หัวข้อ: สัทธรรมปุณฑริกสูตร บทที่ 6 วยากรณปริวรรต ว่าด้วยการพยากรณ์ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 21 ตุลาคม 2553 11:42:53 (http://lotusflowerimages.com/Black_Lotus_Flower_IMGP7691-700.jpg) บทที่ 6 พระสูตรสัทธรรมปุณฑรีกะ วัดโพธิ์แมนคุณาราม นายชะเอม แก้วคล้าย แปลจากต้นฉบับสันสกฤต วยากรณปริวรรต ว่าด้วยการพยากรณ์ ครั้นพระผู้มีพระภาค ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้แล้ว จึงตรัสกะภิกษุสงฆ์ทั้งปวงว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราขอแจ้ง ขอประกาศให้ท่านทั้งหลายทราบว่า ภิกษุกาศยปะ สาวกของเรานี้ จักกระทำสักการะ พระพุทธเจ้าหมื่นโกฏิพระองค์ จักทำการเคารพ นับถือ บูชานอบน้อม และทรงไว้ซึงสัทธรรมของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านั้น กาศยปะนั้นในชาติสุดท้าย ในโลกธาตุ ที่ชื่อว่า อวกาส ใน มหาวยูหกัลป์ จะได้เป็นพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า "รัศมีประภาส" ในโลก เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะเป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว เป็นผู้รู้แจ้งโลก เป็นนายสารถีผู้ฝึกบุรุษที่ประเสริฐ ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบาน เป็นผู้จำแนกธรรม พระสัมมาสัมพุทธเจ้า รัศมีประภาส พระองค์นั้น จักมีพระชนมายุสิบสองกัลป์ พระสัทธรรมของพระองค์ จักดำรงอยู่ยี่สิบกัลป์ พุทธเกษตรของพระองค์จักบริสุทธิ์หมดจด ปราศจากหิน กรวด ทราย หลุมบ่อ ไม่มีที่สกปรก เรียบเสมอ น่ารื่นรมย์ น่าเลื่อมใส น่าดู มีแก้วไพฑูรย์ ประดับตกแต่งด้วยรัตนพฤกษ์ มองดูเหมือนตาหมากรุก ซึ่งแต่ละช่วงแบ่งด้วยเส้นด้ายทอง เต็มไปด้วยดอกไม้ มีพระโพธิสัตว์หลายแสนองค์อยู่ที่นั่น พระสาวกอีกหลายหมื่นแสนโกฏิ ประมาณมิได้ ก็มีอยู่ที่นั่น ณ ที่นั่นมารร้ายไม่ได้โอกาสแสดงความชั่ว ความเมตตาของมารร้ายก็ไม่ปรากฏ ถ้ามีมาร และหมู่มาร ณ ที่นั้น มารเหล่านั้น ก็จะได้รับพระสัทธรรม ในศาสนาของพระผู้มีพระภาคตถาคตสัมมาสัมพุทธเจ้า รัศมีประภาส พระองค์นั้น ในโลกธาตุนั่นเอง ในครั้งนั้นพระผู้มีพระภาค ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า 1 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมเห็นด้วยพุทธจักษุว่า ในอนาคต พระกาศยปเถระนี้ จักเป็นพระพุทธเจ้า เพราะได้บูชาพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ผู้ประเสริฐในหมู่มนุษย์ในกัลป์ อันนับไม่ได้ 2 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระกาศยปะนี้ จักเฝ้าพระชินเจ้าสามหมื่นโกฏิพระองค์และประพฤติพรหมจรรย์ ณ ที่นั้น เพื่อบรรลุพระโพธิญาณ 3 หลังจากทำการบูชาพระพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์แล้ว และหลังจากได้บรรลุญาณอันประเสริฐนี้แล้ว