หัวข้อ: "ความหวังก่อนตาย" เริ่มหัวข้อโดย: ขม..ค่ะึึ ที่ 22 มิถุนายน 2553 11:26:04 (http://i174.photobucket.com/albums/w109/angelzz_2007/angel/5ec0fbad963d.gif) "ความหวังก่อนตาย" โดย สรจักร ศิริบริรักษ์ ตาเคยเห็นรอยเลือดจางเป็นจุดที่ด้านในของยกทรงครั้งแรก เมื่อก่อนพ่อแม่จะตายเพียงสองวัน จำได้ว่าตอนนั้นตกใจเล็กน้อย แม้จะอายุยี่สิบห้า แต่ตาก็ไม่รู้อะไรกับเรื่องทางสรีระมากนัก คิดเอาเองประสาคนต่างจังหวัดที่มีโอกาสรับข่าวสารน้อยว่า คงเป็นอาการนมคัดอย่างที่เคยได้ยิน ตาตั้งใจจะรอถามแม่ ซึ่งอยู่ระหว่างเร่ขายทุเรียนกวนตามงานวัด ทั้งฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง โดยมีพ่อเป็นคนขับ ทั้งสองไปทีละหลายวันถึงสัปดาห์ ครอบครัวของตาประกอบด้วยพ่อ ซึ่งเป็นอดีตจ่าทหารเรือสัตหีบ แม่เป็นลูกจ้างติดรถเร่ขายของตามงานวัด ทั้งสองแต่งงานกันง่ายๆแบบคนจนที่ดี พ่อลาออกเอาเงินบำเหน็จซื้อที่ขนาดพองามลงเงาะ ทุเรียน มังคุดได้อย่างละแปลง กลายเป็นไร่นาสวนผสมที่พอเลี้ยงชีพได้โดยอัตคัด ตา เป็นพี่สาวคนโต มีหน้าที่หุงหาอาหาร ดูแลงานบ้าน สามหน่อถัดจากตาเป็นผู้ชายสองและคนสุดท้ายเป็นผู้หญิง ภาระในการเลี้ยงส่งลูกทั้งสี่หนักหนาสากรรจ์ ตาถูกให้ออกโรงเรียนหลังจบชั้นป.๗ เพราะไม่เห็นประโยชน์ว่าทำไมผู้หญิงต้องเรียนสูง ความที่เคยอยู่รถเร่สมัยยังสาว แม่เห็นลู่ทางหารายได้โดยรับซื้อทุเรียนร่วงตามสวน ทดลองกวนขาย ความที่เป็นทุเรียนแท้ไม่เติมแป้งทำให้ติดตลาด และทำรายได้เพิ่มน่าพอใจ พ่อจึงเอา มอเตอร์ไซค์คู่กายมาต่อเป็นรถพ่วงขนวัตถุดิบ และพาแม่ไปขายทุเรียนกวนตามตลาดนัด ส่วนจักรยานคันเก่า น้องเก๋คนสุดท้องใช้เป็นพาหนะไปโรงเรียนที่ตั้งอยู่ห่างไปสิบกิโล ด้วยความคิดแบบทหาร พ่อให้ความสำคัญกับลูกชาย และส่งเสียเล่าเรียนเต็มที่ในฐานะผู้สืบสกุล พ่อมักพูดปลูกฝังลูกชายทั้งสองให้สอบเป็นนายร้อย ชดเชยความรู้สึกต่ำต้อยของพ่อ ความจนมักมากับความทุกข์ เมื่อน้องชายทั้งสองเรียนระดับอาชีวะ เช้าวันหนึ่งรถสองแถวที่บรรทุกนักเรียนเข้าเมืองเกิดเทกระจาด สองหนุ่มน้อยซึ่งแต่งตัวไปเรียนแต่เช้าถูกรถบรรทุกทับจนตายคาซากรถ ทั้งบ้านร่ำไห้เหมือนจะขาดใจ หลังจากพ่อแม่ทำใจกับการสูญเสียลูกชายได้ ตาจึงมีโอกาสหาความรู้ใส่ตนอีกครั้ง แต่ด้วยเรื้อโรงเรียนมานาน เธอจึงเลือกเรียนเย็บผ้า ด้วยหวังทำรายได้เสริมยามว่างจากสวน ส่วนน้องเก๋คนเล็กสุด และห่างจากเธอสิบปีได้รับการฟูมฟักเช่นไข่ในหิน