หัวข้อ: สักการะพระเจ้าเก้าตื้อ ที่วัดสวนดอก จังหวัดเชียงใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 08 ธันวาคม 2555 14:33:48 (http://www.sookjaipic.com/images_upload/43359603981176_2.jpg) วัดสวนดอก ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ วัดสวนดอก ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่ อยู่ห่างจากประตูสวนดอกไปทางทิศตะวันตก ๘๐๐ เมตร มีเนื้อที่ ๓๕ ไร่ ๒ งาน ๔๔ ตารางวา เป็นวัดสังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย แต่เดิมบริเวณวัดนี้เป็นอุทยานดอกไม้ของกษัตริย์ มีชื่อเรียกว่า “สวนดอกไม้พะยอม” (ในอดีตมีต้นพะยอมอยู่มาก) จากศิลาจารึกวัดพระยืน หลักที่ ๖๒ จ.ศ.๗๓๒ (พ.ศ.๑๙๑๓) ได้กล่าวไว้ว่า วัดสวนดอกสร้างในปี พ.ศ.๑๙๑๔ หลังจากที่พระเจ้ากือนาธรรมิกราช กษัตริย์พระองค์ที่ ๖ แห่งราชวงศ์มังราย ผู้ครองนครเชียงใหม่ ทรงส่งสมณฑูต มีหมื่นเงินกองปะขาวยอด และปะขาวสาย ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตพญาลิไทแห่งกรุงสุโขทัย อาราธนาพระสุมนเถระมาเผยแผ่พระพุทธศาสนาฝ่ายอรัญวาสีในอาณาจักรล้านนา หลังจากที่พระสุมนเถระพำนักที่วัดพระยืน เมืองหริภุญชัย (ลำพูน) ในปี พ.ศ.๑๙๑๒ อีกหนึ่งปีต่อมา พระเจ้ากือนาธรรมิกราชทรงสร้างวัดในบริเวณสวนดอกไม้ในเมืองเชียงใหม่ขึ้น และพระราชทานนามว่า "วัดบุปผาราม" ซึ่งเป็นภาษาบาลี แปลเป็นภาษาไทยหมายถึง วัดสวนดอก เพื่อเป็นที่พำนักของพระสุมนเถระ และทรงแต่งตั้งพระสุมนเถระเป็นพระสังฆราช นาม “พระมหาสุมนสุวรรณรัตนสามี” ต่อมาชาวบ้านนิยมเรียกวัดบุปผารามกันอย่างง่ายๆ ว่า "วัดสวนดอก" ตำนานมูลศาสนา กล่าวว่าวัดแห่งนี้มีขนาดกว้าง ๓๑๑ วา ยาว ๓๓๑ วา มีอาณาเขตเท่ากับวัดเชตวันมหาวิหาร กรุงสาวัตถี ซึ่งอนาถบิณฑิกมหาเศรษฐีสร้างถวายพระพุทธเจ้า ทรงโปรดให้สร้างพระอุโบสถ คือวัดพระเจ้าเก้าตื้อ นอกจากนี้ ยังทรงโปรดให้สร้างเจดีย์เพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่พระมหาสุมนเถระนำมาจากกรุงสุโขทัย การสถาปนานิกายรามัญวงศ์โดยพระสุมนเถระ ทำให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองในพระพุทธศาสนา เพราะเป็นจุดเริ่มต้นของการตื่นตัวทางสติปัญญาและวัฒนธรรม นำไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรล้านนา วัดบุปผาราม หรือ วัดสวนดอก เป็นพระอารามหลวงในความอุปถัมภ์ของกษัตริย์ในราชวงศ์มังรายมาโดยตลอด มีกาลสมัยที่รุ่งเรืองเพราะการอุปถัมภ์ค้ำชูจากเหล่าขุนนางและกษัตริย์ และถึงกาลทรุดโทรมลงด้วยภัยสงครามจากพม่าและการสิ้นราชวงศ์มังราย วัดนี้จึงกลายสภาพเป็นวัดร้างไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง ต่อมาวัดสวนดอกได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่อีกครั้งในรัชสมัยพระเจ้าบรมราชาธิบดีกาวิละ แห่งราชวงศ์ทิพย์จักราธิวงศ์ (เจ้าเจ็ดตน) และได้รับการทำนุบำรุงจากเจ้านายฝ่ายเหนือ และประชาชนชาวเชียงใหม่ตลอดมา วัดสวนดอก ได้รับการบูรณะครั้งสำคัญ ๒ ครั้ง ครั้งแรกในปี พ.ศ.๒๔๕๐ เมื่อพระราชชายา เจ้าดารารัศมี ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงให้อัญเชิญรวบรวมพระอัฐิของเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ และพระประยูรญาติ มาประดิษฐานรวมกัน และต่อมาอีกครั้งหนึ่งในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นการบูรณปฏิสังขรณ์องค์พระวิหารโดย ครูบาเจ้าศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนา (http://www.sookjaipic.com/images_upload/74962413186828_1.jpg) พระบรมธาตุเจดีย์วัดสวนดอก (Pagoda or Chedi at Wat Suan Dok) สร้างในสมัยพระเจ้ากือนา เมื่อ พ.ศ. ๑๙๑๖ เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ที่พระสุมนเถระนำมาจากกรุงสุโขทัย องค์พระเจดีย์สูง ๒๔ วา เป็นเจดีย์ทรงระฆัง ศิลปะลังกาผสมสุโขทัย ยังมีทางขึ้นเจดีย์ทั้ง ๔ ด้าน (http://www.sookjaipic.com/images_upload/95639777721630_3.JPG) เจดีย์อนุสาวรี (กู่) ครูบาเจ้าศรีวิชัย สร้างเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๐ ครูบาศรีวิชัย ถึงแก่มรณภาพเมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๘๑ ที่วัดบ้านปาง อ.ลี้ จ.ลำพูน ขณะมีอายุได้ ๖๐ ปี ๙ เดือน ๑๑ วัน และตั้งศพไว้ที่วัดบ้านปางเป็นเวลา ๑ ปี (บางท่านก็ว่า ๓ ปี) จากนั้นได้เคลื่อนศพมาตั้งไว้ที่วัดจามเทวี อ.เมือง จ.ลำพูน จนถึงวันที่ ๒๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ จึงได้รับพระราชทานเพลิงศพ เมื่อพระราชทานเพลิงศพเสร็จสิ้นจึงได้มีการแบ่งอัฐิของท่านไปบรรจุไว้ตามที่ต่างๆ เช่น ที่วัดจามเทวี จ.ลำพูน วัดสวนดอก จ.เชียงใหม่ วัดพระแก้วดอนเต้า จ.ลำปาง วัดศรีโคมคำ จ.พะเยา วัดพระธาตุช่อแฮ จ.แพร่ และที่วัดบ้านปาง จ.ลำพูน อันเป็นวัดดั้งเดิมของท่าน (http://www.sookjaipic.com/images_upload/57933572183052_3.jpg) กู่เจ้านายฝ่ายเหนือ (Reliquaries of Northern Thai Royalty) อนุสาวรีย์ซึ่งบรรจุพระอัฐิของอดีตเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ กู่เจ้านายฝ่ายเหนือ คืออนุสาวรีย์บรรจุพระอัฐิ:พระราชชายา เจ้าดารารัศมี ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงให้อัญเชิญรวบรวมพระอัฐิของเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ และพระประยูรญาติ มาประดิษฐานรวมกัน ปัจจุบันบรรจุพระอัฐิของอดีตเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ทั้ง ๙ พระองค์ และพระอัฐิพระราชชายาเจ้าดารารัศมี รวมทั้งอัฐิของเจ้านายผู้ถือกำเนิดโดยตรงจากเจ้าหลวงเชียงใหม่ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/86344745010137_1.JPG) ประวัติพระเจ้าเก้าตื้อ พระเจ้าเก้าตื้อ พระประธานในพระอุโบสถวัดสวนดอก หรือวัดบุบผาราม หล่อด้วยโลหะมีน้ำหนัก ๙ โกฏิตำลึง หรือ ๙,๐๐๐ กิโลกรัม ได้รับการยกย่องว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีพระพุทธลักษณะงดงามที่สุดของแผ่นดินล้านนาพระเจ้าเก้าตื้อ พระประธานประจำพระอุโบสถวัดสวนดอก คำว่า ตื้อ เป็นหน่วยวัดน้ำหนักโลหะของล้านนาในสมัยโบราณ เป็นคำภาษาไทยเหนือ แปลว่า หนักพันชั่ง (๑ ตื้อ เท่ากับ ๑,๐๐๐ กิโลกรัม บางตำราว่า ๑ ตื้อ หนักเท่ากับ ๑,๒๐๐ กิโลกรัม) ในพงศาวดารโยนกกล่าวว่า พระเจ้าเมืองแก้ว หรือพระเจ้าศิริธรรมจักรพรรดิราช กษัตริย์พระองค์ที่ ๑๓ แห่งราชวงศ์มังราย ผู้ครองอาณาจักรล้านนา โปรดฯ ให้สร้างพระพุทธรูปองค์นี้ขึ้น เพื่อเป็นพระองค์ประธานในวัดพระสิงห์ โดยได้เริ่มทำการหล่อในวันพฤหัสบดี เดือน ๘ ขึ้น ๑๑ ค่ำ ปีชวด ฉอศก จุลศักราช ๘๖๖ (พ.