พระกาศยปะนั้น จะเป็นมหาฤาษี (พุทธะ) เป็นที่พึ่งของชาวโลก ที่หาเปรียบมิได้ ในชาติสุดท้าย 4 พุทธเกษตรของพระองค์ ประเสริฐ วิจิตร บริสุทธิ์ งาม น่าดู เป็นที่รื่นรมย์ใจ น่ารัก ประดับตกแต่งด้วยเส้นด้ายทอง 5 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในพุทธเกษตรที่มีลักษณะเป็นตาหมากรุกนี้ ในแต่ละช่วงมีต้นไม้แก้ว อันวิจิตร ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวล 6 พุทธเกษตรนั้น ประดับด้วยดอกไม้ต่างๆ สวยงามด้วยดอกไม้นานาชนิด ไม่มีหลุมพ่อ ณ ที่นั้น เรียบ สวยงาม น่าดูยิ่งนัก 7 มีพระโพธิสัตว์หมายพันโกฏิ ที่ฝึกจิตแล้ว มีฤทธิ์มาก เป็นผู้รักษาไวปุลยสูตร ไว้จำนวนหลายพัน 8 ณ พุทธเกษตรนั้น พระสาวกของพระสุคต ผู้ธรรมมิกราช ที่หมดอาสวะ ดำรงชีพอยู่เป็นชาติสุดท้าย มีมากมายจนนับไม่ได้ แม้จะนับด้วยทิพยญาณติดต่อกันไปหลายกัลป์ 9 ในพุทธเกษตรของพระรัศมีประภาสพุทธเจ้านั้น พระองค์จักมีพระชนมายุ 12 กัลป์ พระสัทธรรมของพระองค์จักดำรงอยู่ 20 กัลป์ และพระสัทธรรมปฏิรูปจักดำรงอยู่ 20 กัลป์ ในขณะนั้นนั่นแหละ ท่านพระเมาคัลยายนเถระ ท่านพระสุภูติ และท่านพระมหากาตยายนะ รู้สึกประหม่า (มีกายสั่นเทา) จ้องมองพระผู้มีพระภาค โดยไม่กะพริบตา แต่ละท่าน ก็มีใจตรงกันกล่าวคาถาในขณะนั้นว่า 10 ข้าแต่พระอรหันตมหาวีรศากยสิงหะ ผู้ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์ ของพระองค์ทรงอนุเคราะห์ ตรัสพระพุทธพจน์ แก่ข้าพระองค์ทั้งหลายด้วยเถิด 11 ข้าแต่พระชินเจ้า ผู้ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์ ผู้นำไปสู่ความสุข พระองค์ทรงหยั่งรู้ดินฟ้าที่แปรปรวน ขอให้โปรดประทานน้ำอมฤต พยากรณ์ แก่ข้าพระองค์ทั้งหลายด้วยเถิด 12 (เหมือน) บุคคลบางคนที่มา (ขออาหาร) เพราะความหิว ได้อาหารแล้ว แต่ถูกสั่งว่า จงรอก่อน (อย่าเพิ่งรับประทาน) ทั้งๆที่อาหราก็อยู่ในมือแล้ว 13 ข้าพระองค์ก็เช่นเดียวกับสัตว์ทั้งหลาย ในยามทุพภิกขภัย คืออยากได้พุทธญาณ แต่มีความสงสัยใน หีนยาน จึงพยายาม (ศึกษา) อยู่ 14 พระมหามุนีสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมไม่พยากรณ์ พวกข้าพระองค์ทั้งหลายเหมือนกับไม่ให้รับประทานอาหาร ที่ตกถึงมือแล้วฉะนั้น 15 ข้าแต่พระมหาวีระ ก็แล ข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้มีความขวนขวายอยู่อย่างนี้ ได้ฟังพระสุรเสียงอันกึกก้อง ได้รับพยากรณ์เมื่อใด เมื่อนั้นก็จักเป็นผู้สงบนิ่ง 16 ข้าแต่พระมหามุนี พระมหาวีระ พระองค์ผู้ปรารถนาประโยชน์แก่ชาวโลก ผู้เพียบพร้อมด้วยพระเมตตานุเคราะห์ ขอพระองค์จงพยากรณ์เถิด ข้าพระองค์ทั้งหลาย จักได้ระงับความรู้สึกว่า ยากจนต่ำด้อยเสียที กาลครั้งนั้น พระผู้มีพระภาค ทรงทราบความปริวิตกแห่งจิตนั้นของพระมหาสาวก เถระเหล่านั้น ด้วยพระมโนของพระองค์ จึงตรัสกะหมู่ภิกษุเหล่านั้นว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระสุภูติเถระ มหาสาวกของเรานี้ จักกระทำสักการะ พระพุทธเจ้า จำนวนสามหมื่นแสนโกฏิพระองค์ จักเคารพ นับถือ ยกย่อง บูชา เทิดทูน จักประพฤติพรหมจรรย์ในศาสนานั้น และจักบรรลุพระโพธิญาณ หลังจากบรรลุพระโพธิญาณแล้ว ในชาติสุดท้าย จักได้เป็นพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ในโลก มีพระนามว่า "ศศิเกตุ" ผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว ผู้รู้แจ้งโลก เป็นนายสารถีฝึกบุรุษ ผู้ประเสริฐที่ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นครุของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายเป็นผู้เบิกบาน และเป็นผู้จำแนกธรรม พุทธเกษตรของพระองค์ (ศศิเกตุ) มีชื่อว่า "รัตนสมภพ" และมีกัลป์นั้นชื่อว่า "รัตนาวภาส" พุทธเกษตรนั้น เรียบราบ น่ารื่นรมย์ สำเร็จแล้วด้วยแก้วผลิก งดงามไปด้วยรัตนพฤกษ์ ไม่มีหลุมบ่อ และสถานที่อันสกปรก เป็นทีน่าพึงพอใจ อันดาดาษไปด้วยดอกไม้ทั้งหลายมนุษย์ ณ ที่นั้น ก็จะอยู่แต่ในที่อาศัย คือกูฏาคาร (ปราสาท) พระสาวกของพระองค์ มีจำนวนมากเหลือคณานับ พระโพธิสัตว์หลายหมื่นแสนโกฏิ ก็ประทับอยู่ที่พุทธเกษตรนั้น พระผู้มีพระภาค (ศศิเกตุ) มีพระชนมายุยืนนานถึง 12 กัลป์ พระสัทธรรมจะดำรงอยู่ถึง 20 กัลป์ และสัทธรรมปฏิรูปก็จักดำรงอยู่ 20 กัลป์เช่นกัน พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น จักทรงยืนในท้องฟ้าประกาศธรรมอยู่เนืองๆ และทรงแนะนำพระโพธิสัตว์ และสาวกทั้งหลายหลายแสน ครั้งนั้นแล ในเวลานั้น พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า 17 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วันนี้เราจะประกาศ วันนี้เราจะแจ้งให้ทราบ ขอให้เธอทั้งหลายจงฟังเรา พระสุภูติเถระ สาวกของเราจักเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล 18 (พระสุภูติ) หลังจากได้เฝ้าพระพุทธเจ้า ผู้มีอานุภาพมากสามสิบหมื่นโกฏิ บริบูรณ์แล้ว ก็จักประพฤติธรรมตามลำดับเพื่อจักได้บรรลุญาณ 19 พระสุภูตินั้น ในชาติสุดท้าย จักเป็นฤาษีมหาวีระ (พุทธะ) ผู้เพียบพร้อมด้วยลักษณะ 32 ประการ ผู้เปรียบด้วยเสาทองคำ ผู้อนุเคราะห์ประโยชน์เกื้อกูลต่อชาวโลก 20 สถานที่ที่พระสุภูติ ผู้เป็นมิตรของชาวโลก ผู้ช่วยเหลือสัตว์หลายหมื่นโกฏิ อาศัยอยู่นั้น เป็นสถานที่สวยงาม น่าปรารถนาและน่าพอใจ ของมหาชน 21 พระโพธิสัตว์จำนวนมาก ณ ที่นั้น เป็นผู้มีอานุภาพ มีอินทรีย์แก่กล้า ผู้หมุนล้อพระธรรมให้เคลื่อนไป โดยไม่ถอยกลับมาอีก ที่อยู่ในศาสนาของพระชินเจ้านั้น ทำให้พุทธเกษตรนั้นงดงาม 22 ณ ที่นั้น พระองค์ (พระสุภูติ) มีสาวกมากมาย นับไม่ได้ ประมาณไม่ได้ ล้วนแต่ได้อภิญญาหก วิชชาสาม มีฤทธิ์ ตั้งมั่นในวิโมกษ์ 8 23 พลังฤทธิ์ของพระองค์ ขณะที่ประกาศพระสัมมาสัมโพธิญาณอยู่นั้น