หัวข้อ: พระพุทธดำรัส “ทุกข์ - สุข” สุขและทุกข์เป็นของไม่เที่ยง เมื่อเห็นดังนั้นแล้วผู้มีสติย่อมเบ เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 22 สิงหาคม 2555 23:36:31 พระพุทธดำรัส “ทุกข์ – สุข”
(http://watcharathath.com/files/Content_00188_1_display_300x203.jpg) กล่าวถึงพระสารีบุตร เมื่อบวชแล้วก็พักอยู่ ณ ถ้ำสุกรขาตา บนเขาคิชฌกูฏกับพระพุทธองค์ ขณะนั้น ทีฆนขะ ซึ่งเป็นหลานชายอยู่ในสกุลพราหมณ์ เที่ยวเดินตามหาพระสารีบุตรผู้เป็นลุง เมื่อมองเห็นพระสารีบุตรถวายการพัดพระศาสดา ก็เกิดความไม่พอใจ ทีฆนขะกล่าวว่า 'ข้าพเจ้าเห็นว่า ไม่มีสิ่งใดทำให้ข้าพเจ้าพอใจ หรือ ชอบใจได้เลย' พระพุทธองค์จึงตรัสตอบไปว่า 'ทีฆนขะเอ๋ย เจ้าก็ควรไม่พอใจกับความคิดเห็นของเจ้าด้วย' ในใจของทีฆนขะอยากตอบโต้แต่ก็หาคำพูดใดมากล่าวโต้แย้งได้ พระพุทธองค์จึงเมตตาต่อไปว่า 'ครั้งหนึ่งในอดีต มีพราหมณ์พวกหนึ่งถือตนว่า ไม่มีสิ่งใดเหมาะสมกับเรา ไม่มีสิ่งใดทำให้เราชอบใจได้ ส่วนพราหมณ์อีกพวกหนึ่งก็ถือว่า ทุกสิ่งล้วนเหมาะสมกับเรา เราพอใจไปหมดทุกสิ่ง ทั้งสองฝ่ายความเห็นไม่ตรงกัน จนเกิดทะเลาะกันไม่สิ้นสุด' 'พูดอะไรน่าเบื่อ' ทีฆนขะนึกคิดในใจ พระพุทธองค์ก็ยังเมตตาต่อไปอีกว่า 'ดูกร ทีฆนขะ มนุษย์เรานี้ เมื่อมีความสุขก็จะลืมความทุกข์ไปเสียสิ้น และเมื่อได้รับความทุกข์ ก็จะมองไม่เห็นความสุข คนส่วนมากเมื่อทุกข์ก็จะคิดว่าตัวต้องทุกข์ไปตลอด หรือเมื่อสุขก็คิดว่า ความสุขนั้นจะเป็นนิรันดร์ หารู้ไม่ว่าทั้งสุขทั้งทุกข์นั้นมิใช่ของจริง เหมือนดั่งเห็นเงาจันทร์ในขันน้ำ เงานั้นมิใช่ดวงจันทร์ที่แท้จริงดอก สุขและทุกข์เป็นของไม่เที่ยง เมื่อเห็นดังนี้แล้ว ผู้ที่มีสติก็ย่อมเบื่อหน่ายทั้งสุขและทุกข์ ย่อมหลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่น ไม่วิวาททุ่มเถียงกับผู้ใด แม้คำพูดนั้นจะระคายหู ก็ให้มีสติรู้ว่าเป็น แค่คำพูดเท่านั้นเอง' ทีฆนขะเริ่มชัดแจ้งต่อคำสอนของพระพุทธองค์ 'โอ บุคคลนี้สมเป็นศาสดาอย่างแท้จริง คำของท่านช่างชัดแจ้งดั่งบอกทางให้แก่คนหลงทาง เหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด ดั่งเทียนส่องสว่างกลางความมืด' ทีฆนขะได้ดวงตาเห็นธรรม หมดข้อสงสัย ก้มกราบทูลพระพุทธองค์ ขอเป็นอุบาสกในพระพุทธศาสนา ขณะที่พระสารีบุตรนั่งถวายงานพัดอยู่ ได้ฟังพระพุทธดำรัสและพิจารณาไปตามเนื้อความแห่งธรรม จิตก็พ้นจากกิเลสทั้งปวง หัวข้อ: Re: พระพุทธดำรัส “ทุกข์ - สุข” สุขและทุกข์เป็นของไม่เที่ยง เมื่อเห็นดังนั้นแล้วผู้มีสติย่อม เริ่มหัวข้อโดย: ฉงน ฉงาย ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2564 12:12:14 พระพุทธดำรัส “ทุกข์ – สุข” (http://watcharathath.com/files/Content_00188_1_display_300x203.jpg) กล่าวถึงพระสารีบุตร เมื่อบวชแล้วก็พักอยู่ ณ ถ้ำสุกรขาตา บนเขาคิชฌกูฏกับพระพุทธองค์ ขณะนั้น ทีฆนขะ ซึ่งเป็นหลานชายอยู่ในสกุลพราหมณ์ เที่ยวเดินตามหาพระสารีบุตรผู้เป็นลุง เมื่อมองเห็นพระสารีบุตรถวายการพัดพระศาสดา ก็เกิดความไม่พอใจ ทีฆนขะกล่าวว่า 'ข้าพเจ้าเห็นว่า ไม่มีสิ่งใดทำให้ข้าพเจ้าพอใจ หรือ ชอบใจได้เลย' พระพุทธองค์จึงตรัสตอบไปว่า 'ทีฆนขะเอ๋ย เจ้าก็ควรไม่พอใจกับความคิดเห็นของเจ้าด้วย' ในใจของทีฆนขะอยากตอบโต้แต่ก็หาคำพูดใดมากล่าวโต้แย้งได้ พระพุทธองค์จึงเมตตาต่อไปว่า 'ครั้งหนึ่งในอดีต มีพราหมณ์พวกหนึ่งถือตนว่า ไม่มีสิ่งใดเหมาะสมกับเรา ไม่มีสิ่งใดทำให้เราชอบใจได้ ส่วนพราหมณ์อีกพวกหนึ่งก็ถือว่า ทุกสิ่งล้วนเหมาะสมกับเรา เราพอใจไปหมดทุกสิ่ง ทั้งสองฝ่ายความเห็นไม่ตรงกัน จนเกิดทะเลาะกันไม่สิ้นสุด' 'พูดอะไรน่าเบื่อ' ทีฆนขะนึกคิดในใจ พระพุทธองค์ก็ยังเมตตาต่อไปอีกว่า 'ดูกร ทีฆนขะ มนุษย์เรานี้ เมื่อมีความสุขก็จะลืมความทุกข์ไปเสียสิ้น และเมื่อได้รับความทุกข์ ก็จะมองไม่เห็นความสุข คนส่วนมากเมื่อทุกข์ก็จะคิดว่าตัวต้องทุกข์ไปตลอด หรือเมื่อสุขก็คิดว่า ความสุขนั้นจะเป็นนิรันดร์ หารู้ไม่ว่าทั้งสุขทั้งทุกข์นั้นมิใช่ของจริง เหมือนดั่งเห็นเงาจันทร์ในขันน้ำ เงานั้นมิใช่ดวงจันทร์ที่แท้จริงดอก สุขและทุกข์เป็นของไม่เที่ยง เมื่อเห็นดังนี้แล้ว ผู้ที่มีสติก็ย่อมเบื่อหน่ายทั้งสุขและทุกข์ ย่อมหลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่น ไม่วิวาททุ่มเถียงกับผู้ใด แม้คำพูดนั้นจะระคายหู ก็ให้มีสติรู้ว่าเป็น แค่คำพูดเท่านั้นเอง' ทีฆนขะเริ่มชัดแจ้งต่อคำสอนของพระพุทธองค์ 'โอ บุคคลนี้สมเป็นศาสดาอย่างแท้จริง คำของท่านช่างชัดแจ้งดั่งบอกทางให้แก่คนหลงทาง เหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด ดั่งเทียนส่องสว่างกลางความมืด' ทีฆนขะได้ดวงตาเห็นธรรม หมดข้อสงสัย ก้มกราบทูลพระพุทธองค์ ขอเป็นอุบาสกในพระพุทธศาสนา ขณะที่พระสารีบุตรนั่งถวายงานพัดอยู่ ได้ฟังพระพุทธดำรัสและพิจารณาไปตามเนื้อความแห่งธรรม จิตก็พ้นจากกิเลสทั้งปวง แท้จริงแล้วความสุขนั้นไม่มีจริงหรือเปล่าคะ หัวข้อ: Re: พระพุทธดำรัส “ทุกข์ - สุข” สุขและทุกข์เป็นของไม่เที่ยง เมื่อเห็นดังนั้นแล้วผู้มีสติย่อม เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2564 23:51:19 พระพุทธดำรัส “ทุกข์ – สุข” (http://watcharathath.com/files/Content_00188_1_display_300x203.jpg) กล่าวถึงพระสารีบุตร เมื่อบวชแล้วก็พักอยู่ ณ ถ้ำสุกรขาตา บนเขาคิชฌกูฏกับพระพุทธองค์ ขณะนั้น ทีฆนขะ ซึ่งเป็นหลานชายอยู่ในสกุลพราหมณ์ เที่ยวเดินตามหาพระสารีบุตรผู้เป็นลุง เมื่อมองเห็นพระสารีบุตรถวายการพัดพระศาสดา ก็เกิดความไม่พอใจ ทีฆนขะกล่าวว่า 'ข้าพเจ้าเห็นว่า ไม่มีสิ่งใดทำให้ข้าพเจ้าพอใจ หรือ ชอบใจได้เลย' พระพุทธองค์จึงตรัสตอบไปว่า 'ทีฆนขะเอ๋ย เจ้าก็ควรไม่พอใจกับความคิดเห็นของเจ้าด้วย' ในใจของทีฆนขะอยากตอบโต้แต่ก็หาคำพูดใดมากล่าวโต้แย้งได้ พระพุทธองค์จึงเมตตาต่อไปว่า 'ครั้งหนึ่งในอดีต มีพราหมณ์พวกหนึ่งถือตนว่า ไม่มีสิ่งใดเหมาะสมกับเรา ไม่มีสิ่งใดทำให้เราชอบใจได้ ส่วนพราหมณ์อีกพวกหนึ่งก็ถือว่า ทุกสิ่งล้วนเหมาะสมกับเรา เราพอใจไปหมดทุกสิ่ง ทั้งสองฝ่ายความเห็นไม่ตรงกัน จนเกิดทะเลาะกันไม่สิ้นสุด' 'พูดอะไรน่าเบื่อ' ทีฆนขะนึกคิดในใจ พระพุทธองค์ก็ยังเมตตาต่อไปอีกว่า 'ดูกร ทีฆนขะ มนุษย์เรานี้ เมื่อมีความสุขก็จะลืมความทุกข์ไปเสียสิ้น และเมื่อได้รับความทุกข์ ก็จะมองไม่เห็นความสุข คนส่วนมากเมื่อทุกข์ก็จะคิดว่าตัวต้องทุกข์ไปตลอด หรือเมื่อสุขก็คิดว่า ความสุขนั้นจะเป็นนิรันดร์ หารู้ไม่ว่าทั้งสุขทั้งทุกข์นั้นมิใช่ของจริง เหมือนดั่งเห็นเงาจันทร์ในขันน้ำ เงานั้นมิใช่ดวงจันทร์ที่แท้จริงดอก สุขและทุกข์เป็นของไม่เที่ยง เมื่อเห็นดังนี้แล้ว ผู้ที่มีสติก็ย่อมเบื่อหน่ายทั้งสุขและทุกข์ ย่อมหลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่น ไม่วิวาททุ่มเถียงกับผู้ใด