่ แห่งนั้น ท่านจะต้องผ่านเข้าไปสู่ประตูนรก และประสบกับความทรมาณอันหาที่สุดมิได้ ผ่านความเร่าร้อนและหนาวเหน็บจากสถานที่ อันหลบหนีไม่ได้ จงอย่าพลัดหลงเข้าไปเป็นอันขาด อย่าก้าวฝ่าไปในสายหมอก จงตั้งใจระวังอย่างแน่วแน่ มีคำกล่าวว่า ' จงปิดทางเข้า สู้ครรภ์อุทรและจงคิดขัดขืน ' นี่คือสิ่งสำคัญในตอนนี้
 
" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล ถึงแม้ว่าท่านไม่ปรารถนาจะไปที่ใดเลย ท่านก็ปราศจากพลังอำนาจในตนเอง ท่านถูกบังคับผลักดันไปอย่างไร้ทางช่วย ด้านหลังของท่านจะมีเจ้ากรรมนายเวรผลักไสท่าน เบื้องหน้าเจ้ากรรมนายเวรและฆาตกรจะลากท่านไปตามทาง ความืดมืด พายุสลาตัน พายุร้าย เสียงขู่หิมะ และพายุฝน พายุลูกเห็บอันน่าหวาดกลัวและพายุหิมะจะควงหมุนอยู่รอบ ๆ ตัวท่าน จนท่านปรารถนา จะหลบหนี ในการหลบหนีท่านจำต้องหาที่พักพิง และท่านจะรู้สึกปลอดภัยในคฤหาสน์ล้ำค่าดังกล่าวข้างต้น หรือในที่พักซอกหินผา หรือในหลุมรูบนพื้นดิน ที่ว่างระหว่างต้นไม้ หรือในหุบถ้ำแห่งกอบัว เป็นต้น เมื่อหลบซ่อนอยู่ในที่เหล่านี้ ท่านจะเกิดความหลงใหล ผูกพันในที่ดังกล่าว ท่านเกิดความหวาดกลัวที่จะต้องเผชิญกับสิ่งพรั่นพรึงในบาร์โดอีกหากจำต้องออกไปสููุุุุุ่่๋๋ภายนอก ท่านหวาดกลัวมายา เหล่านั้นเป็นอันยิ่ง ท่านจึงหลบซ่อนอยู่ข้างใน และยังยอมรับเอารูปกายอันใดอันหนึ่งเป็นที่ยึดครอง ไม่ว่ามันจะเลวร้ายสักเพียงใด และประสบกับความทุกข์ทรมาณทุกรูปแบบ นี่เป็นสัญญาณว่าอำนาจแห่งความชั่วร้ายและเหล่าปิศาจกำลังขัดขวางท่านอยู่ในขณะนี้ มีคำสอนอันลึกซึ้งประการหนึ่งที่จะช่วยเหลือท่านได้ ดังนั้น จงฟังและทำความเข้าใจให้ดี
 
" ในช่วงเวลาอันน่าหวาดกลัวนี้ เมื่อท่านถูกลากจูงไปโดยไม่มีทางขัดขืนจากเจ้ากรรมนายเวร ท่านควรจะสร้างนิมิตโดยนึกถึงเทพเฮรุกา หรือเทพหยะครีวะ หรือเทพวัชรปาณี หรือองค์ยิดัมประจำตน ที่มีร่างกายและแขนขาอันใหญ่โตมโหฬาร สร้างภาพว่าเขายืนตระหง่าน เต็มไปด้วยความพิโรธอันน่าสะพรึงกลัว ซึ่งขจัดล้างอำนาจชั่วร้ายให้เป็นผุยผงไป เมื่อถูกแยกออกจากเจ้ากรรมนายเวรโดยอำนาจ จากความกรุณาและความศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าทวยเทพ ท่านจะมีอำนาจจนสามารถเลือกทางเข้าสู่อุทรได้ นี่เป็นความลับอันลึกซึ้งแห่งคำสอน จงทำความเข้าใจมันอย่างถ่องแท้


หัวข้อ: Re: คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead]
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 17 มิถุนายน 2553 21:23:01
" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล ทวยเทพแห่งสมาธิจิตและเหล่าคุรุทั้งหลายล้วนก่อกำเนิดจากพลังอำนาจแห่งสมาธิ บรรดาวิญญาณภูติผีกลุ่มต่าง ๆ เช่น เหล่าฝูงเปรต ฯลฯ ล้วนเปลี่ยนแปลงท่าทีแห่งจิตได้ในบาร์โด ดังนั้นมันจึงสามารถจะปรากฏตนในรูปมายาต่าง ๆ ของมันได้ และยัง แปรเปลี่ยนเป็นกายทิพย์แบบต่าง ๆ ได้อีก พวกฝูงเปรตที่อาศัยอยู่ในส่วนลึกของท้องทะเล ฝูงเปรตที่โบยบินผ่านท้องอากาศเวิ้งว้าง และฝูงเปรตหมื่นจำพวกที่มีอำนาจอันชั่วร้าย ล้วนสามารถสร้างกายทิพย์ได้โดยการเปลี่ยนท่าทีแห่งจิต ในยามนี้ สิ่งที่ดีที่สุดได้แก่การภาวนา ถึงมหาสัญลักษณ์แห่งสุญตาธรรม แต่หากท่านไม่สามารถกระทำเช่นนั้นได้ ก็จงเข้าร่วมในการละเล่นแห่งนิมิตมายาทั้งหลายนี้ แต่หากท่าน ไม่อาจประพฤติได้ในทั้ง ๒ กรณีนี้ ก็ควรที่จะไม่ผูกพันข้องแวะกับสิ่งใดเลย ทว่าจงเพ่งสมาธิไปที่องค์ยิดัมของท่าน และองค์พระอวโลกิเตศวรพุทธ และท่านจะกลายร่างเข้าสู่สัมโภคกายพุทธในบาร์โดภาวะ
 
 
" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล ถ้าท่านจำต้องเข้าสู่ครรภ์อุทรโดยวิธีนี้ผ่านแรงผลักไสจากผลวิบากกรรม คำแนะนำสั่งสอนเพื่อเลือกทางเข้า สู่ครรภ์อุทรจำต้องได้รับการถ่ายทอด จงฟังคำข้า ฯ อย่าผ่านเข้าไปสู่ครรภ์อุทรที่ปรากฏขึ้น ถ้าเจ้ากรรมนายเวรมาถึงและท่านไม่สามารถ หลีกเลี่ยงการเดินทางเข้าไปสู่ครรภ์อุทรได้ จงเพ่งสมาธิไปที่เทพหยครีวะ ด้วยเหตุที่ท่านสามารถรับรู้สิ่งเหนือธรรมชาติที่ละเอียดอ่อน ท่ายย่อมรู้จักทุกสถานที่ในพิภพ ดังนั้น จงทำการเลือกสรร มีข้อแนะนำสองประการ สำหรับการผ่านเข้าสู่พุทธภูมิ และการผ่านเข้าสู่ สังสารวัฏอันไม่บริสุทธิ์ ดังนั้นพึงกระทำดังนี้
 
