[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน => ข้อความที่เริ่มโดย: 時々๛कभी कभी๛ ที่ 03 ตุลาคม 2553 21:37:28



หัวข้อ: ศรัทธา ตอนที่ 2 บางแห่งก็เขียนว่า สัทธา ตอนที่ 2
เริ่มหัวข้อโดย: 時々๛कभी कभी๛ ที่ 03 ตุลาคม 2553 21:37:28
(http://lh6.ggpht.com/_AYFPNs1xf64/S_4KrG3DIlI/AAAAAAAAA_I/2zDmreErXrY/P525001-7.jpg)

http://www.fungdham.com/download/song/allhits/22.wma


(http://uyfz9q.bay.livefilestore.com/y1puwwLyY1hQGevKbPEFyCjgBoQn3NSNeo-y8gjotl_lxJ--glH5i3PgMx-t56j5hxrXEdhp0j_jvxReSFv7ti_moNX3z_jaCAr/hyooneunhye.gif?psid=1)


หรือบางครั้งอาจจะเป็นผู้ที่ตระหนี่หรือริษยาขณะนั้นเป็นอกุศลเมื่อ

พิจารณาตนเองก็ดูว่าตนเองจะมีสัทธาที่จะละความริษยาและละความ

ตระหนี่ขึ้นหรือยังในขณะที่ขุ่นเคืองใจและระลึกได้เมื่อได้ฟังเรื่องของสัทธาก็เรี่ม

พิจารณาว่า   มีสัทธา ที่จะไม่เห็นประโยชน์ของความโกรธหรือยังมิฉันั้นแล้วก็ยัง

คิดว่ายังดีอยู่นั่นเองโกรธนิด ๆ หน่อย ๆ ทำให้คนอื่นประพฤติดีขึ้นแต่ว่าลักษณะ

ของความขุ่นเคืองใจนั้นไม่เป็นประโยชน์เลยแทนที่จะขุ่นเคืองใจอาจจะทำสี่งอื่นที่

เป็นประโยชน์กว่านั้นด้วยความไม่ขุ่นเคืองใจขณะใดที่เป็นอย่างนั้นก็แสดงว่ามี

สัทธาที่จะไม่โกรธและเห็นโทษของความโกรธและอกุศลอื่น ๆ

บางท่านที่มีสัทธาที่จะเผยแพร่พระธรรมให้คนอื่่นเข้าใจพระธรรมและ

ขัดเกลากิเลสคิดถึงคนอื่นมากแต่อย่าลืมพิจารณาตนเองเหมือนกันว่า  

ในขณะที่มุ่งที่จะให้คนอื่นได้ฟังพระธรรมและขัดเกลากิเลสน่ะค่ะตัวท่านเอง

ซึ่งเป็นผู้ที่หวังดีต่อคนอื่นมีการพิจารณาและขัดเกลากิเลสอะไรของตนเอง

ซึ่งเห็นเพี่มขึ้นเพื่อที่จะได้ขัดเกลาให้มากขึ้นอีก

บางคนก็มีใจที่เมตตากรุณาสงสารคนที่กำลังเดือดร้อนขณะนั้นรู้ได้ค่ะว่า

เป็นสภาพของจิตที่อ่อนโยน  

แต่ว่า{สัทธา}นั้นพอที่จะช่วยเหลือด้วยหรือยังหรือเพียง แต่คิดสงสารเห็นใจ

ขณะนั้น ก็เป็นจิตใจที่ดีค่ะแต่{สัทธา}นั้นยังไม่มีกำลังถึงกับจะช่วยด้วย

ซึ่งถ้าเป็นกุศลที่มีกำลังเพี่มขึ้นก็จะไม่คิดเมตตาหรือกรุณาแต่เพียงในใจ

แต่ก็จะต้องทำสี่งหนึ่งสี่งใดซึ่งเป็นการเกื้อกูลเป็นประโยชน์ต่อผู้นั้นด้วย

การที่สัทธา และ กุศลจิตจะเกิดก็จะต้องเป็นผู้ที่เข้าใจถึงเหตุและลักษณะ

