หัวข้อ: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 04 กุมภาพันธ์ 2553 20:40:42 นำมาจาก สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ วาดภาพโดย พระอาจารย์คำนวณ ชานันโท ภาพที่ 1 อุบัติแห่งพระศาสดา (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/1.jpg) มีการอุปมาว่า องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ทรงแสดงธรรมอุปมาได้ 4 อย่าง เหมือนหงายของที่คว่ำ เหมือนเปิดของที่ปิด เหมือนชี้ทางกับผู้เดินทางไม่ให้หลงทาง เหมือนจุดประทีปเอาไว้ในที่มืด ประทีปที่จุดไว้ในที่มืดสามารถทำให้ผู้เดินทางได้เห็นอย่างแจ่มชัด ไม่สะดุดและไม่เดินชนสิ่งกีดขวาง ชีวิตจะได้ราบรื่น เมื่อพระศาสดาอุบัติเกิดขึ้น ฝูงชนเป็นอันมากพากันแซ่ซ้องสาธุ ตั้งแต่ราชามหากษัตริย์ ถึงยาจกยากจนแสนเข็ญ รวมถึงสัตว์โลกทั้งหลาย ภาพที่ 2 พระนางสิริมหามายาทรงพระสุบิน (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/2.jpg) ก่อนที่พระนางสิริมหามายาจะทรงครรภ์ราชโอรสผู้มีบุญญาธิการเป็นพระศาสดาเอกของโลกนั้น ได้ทรงพระสุบินไปว่า ได้ประทับอยู่ในสวนป่าที่สวยงาม และมีช้างตัวหนึ่งเยื้องย่างนำดอกบัวมาให้ เมื่อพระนางรับดอกบัวไว้แล้วก็ตื่นขึ้น รู้สึกได้ว่าตั้งครรภ์ ภาพที่ 3 ชวนพระสวามีรักษาอุโบสถศีล (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/3.jpg) เมื่อพระนางสิริมหามายาทรงครรภ์แล้ว ก็รู้ตัวว่าจะต้องทำความดีเพื่อลูกในท้อง จึงได้ชักชวนพระเจ้าสุทโธทนะว่า เสด็จพี่ ตอนนี้น้องมีท้องแล้ว อยากจะให้ลูกในท้องนี่มีศีลธรรมโดยสายเลือด ฉะนั้น เราควรจะต้องแวดล้อมด้วยการมีคุณธรรมกัน ช่วยกันถือศีล งดเว้นประเวณี ถืออุโบสถศีล เพื่อจะได้ลูกในท้องที่มีคุณธรรมมาเกิด ว่านอนสอนง่าย พระนางได้ชวนพระสวามี พระเจ้าสุทโธทนะก็ยินดีปรีดาจะร่วมรักษาศีลอุโบนถเพื่อแวดล้อมพระราชโอรสให้มีคุณงามความดีมาเกิด ผู้หญิงสมัยก่อนนี้ส่วนใหญ่เมื่อตั้งครรภ์ มักจะชวนสามีทำความดี อาตมาจึงขอเตือนว่า พ่อแม่นี่ควรจะทำแต่สิ่งที่ดีงาม ให้ซึมซาบเข้าไปในสายเลือด จะได้ลูกดี ๆ มาเกิด ภาพที่ 4 คลอดพระราชโอรส (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/4.jpg) พระราชโอรสได้คลอดแล้วที่สวนป่าลุมพินีวัน เพราะเดินทางผ่านมาเพื่อที่จะไปคลอดที่บ้านพ่อแม่ของตน เป็นไปตามประเพณี พระพุทธเจ้าตอนที่เป็นพระราชโอรสนั่นมาคลอดที่สวนป่าลุมพินีวัน ตรงนี้ก็น่าคิดที่ว่า พระพุทธเจ้าเป็นลูกกษัตริย์ แทนที่จะประสูติอยู่บนปราสาทบนราชวัง กลับมาประสูติอยู่ที่พื้นดิน และพระพุทธเจ้าก็ใช้ชีวิตอยู่ตามพื้นดิน ประสูติก็ที่พื้นดิน ตรัสรู้ก็ที่พื้นดิน สอนสาวกตามพื้นดิน นิพพานที่พื้นดิน ภาพที่ 5 เมื่อได้ทราบข่าวพระราชโอรสคลอดยู่ในป่า พระเจ้าสุทโธทนะผู้เป็นพระราชบิดาก็จัดขบวนช้างขบวนม้ามารับพระราชโอรสกลับพระนคร นี่คนดีมีบุญญาธิการมาเกิดจะเกิดในป่าในดง เขาก็เอาม้าเอารถมารับกลับพระนคร ส่วนคนที่มีเศษบาปเศษกรรมมาเกิดเขากลับเอาถังขยะเข้าไปรับ หรือรีดใส่โถส้วม ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดรับพระราชโอรสกลับพระนคร (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/5.jpg) ฉะนั้น บุญญาธิการเราควรจะสรรค์สร้าง อย่าดูถูกเรื่อบาปเรื่องกรรม เรื่องเศษบุญเศษบาป เศษกรรมกันนัก ควรจะสร้างสมเอาไว้ ถ้าเราชื่อบาป เชื่อกรรม