หัวข้อ: แปรเปลี่ยนความทุกข์ให้เป็นชีวิตที่เบิกบาน และ งดงาม เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 12 กรกฎาคม 2553 22:29:33 [ บทความนี้เคยถูกโพสท์ในบอร์ดเก่าโดย อ.มดเอ็กซ์ ]
(http://sph.thaissf.org/pic_article/article_79.jpg) (http://"http://sph.thaissf.org/pic_article/article_79.jpg") โดย ปรีดา เรืองวิชาธร ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ 23 พฤศจิกายน 2551 หากเราหวนระลึกนึกถึง สภาพจิตใจที่ถูกบีบคั้นกดดัน หรือเจ็บปวดเป็นแผลฉกรรจ์ในบางช่วงแห่งชีวิต เราต่างตระหนักดีถึงรสชาติของมันและพร้อมเสมอที่จะผลักไสหรือหลีกเลี่ยงที่ จะเผชิญหน้ากับความรู้สึกดังกล่าว สภาพความทุกข์ทางจิตใจที่เราแต่ละคนประสบนั้นย่อมมีทั้งความคล้ายคลึงเป็น ประสบการณ์ร่วมและมีทั้งที่แตกต่าง เหตุปัจจัยแห่งความทุกข์นั้นก็เช่นเดียวกันมีทั้งที่คล้ายคลึงและที่แตกต่าง กัน หลายคนมีประสบการณ์ร่วมในเรื่องเดียวกัน เช่น ถูกกระทำจากครอบครัวที่ใช้ความรุนแรง ถูกกดขี่หรือถูกทารุณกรรมในเรื่องเพศ ถูกเอารัดเอาเปรียบหรือถูกใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรมจากคนในองค์กรเดียวกัน เป็นต้น ในขณะที่อีกหลายคนกลับมีประสบการณ์อันเจ็บปวดในเรื่องอื่น เช่น ถูกกระทำย่ำยีจากโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ของรัฐ ซึ่งส่งผลให้ชีวิต ครอบครัวและชุมชนของเขาแทบสิ้นไร้ไม้ตรอก เป็นต้น สภาพความเจ็บปวดทุกข์ทนดังที่กล่าวมานี้ ย่อมทำให้เรารู้สึกโกรธเกลียดต่อผู้ที่กระทำต่อเรา รู้สึกชิงชังและขยะแขยงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ดังนั้นหากคนผู้นั้นหรือเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกับอดีตอันเจ็บปวดได้ว่าย เวียนเข้ามาในชีวิตเราอีก หรือแม้แต่เราเผลอคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงอดีตที่ขมขื่นนั้นก็อาจทำให้เรา สั่งสมพลังแห่งความโกรธเกลียดจนอาจแสดงพฤติกรรมอันก้าวร้าวรุนแรงออกไปโดย ที่เราเองก็อาจคาดไม่ถึงว่า เราแสดงออกไปได้อย่างไร หลายครั้งเราได้แต่นั่งสำนึกเสียใจในการกระทำของเรา และย้อนกลับมารู้สึกชิงชังรังเกียจอารมณ์ด้านร้ายของเรา แต่ผ่านไปสักช่วงหนึ่งเราก็แสดงอย่างนั้นอีกเป็นอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า และดูเหมือนว่ามันจะมีพลังเข้มข้นและเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วด้วยกระมัง ใช่ไหมว่า ตอนนี้พลังที่ว่านี้ มันมีอิทธิพลครอบงำเหนือจิตใจของเราอย่างยากที่จะรู้เท่าทันแล้ว อย่างไรก็ตามอารมณ์ความรู้สึกโกรธเกลียดก็เป็นส่วนหนึ่งของเรา เป็นส่วนหนึ่งเช่นเดียวกับความเมตตากรุณา ความเบิกบานอันเป็นด้านดีของจิตใจเรา เราเองก็ไม่อยากให้ความโกรธเกลียดอันเนื่องจากความเจ็บปวดมันสำแดงพลังอำนาจ เหนือจิตใจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ครั้นเราจะผลักไสอารมณ์ด้านร้ายของเราออกไป ทำดังกับว่ามันเป็นศัตรูตัวฉกาจของเรากระนั้นหรือ จริงๆแล้วเราจะสามารถผลักไสอารมณ์ด้านร้ายดังที่ว่ามาได้จริงละหรือ กระทำเยี่ยงนี้แล้วมันจะให้ผลดีขึ้นจริงหรือ ในทางพุทธศาสนานั้นอธิบายว่า ความทุกข์ทางจิตใจของมนุษย์เกิดจากรากเหง้าแห่งความไม่รู้จริงในสัจภาวะของ สรรพสิ่งทั้งปวง ว่ามันไม่ได้ดำรงตนอยู่อย่างโดดๆ หากแต่ประกอบกันขึ้นเป็นสิ่งนั้นเป็นสิ่งนี้ตามเหตุปัจจัย เป็นไปตามความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน เป็นอยู่ในสภาพที่ไม่มีตัวตนแท้ถาวร แต่เพราะเรารับรู้อย่างผิดพลาดอยู่เกือบตลอดเวลาจนทำให้หลงยึดมั่นถือมั่น ว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงดำรงอยู่อย่างไม่แปรเปลี่ยน ทุกสรรพสิ่งมีตัวตนแท้ดำรงอยู่อย่างอิสระ มองว่าตัวเราเองเป็นอิสระจากสิ่งอื่น คนอื่น แยกตัวเราออกจากสิ่งอื่นรอบตัวอย่างเด็ดขาด มองไม่เห็นว่าตัวเรานั้นสัมพันธ์เชื่อมโยงอย่างไรกับสิ่งอื่น คนอื่น ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เราหลงยึดว่า มีตัวกูของกูที่เที่ยงแท้แน่นอน อันเป็นความเห็นที่ทำให้เกิดความรู้สึกว่ามีตัวกูที่กำลังทุกข์และมีความ ทุกข์ที่คงที่ตายตัวที่เรามักแช่แข็งไว้ในใจตลอดเวลาเป็นต้น ท่านติช นัท ฮันห์ พระเซนชาวเวียดนามได้อธิบายกระบวนการเกิดทุกข์ และการแปรเปลี่ยนความทุกข์ให้เป็นชีวิตที่เบิกบานและงดงามไว้ ดังนี้ จิตใจของเรานี้เปรียบไปก็คล้ายกับผืนนาอันกว้างใหญ่ไพศาล ที่พร้อมจะรองรับเมล็ดพันธ์ทุกชนิด ดังนั้นแต่ละขณะของชีวิตจิตใจของเราจะทำหน้าที่รับรู้ และเก็บเอาทุกสิ่งทั้งดี ร้าย และไม่ดีไม่ร้ายไว้ และหากเราหล่อเลี้ยงเมล็ดพันธุ์ชนิดใดไว้ เมล็ดพันธุ์นั้นก็จะเติบโตงอกงามขึ้นมามีอิทธิพลต่อชีวิตของเรา ด้วยเหตุนี้จิตใจที่ถูกกระทำให้เกิดความทุกข์ความเจ็บปวดดังกล่าวในข้างต้น แล้วนั้น จิตใจของเราก็จะรับรู้และเก็บเอาเมล็ดพันธุ์แห่งความทุกข์นั้นไว้ และหากเราไม่มีสติรู้เท่าทันสรรพสิ่งตามที่เป็นจริง ปล่อยให้เกิดการรับรู้อย่างผิดพลาดเสมอๆ ก็เท่ากับเราได้รดน้ำพรวนดินหล่อเลี่ยงให้เมล็ดพันธุ์แห่งความทุกข์นั้นเติบ โต ซึ่งมันจะออกโรงปรากฏให้เราเห็นดังที่กล่าวมา ไม่เฉพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความทุกข์ ความเจ็บปวด หรือความเคียดแค้นชิงชังเท่านั้น เมล็ดพันธุ์แห่งความละโมบ ความทะยานอยากทั้งหลาย เมล็ดพันธุ์แห่งความรู้สึกเปรียบเทียบแล้วถือตนว่า เหนือหรือต่ำกว่าคนอื่น ฯลฯ ก็เป็นไปในทำนองเดียวกัน ยิ่งเมล็ดพันธุ์แห่งการติดยึดภาพลักษณ์แห่งความดีด้วยแล้ว ก็ยิ่งยากนักที่เราจะรับรู้อย่างเท่าทันตามที่เป็นจริง จึงง่ายที่จะเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็วและยากที่จะถ่ายถอนบรรเทาให้เบาบาง ลง การพลิกเปลี่ยนจากพลังด้านร้ายของชีวิตให้เป็นพลังด้านดีนั้น กุญแจสำคัญอยู่ที่การหมั่นฝึกฝนสติให้แหลมคมมีพลังเพียงพอที่จะรู้เท่าทัน จิตใจ ทำให้เกิดการรับรู้อย่างตรงไปตรงมา ไม่รับรู้อย่างผิดพลาดหรือหลงติดในภาพสัญลักษณ์ที่เราสมมุติกันขึ้น หลงเข้าใจว่าสรรพสิ่งเป็นอิสระ ดำรงอยู่ได้ด้วยตัวมันเอง ตัวเราเป็นอิสระดำรงอยู่อย่างไม่สัมพันธ์กับสิ่งอื่น คนอื่น สติที่ถูกฝึกมาดีแล้วย่อมเป็นเสมือนอุปกรณ์สำคัญสำหรับการแปรเปลี่ยนราก เหง้าแห่งอกุศลให้เป็นกุศล ซึ่งจะเป็นปัจจัยให้ชีวิตเกิดความเบิกบานและงดงาม ท่านติช นัท ฮันห์ กล่าวว่ามีอยู่ ๓ ทางที่เราจะแปรเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์แห่งความทุกข์ให้ชีวิตพบกับความเบิกบานและ งดงาม ดังนี้ ๑.