ของ{สัทธา}ด้วยว่าสัทธามีความเชื่่อในกุศลเป็นลักษณะมีความเลื่อมใสเป็น{รสะ}

มีความไม่ขุ่นเมัวเป็น  ปัจจุปัฏฐาน

มีวัตถุอันเป็นที่ตั้งแห่ง {สัทธา} เป็น{ปทัฏฐาน}

หรือมี{โสตาปัตติยังคะ}เป็น ปทัฏฐาน

มีวัตถุ อันเป็นที่ตั้งแห่งสัทธาจะเห็นได้ชัดว่า

ขณะใดที่กุศลจิตเกิดแสดงว่า.....................

ขณะนั้น ท่านมี{สัทธา}ในวัตถุ คือ ใน กุศลประการนั้น

เพราะว่าสัทธาในการกุศลของแต่ละคนนี้ ต่างกันไปตามการสะสมบางคน

สัทธาที่จะทำบุญถวายอาหารแก่พระภิกษุสงฆ์บางคนก้มีสัทธาที่จะชวยเหลือคนตก

ทุกข์ได้ยากสำหรับตัวท่านเองก็พิจารณาาได้น่ะค่ะว่า  สัทธา  ของท่านมีอะไรเป็น

วัตถุที่ตั้งของสัทธาท่านมีสัทธาอย่างไรท่านทำอย่างนั้นท่านมีความเลื่อมใสที่ไหน

ทานก็มีการทำนุบำรุงเสียสละทำประโยชน์ในที่นั้น

เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่จะ พิจารณาได้ในชีวิตประจำวันจริง ๆ ว่า(กุศลจิต)จะ

เกิดได้มากขึ้นถ้าระลึกถึงสัทธาในกุศล แม้แต่การต้อนรับมิตรสหายขณะนั้นก็ค้อง

เป็นกุศลจิตเหมือนกันใช่ไหมค่ะมีสัทธาที่จะ  โอภาปราสัย  มีสัทธาที่จะมี

{อามิสปฏิสันถาร}หรือธรรมปฏิสันถารซึ่งทุกคนจะรู้จิตใจของตนเองดี

ยี่งกว่าคนอื่นเพราะว่าคนอื่นไม่สามารถจะรู้จิตใจของท่านได้

มีท่านผู้หนึ่งท่านเป็นผู้ที่ช่วยเหลือเกื้อกูลให้บุคคลอิ่น ที่สนใจในธรรมได้หนังสือ

{ธรรม}บ้างหรือว่าอธิบาย  ธรรม  บ้างแล้วบางท่านก็แปลหนังสือ{ธรรม}ท่านผู้หนึ่งท่าน

ถามว่าในขณะที่ท่านกำลังช่วยเหลืออยากจะให้คนอื่นได้เข้าใจพระธรรมนี้ในขณะ

นั้นทำไม่เคยคิดว่าเพื่อที่จะ  บรรลุมัคผลนิพพาน  เพราะฉะนั้นสัทธาของท่านเป็น

ไปในประเภทใดในการช่วยเหลือบุคคลอื่นที่สนใจธรรมให้ได้อ่านหนังสือธรรม

เขณะนั้นไม่ได้มีความคิดว่าพื่อที่จะได้บรรลุมัคคผลนิพพาน

นี่ก็แสดงถึงลักษณะของสัทธาที่ละเอียดกว่าจะถึงการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมแต่ก็

ควรจะได้พิจารณาว่า กุศลใด ๆ ก็ตามที่กระทำโดยไม่หวังสี่งใดเป็นการตอบแทน

อันนั้นก็คงจะแสดงยี่งกว่าคำพูดที่ว่าต้องการดับกิเลสเพระว่าถ้าพิจารณาจริง ๆ แล้ว

ทำไมจึงทำอยางนั้น เพื่อประโยชน์อะไรถ้าไม่ใช่เพื่อให้คนอื่นเกิดความรู้ความเข้าใจ

ที่ถูกต้องโดยที่ไม่ได้หวังสี่งใดแม้แต่ที่จะคิดที่จะดับกิเลสโดยที่ว่าไม่ต้องคิดขึ้นมา