เป็นอจินไตย เทวดาและมนุษย์จำนวนมากเปรียบได้กับเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา ก็พากันนมัสการประคองอัญชลีต่อพระองค์ตลอดเวลา 24 พระองค์ (พระสุภูติ) นั้นจักดำรงพระชนม์อยู่ 12 กัลป์ พระสัทธรรมของพระองค์จักดำรงอยู่ 20 กัลป์ ธรรมปฏิรูปของพระองค์ผู้เลิศในหมู่มนุษย์ ก็จะคงอยู่ 20 กัลป์เช่นกัน หัวข้อ: Re: สัทธรรมปุณฑริกสูตร บทที่ 6 วยากรณปริวรรต ว่าด้วยการพยากรณ์ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 21 ตุลาคม 2553 12:06:23 (http://farm4.static.flickr.com/3001/2662135066_f98f0f8633.jpg) ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาค ตรัสกับหมู่ภิกษุทั้งปวงว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราขอแจ้งให้ทราบ ขอประกาศให้ทราบว่า พระมหากาตยายนเถระ สาวกของเรานี้ จักกระทำสักการะ พระพุทธเจ้าแปดหมื่นแสนโกฏิ จักเคารพ นับถือ ยกย่อง บูชา เทิดทูน พระพุทธเจ้าเหล่านั้น (พระมหากาตยายนะ) จักสร้างสถูปของพระผู้มีพระภาคเหล่านั้น ที่นิพพานแล้ว สูงหนึ่งพันโยชน์ ฐานกว้างห้าสิบโยชน์ ประดับด้วยรัตนะ 7 ประการ คือ ทอง เงิน แก้วไพฑูรย์ แก้วผลึก มุกดาแดง มรกต บุศราคัม เป็นที่เจ็ด จะทำสักการะบูชาพระสถูปเหล่านั้น ด้วยดอกไม้ ธูป พวงมาลัย เครื่องลูบไล้ เจิมทา ผ้าฉัตร ธงริ้ว และธงแผ่นผ้า นอกจากนี้ ยังทำการสักการะ เคารพ นับถือ ยกย่อง บูชา เทิดทูน พระพุทธเจ้าอีกยี่สิบโกฏิ ในชาติสุดท้าย พระกาตยายนะนั้นเกิดเป็นมนุษย์ จักเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า "ชามพูนทประภาส" ในโลกเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว เป็นผู้รู้แจ้งโลก เป็นสายสารถีฝึกบุรุษ ผู้ประเสริฐไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานและเป็นผู้จำแนกธรรม พุทธเกษตรของพระพุทธเจ้าชามพูนทประภาสนั้น สะอาดบริสุทธิ์ เรียบ น่ารื่นรมย์ สดใส น่าดู มีรัตนพฤกษ์ อันวิจิตรสวยงาม ซึ่งล้วนสำเร็จด้วยแก้วผลีก แต่ละช่วงดัดด้วยด้ายทอง โปรยด้วยดอกไม้ ไม่มีสัตว์ที่น่ากลัว เปรต และอสุรกาย พรั่งพร้อมด้วยมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย งดงามด้วยสาวกหลายแสนองค์ อลังการไปด้วยพระโพธิสัตว์หลายแสนองค์ พระชนมายุของพระพุทธเจ้าชามพูนทประภาสนั้น ยืนยาวถึง 12กัลป์ พระสัทธรรมของพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ จักดำรงอยู่ยืนยาวถึง 20 กัลป์ สัทธรรมปฏิรูป จังคงอยู่ 20 กัลป์เช่นกัน ครั้งนั้น ในเวลานั้นแล พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า 25 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขอเธอทั้งหลายทั้งปวงจงฟังเราซึ่จะกล่าวถ้อยคำอันเป็นสัจในวันนี้ กาตยายนเถระ สาวกของเรานี้ จักทำการบูชาพระผู้นำแห่งโลก (พระพุทธเจ้าทั้งหลาย) 26 พระกาตยายนะ จักถวายสักการะแด่พระผู้นำแห่งโลกทั้งหลาย นานาประการด้วยวิธีต่างๆ จักสร้างพระสถูปทั้งหลายของพระพุทธเจ้า ที่ปรินิพพานแล้ว และจักบูชาด้วยดอกไม้และเครื่องหอมทั้งหลาย 27 พระกาตยายนะนั้น ในชาติสุดท้าย ก็จักได้เป็นพระชินพุทธเจ้า ในพุทธเกษตรที่สะอาดบริสุทธิ์ และหลังจากตรัสรู้แล้ว ก็จักแสดงญาณนี้นั่นแล แก่หมู่สัตว์จำนวนพันโกฏิ 28 พระกาตยายะนั้น ผู้อันมหาชนสักการแล้ว จักเป็นพระพุทธเจ้า ที่มีรัศมีสดใสในโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มีนามว่า ชามพูนทประภาส เป็นผู้โปรดของเทวดาและมนุษย์หลายโกฏิ 29 ในพุทธเกษตรนั้น พระโพธิสัตว์ทั้งหลายและสาวกทั้งปวงจำนวนมาก จนกำหนดไม่ได้ นับไม่ได้ จักทำให้คำสอนของพระพุทธเจ้าเจริญรุ่งเรือง ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสกะเหล่าภิกษุอีกว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราขอแจ้งให้ทราบ ขอประกาศให้ทราบว่า พระเมาทคัลยายนเถระ สาวกของเรานี้ จักเลื่อมใสพระพุทธเจ้ายี่สิบแปดพันองค์ จักทำการสักการะต่างๆ แก่พระพุทธเจ้าเหล่านั้น จักเคารพ นับถือ ยกย่อง บูชา เทิดทูนพระพุทธเจ้าเหล่านั้น จักสร้างพระสถูปของพระผู้มีพระภาคเหล่านั้นที่นิพพานแล้ว ประดับด้วยรัตนะ 7 ประการ คือ ทอง เงิน แก้วไพฑูรย์ แก้วผลึก มุกดาแดง มรกต สูงพันโยชน์ กว้างห้าร้อยโยชน์ จักทำสักการะบูชาต่างๆ แก่พระสถูปเหล่านั้น ด้วยดอกไม้ ธูป พวงมาลัย เครื่องลูบไล้ เจิมทา ผ้าฉัตร ธงริ้ว และธงแผ่นผ้านอกจากนี้ ยังทำการสักการะ เคารพ นับถือ ยกย่อง บูชา เทิดทูน พระพุทธเจ้าอีกยี่สิบโกฏิ ในชาติสุดท้ายจักเป็นพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า "ตมาลปัตรจันทนคันธะ" ในโลก เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว เป็นผู้รู้แจ้งโลก เป็นนายสารถีฝึกบุรุษผู้ประเสริฐไมมีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานและเป็นผู้จำแนกธรรม พุทธเกษตรของพระองค์ ชื่อว่า มโนภิราม กัลป์ในสมัยของพระองค์ชื่อว่า "รติประปูรณะ" พุทธเกษตรของพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ บริสุทธิ์ ราบเรียบ น่ารื่นรมย์ น่าเลื่อมใส มองดูงดงาม สำเร็จด้วยแก้วผลีก วิจิตยิ่งด้วยรัตนพฤกษ์ ดาดาษไปด้วยดอกไม้ มุกดา พรั่งพร้อมไปด้วยมนุษย์และทวยเทพ มีมุนีฤาษีจำนวนแสน รวมทั้งสาวกและพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย พระชนมายุของพระพุทธเจ้า ตมาลปัตรจันทนคันธะ นั้นยืนยาวถึง 24 กัลป์ พระสัทธรรมของพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ จักดำรงอยู่ยาวนานถึง 40 กัลป์ สัทธรรมปฏิรูปจำดำรงอยู่ 40 กัลป์เช่นกัน ในเวลานั้นแล พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า 30 พระสาวกเรารูปนี้ ซึ่งเป็นเหล่ากอของเมาทคัลยโคตร ละอัตภาพมนุษย์ไปแล้ว