ให้เป็นหน้าตาของพ่อแม่ ตายังจำคำของพ่อได้ว่า “ ดูแลน้องให้ดีนะลูก เคี่ยวเข็ญมันเข้า พ่อแม่ไม่มีปริญญาก็อยากเห็นลูกได้ปริญญาสักคน ” ความตายของลูกชายเปลี่ยนนิสัยพ่อ จากที่ไม่เคยฟังใคร กลายเป็นพ่อที่อบอุ่น สำหรับลูกสาวทั้งสอง พ่อมักพูดถึงความฝันของตัวเองให้ลูกฟังทุกวัน จนมันกลายเป็นภาระที่คน ในครอบครัวจะต้องช่วยกันส่งเสริมสมาชิกคนเล็กสุด ให้ได้รับพระราชทานปริญญาบัตรจาก มหาวิทยาลัยมีชื่อให้จงได้ ทุกข์ซ้ำกรรมซัด เสมือนเป็นคำสั่งเสีย หลังจากพ่อแม่เดินทางไปขายของงานวัดที่ศรีราชาเพียงสี่วัน ผู้มีพระคุณทั้งสองก็สังเวยชีวิตบนทางหลวง ขณะขับรถพ่วงข้างฝ่าลมหนาวกลับบ้าน ร่างของพ่อกระเด็นไปติดไม้ใหญ่ ทุเรียนกวน กระจายเกลื่อนถนนปนกับเลือดสีแดงฉาน จากร่างแม่ซึ่งขาดเป็นสองท่อน ตาล้มพับทันทีที่เพื่อนบ้านวิ่งมาแจ้งข่าว ดวงตะวันดับแล้วพร้อมจันทรา ถ้าไม่ใช่เพราะน้องสาวที่ยังเหลืออีกหนึ่งชีวิต ถ้าไม่ใช่เพราะความปรารถนาของพ่อตาก็ไม่รู้จะมีชีวิตต่อไปทำไม หลังพิธีศพผ่านพ้น หญิงสาวบอกตนเองว่า เธอมีภาระอันยิ่งใหญ่ประการหนึ่งคือ ส่งน้องเรียนปริญญาให้ได้ เมื่อเสร็จภารกิจ เธอจะปลงผมบวชตลอดชีวิต แผนการชีวิตถูกวางตามกำลังสมองที่มี เธอตัดสินใจพาน้องเข้าเมืองหลวงด้วยความ เชื่อว่าการอยู่เมืองหลวงจะทำให้น้องสาวฉลาด หูตากว้างไกล หญิงสาวพบสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารของพ่อมีเงินแปดพันกว่าบาท อาจฟังดูเล็กน้อยสำหรับคนกรุง แต่มากโขสำหรับชาวบ้านธรรมดาที่อยู่ในสังคมเกษตร หญิงสาวถือสมุดไปขอถอนเงินเพื่อใช้เป็นทุนเข้ากรุงเทพฯ ธนาคารปฏิเสธการจ่าย เพราะ เธอไม่ใช่เจ้าของบัญชี เธอคู้ตัวไหว้แล้วไหว้อีกจากโต๊ะนี้ไปโต๊ะโน้น ทุกคนตอบห้วนๆว่าผิดระเบียบ จนถึงผู้จัดการใหญ่ซึ่งอธิบายว่า มรณบัตรของพ่อแม่ไม่ช่วยให้ธนาคารฝ่าฝืนระเบียบได้ มีทางเดียวคือเธอต้องร้องต่อศาล ขอเป็นผู้จัดการมรดกของบิดามารดา คนจนไม่มีอำนาจต่อกร เธอหมดปัญญาเอาความกับธนาคาร จำต้องทิ้งเงินไป หญิงสาวตัดใจขายที่สวนในราคาไร่ละห้าพันบาท ได้เงินแปดหมื่น พาน้องสาวเข้า เรียนต่อที่กรุงเทพฯ เป็นครั้งแรกที่สองพี่น้องได้สัมผัสกรุงเทพฯด้วยตนเอง อากาศเหม็นแสบจมูก เต็ม ด้วยฝุ่น ผู้คนมากมายล้วนหน้าดำคร่ำเครียด เดินขวักไขว่เหมือนมดปลวก เพื่อนสมัยเรียนด้วยกันที่ระยองมารับเธอตามที่มีจดหมายบอก สองพี่น้องเช่าห้องเล็กๆ ชานกรุงเทพฯใกล้บ้านเช่าของเพื่อนเป็นที่ซุกหัวนอน หญิงสาวแบ่งเงินซื้อจักรมือสองรับงานเย็บผ้าจากโรงงาน รายได้ไม่มากแต่พอดำรง ชีวิตให้ผ่านคืนวันไปได้ และด้วยปณิธานอันมุ่งมั่นเธอก็พาน้องไปสอบเรียนต่อม.