และตั้งใจทำแต่กรรมดี ชาตินี้เราก็ชื่นอกชื่นใจ เป็นคนสบายใจตลอดชีวิต หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 04 กุมภาพันธ์ 2553 20:44:19 ภาพที่ 6 อสิตดาบสเยี่ยมพระราชโอรส (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/6.jpg) เมื่อพระราชโอรสกลับมายังพระราชวังแล้ว ปรากฏว่าอสิตดาบสก็ได้เข้าเยี่ยม เมื่อพบพระราชโอรสผู้มีลักษณะบุญญาธิการ อสิตดาบนถึงกับทรุดตัวลงกราบ ทำให้พระเจ้าสุทโธทนะถึงกับตกตะลึงพรึงเพริด เพราะอสิตดาบสนั้นเป็นที่เคารพของพระเจ้าสุทโธทนะอย่างยิ่ง เมื่อเห็นอสิตดาบสก้มลงกราบพระโอรสของตนก็แปลกพระทัยยิ่งนักจึงได้ตรัสถามอสิตดาบส ท่านอสิตดาบสก็บอกว่า… อย่าได้แปลกใจเลย บุญญาธิการของพระราชโอรสผู้นี้น่ะมากมายกว่าอาตมานัก ทำไมจะไหว้ไม่ได้ ได้ยินอสิตดาบสกล่าวเช่นนั้น พระเจ้าสุทโธทนะพระราชบิดา จึงกราบพระราชโอรสตามท่านอสิตดาบส ภาพที่ 7 พราหมณ์ทำนายพระลักษณะ (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/7.jpg) ต่อมาปรากฏว่า มีพราหมณ์จำนวน 8 คนด้วยกัน เข้ามาทำนายพระลักษณะของพระราชโอรส พราหมณ์ทั้ง 7 คน ยกสองนิ้ว มีแต่เพียงพราหมณ์หนุ่มผมดำเท่านั้นที่ยกขึ้นนิ้วเดียว จึงมีนัยยะว่า พราหมณ์ที่ยกสองนิ้วทำนายเป็นสองนัยว่า… ถ้าออกบวชก็จะเป็นศาสดาเอกของโลก และถ้าไม่ได้ออกบวชอยู่เป็นกษัตริย์จะได้เป็นจักรพรรดิราช ส่วนพราหมณ์หนุ่มผมดำผู้นั้นซึ่งยกขึ้นนิ้วเดียว ทำนายเป็นนัยเดียวว่า…พระราชโอรสผู้นี้จะต้องออกบวชอย่างแน่นอน พราหมณ์หนุ่มผู้นี้ที่ทำนายเป็นนัยเดียวนี้มีชื่อว่าอัญญาโกณฑัญญะ หนึ่งในปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ซึ่งต่อมาได้บรรลุดวงตาเห็นธรรมเป็นพระอรหันต์รูปหนึ่งในพระพุทธศาสนา ภาพที่ 8 พระมารดาสิ้นพระชนม์ (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/8.jpg) ต่อมาพระมารดา พระนางสิริมหามายาก็ถึงแก่ทิวงคตสิ้นพระชนม์ไป พระเจ้าสุทโธทนะผู้เป็นพระราชบิดา จึงได้จัดการแสวงหานางนมมาเลี้ยงดูพระราชโอรสต่อไป ผู้เลี้ยงพระราชโอรสนี้ให้แก่พระนางปชาบดีโคตมี ซึ่งเป็นน้าสาวของพระพุทธเจ้า และเป็นน้องสาวของพระมารดา ต่อมา พระนางปชาบดีได้เป็นมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะอีก แล้วก็ปรากฏว่าเป็นเหตุให้มีพระราชโอรสธิดาอีกสองคน เป็นหญิงหนึ่งคน ชายหนึ่งคน ชื่อ รูปนันทา และนันทะ แต่ปรากฎว่าพระราชโอรสสิทธัตถะได้สร้างความน่ารักน่าเลื่อมใส จึงทำให้ผู้เป็นแม่เลี้ยงนี่รักมากกว่าลูกตัวด้วยซ้ำ หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 04 กุมภาพันธ์ 2553 20:48:02 ภาพที่ 9 ความรักของพระบิดา (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/9.jpg) ต่อมา พระราชโอรสอายุได้สัก 2 ขวบ พระเจ้าสุทโธทนะก็พยายามที่จะให้พระราชโอรสมีความรื่นเริงบันเทิงใจ จึงพยายามหานางสนมที่มีหน้าตาแปลก ๆ จมูกโด่ง ๆ คางยื่น ๆ มาหยอกเล่นให้สบายพระทัย แทนที่พระราชโอรสจะสนุกสนานรื่นเริงเหมือนเด็กทั่วไป ได้พูดถามกับพวกเหล่านางสนมหญิงนั้นว่า พี่หญิง… ที่มาหยอกเล่นให้น้องมีความสนุกเหน็ดเหนื่อยกันบ้างไหม พี่หญิงก็บอกว่า เหนื่อยมากเพคะ เท่านั้นเอง พระราชโอรสจึงพูดกับพี่หญิงว่า ถ้าต้องเหน็ดเหนื่อยก็หยุดไปเถอะ เราน่ะไม่อยากแสวงหาความสนุกบนความทุกข์ของผู้อื่นหรอก นี่ พระราชโอรสมีน้ำพระทัยเมตตามาแต่เล็กแต่น้อย พวกพี่หญิงเหล่านั้นก็ปลื้มใจในคุณงามความมีน้ำใจอันเมตตาของพระราชโอรสผู้นี้ยิ่งนัก ภาพที่ 10 ศึกษาศิลปวิทยาต่าง ๆ (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/10.jpg) เมื่อพระราชโอรสอายุประมาณ 7 ขวบ พระราชบิดาก็ปรารถนาให้ลูกมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด จึงได้แสวงหาอาจารย์ผู้มีคุณธรรมที่สามารถถ่ายทอดคุณงามความดีให้พระราชโอรส พร้อม ๆ ไปกับให้การศึกษาศิลปวิทยาต่าง ๆ ไม่เหมือนกับพ่อแม่สมัยนี้ที่ปรารถนาให้ลูกได้แต่วิชาความรู้ ไม่สนใจคุณธรรม ไม่ให้จรณะ (ความประพฤติ) พระอาจารย์ของพระราชโอรสท่านนี้ ก่อนจะร่ำจะเรียนจะให้ลูกศิษย์นั้นเตรียมตัวค้นคว้าวิชาการอย่างดี และงดเว้นสิ่งที่จะเป็นเหตุทำให้จิตใจของลูกศิษย์ตกต่ำ ลูกศิษย์ก็เรียนเก่งมาก สอนอะไรไปก็จำได้หมด จนกระทั่งอาจารย์ไม่มีอะไรจะสอนให้อีกแล้ว ภาพที่ 11 เห็นสัจจธรรม (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/11.jpg) เจ้าชายสิทธัตถะพระราชโอรส เริ่มเป็นหนุ่มรุ่น ๆ ขึ้นมาเรื่อยตามลำดับตามอายุขัย เพราะท่านก็มีสรีระเหมือนกับคนเราธรรมดา วันหนึ่งได้ไปนั่งดูสัตว์ ก็เห็นมดถูกกิ้งก่ากัด กิ่งก่าก็ถูกงูกัด งูถูกเหยี่ยวมาเฉี่ยวไป พระองค์มองเห็นอะไรมักจะน้อมนึกไปสู่ธรรมะเสมอ เมื่อเห็นว่าสัตว์มันเบียดเบียนกัน ก็นึกว่า โอ้ ไม่น่าจะต้องมาเบียดเบียนข่มเหงกัน ทำร้ายกัน สัตว์ใหญ่รังแกสัตว์น้อย ผู้มีอำนาจเล่นงานผู้ด้อยอำนาจ ผู้ใหญ่บ้านเล่นงานลูกบ้าน ลูกบ้านไม่รู้จะทำอะไรก็วิ่งไล่เตะหมาต่อไป อะไรอย่างนี้ตามลำดับ มักจะมีการกดขี่ข่มเหงกันก็เลยนั่งนึกว่า โอ จะทำอย่างไรให้สัตว์โลกนี้อยู่ร่วมกันได้โดยไม่มีการกดขี่ข่มเหงเบียดเบียนกัน ผลาญพล่าชีวิตซึ่งกันและกันเสมอ หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 04 กุมภาพันธ์ 2553 20:50:54 ภาพที่ 12 พระบิดาหวั่นพระทัย (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/12.jpg) พระเจ้าสุทโธทนะผู้เป็นพระราชบิดา เริ่มเห็นอาการของเจ้าชายสิทธัตถะ มักจะมีปกติชอบสงบ พระองค์เลยทรงหวั่นพระทัย ในสมองมองนึกถึงภาพเมื่อตอนเล็ก ๆ ก็ชอบไปนั่งสงบ เช่น ตอนไปแรกนาขวัญก็นั่งสงบที่โคนต้นหว้า และนึกถึงคำทำนายของพราหมณ์หนุ่มว่า พระราชโอรสนี้มีคติอันเดียว คือจะต้องออกบวช จึงทำให้ผู้เป็นพ่อคิดหาทางออกเฮือกสุดท้ายที่จะกักขังพระราชโอรสเอาไว้ให้อยู่สืบสันตติวงศ์แห่ง กบิลพัสดุ์ต่อไป จึงพยายามที่จะหาทางกักขังพระราชโอรสให้อยู่ครองเมืองกบิลพัสดุ์ให้จงได้ ภาพที่ 13 สร้างปราสาทสามฤดู (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/13.jpg) พระเจ้าสุทโธทนะจึงทรงสั่งเหล่าเสนาอำมาตย์ข้าราชบริพารทั้งหลาย ให้จัดสร้างปราสาทที่สวยงาม เพื่อให้เป็นเครื่องล่อย้อมใจลูกชายให้ติดอยู่ พระองค์สร้างปราสาทขึ้นมาสำหรับสามฤดู 1. ปราสาทฤดูร้อน 2. ปราสาทฤดูฝน 3. ปราสาทฤดูหนาว ให้ประเล้าประโลมพระราชโอรสให้จงได้ สิ้นค่าใช้จ่ายหมดเท่าไรก็ไม่ว่า ขอเพียงแต่ให้พระราชโอรสเป็นกษัตริย์แห่งกบิลพัสดุ์เป็นใช้ได้ ซึ่งปราสาททั้งสามนั้นพระองค์ได้สั่งให้ประดับตกแต่งอย่างวิจิตรพิสดาร แต่อนิจจาเอ๋ย… สวนทางกันเสียจริงระหว่างลูกกับพ่อ พ่อต้องการให้ลูกอยู่ในวัง ลูกต้องการที่จะออกแสวงหาสัจจธรรม เห็นรั้ววังเป็นประดุจดังคุกและตาราง ภาพที่ 14 น้ำพระทัยของเจ้าชาย (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/14.jpg) สิทธัตถะกับเทวทัตเป็นเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน วันหนึ่ง เทวทัตเอาศรยิงขึ้นไปถูกหงส์บนอากาศตกลงมา สิทธัตถะผู้มีน้ำพระทัยเมตตาเข้าไปถอนศรเยียวยารักษาจนฟื้นจึงได้เกิดอาการยื้อแย่งกัน ฝ่ายสิตธัตถะก็บอกว่าของฉันนะ ฉันช่วยมันให้ฟื้น เทวทัตก็บอกว่าของเรานะ เพราะเรายิงมัน ในที่สุดตกลงกันไม่ได้ จึงนำเรื่องไปให้พราหมณ์ผู้ใหญ่ตัดสิน พราหมณ์ก็บอกว่า ผู้ใดทำลายชีวิต ก็ไม่ควรจะเป็นเจ้าของชีวิต สิ่งที่มีชีวิตควรจะถูกได้รับความคุ้มครองจากผู้มีเมตตาปรานี เพราะฉะนั้น เมื่อต้องการให้หงส์ตัวนี้มีชีวิตอยู่ต่อไปก็ควรจะให้สิทธัตถะเถอะ หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 04 กุมภาพันธ์ 2553 20:54:04 ภาพที่ 15 อุปนิสัยของเจ้าชาย (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/15.jpg) ภาพนี้เป็นภาพแห่งการแข่งม้าของเจ้าชายสิทธัตถะ ธรรมดาเมื่อมีแข่งขันอะไรก็ตามมักจะทรมานสัตว์เพื่อให้ตนเป็นฝ่ายชนะ เฆี่ยนตีให้มันวิ่งเร็ว ให้มันทำอะไรต่ออะไรคู่ต่อสู้อย่างเลวร้าย โดยหวังแต่จะเอาชนะลูกเดียว สิทธัตถะนั้นม้าก็มีฝีเท้าดี แต่ถ้าขืนไล่ตีให้วิ่งมันก็จะเหน็ดเหนื่อยและเจ็บปวด เจ้าชายไม่ปรารถนาเอาชัยชนะมาเป็นของตัวแล้วยื่นความเจ็บปวดรวดร้าวให้กับผู้อื่นเป็นอันขาด นี่คือนิสัยของสิทธัตถะ จึงพยายามชะลอดึงม้าเอาไว้ไม่ต้องการให้มันเหน็ดเหนื่อยเกินกำลัง ให้คนอื่นเขาคว้าชัยชนะไป เรื่องนี้เรามองกันให้ลึก ๆ จะเห็นว่า สิทธัตถะนั้นชนะกิเลส แต่แพ้ในการแข่งขันซึ่งเราพอจะมองเห็นได้ว่า เจ้าชายของเรามีจิตใจเมตตามากมายขนาดไหน ภาพที่ 16 หมั้นพระนางพิมพายโสธรา (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/16.jpg) ต่อมา พระราชบิดาปรารถนาแล้วว่า จะต้องหาทางกักขังเจ้าชายสิตธัตถะให้อยู่สืบสันติวงศ์ให้จงได้ จึงพยายามไปหาบรรดาสาวงามซึ่งเป็นที่ตรึงตาตรึงใจสิทธัตถะ เจ้าชายได้ตัดสินพระทัยเลือกพระนางพิมพา พระราชธิดาของพระเจ้าสุปปพุทธะประมุขแห่งนครเทวทหะ กับพระนางอมิตาซึ่งเป็นน้องสาวคนเล็กของพระเจ้าสุทโธทนะ นับว่าทั้งสองตระกูลนี้เกี่ยวดองเป็นพระญาติกัน มีความรักกันฉันท์พี่น้องร่วมสายโลหิต ต่างมีการอภิเษกสมรสกันเสมอมา พระเจ้าสุทโธทนะพระราชบิดาจึงได้จัดพิธีหมั้นขึ้นระหว่างเจ้าชายสิทธัตถะและพระนางพิมพายโสธราด้วยการสวมแหวนให้ เพื่อหมายจะจองครองรักให้เจ้าชายอยู่ติดรั้วติดวังไม่ไปไหน ภาพที่ 17 ชักชวนนายฉันนะ (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/17.jpg) แต่สิ่งที่พระราชบิดาหามาให้ เป็นเสมือนกรงที่คอยขังคนโง่ให้ยินดีในรูปสวย ๆ เสียงเพราะ ๆ กลิ่นหอม ๆ รสอร่อย ๆ สัมผัสนุ่มนวล ซึ่งสิทธัตถะมิได้ตกหรือสยบอยู่กับสิ่งที่พ่อได้หามาให้ จึงได้ชวนฉันนะอำมาตย์คู่พระทัยให้พาหนีออกไปเที่ยวดูความเป็นอยู่ของประชาชน นายฉันนะบอกว่าไปไม่ได้ เดี๋ยวพ่อจะตัดหัว เพราะสั่งไว้ไม่ให้นำเจ้าชายไปไหน ด้วยเกรงว่าถ้าไปพบไปเห็นอะไรเข้าจิตใจจะเบื่อหน่ายคลายความพอใจในการอยู่ในรั้วในวังแล้วจะออกบวชเสีย เจ้าชายอ้อนวอนฉันนะอยู่นาน จนในที่สุดนายฉันนะต้องยอมพาปลอมตัวออกไป โดยเอาผ้าโพกหัวเป็นแขกปลอมตัวออกไปด้วยกัน หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 04 กุมภาพันธ์ 2553 20:56:25 ภาพที่ 18 ปลอมตัวออกนอกวัง (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/18.jpg) ภาพนี้สวยงามตรงที่ว่า แหม โพกผ้าปลอมตัวชมรอบชานเมือง สิทธัตถะนำหน้าฉันนะตามหลัง ได้ไปเห็นสิ่งต่าง ๆ มากมาย เช่นไปเห็นชายแก่รอชะแง้อยู่ที่หน้าบ้านถามว่า ลุงเอ๋ย ทำไมยังไม่นอนอีก จะนอนหลับได้ยังไงล่ะพ่อคุณ ลูกยังไม่กลับเลยห่วงมันหลับไม่ลง เดินมาเจอหญิงกลางคนร่ำไห้ ยังไม่หลับหรือน้า ได้รับคำตอบว่าสามีฉันยังไม่กลับบ้าน…ห่วง ถามกี่ราย ๆ ก็หลับไม่ลงเพราะความห่วง โถ…ถูกโซ่ถูกบ่วงถูกห่วงร้อยรัด คำก็ห่วงสองคำก็ห่วง นี่ความห่วงอาลัยทำให้หลับไหลไม่ลง พะวงพะวังอยู่ ภาพที่ 19 พบคนเจ็บป่วย (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/19.jpg) ครั้นเดินต่อมา ก็พบกับชายร้องครวญครางอยู่ใต้สะพานแห่งหนึ่ง เป็นโรคไข้ทรพิษ สิทธัตถะจึงเข้าไปดู ฉันนะร้องห้าม สิทธัตถะได้กล่าวตอบไปว่า ฉันนะ ฉันไม่ได้เป็นกษัตริย์ที่เห็นแก่ตัวอย่างพวกเธอหรอก เขาเจ็บป่วยทำไมเราจะช่วยเขาไม่ได้ เมื่อเขามีเรี่ยวแรงทำมาหากินได้ เขายังส่งส่วยส่งภาษีเข้ารัฐ ฉะนั้นเมื่อเขาเจ็บเขาป่วยทำไมเราจะช่วยเขาไม่ได้ นี่แหละคำทำนายที่ว่า ถ้าเป็นกษัตริย์จะได้เป็นจักรพรรดิราช เพราะน้ำพระทัยของพระองค์นั้นยอดเยี่ยม ไม่ต้องยกเมืองไปตี ไม่ต้องยกกองทัพไปตี เขาก็จะยกเมืองให้ครอง เพราะน้ำพระทัยอันเมตตาครอบงำน้ำใจของปวงชน นี่แหละจึงจะเป็นเหตุให้เป็นจักรพรรดิราชครองเมืองมากมายมหาศาลและนานที่สุด ภาพที่ 20 พระกรุณาของพระองค์ (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/20.jpg) ต่อมา พระองค์ได้ไปดูคนทำไร่ไถนา แต่จิตใจโหดร้าย ตีวัว ตีควาย อย่างทารุณ ไม่ใช้ไปด้วยความละมุนละไม เมตตาปรานี เอาแต่ใจเป็นใหญ่ ไปเที่ยวกินเหล้าเมายาพอทะเลาะขัดแย้งมาจากทางบ้านก็มา ระบายความทุกข์กับวัวกับควาย พระองค์ได้รำพึงว่า… โถ เจ้าวัวเอ๋ย เมื่อเจ้ามีแรงเขาก็ใช้เจ้าลากไปในนาที่หนักหน่วง ครั้นพอเจ้าแก่หมดเรี่ยวหมดแรงลง พวกเขาก็ยังจะเอาเนื้อของพวกเข้ามาลากเข้าปากเขาอีก ด้วยการฆ่าแล่เนื้อ เอาเนื้อและเลือดมาลากเข้าปากเขาอีก เขาใช้ชีวิตเจ้าอยู่กับการลากจากการไถ พระองค์เห็นแล้วก็สลดสังเวชใจ เกิดความกรุณาสงสารเป็นยิ่งนัก หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 04 กุมภาพันธ์ 2553 20:59:06 ภาพที่ 21 พบคนแก่ชรา (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/21.jpg) ต่อมาก็ได้เสด็จไปพบเห็นสิ่งที่น่าสลดสังเวชใจยิ่ง ๆ ขึ้นไป คือ เห็นคนแก่หลังค่อม ผมหงอก มีหน้าตายุ่งย่น ทั้ง ๆ ที่พ่อพยายามสั่งว่าลุกของตนเสด็จไปทางไหน อย่าให้เห็นคนแก่คนอะไรที่น่าสังเวชใจผ่านมาให้พบเห็น เหมือนกับแรงบันดาลดลใจจึงเกิดเห็นสิ่งเหล่านี้มากระตุ้นทำให้พุทธภาวะเริ่มปริ่มประพิมประพายให้แก่หัวใจของสิตธัตถะมากเพิ่มขึ้น เพราะการเห็นของพระองค์แต่ละครั้ง ไม่ใช่เห็นแล้วจะผ่านไปเลย พระองค์เห็นแล้วได้ใคร่ครวญและพิจารณา สอบถามนายฉันนะว่า นั่นคนแก่ใช่ไหม? ฉันนะตอบว่า ใช่พระเจ้าข้า เราต้องแก่อย่างนั้นไหม? ฉันนะก็บอกว่า ต้องแก่พระเจ้าข้า พิมพา ราหุล ต้องแก่ทั้งนั้นพระเจ้าข้า ภาพที่ 22 เห็นคนตายญาติร่ำไห้ (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/22.jpg) ต่อมาเจ้าชายก็ได้เห็นภาพที่ชวนให้สลดสังเวชใจ คือเห็นคนตาย แล้วมีญาติพากันร่ำไห้วิปโยคโศกศัลย์ปานจะขาดใจตายตามไปเสียให้ได้ เห็นดังนั้น