[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน => ข้อความที่เริ่มโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 15 กรกฎาคม 2553 20:18:24



หัวข้อ: รู้เรื่องพระพุทธรูป ตามความเป็นจริง
เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 15 กรกฎาคม 2553 20:18:24
รู้เรื่องพระพุทธรูป ตามความเป็นจริง

รูปเหมือนพระพุทธเจ้าไม่มี
เล่ม 32 หน้า 214 บรรทัด 6

อปฺปฎิโม (ไม่มีผู้เปรียบ) ความว่า อัตภาพ ( ความเป็นตัวตน )
เรียกว่ารูปเปรียบ ชื่อว่าไม่มีผู้เปรียบ เพราะรูปเปรียบอื่นเช่นกับอัตภาพของท่านไม่มี
อีกอย่างหนึ่ง มนุษย์ทั้งหลายกระทำรูปเปรียบใดล้วนแล้วด้วยทองและเงินเป็นต้น
ในบรรดารูปเปรียบเหล่านั้น ชื่อว่าผู้สามารถกระทำโอกาสแม้สักเท่าปลายขนทราย
(แม้เพียงนิ๊ดนึง) ให้เหมือนอัตภาพของพระตถาคต ย่อมไม่มี
พราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าไม่มีผู้เปรียบแม้โดยประการทั้งปวง.
อปฺปฎิสโม (ไม่มีผู้เทียบ) ความว่า ชื่อว่าไม่มีผู้เทียบ
เพราะใคร ๆ ชื่อว่าผู้จะเทียบกับอัตภาพของพระตถาคต นั้นไม่มี
รูปเหมือนพระพุทธเจ้า...ไม่มี (อีกที)


เล่ม 11 หน้า 66

….ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคตมีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้ว ยังดำรงอยู่
เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายย่อมเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตดำรงอยู่
ต่อเมื่อกายแตกสิ้นชีวิตแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจะไม่เห็นตถาคต......
เล่ม 13 หน้า 121
.....ดังที่พระองค์ตรัสไว้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระมหาบุรุษทรงปลื้มพระทัยนักแล
เมื่อผลกรรมปรากฏ
ทรงงดงาม เพราะอวัยวะส่วนใดยาว อวัยวะส่วนนั้นย่อมตั้งอยู่ยาว
ทรงงดงาม เพราะอวัยวะส่วนใดสั้น อวัยวะส่วนนั้นย่อมตั้งอยู่สั้น
ทรงงดงาม เพราะอวัยวะส่วนใดล่ำ อวัยวะส่วนนั้นย่อมตั้งอยู่ล่ำ
ทรงงดงาม เพราะอวัยวะส่วนใดเรียว อวัยวะส่วนนั้นย่อมตั้งอยู่เรียว
ทรงงดงาม เพราะอวัยวะส่วนใดกว้าง อวัยวะส่วนนั้นย่อมตั้งอยู่กว้าง
ทรงงดงาม เพราะอวัยวะส่วนใดกลม อวัยวะส่วนนั้นย่อมตั้งอยู่กลมดังนี้
อัตตภาพของพระมหาบุรุษสะสมไว้ด้วย ทานจิต บุญจิต ตระเตรียมไว้ด้วยบารมี ๑๐
ด้วยประการฉะนี้.
ศิลปินทั้งปวงหรือผู้มีฤทธิ์ทั้งปวงในโลก ไม่สามารถสร้างรูปเปรียบได้.....
ธรรม – วินัย ที่พระองค์ตรัสต่างหากเล่า คือตัวแทนพระศาสดา
เล่ม 13 หน้า 320
....ดูก่อนอานนท์ บางที่พวกเธอจะพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า ปาพจน์ (พุทธพจน์)
มีพระศาสดาล่วงแล้ว พระศาสดาของพวกเราไม่มี ข้อนี้พวกเธอไม่พึงเห็นอย่างนั้น
ธรรมก็ดี วินัยก็ดีอันใดอันเราแสดงแล้ว ได้บัญญัติไว้แล้วแก่พวกเธอ
ธรรมและวินัยอันนั้นจักเป็นศาสดาแห่งพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา......
- 2 -
ความหมายของอุทเทสิกเจดีย์ที่แท้จริง