 
" การเคลื่อนย้ายภูมิบริสุทธิ์แห่งอากาศธาตุ ( แดนสุขาวดี ) อันเป็นแดนบริสุทธิ์สะอาดใสนั้น ควรปฏิบัติดังนี้ จงระลึกว่า ' มีความเศร้าสักปานใดหนอที่ข้า ฯ ได้วนเวียนอยู่ในเปือกตมแห่งห้วงวัฏสงสาร ภายใต้วันเวลาอันยาวนานที่ไม่อาจจะนับได้ ปราศจาก ซึ่งจุดเริ่มต้นและสิ้นสุด ขณะที่สรรพสัตว์จำนวนมากได้กลายเป็นพุทธองค์ผุ้สักดิ์สิทธิ์ ข้า ฯ ก็ยังมิได้พานพบกับอิสรภาพ นับแต่บัดนี้ ข้า ฯ รู้สึกเจ็บป่วยท้อแท้ในห้วงสังสารวัฏยิ่งนัก ข้า ฯ หวาดกลัวมันเป็นที่ยิ่ง ข้า ฯ รู้สึกอิดโรยกับมันอย่างแสนสาหัส ถึงเวลาที่ข้า ฯ จำต้องหลบหนีไป ด้วยเหตุนี้ข้า ฯ จำต้องเกิดเองที่ดอกอุบลชาติใต้เบื้องบาทของพระอมิตตาพุทธในดินแดนสุขาวดีทิศตะวันตก ' โดยอาศัยการเพ่งสมาธิอย่างแรงกล้าไปยังดินแดนสุขาวดีทิศตะวันตก ย่อมเสริมกำลังใจให้มีความพยายาม หรือมิฉะนั้นหากท่านสามารถ ควบคุมอำนาจความแน่วแน่อันแรงกล้านี้ เป็นจุดเดียวและไม่แชเชือนตรงต่อภูมิที่ท่านปรารถนา อาทิเช่น ภูมิแห่งความบริสุทธิ์ หรือภูมิแห่งมหาสุขา หรือภูมิแห่งความเอิบอิ่ม ภูมิแห่งม่านไทร หรีอภูมิแห่งภูผาต้นปาล์ม หรือพระราชวังแห่งอุบลรัศมี ท่านจะเกิด อย่างฉับพลันในภูมิเหล่านี้ หรือหากท่านปรารถนาจะเข้าสู่ใต้เบื้องอำนาจแห่งพระศรีอารย์ ก็จงตั้งจิตแน่วแน่ในความคิดเยี่ยงนี้ ' ในบาร์โดภาวะขณะนี้ ช่วงเวลาของข้า ฯ ที่จะเข้าสู่ดินแดนแห่งพระศรีอารยเมตไตรย์ในภูมิสันติสุขได้มาถึงแล้ว ดังนั้นข้า ฯ จึงต้องออก เดินทางแล้ว ' และท่านจะเกิดเองในใจกลางดอกอุบลแห่งภูมิอันปีติสุขของพระศรีอารยเมตไตรย์
 
" แต่หากว่า ท่านไม่อาจประพฤติปฏิบัติได้ และท่านเกิดความปรารถนาที่จะเข้าสู่ครรภ์อุทร หรือพบว่า ท่านจำต้องเลือกทาง เข้าสู่ครรภ์อุทรใด ๆ บัดนี้มีคำแนะนำสำหรับเลือกทางเข้าสู่ครรภ์อุทรอันไม่บริสุทธิ์ในสังสารวัฏ จงตั้งใจฟังให้ดี เบื้องแรก จงพิศดูดินแดน ที่ท่านกำลังจะไปสู่ด้วยอำนาจประสาทสัมผัสอันเหนือธรรมชาติและเลือกดินแดนที่พระธรรมได้เผยแพร่ไปถึง
 
" หากท่านจะต้องเกิดโดยพลันในมูลสัตว์อันโสมม ท่านจะเกิดความรู้สึกว่ามูลสัตว์เหล่านี้มีกลิ่นหอม ท่านปรารถนาจะชื่นชมมัน และจึงไปเกิดยังสถานที่แห่งนั้น ดังนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม จงอย่าหลงใหลข้องแวะกับมันเป็นอันขาด ทว่าจงระงับความปรารถนา และความก้าวร้าวเกลียดชังลง และเลือกทางเข้าสู่ครรภ์อุทรดังนี้
 
" บัดนี้ เป็นวาระสำคัญยิ่งที่ต้องแน่แก่ใจดังนี้ ' ข้า ฯ จะต้องไปเกิดเป็นจักรพรรดิแห่งสากลจักรวาลเพื่ออำนวยประโยชน์แก่สรรพสัตว์ หรือเกิดเป็นพระพรหมที่อำนวยประโยชน์แก่บริพารดุจต้นสาละใหญ่อำนวยประโยชน์แก่สรรพสัตว์ หรือถือกำเนิดเป็นทายาทพวกสิทธา หรือเกิดในครบครัวแห่งเชื้อสกุลแห่งธรรมะอันศักดิ์สิทธิ์ หรือในครอบครัวที่บิดาและมารดามีความศรัทธาแรงกล้าและได้ครอบครอง ร่างกายอันเปี่ยมไปด้วยคุณงามความดีเพื่ออำนวยประโยชน์แก่สรรพสัตว์ ข้า ฯ จะประกอบแต่กุศลกรรม ' โดยการแน่วแน่อยู่ในความคิด ดังกล่าวนี้ การเคลื่อนย้ายสู่ครรภ์อุทรจะบังเกิดขึ้น ในช่วงเวลานี้ท่านควรชื่นชมครรภ์มารดาเปรียบประดุจดังวิมานของทวยเทพ และวิงวอนต่อบรรดาเหล่าพุทธองค์ และองค์โพธิสัตว์ในทิศทั้งสิบ และหมู่ยิดัม โดยเฉพาะในองค์พระอวโลกิเตศวรพุทธะ และเข้าสู่ ครรภ์อุทรด้วยความปรารถนาเพื่อจะอำนวยสุขต่อสรรพสัตว์
 
" เป็นไปได้ที่อาจเกิดความผิดพลาดในการเลือกทางเข้าสู่ครรภ์อุทรโดยวิธีนี้ โดยการสำคัญว่าเส้นทางอันดีเลศเป็นเส้นทางอันต่ำช้า และแลเห็นเส้นทางอันต้ำทรามเป็นของดีวิเศษ โดยอิทธิพลจากวิบากกรรม ด้วยเหตุนี้การจดจำประเด็นสำคัญในคำสอนจึงเป็น เรื่องสำคัญยิ่ง ด้วยเหตุนี้พึงกระทำเช่นนี้ แม้ว่าทางเข้าสู่ครรภ์อุทรจะดูงดงามก็จงอย่าไว้ใจ และหากมันดูเลวทรามก็อย่าหยามเหยียด ความลับอันสำคัญ ลึกซึ้ง และเป็นสัจธรรมนั้นได้แก่ การเข้าสู่สภาวะสูงสุดแห่งดุลยภาพที่ปราศจากดีชั่ว ยอมรับหรือผลักไส มุ่งหวังหรือเกรี้ยวกราด
ทว่าในบุคคลที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ เป็นการยากที่จะขจัดโรคร้ายแห่งอาการใฝ่ต่ำได้ ดังนั้นเพื่อช่วยเหลือมิให้ไปอยู่ ท่ามกลางฝูงคนชั่ว คนต่ำทรามดังสัตว์ป่า หากว่าเขาไม่อาจหย่าขาดจากอารมณ์ปรารถนาและความก้าวร้าวด้วยวิธีนี้ ผู้อ่านควรเรียก ชื่อผู้ตายอีกครั้งและกล่าวถ้อยคำต่อไปนี้
 
" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล หากท่านไม่ล่วงรู้ว่าจะเลือกหนทางเข้าสู่ครรภ์อุทรได้ด้วยวิธีใด และไม่อาจกำจัดอารมณ์ปรารถนา และความ ก้าวร้าวได้ ไม่ว่าประสบการณ์ดังกล่าวข้างต้นจะบังเกิดในรูปแบบใด จงขานพระรัตนตรัยและขอถือเอาเป็นสรณะ จงรออ้อนวอนต่อองค์พระอวโลกิเตศวรเจ้า เดินหน้าต่อไป เชิดศีรษะให้ตรง ละทิ้งความผูกพันข้องแวะและเพรียกหาญาติมิตรเพื่อนฝูง บุตรและธิดาที่ท่านได้ทิ้งไว้เบื้องหลัง พวกเขาไม่อาจช่วยเหลือท่านได้ จงมุ่งสู่แสงสีครามของมนุษย์และแสงสีขาวแห่งเทวดาภูมิ เข้าสู่พระราชวังอัญมณีและวนาอันรื่นรมย์


หัวข้อ: Re: คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead]
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 17 มิถุนายน 2553 21:23:22
คำสวดควรท่องขานถึงเจ็ดวาระ ครั้นแล้วผู้อ่านควรอ้อนวอนต่อองค์พุทธะและหมู่โพธิสัตว์และอ่าน " บทสวดแห่งบาร์โดที่ปกป้องจาก ความหวาดกลัว " " วลีสำคัญในบาร์โด " และ " การปลดปล่อยให้รอดจากหนทางอันตรายในบาร์โด " ถึงเจ็ดวาระ ครั้นแล้วจึงอ่าน " คัมภีร์วิมุตติโดยการสวมใส่ ซึ่งปล่อยขันธ์ทั้งห้า " และ " คัมภีร์ฝึกฝนประจำวันซึ่งปลดปล่อยให้พ้นจากการหลั่งไหลมัวเมา " อย่างชัดถ้อยชัดคำและถูกต้อง
 
ด้วยเหตุนั้นโดยการประกอบกิจอย่างถูกต้อง หมู่วิปัสสนาจารย์ที่สำเร็จซึ่งอำนาจวิปัสสนาญาณชั้นสูง จะสามารถปลดปล่อยดวงวิญญาณ ได้ในบาร์โดชั่วขณะก่อนตายและไม่จำเป็นต้องเร่ร่อนในบาร์โดสภาวะ แต่จะล่วงผ่านมันและได้รับซึ่งวิมุตติสุขได้ เขาเหล่านั้นบุคคลผู้มี ประสบการณ์เพียงไม่กี่คนจะระลึกได้ถึง แสงสุกใสแห่งธรรมดา ภายหลังภาวะบาร์โดแห่งชั่วขณะก่อนตาย และล่วงผ่านเสียได้ กลับกลายเป็นองค์พุทธ ผู้ที่อยู่ต่ำกว่าเขาจักถูกปลดปล่อยตามผลแห่งกรรมในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง เมื่อภาพสะท้อนอันสันติและโกรธเกรี้ยว ปรากฏในบาร์โดแห่งธรรมดาในระหว่างช่วงสัปดาห์ถัดมา เนื่องจากบาร์โดสภาวะมีหลายขั้นด้วยกัน พวกเขาจะรู้ว่าขั้นใดที่เหมาะสม และบรรลุวิมุตติในขั้นนั้น
 
ทว่าในบุคคลที่มีกุศลกรรมอันเบาบางและครอบครองซึ่งม่านพิกลพิการทางจิตและอกุศลกรรมอันอัปประมาณ จะมุ่งหน้าต่ำลงสู่บาร์โดแห่งการแปรเปลี่ยน แต่เนื่องด้วยความหลากหลายของคำสอนที่เปรียบประดุจดังขั้นบันไดอันแตกต่างกัน หากเขาผู้มีกุศลกรรม อันเบาบางมิอาจทำการระลึกได้จากคำอ่านข้างต้นและยังถูกครอบงำด้วยความหวาดหวั่น ก็ยังคงมีกลุ่มของคำชี้แนะเพื่อทำการปิดกั้น ทางเข้าสู่ครรภ์อุทร หรือเลือกเฟ้นทางเข้าสู่ครรภ์อุทรขั้นใดขั้นหนึ่ง และเชื่อถือในอารมณ์ ( วัตถุ ) แห่งสมาธิภาวนาประเภทใด ประเภทหนึ่งและเข้าสู่สภาวะชั้นสูงสุดแห่งคุณธรรมอันประมาณค่ามิได้
 
แม้กระทั่งในสัตว์ที่ต่ำช้าเหลือประมาณ เช่น สัตว์ป่า ย่อมจักเลื่อนภูมิตนเองขึ้นมาได้โดยอาศัยคุณธรรมแห่งการถือไตรสรณคมน์ พวกมันย่อมครองร่างมนุษย์อันล้ำค่าที่เคลื่อนไหวได้สะดวก มีโอกาสประกอบกิจต่าง ๆ ได้ และในชีวิตใหม่ย่อมจะได้พบกับ วิปัสสนาจารย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ กัลยาณมิตร พวกเขาย่อมจะได้รับการสอนสั่งและได้พบกับวิมุตติสุข
 
ถ้าคำสอนเหล่านี้ได้รับการถ่ายทอดในช่วงบาร์โดแห่งการแปรเปลี่ยน คำสอนจะทำให้กุศลกรรมมีอำนาจแรงกล้า เปรียบดังการสอดท่อยาว ลงในช่องน้ำที่แยกออก แม้กระทั่งในบุคคลที่ประกอบอกุศลกรรมหนักก็ยังได้รับการปลดปล่อยสู่วิมุตติสุข เหตุไฉนจึงเป็นดังนั้น ? เพราะว่าในช่วงที่เขาเร่ร่อนอยู่ในบาร์โดภาวะ การเชิญเชื้อจากเหล่าพระพุทธองค์และทวยเทพทั้สันติและดุร้าย อีกทั้งการยวนยั่วแห่งอำนาจ ใฝ่ต่ำจะปรากฏตนขึ้นพร้อมกัน ดังนั้น เพียงแต่ได้สดับคำสอนในเวลานี้ ท่าทีแห่งจิตของเขาย่อมจะได้รับอานิสงส์จากคำสอน และเข้าสู่วิมุตติภาวะ สาเหตุที่เขาได้รับอานิสงส์โดยง่ายนั้นเป็นเพราะกายทิพย์ของเขานั้นปราศจากชีวิตเนื้อหนังและโลหิต ไม่ว่าพวกเขา จะเร่ร่อนไปไกลสักเพียงใด พวกเขาย่อมแลเห็นและได้ยินโดยอาศัยประสาทสัมผัสอันเหนือธรรมชาติศซึ่งมีส่วนช่วยพวกเขาได้มาก เมื่อใดที่เขาทำความเข้าใจคำสอนได้ จิตของพวกเขาจะได้รับอานิสงส์ในทันที เปรียบประดุจอุปกรณ์เยี่ยงหนังยาง หรือลำต้นไม้ใหญ่ ๆ ที่ไม่อาจเคลื่อนย้ายได้แม้จะอาศัยชายฉกรรจ์นับร้อย ๆ ทว่าเมื่อมันถูกนำไปลอยบนผืนน้ำ บุคคลเพียงคนเดียวก็สามารถโยกย้ายมันไปได้ ทุกที่ตามใจปรารถนา ประดุจดังการควบคุมม้าป่าด้วยบังเหียร
 
ด้วยเหตุนี้ ผู้อ่านควรอยู่ใกล้ผู้ตาย และหากซากศพยังคงมิได้ปลงให้ล่วงไป กัลยาณมิตรของเขาควรอ่านทวนข้อความในคัมภีร์จนกระทั่ง เลือดและน้ำเลือดได้ไหลออกจากช่องจมูก ช่วงเวลานั้นควรห้ามมิให้มีการรบกวนซากศพ ข้อพึงปฏิบัติคือไม่ควรฆ่าสัตว์เพื่ออุทิศแก่ผู้ตาย ขณะที่ตั้งศพประกอบพิธี มิตรสหายและญาติไม่ควรคร่ำครวญและเศร้าโศก ซึ่งอาจจะไปกระทำที่อื่นได้ และควรประพฤติกุศลกรรมให้ มากเท่าที่จะมากได้
พร้อม ๆ กับคำสอนแห่งคัมภีร์ " มหาวิมุตติโดยการสดับฟัง " นี้ จะเป็นการดียิ่งถ้าคัมภีร์หรือคำสอนอันมีคุณค่าจะได้รับการอ่าน ต่อท้ายคัมภีร์นี้ ซึ่งผู้อ่านจำจะต้องอ่านอย่างต่อเนื่อง และพยายามทำความเข้าใจความหมายและถ้อยคำให้แจ่มแจ้ง จวบจนเมื่อความตาย ได้มาถึงจุดวิกฤตและสัญญาณแห่งความตายได้ประจักษ์ชัด หากบุคคลยังมีสภาพรู้สึกตัว เขาควรอ่านคัมภีร์ด้วยตนเอง ออกเสียงดัง และเพ่งจิตพินิจถ้อยคำด้วย แต่หากเป็นไปไม่ได้ กัลยาณมิตรของเขาควรทำหน้าที่ดังกล่าวแทน เพราะคำสอนสั่งในคัมภีร์เล่มนี้ จะช่วยเหลือผู้ตายได้แน่นอน คำสอนนี้ไม่จำเป็นต้องมีการฝึกฝนใด ๆ มันเป็นคำสอนอันลึกซึ้งที่จะปลดปล่อยผู้ตายได้แม้เพียงแลเห็น ได้ยิน และได้ฟัง คำสอนนี้นำคนบาปผ่านหนทางอันลึกลับ หากเขาไม่หลงลืมถ้อยคำและความหมายขอบมันแม้จะถูกตามล่าโดยสุนัขร้าย ถึงเจ็ดตัว คำสอนนี้ก็จะช่วยปลดปล่อยเขาสู่วิมุตติสุขในบาร์โดชั่วขณะก่อนตาย ไม่ว่าพุทธในอดีต ปัจจุบัน และที่แสวงหาภายภาคหน้า จะไม่พบคำสอนใดทรงค่าไปกว่านี้
 
คำสอนในบาร์โดที่ปลดปล่อยเหล่าสรรพสัตว์
เป็นแก่นสารคำสอนอันลึกซึ้ง ซึ่งปลดปล่อยโดยอาศัยการสดับฟัง
คำสอนนี้ถูกค้นพบโดยท่านสิทธา กรรมมะ ลิงปะ
ในหุบเขา กัมโป - ดาร์ ขอประโยชน์สุข
จงมีต่อสรรพสัตว์ผุ้ทุกข์ยากทั้งหลาย
 
 
สรรพมงคล


หัวข้อ: Re: คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead]
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 17 มิถุนายน 2553 21:23:54
(http://www.alleephotography.com/uploads/processed/0851/0812152129191tibet__tanka.jpg)



บทสวดเพื่อสร้างกำลังใจ


บทสวดเพื่อสร้างกำลังใจเหล่านี้ได้มาจากคลังตำราที่ข้องเกี่ยวกับคัมภีร์มรณศาสตร์ ตำราเหล่านี้เป็นแบบฝึกหัดให้บุคคล ได้ทำการเผชิญหน้ากับบาร์โดสภาวะเสียแต่ต้นมือ คาถาหลายคาถาจากตำราดังกล่าวถูกนำไปใช้เป็นคำชี้แนะแก่ผุ้ตาย คำสามัญ ที่มักแปลกันง่าย ๆ ว่าบทสวดมีความหมายตามอักขระว่า " วิถี-ปรารถนา " อันมิได้หมายถึงการอ้อนวอน พร่ำขอต่อเทพศักดิ์สิทธิ์ ภายนอก หากหมายถึงกระบวนวิธีชำระจิตใจให้ผ่องแผ้วและการควบคุมมโนกรรม บทสวดดังกล่าวสร้างกำลังใจด้วย ปลุกความต้องการ โดยธรรมชาติของมนุษย์ที่จะประกอบกุศลกรรม อันทำให้บุคคลสามารถบรรลุถึงเป้าหมายได้

 
บทสวดดลบันดาล
อัญเชิญพุทธองค์และเหล่าโพธิสัตว์
เพื่อคุ้มครองชีพ
 
เมื่อถึงวาระการจากไปของคนที่เรารัก เราควรจะสวดอัญเชิญบรรดาเหล่าพุทธองค์และพระโพธิสัตว์เพื่อให้มาคุ้มครองและบอกทาง ต่อเขาเหล่านั้น เราจำต้องถวายสักการะต่อพระรัตนตรัยด้วยเครื่องบูชาและจิตใจ ให้ท่านถือของหอมไว้ในมือและกล่าวถ้อยคำต่อไปนี้ ด้วยจิตใจอันแน่วแน่

พระพุทธองค์และเหล่าโพธิสัตว์ในทิศทั้งสิบ ผู้ทรงไว้ซึ่งความกรุณา ล่วงรู้ในทุกสิ่ง ครอบครองซึ่งดวงตาห้าประการ ผู้ประทาน ซึ่งความรัก ปกป้องสรรพสัตว์ทั้งหลาย โปรดเสด็จมายังสถานที่นี้โดยอำนาจแห่งความกรุณา และรับเอาเครื่องสักการะบูชาพร้อมด้วย บริวารเหล่านี้