๔ อันที่จริงการเรียนของเก๋ก็อยู่ในระดับดีมากตามมาตรฐานต่างจังหวัด แต่ที่นี่ เด็กสาวติดอันดับสำรองเกือบสุดท้าย ตาเป็นคนพาน้องสาวไปกราบตักครูใหญ่เพื่อขอความกรุณา น้ำตาแห่งความทุกข์ยากราดรดโคนต้นไม้แห่งความปรานีในหัวใจครูใหญ่ จนผลิดอกออกผล ในท้องฟ้าอับโชค บางครั้งเมฆขาวก็ลอยผ่านมาพอได้เห็น อาการเลือดออกจากหัวนมของตายังเกิดเป็นระยะ แต่ไม่มีอะไรร้ายแรง นอกจากเจ็บตึงเป็นบางครั้งและมีตกขาวร่วมด้วย เธอเคยปรารภกับเพื่อนแบบอายๆ "สงสัยว่าจะเกิดจากการถีบจักรวันละสิบสี่ชั่วโมง" วันรุ่งขึ้นเพื่อนรักเอายาแคปซูลมาให้สามชุด กินแล้วไม่ดีขึ้น หลังจากนั้นเพื่อนมักแวะเวียนเอายารูปร่างแปลกๆมาฝากเสมอ ส่วนเก๋นั้นเป็นเด็กดี แต่งตัวไปเรียนแต่ก่อนสว่าง กลับบ้านช่วยพี่สาวเย็บผ้า ซักเสื้อผ้า ทำกับข้าว ดูแลความสะอาดห้องขนาดสี่คูณสี่เมตร ว่างจากนั้นก็ท่องตำราทำการบ้าน ตลอดสามปีที่ย้ายมากรุงเทพฯ สองพี่น้องไม่เคยพักผ่อน ดูหนัง ดูละคร อาหารหลักที่ทำไว้กินครั้งละหลายๆ วันก็คือแกงส้มหรือไม่ก็ต้มจับฉ่าย เก๋ทำหน้ายุ่งยากทุกครั้งที่พี่สาวถามเรื่องผลการเรียน เธอไม่อยากทำให้พี่สาวผิดหวังในตัวเธอ ความฝันสูงสุดคือได้เห็นน้องสาวขึ้นรับพระราชทานปริญญาบัตร พ่อแม่คงมองเห็นจากสวรรค์เบื้องบน ตาอ่านใบแจ้งผลการเรียนไม่เข้าใจ เพราะสมัยที่เธอเรียนใช้ระบบเปอร์เซนต์ เธอนำไปปรึกษาเพื่อน “ วิชาอื่นก็ดีหรอกนะ เว้นแต่ภาษาอังกฤษ น้องเธอตกภาษารู้ไหม ? เด็กต่างจังหวัด ส่วนใหญ่ก็เป็นอย่างนี้ ลูกคนกรุงเทพฯดูเคเบิ้ลทีวี ดูหนังฝรั่ง ฟังเพลงฝรั่ง พวกเราสู้เขาไม่ได้หรอก ” เพื่อนสาวแนะนำอย่างคนเห็นโลกมามาก “ ถ้าเรียนพิเศษเพิ่มจะดีไหมนะ ? ” ตาขมวดคิ้ว ใบหน้าผอมเต็มไปด้วยริ้วรอย กังวล ดูเผินๆเหมือนอายุสี่สิบ โอ๊ย ! ดีอยู่แล้ว แต่เงินล่ะ จะเอาเงินมาจากไหน ? เดือนละสามสี่พันเชียวนะเธอ อย่านึกว่าขี้ไก่ เก็บเงินไว้ซื้อเนื้อซื้อปลากินเองเถอะ ผอมจะเป็นผีดิบอยู่แล้ว ” สามปีในกรุงเทพฯ สุขภาพของหญิงสาวทรุดโทรมลงอย่างมาก อาจเป็นเพราะ อากาศสกปรกหรือความอับทึบของห้องเช่า หรือมุงานเกินไป ระยะหลังนอกจากจะมีก้อนแข็งในเต้านมแล้ว เธอยังมีระดูขาวออกกะปริบกะปรอยถี่ขึ้น กลิ่นเหม็นคาวสกปรกตาเจียดเงินฝากเพื่อนซื้อยาต้ม “ มุตกิดระดูขาว ” เธอบอกเพื่อนเช่นนั้น เพื่อนแนะนำให้ไปหาหมอ เธอปฏิเสธเพราะค่ายาคงหลายร้อย “ พี่เป็นอะไร ? ” เก๋ถามเมื่อได้กลิ่นสมุนไพรจากหม้อต้มยาน้ำดำ “ ตกขาว ” เธอไม่เคยบอกน้องเรื่องความผิดปกติมากกว่านั้น “ ไปหาหมอดีกว่านะ หลังๆนี้พี่ดูซูบจังเลย ” “ ไม่หรอก....