จักได้พบพระชินเจ้าทั้งหลาย ผู้ปราศจากกิเลส จำนวนยี่สิบแปดพันพระองค์ 31 ครั้งนั้น (พระเมาทคัลยายนะ) เมื่อแสวงหาพุทธญาณนี้อยู่ จักประพฤติพรหมจรรย์ ณ ที่นั่น และจักกระทำสักการะพระชินเจ้า ผู้สูงสุดในหมู่มนุษย์ และเป็นผู้นำ(ของชาวโลก) เหล่านั้น ด้วยวิธีต่างๆ 32 ในกาลนั้น (พระเมาทคัลยายนะ) จักได้ธำรงพระสัทธรรมอันไพบูลย์ ประณีตของพระพุทธเจ้าเหล่านั้น ตลอดหลายพันโกฏิกัลป์ แล้วบุชาที่พระสถูปทั้งหลายของพระสุคตพุทธเจ้าเหล่านั้น ผู้ปรินิพพานไปแล้ว 33 (พระเมาทคัลยายนะ) จักสร้างรัตนสถูปของพระชินเจ้าทั้งหลาย ผู้ประเสริฐสุด ผู้อนุเคราะห์ประโยชน์เกื้อกูลแก่ชาวโลก ที่ประดับด้วยธง บูชาด้วยดอกไม้ ของหอม และเครื่องประโคมดนตรี 34 ณ ชาติสุดท้าย (พระเมาทคัลยายนะ) จักเป็นพระชินเจ้า ผู้ทำประโยชน์เกื้อกูลแก่ชาวโลก มีพระนามว่า ตมาลปัตรจันทนคันธะ ในพุทธเกษตรที่งดงามน่ารื่นรมย์ยิ่งนั้น 35 พระสุคตศาสดาพระองค์นั้น จักมีพระชนมายุยืนนาน ประมาณ 24 กัลป์และพระองค์จักแสดงพุทธธรรมในหมู่มนุษย์และเทวดาทั้งหลายทุกเมื่อ 36 ณ ที่นั้น พระชินเจ้าพระองค์นั้น จักมีสาวกมากมายหลายพันโกฏิ เท่ากับจำนวนเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา ล้วนเป็นผู้ได้อภิญญาหก วิชชาสาม และมีฤทธิ์มาก ในศาสนาของพระสุคต 37 ณ พุทธเกษตรนั้น ในศาสนาของพระสุคต มีพระโพธิสัตว์จำนวนหลายพัน ซึ่งเป็นผู้ปรารถนาความเพียรทุกเมื่อ ไม่ท้อถอย เป็นผู้มีความรู้และเพียรยิ่งขึ้น 38 ณ กาลครั้งนั้น เมื่อพระชินเจ้าพระองค์นั้น ปรินิพพานแล้ว พระสัทธรรมของพระองค์จักดำรงอยู่ 40 กัลป์ และสัทธรรมปฏิรูปก็จักดำรงอยู่เป็นเวลาประมาณเท่ากัน 39 สาวกห้ารูปเหล่านี้ของเรา เป็นผู้มีฤทธิ์มาก ที่เราได้พยากรณ์ไว้ในพระโพธิญาณอันประเสริฐว่า จำได้เป็นพระชินเจ้า ผู้สยัมภูในอนาคต ขอให้พวกเธอจง (ตั้งใจ) ฟังเรื่องราวของสาวกเหล่านั้นจากเราเถิด บทที่ 6 วยากรณปริวรรต ว่าด้วยการพยากรณ์ ในธรรมบรรยาย สัทธรรมปุณฑรีกสูตร อันประเสริฐ มีเพียงเท่านี้ (http://t0.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcQXpbChxgu1nfadKWh4XORwXDCm3BXXJARavOKvdD4OxPO0ukE&t=1&usg=__-2ayAz68yoLwRbbrNowqwBswulE=) http://www.mahayana.in.th/tmayana/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%9B%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81/สัทธรรมปุณทรีกะบท4-5-6.htm (http://www.mahayana.in.th/tmayana/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%9B%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81/สัทธรรมปุณทรีกะบท4-5-6.htm) http://www.tairomdham.net/index.php/topic,3158.new.html#new (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,3158.new.html#new) อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ |