หัวข้อ: ผู้เจริญสติปัฏฐาน เริ่มหัวข้อโดย: 時々๛कभी कभी๛ ที่ 05 สิงหาคม 2553 10:14:15 ใครขี้เกียจอ่านก็ดาวน์โหลดเอา http://www.oknation.net/blog/3155/2010/08/05/entry-1 (http://www.oknation.net/blog/3155/2010/08/05/entry-1) (:LOVE:)ธรรมะน่าคิดพิจารณาวันนี้ (:LOVE:) จิตนั้นเห็นได้แสนยากละเอียดอ่อนยิ่งนัก มักตกไปหาอารมณ์ที่ใคร่ - สุทุทฺทสํ สุนิปุณํ ยตฺถ กามนิปาตินํ (ธรรมบท ๒๕/๑๗) ธรรมะประจำวันที่ 05/08/2010 (http://www.taklong.com/lomo/p/122824P712011-9.jpg) http://www.se-ed.com/ads/pr/sile/song/09.%20Track%209.wma ท่านอาจารย์ สุจินต์ ไม่ใช่เรื่องอนุญาตแต่เป็นเรื่องสภาพธรรมตามความเป็นจริง นามธรรมทั้งหมด ไม่ว่าริษยา ก็เป็นนามธรรม หมั่นใส้ก็เป็นนามธรรม เพราะฉะนั้น.......ถ้าไม่ใช่เป็นผู้มีปกติเจริญ{สติปัฏฐาน}จะไม่เข้าใจพยัญชนะที่ว่า ผู้เจริญ{สติปัฏฐาน}คือผู้ที่อบรมเจริญปัญญาเหมือนนักรบที่ยิงไกลและยิงไว จะไม่เข้าใจเลยถ้าไม่ใช่ผู้เจริญสติปัฏฐานจริง ๆ แต่ถ้าเป็นผู้มีปกติเจริญสติปัฏฐาน โดยถูกต้องและอบรมแล้วจะรู้ได้เลยว่าสภาพธรรมทั้งหลายไม่อยู่ในอำนาจ บังคับบัญชา แล้วก็ไม่มีตัวตนแล้วสภาพธรรมที่อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น ทางตา... ทางกาย ทางใจ เป็นไปอย่างรวดเร็วและสั้นมากถ้าสติไม่เกิดขณะนี้อาจจะกำลัง จดจ้องอยู่ที่หนึ่งที่ใดกำลังสนใจที่หนึงที่ใดแต่ว่าถ้าสติเกิดละคลายความติด เพราะฉะนั้นก็แล้วแต่สภาพธรรมใดจะมีปัจจัยเกิดขึ้นปรากฏจะเห็นสภาพธรรมนี้ ละเอียดขึ้นเพราะว่าเพียงเสียงนิดเดียวก็ได้ยินแล้ว(ลองสิค่ะ)เวลานี้อาจจะเป็น น้ำฝนหยด นี่โดยพยัญชนะ ที่ใช้คำว่าเสียงน้ำฝนหยดแต่ความจริงนั้นเสียงนั้น เล็กแผ่ว แต่ก็ดัง และก็รู้แล้วเพราะฉะนั้นปัญญาที่รู้นี้ รู้ในขณะที่เสียงปรากฏ ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน แล้วทันทีที่เสียงนั้นหมดไปสภาพธรรมอื่นมีปัจจัยเกิด สติก็ระลึกรู้ในลักษณะของสภาพธรรมนั้นเพราะฉะนั้น.....จะเห็นความเป็นปริตธรรม คือ ธรรมซึ่งอาศัยเหตุปัจจัยเกิดแล้วดับอย่างรวดเร็วจนกระทั่งเห็นว่าไม่มีสาระ ไม่ว่าจะสุขความรู้สึกนิดเดียวก็เปลี่ยนเป็นเห็น เปลี่ยนเป็นได้ยิน เปลี่ยนเป็นการ รู้สึกแข็งสามารถที่จะยิงไกล คือสี่งซึ่งเวลาที่สติปัฏฐานไม่เกิดแล้วจะเหมือน ไม่ปรากฏแต่ความจริงแล้วจิตได้ยินแต่โมหะแทนปัญญาเพราฉะนั้นจึง ไม่รู้ในเสียงที่ปรากฏผ่านไปเหมือนกับว่าไม่ได้ยินหรือว่ากำลังเห็นก็ผ่านไป เหมือนไม่เห็นแต่ถ้าปัญญาสามารถที่จะระลึกรู้ลักษณะได้ทั่วทั้ง ๖ ทวารแล้วเป็น ผู้ที่ยี่งรู้ก็ยี่งละสภาพธรรมก็จะยี่งปรากฏโดยละเอียดขึ้นเหมือนกับการยิงซึ่งยิง ได้ไกลมาก ไม่ว่าสี่งนั้นจะปรากฏเพียงเล็กน้อย นิดหน่อย สักเท่าไร ทางตา......ทาง กาย ทางใจ เพียงแวบเดียวที่เกิดขึ้นปรากฏก็สามารถจะรู้ในลักษณะที่เป็นนามธรรม หรือรูปธรรมได้ นี่คือผู้ยิงไกล คือสี่งซึ่งแต่ก่อนนี้ไม่เคยสังเกตุ ไม่เคยรู้ว่าเกิดขึ้น เพียงชั่วขณะสั้น ๆ แล้วดับเพราะว่าเป็นผู้ที่ไม่สนใจในเสียงนั้นในกลิ่นนั้นแล้วก็ หลงลืม{สติ}เพราะว่าอวิชชาทำให้ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมนั้นแต่สติมีลักษณะ ตรงกันข้ามกับอวิชชา เพราะว่าสภาพธรรมใดที่ปรากฏเป็นปกติ เวลาสติระลึกสภาพ ธรรมนั้นก็ปรากฏเหมือนปกติ แต่ปรากฏกับสติด้วย อย่างแข็งนี้ทุกคนก็กระทบได้ ก็มีสภาพที่รู้แข็งคือกายวิญญาณจิต ไม่ใช่เรา เป็นสภาพรู้อาศัยกาย จึงเกิดขึ้นรู้ สิ่งที่กำลังกระทบสัมผัสว่าแข็ง ขณะนั้นโดยปกติ และหลงลืมสติ แต่ถ้าเป็นผู้ที่มี {สติ}แข็งนั้นก็ปกติกับ{สติ}ด้วย ด้วยเหตนั้นจึงรู้ลักษณะของแข็งแล้วก็รู้ว่าเป็นสภาพ ธรรมอย่างหนึ่ง พร้อมกันนั้นก็รู้ว่าไม่ใช่เราที่กำลังรู้แข็ง แต่เป็นสภาพรู้ เป็นอาการรู้ เท่านั้น นี่คือปกติธรรมดาจริง ๆ แต่ปัญญาเท่านั้นที่เจริญขึ้น ๆ ๆ จนสามารถที่จะ ประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไป จึงชื่อว่ายิงไว เพราะว่าทันทีที่สภาพธรรมเกิด แล้วดับ ก็สามารถที่จะรู้ได้ตามความเป็นจริง ท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์ บรรยายธรรม มูลนิธิเพื่อการศึกษาและเผยแพร่พระอภิธรรมบ้านธรรมมะ บุคโล ธนบุรี (http://www.taklong.com/lomo/p/122824P712011-9.jpg) |