เล่ม 60 หน้า 267

....พระอานนทเถระรับว่า ดีละ แล้วทูลถามพระตถาคตว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
เจดีย์มีกี่อย่าง.
พระศาสดาตรัสตอบว่า มีสามอย่างอานนท์.
พระอานนทเถระทูลถามว่า สามอย่างอะไรบ้าง พระเจ้าข้า.
พระศาสดาตรัสว่า ธาตุเจดีย์ ๑ ปริโภคเจดีย์ ๑ อุทเทสิกเจดีย์ ๑.
พระอานนทเถระทูลว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อพระองค์เสด็จจาริกไป
ข้าพระองค์อาจกระทำเจดีย์ได้หรือ.
พระศาสดาตรัสว่า อานนท์ สำหรับธาตุเจดีย์ไม่อาจทำได้ เพราะธาตุเจดีย์นั้น
จะมีได้ในกาลที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว
สำหรับอุทเทสิกเจดีย์ก็ไม่มีวัตถุปรากฏ เป็นเพียงเนื่องด้วยตถาคตเท่านั้น...
*** เจดีย์ แปลว่า ที่เคารพนับถือ, บุคคล – สถานที่ หรือวัตถุที่ควรเคารพบูชา
*** ภิกษุสงฆ์รุ่นหลังให้ความหมายของอุทเทสิกเจดีย์ว่า
เจดีย์ที่สร้างอุทิศพระพุทธเจ้า คือ พระพุทธรูป
แต่พระพุทธเจ้าให้ถือเจดีย์คือธรรม (คำสอนของพระองค์)
เล่ม 21 หน้า 202
ครั้งนั้นแล เมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จไปแล้วไม่นาน
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระเจ้าปเสนทิโกศลพระองค์นี้
ตรัสธรรมเจดีย์ คือพระวาจาเคารพธรรม ทรงลุกจากที่ประทับนั่งแล้วเสด็จหลีกไป
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเรียนธรรมเจดีย์นี้ไว้ จงทรงจำธรรมเจดีย์นี้ไว้
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมเจดีย์ประกอบด้วยประโยชน์ เป็นอาทิพรหมจรรย์.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว
ภิกษุเหล่านั้นพากันชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า ฉะนี้แล.
วัตถุทั้งหลายทั้งปวง พระพุทธเจ้าไม่ให้ท่านทั้งหลายเอาเป็นที่พึ่ง
หรอกนะ เล่ม 27 หน้า 90
บทว่า อตฺตทีปา ความว่า ท่านทั้งหลายจงทำตนให้เป็นเกาะ เป็นที่ต้านทาน
เป็นที่เร้น เป็นคติที่ไปในเบื้องหน้าเป็นที่พึ่งอยู่เถิด.
อนญฺญสรณา นี้ เป็นคำห้ามพึ่งผู้อื่น ด้วยว่าผู้อื่นเป็นที่พึ่งไม่ได้ เพราะคนหนึ่งจะ
พยายามทำอีกคนหนึ่งให้บริสุทธิ์หาได้ไม่
สมจริงดังที่ตรัสไว้ว่า ตนนั่นแลเป็นที่พึ่งของตน คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า อนญฺญสรณา ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ
ถามว่า ก็ในที่นี้ อะไรชื่อว่าตน ?
ตอบว่า ธรรมที่เป็นโลกิยะและเป็นโลกุตตระ (ชื่อว่าตน).
ด้วยเหตุนั้นนั่นแล พระองค์จึงตรัสว่า
ธมฺมทีปา ธมฺมสรณา อนญฺญสรณา มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นสรณะ
ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ
- 3 -
เล่ม 30 หน้า 444
...ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุพวกใดพวกหนึ่งในบัดนี้ก็ดี ในกาลที่ล่วงไปแล้วก็ดี
จักเป็นผู้มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือ มีธรรมเป็นเกาะ
มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่ ภิกษุเหล่านี้นั้นเป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษา
จักเป็นผู้เลิศ.
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระพุทธรูปที่ทำกันเกร่ออยู่ตอนนี้ พระพุทธเจ้าไม่เคยบัญญัติ – ไม่เคยกล่าว –
ไม่เคยแสดง ว่าให้ชาวพุทธพากันทำขึ้นมาได้ แล้วชาวพุทธจะทำกันไปทำไม ?
แล้วชาวพุทธจะกราบไหว้กันไปทำไม ?
แล้วชาวพุทธจะเคารพไปเพื่ออะไร?