เสียดายเงิน อยากเก็บไว้ให้เก๋เรียนพิเศษมากกว่า อีกสองเดือนก็สอบไล่แล้วนี่ ” เก๋ปฏิเสธไม่ยอมเรียนพิเศษ ไม่ว่าจะบังคับอย่างไร เว้นแต่ว่าพี่สาวจะยอมไปหาหมอที่โรงพยาบาล การไปหาหมอเป็นเรื่องใหญ่ ค่ารักษา รายได้ที่ต้องเสียจากการหยุดงานทั้งวัน และความรู้สึกอับอายที่ต้องเปลื้องผ้าให้หมอตรวจตรงนั้น ตาแทบทำใจไม่ได้ ขณะนั่งรอแพทย์ตั้งแต่แปดโมงเช้าจนสิบโมง ผู้คนขวักไขว่นั่งนอนยืนเดินบนทางเดินแคบๆ บางคนผอมเหมือนตายซาก มี น้ำหนองเฟะที่แผล กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อเหม็นแทบเป็นลม เธออยากลุกวิ่งหนีออกมาจากสถานที่แห่งความหดหู่ หญิงสาวมิได้อาทรสุขภาพของตนเอง เธอยอมมาโรงพยาบาลเพื่อน้อง พยาบาลเรียกเธอเข้าไปในห้อง หมอหนุ่มถามเธอด้วยคำถามน่าอับอาย มีสามีหรือยัง ?มีเพศสัมพันธ์กับใครบ้าง ? ไม่มีเลยหรือ ? จริงหรือ ? อย่าโกหกหมอนะ และยังสั่งให้เธอถอดเสื้อผ้า ตรวจภายใน เธอน้ำตาไหลพราก เมื่อหมอใช้มือคลำหน้าอก รู้สึกว่าเอาความเป็นหญิงที่สงวนมาตลอด ชีวิตถูกช่วงชิงไปเสียแล้วโดยชายแปลกหน้าที่อ้างตัวว่าเป็นหมอ พยาบาลเรียกเธอขึ้นนอนบนเตียงมีขาหยั่ง เจ็บแปล๊บเมื่อถูกตัดชิ้นเนื้อขนาดเม็ดถั่วไปตรวจ เธอไม่เข้าใจ และไม่มีเจ้าหน้าที่คนใดอธิบายให้เธอเข้าใจ ในสัปดาห์ต่อมา เมื่อโหนรถเมล์ไปฟังผลการตรวจตามที่หมอนัด เธอก็พบกับหมอ ที่เคยตรวจและหมอผู้หญิงแก่ๆอีกคน ทั้งสองมีสีหน้าไม่สู้ดี สบตากันก่อนจะบอกเธอว่า เธอเป็นมะเร็งลุกลามทั่วตัวแล้ว การใช้ยาบำบัดอาจช่วยต่อชีวิตไปได้ ๕๐% ทั้งสองพูดอะไรอีกบางอย่าง เช่นว่า หากมารักษาแต่เนิ่นๆ ก็หายขาดได้ แต่ตาไม่ได้ยิน ในสมองอื้ออึงเหมือนมีพายุพัด ตาไม่รู้ว่าตัวเองเดินออกจากโรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อไร ไม่มีน้ำตาของความเจ็บปวด เธอเจ็บปวดมามากพอแล้ว ในสมองก้องด้วยคำว่า “ มะเร็งระยะลุกลาม ” หมอบอกค่ายาเข็มละห้าร้อยบาท ต้องฉีดทุกสัปดาห์เพียงเพื่อยืดเวลาชีวิตไปอีกระยะ เมื่อลงรถเมล์ หญิงสาวก้าวข้ามถนนไปยังโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษที่หรูหรา พนักงานชุดฟอร์มสีม่วงมองการแต่งกายของเธอด้วยสายตาเหยียด อากาศเย็นยะเยือกจากแอร์ทำให้ร่างผอมสั่นสะท้าน เธอกำมัดเงินที่เตรียมไว้เป็นค่ายาจนชุ่มด้วยเหงื่อ มีเพียงสองทางเลือกสำหรับคนจนอย่างเธอ...