พระพุทธองค์ผู้ทรงไว้ซึ่งความกรุณา ตั้งมั่นอยู่ในปัญญารอบรู้เปี่ยมด้วยเมตตาธรรม ประกอบกิจอันเลิศด้วยกุศลกรรม และทรงอำนาจพละ แห่งการปกปักษ์รักษาที่ยากจะหยั่งคำนวนได้ พระผู้ทรงซึ่งความกรุณาทั้งปวงในไตรภพ บุคคลผู้นี้ ( ชื่อ ) กำลังผละจากดินแดนนี้ สู่อีกฟากฝั่งหนึ่ง เขากำลังจะดับชีพลงโดยหลีกเลี่ยงมิได้ เขาปราศจากซึ่งมิตรสหาย เขาได้ทนทุกข์ทรมาณอย่างหาที่เปรียบมิได้ เขาไร้ซึ่งที่พักพิง เขาไร้ซึ่งผู้คุ้มครอง เขาไร้ซึ่งกัลยาณมิตร แสงสว่างแห่งชีวิตนี้ได้มามอดดับลง เขากำลังเดินทางไปสู่อีกโลกหนึ่ง ไปสู่ความมืดมนอนธกาล เขาได้พลัดตกจากเงื้อมผาสู่ห้วงเหว เขาได้หลงทางอยู่ในพนาพฤกษ์ ถูกฉุดรั้งไปด้วยผลแห่งกรรม เขาไปสู่ความทารุณโหดร้ายอันใหญ่หลวง เขาได้ถูกพัดพาโดยมหานที ถูกซัดโถมด้วยพายุร้ายแห่งผลกรรม เขาได้ร่วงหล่นลงไปในที่ปราศจากผืนแผ่นดิน เขาได้เข้าสู่สนามสงครามอันเต็มไปด้วยเภทภัย เขาถูกเกาะกุมด้ยปิศาจร้าย ถูกข่มขู่ด้วยยมทูต เขาได้ผ่านภพแล้วภพเล่าด้ยผลกรรม ช่างสิ้นหวังทรมาณ เวลาแห่งการเดินทางไปอย่างโดดเดี่ยวโดยปราศจาก ญาติมิตรได้มาถึงแล้วสำหรับเขา

พระผู้ทรงไว้ซึ่งความกรุณา โปรดได้สงเคราะห์เขาด้วยเทอญ ให้ที่พักพิงแก่เขา ( ชื่อ ) ผู้ยากไร้ ปกป้องเขา คุ้มครองเขา นำเขาออกจาก ความมืดมนแห่งบาร์โด นำเขาหลบหลีกลมพายุแห่งผลกรรม ช่วยเหลือเขาจากความพรั่นพรึงที่มีต่อพญายมราช นำเขาผ่านหนทาง อันยาวไกลและมากด้วยอันตราย พระผู้ทรงไว้ซึ่งความกรุณาทั้งหลาย อย่าปล่อยให้กรุณาทานของท่านนั้นสูญเปล่าไร้ความหมาย โปรดเกื้อกูลเขา อย่าปล่อยให้เขาพลัดตกลงไปในภูมิอันต่ำช้าทั้งสาม ( นรกภูมิ เปรตภูมิ เดรัจฉานภูมิ ) โปรดอย่าหลงลืมมรรคกิจ ในกาลก่อนของท่าน ได้โปรดถ่ายทอดรัศมีแห่งความกรุณาให้แก่เขาด้วยเทอญ

พระพุทธองค์และเหล่าโพธิสัตว์ อย่าปล่อยให้กรุณาคุณและอุบายโกศลที่ท่านเอื้ออำนวยต่อผู้ตาย ( ชื่อ ) นั้นอ่อนแอ จงช่วยเหลือเขาด้วย อำนาจแห่งกรุณา อย่าปล่อยให้สัตว์ผุ้ทุกข์ทนได้ตกหล่นไปในอกุศลกรรมอันต่ำช้า

ขอพระรัตนตรัยเป็นสรณะ พาผ่านความทุกข์ทรมาณนานับบาร์โด
 
ควรกล่าวถ้อยคำนี้สามครั้งคราด้วยศรัทธาแรงกล้า ครั้นแล้วจึงควรอ่านคัมภีร์ " วิมุตติโดยการสดับฟัง " " บทสวดเพื่อสร้างกำลังใจ ให้ได้รับการปกป้องจากหนทางอันตรายในบาร์โดภาวะ " และ " บทสวดในบาร์โดภาวะเพื่อป้องกันอาการหวาดกลัว " ตามลำดับ


หัวข้อ: Re: คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead]
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 17 มิถุนายน 2553 21:24:26

(http://www.buddhanet.net/bhutan-gallery/images/Bodhi%2520Gaya%25202005%2520071.jpg)
 
คาถาสำคัญแห่งบาร์โดทั้งหก
 
 
 
บัดนี้เมื่อบาร์โดแห่งการเกิดได้ปรากฏต่อข้า ฯ แล้ว
ข้า ฯ จะสละทิ้งซึ่งความเกียจคร้านทั้งปวงเพราะไม่มีเวลา
ในช่วงชีวิตใดให้เราผลาญเปล่า
ข้า ฯ จะยาตรย่างสู่มรรคแห่งสิกขา การไตร่ตรองและ
สมาธิภาวนาโดยไม่แชเชือนไปเป็นอื่น
ข้า ฯ จะควบคุมตามนิมิตและจิตภาวะให้ดำเนินไปบนวิถี
และประจักษ์แจ้งในตรีกาย
บัดนี้ข้า ฯ ได้มาซึ่งกายแห่งมนุษย์อีกครั้ง
ไม่มีเวลาให้จิตได้ร่อนเร่อีกต่อไปแล้ว
 
บัดนี้เมื่อบาร์โดแห่งความฝันได้ปรากฏต่อข้า ฯ แล้ว
ข้า ฯ จะละทิ้งการหลับไหลในอวิชชาอันเปลือยเปล่า
ดุจซากศพไปเสีย
และปลดปล่อยความคิดให้เข้าสู่ภาวะปกติโดยปราศจาก
ความหวั่นไหว
ควบคุมและแปรเปลี่ยนความฝันสู่ภาวะสุกใส
ข้า ฯ จะไม่หลับใหลดังสัตว์ต่ำช้า
ทว่าจะประสานความหลับและการปฏิบัติให้เป็นหนึ่งเดียวกัน
 
บัดนี้เมื่อบาร์โดแห่งสมาธิภาวนาได้ปรากฏต่อข้า ฯ
ข้า ฯ จะสละทิ้งซึ่งมิตรสหายแห่งความฟุ้งซ่านและสับสน
และพักพิงอยู่ในสภาวะอันหาที่สุดมิได้ โดนฃยปราศจากความ
ใหลหลงและตื่นกลัว
หมดจดอยู่ในนิมิตและความหนักแน่น
ในห้วงแห่งสมาธิ จิตนั้นเป็นหนึ่ง ไม่ข้องแวะกับกิจใด ๆ
ข้า ฯ จะไม่เลี่ยงพล้ำสู่อานาจแห่งวิจิกิจฉา
 