ศ. ๒๐๔๗) เป็นพระพุทธรูปแบบเชียงแสนฝีมือช่างล้านนาและสุโขทัย หน้าตักกว้าง ๘ ศอก หรือ ๓ เมตร สูง ๔.๗๐ เมตร องค์พระมีที่ต่อ ๘ แห่ง นับเป็นท่อนได้ ๙ ท่อน ใช้เวลานานถึง ๕ ปีนับตั้งแต่ลงมือหล่อพระพุทธรูป แต่ไม่สามารถทำการเคลื่อนย้ายได้ จึงได้ถวายเรือนหลวงของพระองค์ บริเวณใกล้ ๆ กับพระอารามวัดบุบผารามหรือวัดสวนดอกเป็นพระวิหาร พระราชทานชื่อว่า "วัดเก้าตื้อ" ครั้นถึงวันพุธเดือน ๕ ขึ้น ๔ ค่ำ ปีมะเส็ง เอกศก จุลศักราช ๘๗๐ (พุทธศักราช ๒๐๕๒) จึงได้มีการชักพระพุทธปฏิมากรองค์นี้ เข้าประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถในวัดสวนดอก หรือวัดบุบผารามซึ่งต่อมาภายหลังได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ในสมัยครูบาเจ้าศรีวิชัย เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ และกรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแห่งชาติ ในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๕๒/๗๕ ลงวันที่ ๘ มีนาคม ๒๔๗๘ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/39044088621934_2.JPG) หลวงพ่อโตประจำวิหาร องค์ประธาน สร้างเมื่อปี พ.ศ. ๑๙๑๖ ในสมัยพระเจ้ากือนาธรรมิกราช หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ ขนาดเท่าพระวรกายของพระเจ้ากือนา หน้าตักกว้างสองเมตรครึ่ง เรียกชื่อตามภาษาถิ่นล้านนาว่า "พระเจ้าค่าคิง" ตำนานกล่าวถึงการสร้างพระเจ้าค่าคิงว่า "พญากือนาธรรมิกราช ได้เอาราชเรือนหลวงของพระองค์มาสร้างมหาวิหารหลังหนึ่ง อันประณีตวิจิตรงดงามยิ่ง พร้อมทั้งหล่อพระพุทธรูปองค์หนึ่งด้วยทองสำริดไว้ ในพระวิหารเป็นพระประธาน สำเร็จในปี พ.ศ. ๑๙๑๖ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/43447395289937_11.JPG) พระพุทธรูปทรงเครื่ององค์ซ้ายและองค์ขวา ของหลวงพ่อโต เป็นพระพุทธรูปนั่งปางมารวิชัย ฉลองพระองค์และสวมมงกุฎด้วยเครื่องขัตติยราช ทรงทรมานพระยามหาชมพู (พระทรงเครื่อง มีการทำหลายแบบ) สมัยหนึ่ง พระบรมศาสดาเสด็จประทับสำราญพระอิริยาบถอยู่ในพระเวฬุวัน ซึ่งพระเจ้าพิมพิสารสร้างถวาย ครั้งนั้น พระยาชมพูวดี ซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์ ที่มีบุญญาธิการและฤทธานุภาพมาก ได้มาคุกคามและรบกวนพระเจ้าพิมพิสารอยู่เสมอ พระเจ้าพิมพิสารจึงไปเฝ้าพระพุทธเจ้าที่เวฬุวัน ขอพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง พระพุทธองค์ทรงเล็งพระญาณเห็นว่า จะโปรดพระยามหาชมพูได้ จึงทรงเนรมิตพระเวฬุวันให้เป็นดังดุจเมืองสวรรค์ และทรงเนรมิตพระองค์เอ งเป็นเจ้าราชาธิราช ทรงเครื่องราชาภรณ์ครบทุกประการ และดำรัสสั่งให้พระอินทร์ แปลงเป็นราชฑูตไปเชิญพระยามหาชมพูมาเฝ้าที่พระเวฬุวันมหาวิหาร ทรงแสดงธรรมโปรดจนพระยามหาชมพูหมดทิฐิมานะ ขอบรรพชาอุปสมบทพร้อมด้วยพระมเหสีและพระราชโอรส (http://www.sookjaipic.com/images_upload/70378144623504_4.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/32595740631222_5.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/50954132899641_2.JPG) พระอุโบสถที่ประดิษฐานพระเจ้าเก้าตื้อ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/69120472959346_4.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/24764407757255_5.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/22623413180311_5_1.JPG) กุฏิสงฆ์ข้างพระอุโบสถวัดสวนดอก (http://www.sookjaipic.com/images_upload/58015105293856_6.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/83818372090657_7.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/83216871983475_8.JPG) หัวข้อ: Re: ประวัติวัดสวนดอก จังหวัดเชียงใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 08 ธันวาคม 2555 15:31:17 (https://encrypted-tbn3.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcQOBp3g8r7NlAp0_ndI9PpK1rgEXnkqHPWv0yUG8zOI1DLnMtB-4Q) พระราชชายาเจ้าดารารัศมี พระภริยาเจ้าพระองค์หนึ่ง ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีบทบาทสำคัญในการผนวกแผ่นดินล้านนาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรไทยเจ้าดารารัศมี พระราชชายาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชชายาเจ้าดารารัศมีทรงเป็นพระธิดาองค์สุดท้องในพระเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ พระองค์ที่ ๗ ประสูติแต่แม่เจ้าเทพไกรสร เมื่อวันอังคารที่ ๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๑๖ ณ คุ้มหลวงกลางเวียง มีพระนามที่เรียกขายกันในหมู่พระญาติใกล้ชิดว่า อึ่ง เข้ารับราชการในพระราชสำนักฝ่ายใน ในตำแหน่งเจ้าจอม เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๙ ซึ่งเป็นไปตามพระบรมราโชบายในอันที่จะประสานสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรทั้งสองให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ต่อมา ทรงได้รับพระมหากรุณาธิคุณ โปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็นพระราชชายา พ.ศ. ๒๔๕๑ มีพระราชธิดาพระองค์หนึ่งคือ พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าวิมลนาคนพีสี แต่ประชวรสิ้นพระชนม์เสียเมื่อทรงมีพระชนมายุเพียง ๓ พรรษา นำความเศร้าโศกอาลัยมาสู่พระบรมชนกนาถและพระชนนีเป็นที่ยิ่ง สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงถึงกับตรัสว่า “...ฉันผิดเอง ลูกเขาควรเป็นเจ้าฟ้าแต่ฉันลืมตั้ง จึงตาย...” และหลังจากนั้น พระราชชายาฯ ก็มิได้มีพระราชโอรสหรือพระราชธิดาไว้เชยชมอีกเลย เมื่อพระราชชายาฯ ถวายตัวเข้ารับราชการฝ่ายใน สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเล่าว่า ในครั้งนั้น พระเจ้าอินทวิชยานนท์ ทรงห่วงใยพระธิดา ด้วยเห็นว่ายังทรงเยาว์วัยนัก เกรงจะไม่รู้จักวางองค์ให้เหมาะสม พระเจ้าอินทวิชยานนท์ได้ทรงฝากฝังพระธิดาน้อยกับพระองค์ด้วยความห่วงใยว่า “เสด็จเจ้า ข้าเจ้าฝากนังอึ่งด้วยเน้อ ถ้าทำอันหยังบ่อถูกบ่ต้อง เสด็จเจ้าก็จงเรียกตัวมาเกกหัวเอาเตอะ...” (http://library.cmu.ac.th/ntic/popup/popup081253/dara_web2.jpg) แต่กาลต่อมาก็ได้พิสูจน์ว่า พระราชชายาฯ ทรงเป็นกุลสตรีที่มีน้ำพระทัยอาจหาญเด็ดเดี่ยว แม้จะทรงตกมาอยู่ท่ามกลางบุคคลที่มิใช่พระญาติวงศ์แต่เมื่อพระชนมายุยังน้อย ก็ทรงสามารถดำรงองค์อยู่ได้อย่างสมพระเกียรติ ประกอบกับทรงมีพระสติปัญญาที่เฉลียวฉลาด พระสิริโฉมงดงาม น้ำพระทัยโอบอ้อมอารี พระอิริยาบถอ่อนโยนนุ่มนวลอันเป็นแบบฉบับของสตรีล้านนา พระตำหนักของพระราชชายาฯ จะแปลกกว่าพระตำหนักอื่นคือ ยังคงไว้ซึ่งวัฒนธรรมประเพณีของชาวล้านนาอย่างเคร่งครัด ตั้งแต่การแต่งกาย พระราชชายาฯ และคุณข้าหลวงต่างก็ยังคงนุ่งซิ่นพื้นเมือง พูดคำเมือง รับประทานอาหารแบบเมืองเหนือพระเจ้าอินทวิชยานนท์ กับ แม่เจ้าเทพไกรสร พระบิดา พระมารดา ของพระราชชายาเจ้าดารารัศมี หม่อมเจ้าหญิงพูนพิสมัย ดิศกุล พระธิดาในสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเล่าถึง พระอัธยาศัยและพระสติปัญญาของพระราชชายาฯ ไว้ด้วยความชื่นชมว่า “....ทุกคนที่ได้เคยเฝ้าพระราชชายาเจ้าดารารัศมี ที่ในพระบรมมหาราชวังในเวลาที่ประทับอยู่ในหมู่เจ้าจอมมารดาผู้ใหญ่ด้วยกันก็ดี ได้เฝ้าในเวลาเสด็จประทับเป็นประธานอยู่ในหมู่ข้าราชการทั้งใต้และเหนือในเมืองเชียงใหม่ก็ดี ถ้าไม่ดูให้ดี ก็จะรู้ไม่ได้เลยว่า พระราชชายาฯ ในที่ ๒ แห่งนั้นพระองค์เดียวกัน ทั้งนี้ เพราะทรงสามารถแยกกาลเทศะได้เป็นยอดเยี่ยม พระราชชายาฯ ในพระบรมมหาราชวังไม่ทรงมียศมีศักดิ์ ไม่มีความสำคัญอันใด สมกับคำที่พวกเจ้าจอมเรียกกันว่า เจ้าน้อย เจ้าน้อยไม่มีความรู้อะไร เจ้าน้อยนั่งนิ่ง ๆ อมยิ้มในสิ่งที่ไม่มีสาระรอบตัวเองได้อย่างสบาย ทุกคนในที่นั้นก็ไม่มีใครรู้จักพระองค์ท่าน นอกจากคำว่า เจ้าน้อย แต่ถ้าผู้ใดไปเฝ้าที่เมืองเชียงใหม่ ผู้นั้นจะได้เฝ้าเจ้าหญิงผู้เป็นหลักของบ้านเมือง ประทับอยู่ในระหว่างข้าราชการทั้งฝ่ายใต้และฝ่ายเหนือ เวลาตรัสกับพวกใต้ ก็ตรัสภาษาใต้ชัดเจน ถ้าหันไปตรัสทางฝ่ายเหนือก็ชัดเป็นฝ่ายเหนือไม่มีแปร่ง ตรัสไต่ถามทุกข์สุข และแนะนำทั้งในทาง.ราชการ และส่วนตัว ด้วยความเหมาะสมแก่พระเกียรติยศ....” ทรงรู้การควรและไม่ควรประพฤติปฏิบัตินั้น ปรากฏดังครั้งที่มีพระประสูติกาลพระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าวิมลนาคนพีสี พระเจ้าอินทวิชยานนท์ พระเจ้าตาทรงดีพระทัย ส่งอ่างสรงน้ำทำด้วยทองคำมาประทานพระนัดดา แต่พระราชชายาฯ ไม่ทรงนำมาใช้ ได้ถวายอ่างทองคำแก่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ให้สมเด็จเจ้าฟ้าลงสรงแทน ภายหลังเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต พระราชชายาเจ้าดารารัศมี ได้กราบบังคมทูลลาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จกลับมาประทับ ณ เชียงใหม่ บ้านเกิดเมืองนอน ใน พ.ศ. ๒๔๕๗ ทรงประทับอยู่ที่ซึ่งเงียบสงบ ณ ตำหนักดาราภิรมย์ อำเภอแม่ริม ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ ๑๔ กิโลเมตร จนสิ้นพระชนม์ เมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ รวมพระชนมายุ ๖๐ พรรษา (http://www.sookjaipic.com/images_upload/92434182514746_1.JPG) |