ตัวเองหรือน้อง ? “ สมัครติววิชาให้น้องค่ะ ” เธอตัดสินใจเด็ดขาด การที่เก๋ได้ติวภาษาอังกฤษและอื่นๆ กลับยิ่งทำให้เธอขาดความมั่นใจ ที่โรงเรียนมีผู้คนมากมาย เด็กส่วนใหญ่มีรถขับมาเรียน แต่งกายสวยงาม พูดไทยปนอังกฤษ เพื่อนร่วมชั้นพากันหัวเราะเมื่อได้ยินเธออ่านออกเสียงภาษาอังกฤษหน้าชั้น เก๋เครียด ภาระที่พ่อสั่งเสียหนักนัก เธอพยายามตั้งใจเรียน แต่ไม่อาจฝ่าข้ามขีดจำกัดของตนเองได้ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ เก๋เชื่ออย่างฝังใจว่า "ถ้าเธอทำคะแนนทดสอบเอนทรานซ์แบบจำลองที่สถาบันแห่งนี้จัดทำได้ถึงครึ่ง เธอก็จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ และในทางกลับกันถ้าเธอไม่ผ่านการทดสอบ เธอก็หมดโอกาสเข้ามหาวิทยาลัยปิดที่ทุกคนคาดหวัง" หากพ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ เธออาจร้องขอความเห็นใจ แต่นี่...ประตูปิดตายแล้ว เหลืออีกเพียงสี่เดือนก็ถึงเวลาสอบเอนทรานซ์ เก๋ทุ่มตัวสอบเต็มที่กับการทดสอบ เอนทรานซ์แบบจำลองของสถาบันติววิชา ตาสังเกตเห็นความเครียดของน้องสาว ซึ่งเชื่อมั่นอย่างไม่มีทางโน้มน้าวให้เป็นอย่างอื่น “ ถ้าหนูทำแบบทดสอบของสถาบันไม่ได้ หนูก็จะไม่สอบเอนทรานซ์ เพราะ อาจารย์บอกว่าไม่เคยมีใครที่ตกการทดสอบที่นี่จะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ” ก่อนทดสอบ ๑ วันเก๋แทบไม่นอน คืนนั้นเด็กสาวนั่งท่องตำราจนตีสอง และตื่นตีสี่ กว่าอ่านหนังสือต่อ เห็นชัดว่าเธอเครียดมาก ดูมันยิ่งใหญ่กว่าการสอบเอนทรานซ์จริงๆเสียอีก เธอออกจากบ้านไปสอบที่สถาบันหน้าปากซอยตั้งแต่หกโมงเช้า ค่ำวันนั้นเธอกลับมาด้วยอาการกะปลกกะเปลี้ย ไม่พูดจา ตาเปิดพัดลมไล่อากาศอบอ้าว ปล่อยให้น้องนอนนิ่งๆโดยไม่กวนใจ หลังจากนั้นนับชั่วโมงเธอจึงพูดเบาๆ แล้วสะอื้น “ ไม่มีทางหรอกพี่ หนูทำไม่ได้ ” ตากอดน้องสาว รู้ดีว่าการทดสอบครั้งนี้สำคัญมากเพียงใด หลังจากวันนั้น เก๋มักจะนั่งเหม่อลอย รอผลการทดสอบซึ่งจะส่งมาให้ทางไปรษณีย์ สายวันหนึ่ง ขณะที่เก๋ไปโรงเรียน บุรุษไปรษณีย์ก็นำจดหมายจากสถาบันกวดวิชามาส่ง ตาออกไปรับ เธอเปิดอ่านผลการทดสอบด้วยมือสั่นเทา ร่างของเธอซวนเซเล็กน้อย ครู่หนึ่ง ตาก็แต่งตัวออกจากบ้านตกเย็นเมื่อเก๋กลับมาถึงบ้าน ตายื่นจดหมายให้ มันคือจดหมายฉบับเมื่อเช้า