บัดนี้เมื่อบาร์โดแห่งชั่วขณะก่อนอำลาร่างได้ปรากฏต่อข้า ฯ แล้ว
ข้า ฯ จะละทิ้งการข้องแวะ เกาะเกี่ยว ผูกพันทั้งปวงเสีย
มุ้งหน้าสู่การตระหนักแจ้งแห่งคำสอนอย่างกล้าหาญ
นำทางดวงวิญญาณลุล่วงสู่ที่ว่างแห่งจิตอันไร้การดิ้นรน
ข้า ฯ ได้สละเสียซึ่งกายอันชุ่มไปด้วยเลือดและผิวเนื้อ
และรับรู้ว่ามันเป็นเพียงมายาแปรเปลี่ยนที่ไม่แน่นอน
 
บัดนี้เมื่อบาร์โดแห่งธรรมดาได้ปรากฏต่อข้า ฯ แล้ว
ข้า ฯ จะละทิ้งซึ่งความคิดที่ข้องแวะอยู่ในความหวาดกลัว
และพรั่นพรึงให้สิ้น
ไม่ว่าจะมีสิ่งใดอุบัติขึ้น
ข้า ฯ จะเฝ้าเตือนตนว่าเป็นเพียงมายาจากใจข้า ฯ
และรับรู้ว่ามันเป็นเพียงนิมิตแห่งบาร์โด
ในที่สุดข้า ฯ ก็ได้มาถึงจุดเป็นตายแล้ว
ข้า ฯ จะไม่หวั่นไหวต่อเทพสันติหรือเทพพิโรธใด
อันเป็นภาพสะท้อนแห่งใจข้า ฯ เอง
 
บัดนี้เมื่อบาร์โดแห่งการแปรเปลี่ยนได้ปรากฏต่อข้า ฯ แล้ว
ข้า ฯ จะกำหนดจิตเป็นหนึ่งเดียว
และต่อสู้เพื่อธำรงไว้ซึ่งกุศลกรรม
ปิดทางผ่านเข้าออกแห่งครรภ์อุทร
ในช่วงเวลานี้ข้า ฯ จำต้องพึ่งพาซึ่งจิตอันประภัสสรและ
วิริยะบารมีทั้งปวง
ข้า ฯ จะละทิ้งซึ่งความริษยาอาฆาต และเพ่งสมาธิต่อ
องค์คุรุและศักติ
 
จากจิตอันโง่งมในอดีต ไม่ตระหนักถึงความตายที่
ย่างกรายเข้ามา
กระทำแต่กิจอันไร้แก่นสาร
การกลับคืนสู่สภาวะสูญเปล่าอีกครั้งย่อมก่อความรู้สึก
สับสนอันใหญ่หลวง
สิ่งสำคัญในที่นี้ได้แก่พุทธธรรมอันเลอค่า
เหตุไฉนจึงไม่หันหน้าสู่ธรรมะในครานี้
นี้คือถ้อยคำแห่งสิทธา
หากเธอไม่ประคองคำสอนแห่งคุรุผู้ยิ่งใหญ่ไว้ในดวงใจ
เธอจะมิเป็นมารหลอกตนเองดอกหรือ


หัวข้อ: Re: คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead]
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 17 มิถุนายน 2553 21:25:08
(http://www.buddhistelibrary.org/library/asst/img/medicine_buddha.jpg)


บทสวดเพื่อสร้างกำลังใจ
ให้ได้รับการปกปักจากหนทางอันตราย
ในบาร์โดภาวะ


 
ขอนอบน้อมคารวะต่อเหล่าคุรุ ยิดัม และทักคินี
ด้วยความรักและกรุณาคุณอันยิ่งใหญ่ของพวกท่าน
โปรดนำข้าผ่านหนทางนี้ด้วยเถิด
ผ่านความสับสนเหลือคณานับ ข้า ฯ จึงได้ร่อนเร่อยู่ในวัฏสงสาร
โดยอาศัยกำลังจิตอันแน่วแน่ของสิกขา การไตร่ตรองและสมาธิภาวนา
ขอให้เหล่าคุรุแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจงปรากฏเบื้องหน้าข้า ฯ
เหล่าศักติและหมู่ทักคินีโปรดคุ้มครองอยู่เบื้องหลัง
ช่วยพาข้า ฯ ข้ามผ่านหนทางอันตรายในบาร์โด
และนำข้า ฯ ไปสู่สภาวะบริสุทธิ์แห่งพุทธะ
 
ผ่านอวิชชาอันก้าวร้าว ข้า ฯ จึงร่อนเร่อยู่ในสังสารวัฏ
โดยอาศัยวิสุทธิมรรคแห่งปัญญาของธรรมธาตุ
ขอให้พระไวโจนพุทธผู้ศักดิ์สิทธิ์เสด็จอยู่เบื้องหน้าข้า ฯ
และองค์ศักติ ราชินีแห่งที่ว่างวัชระเสด็จอยู่เบื้องหลัง
นำข้า ฯ ผ่านหนทางอันตรายในบาร์โด
และนำข้า ฯ ไปสู่สภาวะบริสุทธิ์แห่งพุทธะ
 
ผ่านความก้าวร้าวอันแข็งกล้า ข้า ฯ จึงร่อนเร่อยู่ในสังสารวัฏ
โดยอาศัยมรรควิธีอันใสสว่างของภูมิปัญญาที่กระจ่างใสดุจกระจกเงา
ขอให้พระวัชรสัตวพุทธผู้ศักดิ์สิทธิ์เสด็จอยู่เบื้องหน้าข้า ฯ
และองค์ศักติ โลจนะเสด็จอยู่เบื้องหลัง
นำข้า ฯ ผ่านหนทางอันตรายในบาร์โด
และนำข้า ฯ ไปสู่สภาวะบริสุทธิ์แห่งพุทธะ
 
ผ่านทิฏฐิอันแรงจัด ข้า ฯ จึงร่อนเร่อยู่ในสังสารวัฏ
โดยอาศัยมรรควิธีอันใสสว่างของภูมิปัญญาแห่งความเท่าเทียม
ขอให้พระรัตนสัมภวพุทธผู้ศักดิ์สิทธิ์เสด็จอยู่เบื้องหน้าข้า ฯ
และองค์ศักติ มามากิ เสด็จอยู่เบื้องหลัง
นำข้า ฯ ผ่านหนทางอันตรายในบาร์โด
และนำข้า ฯ ไปสู่สภาวะบริสุทธิ์แห่งพุทธะ
 
ผ่านความริษยาอันยิ่งใหญ่ ข้า ฯ จึงร่อนเร่อยู่ในสังสารวัฏ
โดยอาศัยมรรควิธีอันกระจ่างแจ้งของภูมิปัญญาในการบรรลุถึง
ขอให้พระอโฆสิทธิพุทธ ผู้ศักดิ์สิทธิ์เสด็จอยู่เบื้องหน้าข้า ฯ
และองค์ศักติ สัมมายะ - ธารา เสด็จอยู่เบื้องหลัง
นำข้า ฯ ผ่านหนทางอันตรายในบาร์โด
และนำข้า ฯ ไปสู่สภาวะบริสุทธิ์แห่งพุทธะ
 
