หัวข้อ: พรัดพราก เริ่มหัวข้อโดย: 時々๛कभी कभी๛ ที่ 20 กันยายน 2553 14:44:39 (http://i191.photobucket.com/albums/z119/bee_99/IMG00027.jpg) http://www.youtube.com/v/QFNKdMSl2A0?fs=1&hl=en_US รู้ทั้งรู้ว่าคนเราทุกคนหนีความตายไม่พ้น และก็รู้ว่าเมื่อมีการตายต้องมีการ พลัดพรากจากกันเป็นของธรรมดาทุกวันไหว้พระสวดมนต์และใส่บาตรทุกวันพระตาม ที่ได้รับคำแนะจากพระและเพื่อนฝูงแต่ไม่เห็นดีขึ้นแลยยิ่งนานวันยิ่งทำใจไม่ได้ พยายามทำใจที่จะไม่คิดพยายามที่จะลืมแต่มันแว๊บมาเอง อย่างที่บอกว่ายิ่งนานวันดู เหมือนทำใจไม่ได้เลยจึงขอเมตตาจากท่านผู้รู้ว่าจะมีวิธีไหนหรือมีธรรมะข้อไหน อย่างไร ช่วยให้หายความเศร้าโศกได้บ้างกราบขอบพระคุณ พระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษา เพื่อการดับ ทุกข์ใน{วัฏฏะ}ทั้งหมดผู้ที่ฟังพระธรรมแล้วเกิดปัญญารู้ความจริงจึงดับทุกข์ทางใจ {ดับโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส} ความเศร้าโศกได้สำหรับผู้ที่ปัญญายังไม่ถึงก็ย่อม ยังมีความทุกข์ความเศร้าโศกเป็นธรรมดาแต่จะน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้ฟังพระธรรมดังนั้น.......................... การศึกษาพระธรรมจนค่อย ๆ เข้าใจขึ้นจนปัญญาสมบูรณ์จึงเป็นหนทางเพื่อการดับ ทุกข์ทั้งหมดได้อย่างน้อยขณะที่รู้ว่าความเศร้าโศกเป็นธรรมะอย่างหนึ่งขณะนั้นก็ ความเศร้าก็เริ่มคลายลงได้แม้การเจริญกุศลอื่นๆก็ช่วยบรรเทาความโศกเศร้าได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์อะไร ? สตรี บุรุษ คฤหัสถ์หรือบรรพชิตจึงควรพิจารณาเนือง ๆ ว่าเรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายความมัวเมาในชีวิตมีอยู่แก่สัตว์ ทั้งหลายซึ่งเป็นเหตุให้สัตว์ทั้งหลายประพฤติทุจริตด้วยกาย วาจา ใจ เมื่อ เขาพิจารณาฐานะนั้นอยู่เนือง ๆ ย่อมละความมัวเมาในชีวิตนั้นได้โดยสิ้นเชิง หรือทำให้เบาบางลงได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์นี้แล สตรี บุรุษ คฤหัสถ์ หรือบรรพชิต จึงควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า เรามีความ ตายเป็นธรรมดาไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก - ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้าที่ 140 หัวข้อ: Re: พรัดพราก เริ่มหัวข้อโดย: 時々๛कभी कभी๛ ที่ 20 กันยายน 2553 15:13:39 (http://i191.photobucket.com/albums/z119/bee_99/IMG00027.jpg) ใน{เอกาทสนิบาต}คาถาว่า.....{กลฺยาณมิตฺตตา} เป็นต้นเป็น คาถาของ{พระกีสาโคตมีเถรี}มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.................................... ได้ยินว่าพระเถรีรูปนี้ครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า{ปทุมุตตระ} ก็บังเกิดในเรือนสกุลกรุงหังสวดี รู้เดียงสาแล้ววันหนึ่งฟังธรรม ในสำนักพระศาสดาเห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุณีรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่ง เอตทัคคะ เป็นเลิศของเหล่าภิกษุณีผู้ทรงจีวรปอนก็สร้างสมกุศลให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปท่องเที่ยวอยู่ในเทวดาและมนุษย์ถึงแสนกัปล์ในพุทธุปบาทกาลนี้ก็ บังเกิดในสกุลเข็ญใจ{กรุงสาวัตถี}ชื่อของนางว่า{โคตมี}แต่เพราะตัวผอม เขาจึงเรียกว่า กีสาโคตมีนางไปมีสามีบิดามารดาและญาติดูหมิ่นว่าเป็น ลูกสาวของสกุลเข็ญใจนางคลอดลูกชายออกมาคนหนึ่งเพราะได้ลูกชาย บิดามารดาและญาติก็ทำสัมมานะยกย่องนางแต่ลูกชายนางก็ตายเสียขณะที่ วิ่งเล่นได้ด้วยเหตุนั้นนางจึงเกิดบ้าเพราะความเศร้าโศก นางคิดว่าเมื่อก่อนเราถูกดูหมิ่นนับตั้งแต่ลูกชายเราเกิดก็ได้รับ ยกย่องคนเหล่านี้พยายามจะทิ้งลูกชายเราไว้ข้างนอกจึงอุ้มร่างลูกชายที่ตาย แล้วไปโดยความบ้าเพราะความเศร้าโศกตระเวนไปในนครตามลำดับ ประตูเรือนโดยกล่าวขอร้องว่าขอท่านโปรดให้ยาแก่ลูกชายของข้าด้วยเถิด ผู้คนทั้งหลายบริภาษด่าว่าจะเอายาแก้ตายมาแต่ไหนนางก็ไม่เชื่อคำของ คนเหล่านั้นครั้งนั้นชายบัณฑิตผู้หนึ่งคิดว่าหญิงคนนี้จิตฟุ้งซ่านเป็น บ้าเพราะโศกเศร้าถึงลูกชายพระทศพลเท่านั้นคงจักทรงรู้จักยาสำหรับหญิง คนนี้จึงกล่าวว่า แม่คุณไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วทูลถามถึงยาสำหรับ ลูกชายของแม่นางสินางไปพระวิหารเวลาพระศาสดาทรงแสดงธรรมทูล ถามว่าข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า โปรดทรงประทานยาสำหรับลูกชายของ ข้าพระองค์ด้วยเถิดพระศาสดาทรงเห็นอุปนิสัยของนางจึงตรัสว่าไปสิ เข้าพระนครเรือนหลังใดไม่เคยมีคนตายจงนำเมล็ดผักกาดจากเรือนหลัง นั้นมานางรับพระพุทธดำรัสว่า ดีละพระเจ้าข้า ดีใจก็เข้าพระนครไปในเรือน หลังแรกพูดว่า พระศาสดาโปรดให้ข้านำเมล็ดผักกาดไปเพื่อทำยา สำหรับลูกชายของข้าถ้าในเรือนหลังนี้ไม่เคยมีใคร ๆ ตายโปรดให้ เมล็ดผักกาดแก่ข้าด้วยเถิดคนในเรือนหลังนั้นกล่าวว่าใครเล่าจะสามารถนับ คนที่ตายไปแล้วในเรือนหลังนี้ได้นางไปเรือนหลังที่สอง - สามด้วยพุทธา นุภาพก็หายบ้าอยู่ในปกติจิตจึงคิดว่าจะประโยชน์อะไรด้วยเมล็ดผักกาด นั้นพอกันทีสำหรับเมล็ดผักกาดในที่นี้นางคิดว่าธรรมเนียมนี้นี่ แหละคงจักมีทั่วพระนครความจริงนี้คงจักเป็นข้อที่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรง อนุเคราะห์ด้วยหวังดีทรงเห็นแล้วก็ได้ความสลดใจจากที่นั้นก็ออกไป ข้างนอกทิ้งลูกชายที่ป่าช้าผีดิบกล่าวคาถานี้ว่า ธรรมคือ {อนิจจตา}ความไม่เที่ยงมิใช่เป็น{ธรรม} ของชาวบ้านมิใช่ของชาวนิคมและมิใช่ของตระกูล หนึ่งหากแต่เป็นธรรมของชาวโลกทั้งหมดรวมทั้งเทวโลกด้วย ก็แลนางครั้นกล่าวอย่างนี้แล้วก็ไปเฝ้าพระศาสดาพระศาสดาตรัส ถามนางว่าโคตมีเจ้าได้เมล็ดผักกาดมาแล้วหรือนางกราบทูลว่าข้า แต่พระองค์ผู้เจริญกิจกรรมเมล็ดผักกาดเสร็จแล้ว พระเจ้าข้าขอทรงโปรด เป็นที่พึ่งของข้าพระองค์ด้วยเถิดลำดับนั้นพระศาสดาตรัสคาถาแก่นางว่า {มฤตยู}ย่อมพานรชนผู้มัวเมาในบุตรและสัตว์เลี้ยงมีใจฟุ้งซ่านไปเหมือน กระแสน้ำหลากขนาดใหญ่พัดพาชาวบ้านที่มัวหลับใหลไปฉะนั้น จบคาถานางก็ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลตามอาการที่ยืนอยู่ทูล ขอบรรพชากะพระศาสดาพระศาสดาทรงอนุญาตให้บรรพชาในสำนักของ ภิกษุณีนางถวายบังคมพระศาสดา ทำประทักษิณเวียนขวา ๓ รอบแล้วไป สำนักภิกษุณีบรรพชาอุปสมบทแล้วไม่นานนักทำ{โยนิโสมนสิการ}เจริญ วิปัสสนาครั้งนั้นพระศาสดาตรัสพระคาถาประกอบด้วยโอภาสแก่นางดังนี้ว่า ผู้เห็น{อมตบทมีชีวิตอยู่วันเดียวยังประเสริฐ} ว่าผู้ไม่เห็นอมตบทมีชีวิตอยู่ถึง ๑๐๐ ปี จบพระคาถานางก็บรรลุพระอรหันต์ในการใช้สอยบริขาร ก็อุกฤษฏ์อย่างยิ่งครองแต่จีวรที่ประกอบด้วยความปอน ๓ อย่างครั้งนั้น พระศาสดาประทับอยู่ ณ.พระเชตวันวิหารกำลังทรงสถาปนาพระภิกษุณีทั้ง หลายไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะตามลำดับก็ทรงสถาปนาพระเถรีไว้ในตำแหน่ง {เอตทัคคะ}เป็นเลิศของเหล่าภิกษุณีผู้ทรงจีวรปอน พระเถรีนั้นพิจารณาการ ปฏิบัติของตนคิดว่าเราอาศัยพระศาสดาจึงให้คุณวิเศษนี้ได้กล่าวคาถา เหล่านั้นโดยมุข คือ การสรรเสริญกัลยาณมิตรว่า เฉพาะโลกพระมุนีทรงสรรเสริญความเป็นผู้มี กัลยาณมิตรคนเมื่อคบกัลยาณมิตรแม้เป็นพาลก็พึง เป็นบัณฑิตได้บ้างควรคบแต่สัตบุรุษคนดีคนคบสัตบุรุษปัญญา ย่อมเจริญได้เหมือนกับคนคบสัตบุรุษจะพึงพ้นจาก ทุกข์ได้ทุกอย่าง บุคคลพึงรู้จักอริยสัจแม้ทั้ง ๔ คือทุกข์ ทุกข - สมุทัยทุกขนิโรธและมรรคมีองค์ ๘ ฯลฯ พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔- หน้าที่ 302 อรรถกถาเอกาทสกนิบาต ๑{อรรถกถากิสาโคตมีเถรีคาถา} หัวข้อ: Re: พรัดพราก เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 20 กันยายน 2553 20:03:18 ทุกสิ่งล้วนอนัตตา
ถ้าเอาตัวเราไปผูกไว้ก็เกิดทุกข์ สาธุ |