เก๋เปิดอ่านด้วยท่าทีลังเลและกลัวเนื้อความในจดหมาย เธอพึมพำน้ำตาไหล “ ไม่น่าเชื่อเลยพี่ หนูคิดว่าตัวเองทำได้ไม่ถึงครึ่ง ” หลัง วันนั้นเก๋เกิดความเชื่อมั่นอย่างมาก เธอมุมานะดูหนังสือจนสอบผ่านอย่างสวยงาม ช่วงนั้นเองที่ตาเป็นลมแน่นิ่งคาจักรเย็บผ้า เพื่อนบ้านจับขึ้นรถตุ๊กตุ๊กไปส่งโรงพยาบาลหมอรับไว้ทันที แม้จะมีปณิธาน อันแรงกล้า ที่จะสนับสนุนน้องสาวให้บรรลุความสำเร็จในชีวิตอย่างที่พ่อปรารถนา แต่ตาไม่อาจฝืนสังขาร มะเร็งแพร่กระจายไปที่มดลูก ปอด ตับ และกะโหลกศีรษะ เธอยังดำรงสัมปชัญญะไว้ได้ โดยมีความหวังเท่านั้นเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง เก๋ร้องไห้โฮเมื่อทราบความจริง เธอย้ายมากินนอนที่โรงพยาบาลเฝ้าพี่สาว ด้วยความอนุเคราะห์ของสมาคมโรคมะเร็งแห่งประเทศไทย ทำให้สองพี่น้องไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาตัว “ พี่ตาไม่ตายนะ พี่ต้องอยู่เป็นกำลังใจให้เก๋ ” เด็กสาวกอดพี่ร้องไห้ ตารู้สึกผิดที่ทำให้น้องเสียกำลังใจ เธอสัญญาว่าจะอยู่ต่อไป เธอไม่ปริปากถึงอาการเจ็บในช่องท้องที่ลุกลาม เหมือนมีหนอนนับพันกัดกินภายใน เธออ้อนวอนขอให้น้องทำให้ดีที่สุด เพื่อเป็นของขวัญให้กับพ่อแม่และตัวเอง เก๋ไม่มีทางดิ้น ถ้าเธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ อาจเป็นกำลังใจที่จะช่วยให้พี่ต่อสู้กับโรคร้าย ด้วยพลังความรักที่มีเธอใช้เวลาอันสงบในโรงพยาบาลดูหนังสือเต็มที่ นั่นนำความสุขใจมาสู่พี่สาวเป็นอย่างยิ่ง มะเร็งลุกลามถึงระยะสุดท้าย หมอต้องให้มอร์ฟีนระงับปวด ดูเผินๆจึงคล้ายกับว่า การตั้งใจสอบของเก๋ทำให้พี่สาวอาการดีขึ้น เธอจึงยิ่งมุมานะเพื่อความอยู่รอดของพี่สาว ดังนั้นทุกครั้งที่ตาลืมตาตื่น จะเห็นน้องสาวก้มหน้าอยู่กับกองหนังสือมากมาย การสอบเอนทรานซ์ผ่านไป เก๋กลับจากสอบด้วยสีหน้าเชื่อมั่น “ หนูต้องสอบได้อยู่แล้ว เพราะทำทดสอบผ่านคะแนนดีด้วย ” พี่สาวยิ้มระโหย แต่เห็นชัดว่าสุขใจ วันสุดท้ายในชีวิตหญิงผู้อาภัพมาถึง ตรงกับวันประกาศผลเอนทรานซ์ เธอตื่นแต่เช้ากินอาหารได้มากเป็นพิเศษ ม่านตาขยายกว้างและแจ่มใส พูดคุยนานและไม่มีอาการหอบ เก๋ดูแลพี่จนรับยาเรียบร้อย จึงขอตัวไปดูผลการสอบเอนทรานซ์ด้วยหัวใจเบิกบาน พี่สาวเธอดูดีขึ้นมาก แต่เมื่อกลับมาถึง หัวใจที่พองโตของเก๋พลันสลาย ตาเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ขอบตาลึกโหล ริมฝีปากซีดเซียว นัยน์ตาไร้ประกาย เก๋ทิ้งผลไม้ในมือ ร้องไห้โฮ วิ่งไปกอดพี่สาว ประคองศีรษะแนบอก “ พี่จ๋า พี่อย่าทิ้งเก๋ไปนะ เก๋ทำให้พี่ทุกอย่างแล้ว ” หญิงสาวเผยอเปลือกตาขึ้นช้าๆ มุมปากกระตุกยิ้มเหน็ดเหนื่อย “ ผลการสอบเป็นอย่างไร ? ” “ เก๋ติดพยาบาลอย่างที่พ่อแม่และพี่อยากให้เป็น เก๋ทำทุกอย่างแล้วนะ พี่ทิ้งเก๋ไปไม่ได้นะ เก๋สอบได้แล้ว พี่ได้ยินไหม ? เก๋สอบได้...” น้ำตาอุ่นไหลตามร่องแก้ม ตกบนหน้าผากหญิงสาวผู้อาภัพ “ ถ้าพี่ตายเก๋จะอยู่กับใคร...โฮ...พี่จ๋า...เก๋จะเป็นพยาบาลรักษาไข้พี่เอง ได้ยินมั้ย ? ” เธอตะโกนด้วยเสียงแผ่วหวิว ปิ่มว่าจะขาดใจ “ น้องพี่ ” ตากระซิบแหบระโหย “ น้องต้องอยู่ต่อไป ทำชื่อเสียงให้พ่อแม่ น้องต้องมีความเชื่อมั่นในตนเอง ” เธอปิดเปลือกตาลง หายใจหอบ “ พี่มีเวลาไม่มากแล้ว จงฟังพี่ให้ดี น้องเป็นคนมีความสามารถแต่ขาดความมั่นใจ น้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้เพราะเชื่อว่าตัวเองผ่านการทดสอบ พี่ดีใจและมีความสุขใจอย่างที่สุด มันเป็นของขวัญล้ำค่าก่อนตาย น้องเอ๋ย.... พี่มีเงินฝากในธนาคาร เหลือจากการขายที่สวนหกหมื่น ขอให้น้องเบิกมาใช้เป็นทุน...” แม้จะหอบหายใจแรง หน้าตายังอาบแต้มด้วยความสุขอันยิ่งใหญ่ “ น้องจ๋า พี่ต้องขอโทษ พี่ได้ทำสิ่งไม่สมควร พี่แอบอ่านและปลอมแปลงจดหมาย ผลการทดสอบของน้อง พี่รู้ว่ามันสำคัญ แต่ถ้าพี่ไม่ทำ เราคงไม่มีวันนี้ พี่ดีใจและ...ขอบ...คุณ..”ตาสิ้นใจตายอย่างสงบ หลังจากหาวัดตั้งศพพี่สาวได้ เก๋จึงไปที่ธนาคารเพื่อเบิกเงินจัดการงานศพ แต่เธอไม่สามารถเบิกเงินได้เพราะไม่ใช่เจ้าของบัญชี เว้นแต่จะมีคำสั่งศาล ซึ่งเธอก็หมดปัญญาจ้างทนายเด็กสาวจำต้องขายจักรเย็บผ้า สมบัติชิ้นเดียวของพี่สาว เพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่ายในพิธีศพ หลังพิธีผ่านพ้น เก๋ตัดสินใจโกนหัวบวชชีให้พ่อแม่และพี่สาวเพื่อทดแทนคุณ และเป็นการขอขมาลาโทษที่โกหกพี่สาวก่อนตายว่า ตนสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ จนทุกวันนี้เด็กสาวยังบวชเป็นชี เธอมักถามตัวเองว่า การที่พี่สาวผู้อาภัพ ผู้ซึ่งไม่เคยได้รับความสุขใดๆในชีวิต แม้ก่อนตายยังถูกน้องสาวโกหก เพียงเพื่อให้ได้รับความสุขลวงๆ นั้นนะ..ถูกหรือผิด ? (http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/296/32296/images/picture1196319253.jpg) หัวข้อ: Re: "ความหวังก่อนตาย" เริ่มหัวข้อโดย: AMM ที่ 30 มิถุนายน 2553 17:27:48 ยิ่งอ่านยิ่งร้องไห้ เรื่องมันเศร้าจัง
|