หัวข้อ: อัปปมาเทนะ{สัมปาเทถะ} เริ่มหัวข้อโดย: 時々๛कभी कभी๛ ที่ 23 พฤษภาคม 2555 18:36:36 (http://static.panoramio.com/photos/1920x1280/52592202.jpg) (http://www.sookjai.com/index.php?action=dlattach;topic=34450.0;attach=2285;image) ถ่ายภาพโดย Sometime สงวนลิขสิทธิ์ตามกฏหมาย สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลาย จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม 1.ความไม่ประมาทที่แท้ คือ อะไร ? 2.ความประมาท คือ หนทางแห่งความตาย จริงหรือไม่ อย่างไร ? 3.ชาวพุทธและมนุษย์ทุกคน จะต้องยึดถือความไม่ประมาทนี้เป็นหลักสำคัญยวดยิ่ง เพราะว่าถึงแม้เราอาจจะก้าวหน้าในการปฏิบัติ เป็นคนดี ประสบความสำเร็จ มีความสุข แต่ถ้าเราตกหลุมความประมาทเสีย ความเสื่อมความพลาด หรือแม้กระทั่งความวิบัติก็จะเข้ามา แม้แต่พระโสดาบันก็ยังเสื่อมจากธรรมที่ยังไม่บรรลุ จริงหรือไม่ ประการใด ? http://www.youtube.com/v/6VgTP99a0xo?version=3&feature=player_embedded Credit By...............http://fx.gs/linkout.php?http://www.buddhapoem.com/ (http://fx.gs/linkout.php?http://www.buddhapoem.com/) POST อย่างไว้ลาย ชาย + หญิง ชาตินักรบ{รบกับตัวเอง} ฮ่า ฮ่า ฮ่า สามเณรปลูกปัญหา(ปลูกปัญญาธรรม ฮ่า ฮ่า ฮ่า) หัวข้อ: Re: อัปปมาเทนะ{สัมปาเทถะ} เริ่มหัวข้อโดย: 時々๛कभी कभी๛ ที่ 23 พฤษภาคม 2555 18:46:46 (http://static.panoramio.com/photos/1920x1280/52592202.jpg) (http://www.sookjai.com/index.php?action=dlattach;topic=34450.0;attach=2285;image) (:LOVE:)ปัจฉิมโอวาทครั้งสุดท้าย (:LOVE:) หันทะทานิ ภิกขะเว อามันตะยามิ โว วะยะธัมมา สังขารา อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถาติ ดำเนินความว่า เมื่อพระพุทธองค์จวนจะเสด็จปรินิพพาน ซึ่งบรรทมอยู่เหนือแท่นที่ปรินิพพาน ในโอกาสนั้นพุทธบริษัททั้ง ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อาบาสิกา ได้ประชุมกันเป็นหมู่ใหญ่ ในขณะนั้นนั่นเองพระองค์ได้ประทานพุทธานุสาสนี อันเป็นคำเตือนครั้งสุดท้าย เมื่อพระพุทธองค์ตรัสพระอนุสาสนีนี้แล้ว ก็มิได้ตรัสพระดำรัสอะไรอีกเลย แล้วก็เสด็จปรินิพพาน ปัจฉิมโอวาทานุสาสนีนั้นว่า หันทะทานิ ภิกขะเว อามันตะยามิ โว วะยะธัมมา สังขารา อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถะ ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายบัดนี้เราขอเตือนพวกเธอทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด ดังนี้.................. พระปัจฉิมวาจาพุทธภาษิตนี้มีอรรถาธิบายว่า สังขารคือสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งขึ้นมีสองประการ คือสังขารที่มีใจครอง ซึ่งเรียกอุปาทินนกสังขาร เช่นสัตว์เดียรัจฉานและมนุษย์เป็นต้นอย่างหนึ่งสังขารที่ไม่มีใจครองเช่น ภูเขา ต้นไม้ เรือน รถ เป็นต้นอย่างหนึ่ง ทั้งสองอย่างนี้ย่อมเกิดขึ้นและตั้งอยู่ได้ก็เพราะเหตุแต่งขึ้นจึงต้องเป็นไปตามเหตุ และต้องอาศัยปัจจัยภายนอก เช่น อาหารช่วยบำรุงในเวลาเป็นอยู่ด้วย เหตุปัจจัยยัง ทรงอยู่เพียงใด สังขารทั้งหลายก็ยังทรงอยู่เพียงนั้น ถ้าเหตุปัจจัยขาดลงโดยปรกติหรือถูกอะไรมาตัดรอนเสียในระหว่างกาลใด สังขารทั้งหลายก็ย่อมสลายไปในกาลนั้น เพราะฉะนั้น บุคคลที่เกิดมาซึ่งได้ชื่อว่าอุปาทินนกสังขาร เมื่อเหตุยังส่งผลอยู่ ก็ย่อมผ่านวัยทั้งสามไปได้ เมื่อเหตุสิ้นไปหรือภัยอันตรายมาตัดรอนในระหว่าง ก็ย่อมสิ้นไปเสียก่อน ยังไม่ทันจะผ่านวัยไปให้ตลอดครบทั้งสาม แม้ในเวลาที่ยัง เป็นอยู่ บางคราวก็เป็นไปสะดวกกล่าวคือมีสุขสบาย บางคราวก็ไม่สะดวกคือมักเจ็บไข้ได้ทุกข์ เป็นดังนี้ก็เพราะอำนาจแห่งเหตุ คือกรรมที่เป็นกุศลและอกุศลที่ได้ทำไว้ ทั้งเวลาที่เป็นอยู่เล่า ก็ย่อมมีอาการทั้งสามประจำอยู่เสมอ คืออาการที่ไม่เที่ยง เพราะแปรไปเปลี่ยนไปอยู่เสมอ ซึ่งเรียกว่าอนิจจังอย่างหนึ่ง อาการที่ทนอยู่ตั้งอยู่คงที่ไม่ได้ จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนไปแปรไปอยู่เสมอ ซึ่งเรียกว่าทุกขังอย่างหนึ่ง อาการที่ไม่เป็นไปตามอำนาจบังคับบัญชาของผู้ใดจึงต้องแปรไปเปลี่ยนไปไม่คงทนอยู่ได้ ซึ่งเรียกว่าอนัตตาอย่างหนึ่ง อาการทั้ง ๓ นี้ ย่อมย่ำยีห้ำหั่น ล้างผลาญเบียดเบียนสังขารทั้งปวงทุกขณะ มิได้ว่างเว้นสักครู่หนึ่งเลย ครั้นย่ำยีห้ำหั่นล้างผลาญเสร็จล่วงไปแล้ว จึงได้แสดงลักษณะให้ปรากฏเป็นเครื่องหมายไว้ เหมือนไฟที่เผาเชื้อให้ไหม้แล้วแสดงเถ้าให้ปรากฏเหลืออยู่ฉะนั้น เพราะฉะนั้นสังขารทั้งปวงที่ปรากฏขึ้น จึงได้ชื่อว่าเป็นทุกข์อยู่เสมอ ถึงใครจะเห็นว่าเป็นทุกข์หรือไม่ก็ตาม สมด้วยความแห่งคาถาซึ่งเป็นภาษิตของวชิราภิกขุณีว่าทุกขะเมวะ หิ สัมโพติ ทุกขัง ติฏฏะติ เวติ จะ ทุกข์เท่านั้นย่อมเกิดขึ้น ย่อมตั้งอยู่ และย่อมเสื่อมไป นาญญัตะระ ทุกขา สัมโพติ นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นาญญัตะระ ทุกขา นิรุชฌะติ นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรดับ หัวข้อ: Re: อัปปมาเทนะ{สัมปาเทถะ} เริ่มหัวข้อโดย: 時々๛कभी कभी๛ ที่ 23 พฤษภาคม 2555 18:49:31 (http://static.panoramio.com/photos/1920x1280/52592202.jpg) (http://www.sookjai.com/index.php?action=dlattach;topic=34450.0;attach=2285;image) เพราะสิ่งใดที่มีความเกิดปรากฏขึ้น สิ่งนั้นย่อมเป็นสังขารและสังขารนั้นเมื่อเกิดขึ้น ก็มีอาการทั้ง ๓ ซึ่งเป็นตัวทุกข์ประจำกำกับมาด้วยทีเดียว เหมือนดับไฟอันมีอาการร้อนประจำอยู่ฉะนั้น เมื่อสังขารเกิดขึ้นจึงได้ชื่อว่าทุกข์เกิดขึ้น เมื่อสังขารตั้งอยู่จึงได้ชื่อว่าทุกข์ตั้งอยู่ เมื่อสังขารเสื่อมไปจึงได้ชื่อว่าทุกข์เสื่อมไป เหมือนดังไฟอันมีอาการร้อนประจำอยู่ เมื่อไฟเกิดขึ้นก็ชื่อว่าความร้อนเกิดขึ้นเมื่อไฟตั้งอยู่ ก็ชื่อว่าความร้อนตั้งอยู่ เมื่อไฟดับไป ก็ชื่อว่าความร้อนดับไปฉะนั้นธรรมดาของสังขารย่อมเป็นอย่างนี้บุคคลที่ไม่รู้เท่าจึงมัวเมาอยู่ในวัยบ้าง ในความเป็นหนุ่มสาวบ้างในความเป็นผู้ไม่มีโรคบ้าง ในชีวิตบ้าง แล้วไม่อาศัยสังขารทำประโยชน์เกื้อกูลแก่ตนและผู้อื่นตามสมควร ชื่อว่าไม่ได้ถือเอาประโยชน์ จากกายกล่าวคืออัตภาพ หรือกลับอาศัยสังขารทำความชั่ว อันเป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนและคนอื่น การที่เป็นเช่นนี้ก็ เพราะความประมาทคือเลินเล่อเผอเรอขาดสติ เพราะฉะนั้น สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสเตือนให้บำเพ็ญความไม่ประมาทด้วยพระพุทธภาษิตตามลำดับว่า อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถะ เธอทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิดดังนี้.................... ความไม่ประมาทนั้น ได้แก่ไม่อยู่ปราศจากสติ คือความไม่เลินเล่อ ความรอบคอบ คุณข้อนี้สมควรจะให้เป็นไปในกิจนั้น ๆ นับว่าเป็นสำคัญ ทั้งคดีโลกและคดีธรรม ชุมนุมชนในโลกนี้ ต่างคนต่างเพียรเพื่อความเป็นอยู่ของตนเป็นเหมือนม้าที่วิ่งแข่งกันอยู่ในสนาม ม้าที่ฝีเท้าเร็วย่อมวิ่งขึ้นหน้าม้าที่ฝีเท้าช้าฉันใดอันชนผู้ไม่ประมาทแล้วย่อมรุ่งเรืองล่วงเลยผู้ประมาทเสียฉันนั้นความประมาทเป็นดุจฝ้าบังดวงจักษุเมื่อใดบัณฑิต บรรเทาความไม่ประมาทเสียได้ด้วยความไม่ประมาทเมื่อนั้นย่อมได้ปัญญา สามารถทำตนให้พ้นทุกข์ ในปัจจุบันก็ตั้งตัวไว้ได้ในภายภาคหน้าก็มีสุคติเป็นที่หวัง ทั้งคุณความดีที่ทำไว้ในเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่ ยังเป็นเครื่องเชิดชูชื่อเสียงให้ปรากฏ และเป็นกิจยังประโยชน์ให้สำเร็จแก่คนภายหลัง ทั้งไม่ทำตนให้เดือดร้อนด้วยเหตุอันหาประโยชน์มิได้ชีวิตของผู้นั้นจัดว่าไม่เป็นหมันแม้ตายไปแล้วก็เหมือนยังเป็นอยู่ เพราะคุณความดีที่ทำไว้นั้นเชิดชูให้ปรากฏ สมเด็จพระบรมสุคตจึงตรัสว่า..................... หัวข้อ: Re: อัปปมาเทนะ{สัมปาเทถะ} เริ่มหัวข้อโดย: 時々๛कभी कभी๛ ที่ 23 พฤษภาคม 2555 18:53:16 (http://static.panoramio.com/photos/1920x1280/52592202.jpg) (http://www.sookjai.com/index.php?action=dlattach;topic=34450.0;attach=2285;image) อัปปะมาโท อะมะตัง ปะทัง ปะมาโท มัจจุโน ปะทัง อัปปะมัตตา นะ มียันติ เย ปะมัตตา ยะถา มะตา ความไม่ประมาทเป็นทางไม่ตาย ความประมาทเป็นทางแห่งความตาย (:LOVE:)คนผู้ไม่ประมาทชื่อว่าย่อมไม่ตาย (:LOVE:) ส่วนคนผู้ประมาทย่อมเป็นเหมือนคนตายแล้วดังนี้อธิบายความว่า ความท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏยังมีอยู่เพียงใดความเวียนเกิดเวียนตายก็ยังมีอยู่เพียงนั้น คนที่เกิดแล้วจะไม่แก่ไม่ตายไม่มีตัดต่อพืชแห่งความเกิดได้ความตายจึงไม่มี ธรรมอันพ้นจากความเกิดความตาย ได้แก่พระนิพพานอันเป็นที่สุดแห่งสังสารวัฏ และพระนิพพานนั้นจะบรรลุได้ ก็เพราะความไม่ประมาทเป็นมูล บัณฑิตตั้งอยู่ในความไม่ ประมาทแล้วบำเพ็ญข้อปฏิบัติอันเป็นส่วนเบื้องต้น จนได้บรรลุมรรคผลนิพพานแล้วย่อมล่วงสังสารวัฏเสียได้ ไม่ต้องเกิดต้องตายไปอีก ส่วนคนผู้ประมาท ย่อมเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏ ด้วยอำนาจแห่งความเกิดความตาย ไม่ล่วงพ้นไปได้ เพราะพืชกรรมยังมีประจำอยู่ จึงเพาะให้เกิดวนเวียนไม่สิ้นสุดลงได้ ทั้งไม่สามารถตั้งตนได้แม้ในโลกนี้ถึงยังมีชีวิตอยู่ก็เหมือนตายเสียแล้ว เพราะคุณความดีที่จะเกิดแก่ตนเช่นนี้ไม่มี ส่วนคนไม่ประมาทแม้ไม่มีพื้นมาแต่เดิม ก็ยังสามารถตั้งตนได้ในโลกนี้ ด้วยอำนาจคุณความดีของตน ทั้งยังผลให้สำเร็จแม้แก่ชนเหล่าอื่น ถึงจะสิ้นชีพไปแล้วก็เป็นเหมือนยังดำรงอยู่ ด้วยอำนาจประโยชน์ที่กระทำไว้ให้ แม้แก่คนที่เกิดภายหลัง เหตุดังนั้นความไม่ประมาทจึงเป็นทางไม่ตาย ความไม่ประมาทเป็นทางแห่งความตาย คนผู้ไม่ประมาทแล้ว ย่อมเป็นเหมือนคนไม่ตาย บัณฑิตผู้สถิตอยู่ในความไม่ประมาท ทราบผลแห่งความไม่ประมาทโดยตระหนัก ทราบความต่างแห่งความประพฤติของคนประมาทและคนไม่ประมาท และผลที่บุคคลทั้งสองนั้นจะพึงประสบทั้งภพนี้และภพหน้า บันเทิงอยู่ในความไม่ประมาท รักษาความไม่ประมาทไว้เหมือนทรัพย์อันประเสริฐฉะนั้นเพราะเหตุนั้นสมเด็จพระบรมศาสดาจึงตรัสสอนว่า.................... หัวข้อ: Re: อัปปมาเทนะ{สัมปาเทถะ} เริ่มหัวข้อโดย: 時々๛कभी कभी๛ ที่ 23 พฤษภาคม 2555 18:55:25 (http://static.panoramio.com/photos/1920x1280/52592202.jpg) (http://www.sookjai.com/index.php?action=dlattach;topic=34450.0;attach=2285;image) มา ปะมาทะมะนุยุญเชถะ มา กามะระติสันถะวัง อัปปะมัตโต หิ ฌายันโต ปัปโปติ วิปุลัง สุขัง ท่านทั้งหลายจงอย่าประกอบตามซึ่งความประมาท จงอย่าทำความชื่นบานด้วยอำนาจความยินดีในกาม เพราะคนที่ไม่ประมาทเพ่งเล็งอยู่ ย่อมได้บรรลุความสุขอันไพบูลย์ ดังนี้ อธิบายว่า ผู้ที่ชื่อว่าไม่ประมาทนั้น เพราะมีสติมั่นคง ดำรงอยู่ในการเพ่งเล็งด้วยสามารถแห่งสมถะและวิปัสสนามีพุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ เป็นอารมณ์ เพ่งอาการของสังขารโดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา จนแสงแห่งปัญญาขับไล่ความมืดมนให้ห่างไกล จิตใจสว่างได้รับความสงบระงับ นี้นับว่าได้รับความสุขอันไพบูลย์ ผู้ที่ ประพฤติดังนี้ ชื่อว่ายินดีในความไม่ประมาท ความไม่ประมาทเป็นคุณที่จำต้องปรารถนาในการงานทุกสิ่งทุกอย่างมมีอานิสงส์ผลบุญยิ่งใหญ่ไพศาลแก่ผู้ประกอบทั้งคดีโลกและคดีธรรม มีนัยดังอธิบายมานี้ ก็แลอัปปมาทธรรมความไม่ประมาทนี้ จะเกิดขึ้นได้ก็เพราะอาศัยเหตุ คือ มนสิการถึงความเสื่อมเป็นเบื้องต้น แท้จริงบุคคลที่คิดถึงภยันตรายอันจะเกิดมีแก่ตนและบริวารชนตลอดจนทรัพย์สมบัติแล้ว จึงไม่ประมาทคอยป้องกันระวังรักษาฝ่ายผู้ที่คิดถึงความเสื่อมของสังขาร ด้วยอำนาจชราพยาธิ มรณะ จึงไม่ประมาทมัวเมา หมั่นเฝ้ารักษาสติอารมณ์อบรมกุศลให้เกิดบริบูรณ์ในสันดาน เพราะฉะนั้น สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์จึงตรัสเหตุแห่งความไม่ประมาทไว้เบื้องต้นว่า วะยะธัมมา สังขารา สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ดังนี้แล้วจึงตรัสอัปปมาทธรรมไว้ในเบื้องปลายว่า อัปปมาเทนะ สัมปาเทถะ เธอทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิดดังนี้ความปลงสังขาร พิจารณาด้วยปรีชาญาณ ให้เห็นความเสื่อมสิ้นเป็นธรรมสังเวช จึงเป็นอุบายพิเศษก่อให้เกิดอัปปมาทธรรมด้วยประการฉะนี้......................... Sometime Home....................http://poerlife.fx.gs/index.php?topic=1191.0 (http://poerlife.fx.gs/index.php?topic=1191.0) |