ผ่านอำนาจใฝ่ต่ำอันไม่รู้สึกตัว ข้า ฯ จึงร่อนเร่ไปในสังสารวัฏ
โดยอาศัยมรรควิธีอันกระจ่างแจ้งของภูมิปัญญาภายใน
ขอให้เหล่านักรบวิทยาธร ยุรยาตรอยู่เบื้องหน้าข้า ฯ
และองค์ชายาหมู่ทักคินี เสด็จอยู่เบื้องหลัง
นำข้า ฯ ผ่านหนทางอันตรายในบาร์โด
และนำข้า ฯ ไปสู่สภาวะบริสุทธิ์แห่งพุทธะ
 
ผ่านภาพมายาอันสับสนดุร้ายข้า ฯ จึงร่อนเร่อยู่ในสังสารวัฏ
โดยอาศัยมรรควิธีอันกระจ่างแจ้งของการละทิ้งซึ่งความหวาดกลัวทั้งปวง
ขอให้เหล่าพุทธองค์ทั้งในรูปสันติและพิโรธจงเสด็จอยู่เบื้องหน้าข้า ฯ
และองค์ทักคินี ราชินีแห่งอากาศว่างเสด็จอยู่เบื้องหลัง
นำข้า ฯ ผ่านหนทางอันตรายในบาร์โด
และนำข้า ฯ ไปสู่สภาวะบริสุทธิ์แห่งพุทธะ
ขอให้อากาศธาตุไม่ปรากฏตนในรูปปรปักษ์
ขอให้ข้า ฯ ได้แลเห็นภูมิแห่งพุทธองค์ผู้มีกายสีน้ำเงินขาว
ขอให้ธาตุน้ำไม่ปรากฏตนในรูปปรปักษ์
ขอให้ข้า ฯ ได้ประจักษ์เห็นภูมิแห่งพุทธองค์ผู้มีวรกายสีขาวนวล
ขอให้ธาตุดินไม่อุบัติตนในรูปปรปักษ์
ขอให้ข้า ฯ ได้ประจักษ์เห็นภูมิแห่งพุทธองค์ผู้มีวรกายสีเหลืองละมุน
ขอให้ธาตุไฟไม่อุบัติตนในรูปปรปักษ์
ขอให้ข้า ฯ ได้ประจักษ์เห็นภูมิแห่งพุทธองค์ผู้มีวรกายสีแดงเพลิง
ขอให้ธาตุลมไม่อุบัติตนในรูปปรปักษ์
ขอให้ข้า ฯ ได้ประจักษ์เห็นภูมิแห่งพุทธองค์ผู้มีวรกายสีเขียวมรกต
ขอให้ประภารัศมีแห่งธาตุทั้งหลายไม่อุบัติตนในรูปปรปักษ์
ขอให้ข้า ฯ ได้ประสบเห็นซึ่งภูมิแห่งพุทธองค์ทุกองค์
ขอให้ แสง สี และรัศมีไม่อุบัติขึ้นในรูปปรปักษ์
ขอให้ข้า ฯ ได้ประสบเห็นภูมิอันไม่สิ้นสุดแห่งเทพสันติและเทพพิโรธ
ขอให้ข้า ฯ ได้สดับเข้าใจในสำเนียงต่าง ๆ ดุจสุรเสียงจากตัวข้า
ขอให้ข้า ฯ ได้ประจักษ์เห็นแสงต่าง ๆ ดุจดังรัศมีจากตัวข้า ฯ
ขอให้ข้า ฯ ได้รับรู้รังสีต่าง ๆ ดังว่าเป็นรังสีจากตัวข้า ฯ เอง
ขอให้ข้า ฯ ได้รู้แจ้งสภาพในบาร์โดโดยพลันด้วยตนเอง
ขอให้ข้า ฯ บรรลุถึงซึ่งภูมิแห่งตรีกายด้วยเทอญ
 
* ( ขาด ช่วงปัทมสกุล แห่ง พระอมิตาภพุทธะ ไป ต้นฉบับเป็นแบบนี้
หนังสือพิมพ์พลาดไป หรืออย่างไร เดี๋ยวจะลองหามาดู


หัวข้อ: Re: คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead]
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 17 มิถุนายน 2553 21:25:28
(http://www.drukpamilacenter.com/images/chenrezig1.jpg)

*อง์เชนเรสิก หรือ พระอวโลกิเตศวร แบบธิเบต


บทสวดในบาร์โดภาวะ
เพื่อป้องกันอาการหวาดกลัว
 
เมื่อการเดินทางแห่งชีวิตข้า ได้มาถึงจุดสิ้นสุด
หามีมวลมิตรได้ติดตามข้า ฯ ไปจากโลกนี้
ข้า ฯ จึงร่อนเร่อยู่ในบาร์โดภาวะอย่างโดดเดี่ยว
ขอให้พระพุทธองค์ทั้งหลายทั้งกายสันติและกายพิโรธจง
แผ่อำนาจแห่งกรุณาอันไพศาลออกมา
และขจัดเสียซึ่งความดำมืดแห่งอวิชชา
 
เมื่อต้องผละลาจากมิตรสหาย และร่อนเร่อย่างโดดเดี่ยว
ภาพสะท้อนแห่งจิตอันได้แก่ " รูปอันว่างเปล่า " ได้ปรากฏขึ้น
ขอให้พระพุทธเจ้าทั้งหลายจงแผ่อำนาจอันเนื่องจากความกรุณา
เพื่อที่ความน่าสะพรึงกลัวในบาร์โด จะไม่อุบัติต่อข้า ฯ ด้วยเทอญ
 
ครั้นเมื่อแสงกระจ่างทั้งห้าดวงแห่งปัญญาได้ฉายฉานขึ้น
ขอให้ข้า ฯ ได้ตระหนักแจ้งในตัวเองอย่างไม่หวั่นไหว
เมื่อรูปกายแห่งตัวตนอันสันติและพิโรธปรากฏขึ้น
ขอให้ข้า ฯ จดจำได้ถึงบาร์โดภาวะอย่างไม่พรั่นพรึงและหวั่นไหว
 
เมื่อข้า ฯ ได้รับการทรมาณจากวิบากกรรม
ขอให้พระพุทธองค์ผู้ทรงสันติและพิโรธธรรมได้ขจัดความ
ทรมาณทั้งหลายแก่ข้า ฯ ด้วย
เมื่อเสียงแห่งธรรมดาได้คำรามก้องประดุจดังอสนีบาตนับพันนับหมื่น
ขอให้มันจงกลับกลายเป็นเสียงสาธยายมนต์แห่งคำสอนมหายานด้วยเทอญ
 
เมื่อข้า ฯ ต้องติดตามผลกรรมไป โดยปราศจากผู้เกื้อกูล
ขอให้พระพุทธองค์ทั้งหลายผู้ทรงสันติและพิโรธธรรมได้เกื้อกูลข้า ฯ
เมื่อข้า ฯ ได้รับทุกข์จากวิบากโดยอำนาจใฝ่ต่ำ
ขอให้อำนาจสมาธิจากความปีติสุขและกระจ่างใสได้บังเกิดขึ้นเทอญ
 