พยายามใช้พลังแห่งสติสาดแสงเข้าไปในจิตใจ เพื่อหล่อเลี้ยงเมล็ดพันธุ์แห่งความเบิกบานและงดงามที่มีอยู่ในตัวเราให้ เติบโตงอกงามอยู่เสมอ โดยเปิดโอกาสให้เมล็ดพันธุ์ด้านดีของเราปรากฏตัวออกทั้งทางกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม เท่าที่จะทำได้ ปล่อยให้เมล็ดพันธุ์ที่ว่านี้ได้แปรสภาพเมล็ดพันธุ์แห่งความทุกข์โดยทางอ้อม นับเป็นการแปรสภาพความทุกข์ให้อ่อนพลังลงเรื่อยๆ โดยเราไม่จำต้องจัดการโดยตรงกับเมล็ดพันธุ์แห่งความทุกข์ วิธีการนี้เหมาะควรกับบางคนที่มีปมแห่งความทุกข์ความเจ็บปวดลึกซึ้ง และทนได้ยากที่จะเผชิญหน้าตรงๆ กับความทุกข์ การใช้สติหล่อเลี้ยงเมล็ดพันธุ์แห่งความเบิกบานและงดงาม จึงเป็นวิธีการทางอ้อมที่จะลดความเข้มข้นของเมล็ดพันธุ์แห่งความทุกข์ให้ เจือจางบรรเทาลงได้บ้าง จากนั้นจึงขยับไปใช้วิธีการในข้อต่อไป ๒. วันคืนแห่งการเจริญสติหากช่วงใดขณะใดที่เมล็ดพันธุ์แห่งความทุกข์ปรากฎตัวขึ้นมา ให้เราใช้พลังแห่งสติลูบไล้สัมผัสกับเมล็ดพันธุ์แห่งความทุกข์นั้น เมื่อถูกสัมผัสด้วยพลังแห่งสติแล้วเมล็ดพันธุ์แห่งความทุกข์นั้นย่อมอ่อน กำลังความเข้มข้นลง เพียงเราใช้สติเพื่อรู้เท่าทันเมล็ดพันธุ์แห่งความทุกข์อย่างกล้าหาญเท่า นั้น ความทุกข์ที่มีอำนาจเหนือจิตใจเรามาโดยตลอดก็ย่อมอ่อนกำลังแปรเปลี่ยนสภาพไป ในที่สุด ๓.เชื้อเชิญเมล็ดพันธุ์แห่งความทุกข์นั้นให้ปรากฎอยู่ในการรับรู้ของจิตใจเราไปเลย วิธีการนี้เหมาะกับบางคนที่มีสติและจิตใจเข้มแข็งมั่นคงระดับหนึ่งแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องรอให้เมล็ดพันธุ์แห่งความทุกข์มาปรากฏตัวอย่างมิได้คาดฝัน แต่เรากลับเป็นฝ่ายเชื้อเชิญมันมาสู่การรับรู้ของเรา ทำดังกับว่าเราพบกับเพื่อนเก่าที่รู้จักกันมานานแล้วเชื้อเชิญเขามาสู่การ พูดคุยกันอย่างลึกซึ้ง สติที่ถูกฝึกมามาดีระดับหนึ่งแล้ว ย่อมทำให้เราสามารถเผชิญหน้ากับความทุกข์ได้อย่างกล้าหาญ ซึ่งจะนำไปสู่การประจักษ์แจ้งถึงความจริงของสรรพสิ่งตามที่มันเป็น อันจะเป็นการบั่นรอนห่วงโซ่แห่งความยึดมั่นถือมั่นให้ขาดลง แล้วเข้าถึงสภาวะแห่งความเบิกบานและงดงามในที่สุด เป็นการประจักษ์แจ้งในขณะที่เรายังเวียนว่ายในสังสาระนี้แล วิธีการทั้ง ๓ ที่กล่าวมานี้ เราสามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมสอดคล้องกับตัวเรา หากเราริเริ่มใส่ใจฝึกฝนนับแต่บัดนี้ ความเบิกบานและงดงามแห่งชีวิตก็พลันจะปรากฏขึ้นในทุกขณะแห่งชีวิต ยิ่งอำนาจแห่งสติครอบครองจิตใจได้นานและบ่อยครั้งเพียงใด ความเบิกบานและงดงามในชีวิตยิ่งจะมั่นคงยั่งยืนมากขึ้นเท่านั้น http://sph.thaissf.org/index.php?module=article&page=detail&id=79 (http://sph.thaissf.org/index.php?module=article&page=detail&id=79) |