เล่ม 32 หน้า 176

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุพวกที่แสดง สิ่งที่เป็นธรรม ว่า เป็นอธรรม....
ภิกษุพวกที่แสดง สิ่งที่มิใช่วินัย ว่า เป็นวินัย…
ภิกษุพวกที่แสดง วินัย ว่า มิใช่วินัย…
ภิกษุพวกที่แสดง คำพูดอันตถาคตมิได้ภาษิตไว้ - มิได้กล่าวไว้ ว่า
เป็นคำพูดที่ตถาคตภาษิตไว้ – กล่าวไว้…
ภิกษุพวกที่แสดง คำพูดอันตถาคตได้ภาษิตไว้ - กล่าวไว้ ว่า เป็นคำพูดที่ตถาคต
มิได้ภาษิตไว้ – มิได้กล่าวไว้ …
ภิกษุพวกที่แสดง กรรมอันตถาคตมิได้สั่งสม ว่า ตถาคตสั่งสม….
ภิกษุพวกที่แสดง กรรมอันตถาคตได้สั่งสมไว้ ว่า ตถาคตมิได้สั่งสมไว้ ….
ภิกษุพวกที่แสดง สิ่งอันตถาคตบัญญัติไว้ ว่า ตถาคตมิได้บัญญัติไว้….
ภิกษุเหล่านั้น ชื่อว่า เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล ไม่เป็นความสุขแก่ชนเป็น
อันมาก เพื่ออนัตถะเพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูลชนเป็นอันมาก เพื่อทุกข์แก่เทวดาและ
มนุษย์ทั้งหลาย ทั้งย่อมประสบบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก และย่อมยังสัทธรรมนี้ให้
อันตรธาน….
รูปร่างทั้งหลายพระพุทธเจ้าติเตียนนัก รวมทั้งพระพุทธรูปในปัจจุบัน
นี้ด้วย เล่ม 33 หน้า 468
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อสัตบุรุษผู้เขลา ไม่เฉียบแหลม ประกอบด้วยธรรม ๒ ประการ
ย่อมบริหารตนให้ถูกกำจัด ให้ถูกทำลาย เขาย่อมเป็นไปกับด้วยโทษ ถูกผู้รู้ติเตียน
ทั้งได้ประสบบาปเป็นอันมากอีกด้วยธรรม ๒ ประการเป็นไฉน คือ
ไม่พิจารณาไตร่ตรองแล้ว เกิดความเลื่อมใสในฐานะอันไม่เป็นที่ตั้งแห่งความ
เลื่อมใส ๑
ไม่พิจารณาไตร่ตรองแล้ว เกิดความไม่เลื่อมใสในฐานะอันเป็นที่ตั้งแห่งความ
เลื่อมใส ๑
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อสัตบุรุษผู้เขลา ไม่เฉียบแหลม ประกอบด้วยธรรม ๒ ประการนี้แล
ย่อมบริหารตนให้ถูกกำจัด ถูกทำลาย เขาย่อมเป็นไปกับด้วยโทษ ถูกผู้รู้ติเตียน
ทั้งได้ประสบบาปเป็นอันมากอีกด้วย….
*** แล้วผู้ที่เรียกตัวเองว่าชาวพุทธแต่ไปเลื่อมใสพระพุทธรูปทั้งหลายนั่นล่ะจะว่าไงดี ?
ได้บุญหรือได้บาป ?
- 4 -
คำว่า สรณะ แปลว่า ที่พึ่ง
ที่พึ่งที่สามารถทำความกลัว – ความสะดุ้ง – ความทุกข์ – ทุคติ – ความเศร้า
หมองทุกด้าน ให้พินาศ – ย่อยยับ – สลายไป ด้วยการเข้าถึงสรณะนั้น
คำว่า สรณะ นี้เป็นชื่อของพระรัตนตรัยนั่นเอง.
ทีนี้พระพุทธรูปต้องไม่สามารถที่จะกำจัดความทุกข์ - ความสะดุ้ง - ความเศร้าหมอง
ให้ใครได้อย่างถูกต้องแน่นอน พระพุทธรูปจึงไม่ใช่พระรัตนตรัยโดยประการทั้งปวง
สิ่งที่จะกำจัดในสิ่งที่กล่าวมาได้มีอยู่อย่างเดียวคือ ธรรมของพระพุทธเจ้าเท่านั้น
ธรรมของพระพุทธเจ้าก็ไม่ใช่วัตถุทั้งหมดทั้งสิ้น แต่เป็นคำสอนเท่านั้น
ตามเหตุผลที่อ่านมาตามลำดับแล้ว อธิบายแบบนี้ถูกต้องแล้วใช่ไหม ท่านทั้งหลาย ?
(ตอบในใจ)
เพราะฉะนั้น ใครที่ก็ตามที่เคารพพระพุทธรูป เอาพระพุทธรูปเป็นที่พึ่ง - เป็นที่ระลึก -
เป็นที่พักพิง ของใจ จึงขาดกันกับพระรัตนตรัยแน่นอน เป็นคนที่สรณะขาด
ต่อสัญญาณการระลึกกับพระรัตนตรัยไม่ติด เป็นคนที่ไม่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
จึงไม่ใช่ชาวพุทธที่แท้จริง




ที่มา : มุมธรรมะ โซนไอที