แม้คำพูดนั้นจะระคายหู ก็ให้มีสติรู้ว่าเป็น แค่คำพูดเท่านั้นเอง' ทีฆนขะเริ่มชัดแจ้งต่อคำสอนของพระพุทธองค์ 'โอ บุคคลนี้สมเป็นศาสดาอย่างแท้จริง คำของท่านช่างชัดแจ้งดั่งบอกทางให้แก่คนหลงทาง เหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด ดั่งเทียนส่องสว่างกลางความมืด' ทีฆนขะได้ดวงตาเห็นธรรม หมดข้อสงสัย ก้มกราบทูลพระพุทธองค์ ขอเป็นอุบาสกในพระพุทธศาสนา ขณะที่พระสารีบุตรนั่งถวายงานพัดอยู่ ได้ฟังพระพุทธดำรัสและพิจารณาไปตามเนื้อความแห่งธรรม จิตก็พ้นจากกิเลสทั้งปวง แท้จริงแล้วความสุขนั้นไม่มีจริงหรือเปล่าคะ ความสุขนั้นมีอยู่จริง ดังคำ "นิพพานัง ปรมัง สุขัง ที่แปลได้ว่า นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง" หากจะถามต่อว่าแล้วทำไมนิพพานถึงเป็นความสุขเล่า เพราะนิพพานคือการดับซึ่งอาสวะกิเลสทั้งหลายทั้งปวง เมื่อปราศจากซึ่งความอยากได้ อยากมี อยากเป็น ความทุกข์ก็จะไม่สามารถบังเกิดขึ้นได้ เปรียบเหมือนเราชอบกินส้มตำมากที่สุดในบรรดาของกินทั้งหลาย เราเอร็ดอร่อยกับรสชาติ มีความสุขทุกครั้งที่ได้กิน แต่ถ้าเรากินส้มตำแบบเดิมทุกวัน วันละสามมื้อ ติดต่อกันสักครึ่งปี เราคงเบือนหน้าหนีเมื่อรู้ว่ามื้อที่กำลังจะมาถึงเราต้องกินส้มตำอีกแล้ว แม้เป็นของที่ชอบ เราก็เบื่อหน่าย แม้เป็นของที่ชอบ พอเราได้รับมากเข้าเราก็ทุกข์ แม้แต่ทรัพย์สินเงินทอง เราเคยดีใจที่มีเงินล้าน แล้วยังไงต่อหละ ถ้าเสียเงินล้านนี้ไปเราก็ทุกข์ ถ้าเงินล้านมันไม่งอกเงยเราก็ทุกข์ แม้เงินล้านมันงอกเงยให้ผลกำไร เราก็อยากได้ให้มากขึ้นไปอีก สุดท้ายมันก็ทุกข์ ทุกสิ่งอย่างล้วนดำเนินไปตามกฏไตรลักษณ์ คือ อนิจจตา ทุกขตา และ อนัตตตา ที่เราเรียกกันติดปากว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั่นแหละ ทุกสิ่งล้วนไม่เที่ยง แม้ความสุขเองก็ไม่เที่ยง ทุกสิ่งล้วนเป็นทุกข์ แม้ความสุขเองก็เป็นทุกข์ ทุกสิ่งล้วนไม่มีตัวตน แม้ความสุขเองก็ไม่มีตัวตน สรุปคือความสุขนั้นมีในเรื่องของความรู้สึก จับต้องไม่ได้ ชั่ง ตวง วัด ไม่ได้ ไม่มีตัว ไม่มีตน ไม่มีความมั่นคง มีเพียงการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เหตุเพราะสุขที่แท้จริงนั้นมีเพียงนิพพาน ซึ่งถือเป็นสุขอันเป็นที่สุด |