ในชั่วขณะแห่งการเกิดเองในบาร์โดแห่งการแปรเปลี่ยน
ขอให้คำสอนอันต่ำช้าแห่งมารอย่าได้อุบัติขึ้น
เมื่อข้า ฯ ได้ดำเนินถึงสถานที่อันตั้งใจโดยอำนาจเหนือธรรม
ขออย่าให้ความน่าสะพรึงกลัวอันเป็นมายาแห่งอกุศลกรรม
บังเกิดกับข้า ฯ เลย
 
เมื่อฝูงสัตว์ป่าอันดุร้ายออกล่าเหยื่อมันย่อมคำราม
ขอให้สุรเสียงของมันกลับกลายเป็นเสียงธรรมะ และอักขระทั้งหก
เมื่อข้า ฯ ถูกไล่ล่าโดย หิมะ ฝน ลม และความมืด
ขอให้ข้า ฯ ได้มีดวงตาเห็นธรรมอันศักดิ์สิทธิ์และใสกระจ่าง
 
ขอให้สรรพสัตว์ร่วมภูมิเดียวกับข้า ฯ ในบาร์โด
ได้ปลอดจากความริษยา และเกิดในสภาวะขั้นสูง
เมื่อความโหยหิวและกระหายถูกก่อหวอดโดยความปรารถนาต่ำช้า
ขอให้ความปวดร้าวทุกข์ทรมาณอันมีเหตุจากความโหยหิว
ความร้อนระอุ และความหนาวเหน็บปลาสนาการไป
 
เมื่อข้า ฯ ได้แลเห็นบิดรและมารดาในภายภพหน้าเสพสังวาสกัน
ขอนิมิตจงแปรเปลี่ยนเป็นพระพุทธองค์ผู้ทรงสันติและ
พิโรธธรรมกับองค์ชายา
ให้ข้า ฯ ได้รับอำนาจวิเศษอันสามารถเลือกที่เกิด
เพื่ออำนายประโยชน์แด่สรรพสัตว์
 
จากร่างกายอันเปี่ยมล้นสมบูรณ์ที่ข้า ฯ ได้รับมาในกาลนี้
ขอให้บุคคลที่ได้พบเห็นและสดับสำเนียงจากข้า ฯ
ได้รับวิมุตติสุขโดยพลัน
ขอให้ข้า ฯ ปลอดพ้นจากการติดตามซึ่งอกุศลกรรมของตนเอง
ทว่าได้แอบอิงและเพิ่มพูนในคุณงามความดีอันข้า ฯ ได้สั่งสมมา
 
ไม่ว่าข้า ฯ จะถือกำเนิดในที่ใดก็ตาม ณ ที่นั้น
ขอให้ข้า ฯ ได้พบกับองค์ยิดัมประจำชีวิตนี้อย่างไกล้ชิด
ได้เรียนรู้ถึงวิธีก้าวเดิน พูดจา นับแต่เกิด
ขอให้ข้า ฯ ได้รับอำนาจอันไม่หลงลืมและจดจำได้ถึงช่วงชีวิตที่ผ่านมา
 
ในทุกลำดับขั้นของการเรียนรู้ ทั้งสูงส่ง ปานกลาง และต่ำทราม
ขอให้ข้า ฯ ได้เข้าใจโดยการสดับฟัง ตริตรอง และพินิจดู
ไม่ว่าข้า ฯ จะจุติไปเกิดยังแห่งหนใด ขอให้สถานที่แห่นั้น
เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
ให้สรรพสัตว์ได้รับประโยชน์สุขจากข้า ฯ เทอญ
 
พระพุทธองค์ผู้ทรงสันติและพิโรธธรรม
ขอให้ข้าและปวงสัตว์
เป็นดังตัวท่าน ทรงคุณลักษณ์เยี่ยงท่าน
ครอบครองรูปกายเสมือนท่าน มีตราอันศักดิ์สิทธิ์ประจำตนดังท่าน
มากมายด้วยบริวารเยี่ยงท่าน ทรงชีวิตนิรันดร์กาล
และประจำอยู่ในภูมิดังท่านด้วยเทอญ
 
พระสมันตภัทรโพธิสัตว์เจ้า ผู้ทรงไว้ซึ่งสันติและพิโรธธรรม
มีกรุณาอันแผ่ไพศาลหาที่สุดมิได้
ด้วยอำนาจแห่งสัจจะของธรรมดาอันบริสุทธิ์
สานุศิษย์แห่งตันตระผู้แน่วแน่อยู่ในอำนาจสมาธิ
โปรดอวยพรให้บทสวดเพื่อสร้างกำลังใจนี้สำเร็จผลด้วยเทอญ


หัวข้อ: Re: คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead]
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 17 มิถุนายน 2553 21:25:52
เหลือ อภิธานศัพธ์ อธิบายศัพธ์ นิดเดียว วันหน้าเอามาลง จบเล่มเลย

กะจะลง การพิจารณาความตายแบบธิเบต อีก 2 เล่ม

วิชชาแห่งมรรคาหิมาลัย สายวัชรยาน ย่อลง ก็คือ การฝึกตายก่อนตาย นั่นเอง

ถ้ายังไม่บรรลุ ก็สามารถเลือก ภพภูมิ สถานที่เกิด เพื่อจะบำเพ็ญบารมีต่อได้

อย่าดูถูก แม้กระทั่ง วิธีง่าย ๆ เช่น การท่องมนตรา  ถึงแม้จะยังไม่บรรลุธรรมในชาตินี้

แต่สามารถใช้ได้ดีใน บาร์โด ท่องมนตรา ผูกกับ พระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์องค์ใด
ก็ถือเอา องค์นั้นเป็น เทพนิมิต ยิมดัมประจำตัว  ฝึกท่องมนตรา เจริญเมตตา เพ่งนิมิตง่าย ๆ

จนถึงวิชา มหามุทรา และ มหาอติ (กายรุ้ง)

ทุกวิชา ไม่ได้แยกขาดจากกัน ล้วนต่อกันเป็น ขั้น ๆ

เทพนิมิต พระอริยสัตว์ ยิดัม แบบต่าง  ๆ มีเป็นร้อย ๆ
 เอาไว้รองรับ สรรพสัตว์ที่อุปนิสัย วาสนาธรรม ต่างๆ กัน

บางท่าน เหมาะกับ  สาย พระมัญชุศรีโพธิสัตว์
บางท่าน เหมาะกับ  สาย พระวัชรสัตว์
บางท่าน เหมาะกับ  สาย พระอวโลกิเตศวรพันมือ
บางท่าน เหมาะกับ  สาย พระนางตารา
บางท่าน เหมาะกับ  สาย พระอมิตตา
บางท่าน เหมาะกับ  สาย พระวัชรปาณี

บางท่าน เหมาะกับ ........ฯลฯ

เป็นต้น  สาธุ



หัวข้อ: Re: คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead]
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 17 มิถุนายน 2553 22:51:06

(http://homepage.mac.com/soraj/KhadiravaniTara2.jpg)
Khadiravani Tara  ขทิรวัน ตารา


ทังก้า มันดาลา..... พุทธศิลป์ชั้นสูง

 (:88:)   http://www.sookjai.com/index.php?topic=934.0 (http://www.sookjai.com/index.php?topic=934.0)

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ ค่อยกลับมาอ่านต่อค่ะ