เป็นคำว่าการกระทำอย่างนี้เพื่อที่จะได้ดับกิเลส หรือว่า บรรลุมัคคผลนิพาน

เพราะว่าถ้าพิจารณาถึงบางท่านซึ่งอาจจะมีสัทธาและพูดว่าต้องการที่จะดับกิเลส

แต่ว่าไม่ขวนขวายไม่กระทำสี่งใดที่จะเกื้อกูลต่อการจะเจริญปัญญาที่จะดับกิเลส

อันนั้นก็ย่อมจะแสดงให้เห็นว่า{สัทธา}ยังไม่เท่ากับการที่จะทำประโยชน์ต่อผู้อื่น

ในการที่จะให้เขาเข้าใจในพระธรรมแม้ว่าจะไม่เอ่ยว่าเพื่อการที่จะได้ดับกิเลส

หรือรู้แจ้ง{อริยสัจจธรรม}

มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

สำนักงานเลขที่ 174/1 ซอย เจริญนคร 78

ดาวคะนอง ธนบุรี

กรุงเทพมหานคร 10600 โทร 02 - 4680239  

ข้อความบางตอนจากการบรรยายธรรมโดยท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์และคณะวิทยากร

http://www.tairomdham.net/index.php/topic,2635.msg12415.html#msg12415 (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,2635.msg12415.html#msg12415)






หัวข้อ: Re: ศรัทธา ตอนที่ 2 บางแห่งก็เขียนว่า สัทธา ตอนที่ 2
เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 03 ตุลาคม 2553 23:27:01
สาธุครับจารย์

เหมือนจารย์จะมาบ่อยที่นี่

ผมเห็นจารย์โพสท์ถึงเรื่อยเลย


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ตอนที่ 2 บางแห่งก็เขียนว่า สัทธา ตอนที่ 2
เริ่มหัวข้อโดย: 時々๛कभी कभी๛ ที่ 04 ตุลาคม 2553 09:03:36
สาธุครับจารย์

เหมือนจารย์จะมาบ่อยที่นี่

ผมเห็นจารย์โพสท์ถึงเรื่อยเลย


(:LOVE:)น้า McK หมายถึงที่นี่เหรอ ? (:LOVE:)

มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

สำนักงานเลขที่ 174/1 ซอย เจริญนคร 78

ดาวคะนอง ธนบุรี

กรุงเทพมหานคร 10600 โทร 02 - 4680239  

มูลนิธิบ้านธรรมมะ และ อาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์ บอกตรง ๆ ว่าธรรมมะที่ท่านอาจารย์บรรยายนั้นเข้าใจได้ยาก

มากเป็นการปฏิบัติที่เข้มงวด เป็นสมาชิกเขาอยู่เหมือนกันแต่ว่าไม่ใช่นึกจะโพสอะไรก็โพสได้ง่าย ๆ ทางทีมงาน

เขาต้องกลั่นกรองพูดง่าย ๆ คือ ต้องผ่านการเซ็นเซอร์ก่อนถึงจะโพสกระทู้ได้

ก่อนที่จะนำขึ้นสู่สาธารณะ (บางครั้ง) ปฏิบัติธรรมเพื่อแก้ไขในสิ่งที่ผิดพลาดของตนเองเท่านั้นส่วนธรรมมะที่ลึกซึ่งต้อง

ใช้อ่านจากหนังสือ ที่บ้าน ธรรมมะ มีการสนทนาธรรมกันถาม ตอบ ปัญหาธรรมความรู้ที่(บางครั้ง)มีอยู่ก็แต่ขี้ประติ๋วเท่า

นั้น บร์อดเรา(สุขใจ)พอโพสปุ๊ปก็ โชว์ปั๊ป แต่ที่โน่น บ้านธรรมมะ ต้องผ่านการพิจารณาก่อน ถ้าเห็นว่าถูกต้องไม่ขัดต่อ

หลักธรรมที่พระพุทธองค์ทรงสอนจึงจะเข้าสู่บร์อดได้ จึงได้แต่ไปจิ๋กเขามาโพสที่ สุขใจ

(T-T) (T-T) (T-T)