พระองค์จึงได้เกิดความรู้สึกสลดสังเวช เหนื่อยหน่าย เบื่อหน่าย พระองค์จึงได้สอบถามนายฉันนะออกไปถึงสิ่งที่พระองค์ได้พบเห็นอยู่นั้น นายฉันนะก็กราบทูลตอบไปว่า เราก็จะต้องแก่ เจ็บ ตาย อย่างนี้ พระเจ้าข้า เท่านั้นเอง พระองค์ก็เริ่มรู้สึกค้านขึ้นในใจว่า มีมืด…ยังมีสว่าง เมื่อมีแก่…ก็ควรจะพ้นแก่ มีตาย…ก็ควรจะพ้นตาย ได้บ้าง ภาพที่ 23 ฟ้าหญิงกีสารำพึง (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/23.jpg) เมื่อพระองค์กลับวัง เดินด้วยท่าทางอันเรียบร้อยนุ่มนวล ฟ้าหญิงกีสาโผล่หน้าต่างมาพบเห็นเข้า จึงได้อุทานร้องออกมาว่า โอ ถ้าหากใครได้ชายคนนี้มาเป็นสามี หญิงผู้เป็นภรรยาก็จะได้นิพพาน ใครได้ชายคนนี้มาเป็นลูก หญิงผู้เป็นแม่ก็จะได้นิพพาน นิพพานคืออะไร? นิพพาน คือ ความเย็นอกเย็นใจ สบายใจ เพราะฉะนั้นใครได้ชายดี ๆ มาเป็นสามี หญิงผู้เป็นภรรยาก็จะได้นิพพาน ใครได้ลูกดีดีมาเกิด ผู้เป็นแม่ก็จะได้นิพพาน แต่ถ้าได้ไม่ดีก็บ่นกัน ได้สามีกับเขาคนหนึ่งเหมือนได้ผีเข้าบ้าน มันเอาแต่กินเหล้า เอาแต่เล่นการพนัน อย่างนี้ตกนรกทั้งเป็น หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 04 กุมภาพันธ์ 2553 21:02:40 ภาพที่ 24 สลดสังเวชพระทัย (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/24.jpg) ในวันนี้พระองค์ได้เห็นอะไรต่ออะไรมากขึ้น เห็นทั้งข้างใน ทั้งข้างนอก ออกไปข้างนอกก็เห็นแต่สิ่งที่สลดสังเวชใจ กลับมาข้างในก็ยังเห็นนางสนมกำนัลนอนหลับใหลอาการน่าเกลียด นอนน้ำลายไหล นอนผ้านุ่งผ้าถุงหลุดลุ่ย กัดฟัน นอนกรน อาการที่เคยน่าดู ที่เคยหลงใหล เดี๋ยวนี้เหมือนประดุจดังป่าช้าในวัง ความสลดสังเวชนี่เอง จึงเขย่าพุทธภาวะของสิทธัตถะให้ทอแสงออกมามากขึ้น คิดหาทางพ้นจากความทุกข์นั้น เพราะความเบื่อหน่ายคลายกำหนัดจาก รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัสทางเนื้อหนัง ภาพที่ 25 มโนสำนึกของสิทธัตถะ (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/25.jpg) ในที่สุดเลยเป็นเหตุให้ในคืนวันนี้สิทธัตถะนอนไม่หลับ ได้เห็นภาพต่าง ๆ ที่ได้ไปดูนั้นปรากฏขึ้นในมโนสำนึก ภาพที่เห็นก็เช่น คนทำมาหากินตีเหล็กอย่างเหน็ดเหนื่อย เหงื่อไหลไคลย้อย แต่มัวเมาเสีย พอได้เงินได้ทองก็มากินเล่นฉลองหมด แล้วก็ก้มหน้าก้มตาทำใหม่ ได้มาใหม่ก็กินเล่นจนหมด ไม่คำนึงถึงอนาคตว่าจะต้องแก่ ต้องป่วย ต้องใช้หรือหาไม่ได้ก็จะเดือดร้อน เอาแต่กิน…หลง…มัวเมา บางคนก็หน้าเศร้า เลี้ยงลูกมานานแล้ว ยังต้องมาเลี้ยงหลานตำข้าวป้อนหลานอีก บางคนก็มานั่งวิปโยคโศกศัลย์ สูญสิ้นสามี สูญสิ้นลูกรัก สูญสิ้นเงินทองข้าวของ ทำให้เจ้าชายยิ่งคิดว่า เมื่อมีมืด ยังมีสว่าง เมื่อมีทุกข์…ก็ต้องหาทางพ้นทุกข์ให้จงได้ ภาพที่ 26 บ่วงเกิดขึ้นกับเราแล้ว (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/26.jpg) วันหนึ่งขณะที่ประทับอยู่ในอุทยานพร้อมกับคิดในเรื่องหาทางพ้นทุกข์อยู่นั้น อำมาตย์สองคนได้เข้ามากราบทูลว่า ฟ้าชายพระเจ้าข้า ขณะนี้ พระนางพิมพาได้คลอดพระราชโอรสมาแล้ว ทำให้สิทธัตถะถึงกับอุทานออกมาว่า “บ่วง” เกิดขึ้นแล้วหรือ ราหุลัง ซาตัง…ราหุลเกิดแล้ว บ่วงเกิดกับเราแล้ว การมุ่งมาดปรารถนาว่าจะเป็นสมณะจะหมดโอกาสเสียแล้วหรือ? ราหุล…ราหุล เจ้าเกิดมาจะเป็นบ่วงพ่อเสียแล้วหรือ? ความเป็นสมณะคงจะหมดโอกาสแล้วหรือ? ในที่สุด พระองค์ก็ทรงอุทานและนึกขึ้นว่า จะต้องเป็นสมณะให้จงได้ จะต้องหาทางพ้นจากบ่วงเพื่อหลุดพ้นจากทุกข์ให้จงได้ หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 04 กุมภาพันธ์ 2553 21:08:33 ภาพที่ 27 เสด็จหนีออกบวช (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/27.jpg) ในคืนนั้นจึงได้ชวนนายฉันนะเสด็จหนีออกบวช ในเรื่องนี้มีอยู่สองนัย นัยหนึ่งว่าหนีออกบวช แต่บางแห่งพุทธประวัติบอกว่า ออกบวชซึ่งหน้า ทำให้พ่อแม่น้ำตาลนองหน้า ในภาพนี้เล่าว่า เมื่อนายฉันนะได้รับม้า และรับเครื่องทรงกษัตริย์แล้ว พระองค์ก็บอกให้เอาไปคืนพ่อ ฉันไม่ขอแต่งเครื่องทรงกษัตริย์นี้อีกแล้ว จะขอแต่งเครื่องทรงของนักพรตนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ย้อมน้ำฝาดต่อไป เจ้าม้ากัณฐกะรู้ว่าเจ้านายที่แสนดีของมันจะต้องจากมันไป มันก็ยืนซึมน้ำตาไหลอาลัยรักเจ้านายที่แสนดีของมัน ในที่สุดความเสียดายอาลัยรักในเจ้านายที่แสนดีของมันมันก็ถึงกับใจแตกตาย ณ ที่ตรงนั้น ภาพที่ 28 การบวชแบบพราหมณ์ (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/28.jpg) ภาพนี้จะเป็นอีกนัยหนึ่ง ว่าด้วยประเพณีของพราหมณ์ คือพ่อ หมายถึงพระเจ้าสุทโธทนะนั้นถือศาสนาพราหมณ์มาก่อน เมื่อถึงเดือนจะมีการออกบวช ซึ่งมักจะต้องมีการออกบวชกันเป็นประจำ ต่อมาฟ้าชายสิทธัตถะได้ออกบวชจนพอใจ ถึงกับมีการคิดจะตัดผมออก ประเพณีของพราหมณ์มีว่า ถ้าตัดผมออกแล้ว เป็นอันว่าอยู่ในวังกันไม่ได้อีกแล้ว พ่อแม่พี่น้องวงศ์ตระกูลจึงน้ำตานองหน้า (…พุทธประวัติก็เกิดขึ้นสองนัยยะ นัยหนึ่งว่าหนีออกบวช อีกนัยหนึ่งว่าบวชซึ่งหน้า ท่านจะเชื่ออย่างไหนก็แล้วแต่ แต่เป็นอันว่าฟ้าชายสิทธัตถะได้บวชแน่ก็แล้วกัน…) ภาพที่ 29 ยังยินดีในรสอาหาร (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/29.jpg) การบวชครั้งนั้น ก็บวชอย่างเรียบร้อย แต่ได้ผลดีที่สุด ได้สุขสงบเย็น ได้สติปัญญา ได้ศีล ได้สมาธิ ได้อริยสัจ ได้โพธิญาณ ฟ้าชายสิทธัตถะออกบวชใหม่ ๆ นั้น ท่านยังยินดีในรสอาหาร จึงได้น้อมนึกไปถึงอาหารในวัง เพราะบิณฑบาตได้อาหารที่ไม่ดี น้อมนึกว่า ถ้าเราไม่ไปออกบวช ก็จะได้ฉันของที่ดีกว่านี้ ในบาตรนี่มันปนเปไปหมด นั่งนึกอยู่พักใหญ่ แต่สติอันฉับไวของพระองค์จึงได้ยั้งเตือนใจตนเองขึ้นว่า …สิตธัตถะ แกนี่จะมานั่งพิรี้พิไรถึงอาหารในรั้วในวังอยู่ได้ยังไง บัดนี้ออกบวชเพื่อปรารถนาโพธิญาณแล้ว จะมาหลงใหลในเรื่องการกิน ขัดขวางโพธิญาณของเราทำไม เท่านั้นเองพระองค์ก็ทรงเสวยอาหารที่ได้มานั้นลงคออย่างสะดวก หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 04 กุมภาพันธ์ 2553 21:12:19 ภาพที่ 30 พิมพายโสธราผู้น่าสงสาร (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/30.jpg) โถ…อนิจจา พิมพาต้องเศร้าเพราะสามีของเจ้าออกบวชซะแล้ว นางก็ได้แต่รำพึงรำพันว่า…สามีของฉันเขาจากไป พระนางพิมพานั้นกอดราหุลลูกน้อยร่ำไห้ แล้วก็ตัดพ้อต่อว่า โธ่ ลูกของแม่ ไม่รู้ว่าพ่อของเจ้าเขาเกลียดแม่หรือเกลียดลูกกันแน่ เขาจึงทิ้งเราไป ไม่กลับมาให้เห็นหน้า ถ้ารู้ว่าแม่ไม่ดีก็น่าจะบอกให้แม่แก้ไข ไม่น่าจะจากลูกและจากแม่ไปอย่างนี้เลย นี่คือการรำพึงรำพันร่ำไห้ของพิมพาผู้น่าสงสาร เมื่อฟ้าชายสิทธัตถะไม่ได้กลับมาร่วมหอ หอรักก็เป็นหอร้าง ภาพที่ 31 แสวงหาโพธิญาณ (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/31.jpg) เจ้าชายสิทธัตถะไม่ได้ออกบวชเพราะรังเกียจ แต่ออกบวชเพราะห่วงชาวโลกว่าจะต้องทุกข์โศกอยู่กับกิเลสบีบคั้น จึงแสวงหาปรารถนาโพธิญาณ และเมื่อพบกับปัญหาอะไรขณะที่บวชนั้นก็พยายามจะแก้จะแนะจะสอนเขาเรื่อยไป หญิงคนหนึ่งลูกของเธอต้องสิ้นชีวิตลง นางวิปโยคน้ำตานองหน้าเข้ามาหานักบวชสิทธัตถะให้ช่วยขจัดทุกข์อันเกิดจากลูกที่รักมาตายจาก พระองค์ก็ออกอุบายว่าให้ไปหาเมล็ดผักกาดในบ้านที่ไม่เคยมีญาตตายมาสักสองสามเมล็ด จะมาฝนทำยาให้ฟื้น หญิงนี้ก็ดีใจมาก อุ้มศพลูกไปหาเมล็ดผักกาดแต่ไม่มีบ้านไหนที่ไม่มีญาติตายสักบ้านเดียว มีแต่เมล็ดผักกาดเท่านั้น นางอุ้มลูกหาจนลูกเน่าคาอกจึงปลงตก หญิงคนนี้ต่อมาได้เป็นภิกษุณีที่เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง ภาพที่ 32 ส่งถึงจุดหมายปลายทาง (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/32.jpg) วันหนึ่ง พระองค์ได้เดินผ่านไปเห็นฝูงแกะฝูงแพะที่เขาไล่ต้อนไปสู่เมืองของพระเจ้าพิมพิสาร เพื่อจะฆ่าบูชายัญ พระองค์เห็นตัวไหนขามันหัก เดินไปทัน ก็เข้าไปอุ้ม แล้วไปส่งเขาถึงจุดหมายปลายทาง นี่แหละน้ำพระทัยอันเปี่ยมล้นไปด้วยความเมตตาของพระองค์ ได้ทำกับฝูงสัตว์เหล่านั้นให้ได้รับความสุขทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 04 กุมภาพันธ์ 2553 21:14:22 ภาพที่ 33 พระเจ้าพิมพิสารบูชายัญ (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/33.jpg) เมื่อพระองค์มาถึง เห็นพระเจ้าพิมพิสารกำลังจะจัดการเผาแพะแกะเพื่อบูชายัญ พระองค์ก็ร้องห้าม และถามความประสงค์ พระเจ้าพิมพิสารก็บอกว่า ทำเพื่อต่ออายุให้เราอยู่ยืน และมีความราบรื่นในปราสาทราชวัง พระองค์ทรงตรัสกับพระเจ้าพิมพิสารว่า… เมื่อต้องการให้กระจกยิ้มกับเรา ทำไมเราไม่ยิ้มให้กับกระจก ต้องการอยู่ยืนยาวนาน ทำไมจึงไม่ปล่อยชีวิตสัตว์ไว้ให้มันยืนยาวนาน เพื่อชีวิตเราจะได้อยู่ยืนยาวนานได้ เมื่อเราทำชีวิตของเขาให้สั้น ประหารชีวิตของเขา แล้วเราจะได้ความมีอายุยืน ความมีสุขภาพสมบูรณ์ได้อย่างไร เมื่อเราให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นก็ย่อมถึงเราอย่างแน่นอน ภาพที่ 34 แสวงหาอาจารย์ (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/34.jpg) หลังจากพระเจ้าพิมพิสารฟังพระพุทธเจ้าแล้วก็เข้าใจ จึงหยุดกระทำการบูชายัญเช่นนั้นเสีย พระองค์จึงได้หลีกจากไปเพื่อแสวงหาอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ในครั้งกระโน้น ที่เรียกว่าอาฬารดาบสและอุทกดาบส เรียนจนจบสมาบัติเจ็ดและสมาบัติแปด เรียกว่าเรียนจบหลักสูตรสูงสุด ของคณาจารย์ทั้งสองแล้ว คณาจารย์ทั้งสองจึงได้ชวนพระองค์อยู่เป็นอาจารย์สอนต่อไป แต่พระองค์เห็นว่าสิ่งที่ได้เรียนกับอาจารย์ทั้งสองยังไม่สูง ยังไม่สิ้นอาสวะ จึงได้ลาจากไป ไม่ขอรับที่จะเป็นคณาจารย์ร่วมสำนักกับอาจารย์ทั้งสอง ภาพที่ 35 บำเพ็ญทุกรกิริยา (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/35.jpg) เมื่อจากอาจารย์ทั้งสองมาแล้ว พระองค์ก็ได้คิดค้นหาวิชาที่จะตรัสรู้ให้จงได้ ให้พ้นเกิด พ้นแก่ พ้นเจ็บ พ้นตาย จึงได้ไปทรมานพระวรกายต่าง ๆ นานา ภาพการทรมานกายนั้นส่วนใหญ่เราจะได้เห็นแต่เพียงภาพทรมานอดอาหาร แต่ในพุทธประวัติชุดนี้ ได้ทุ่มเทพยายามใช้ทุนรอนในการวาดมากมาย ก็เพื่อให้เกิดความเข้าใจในพุทธประวัติได้กว้างขวางมากขึ้น พระองค์ได้ทรมานตัวเองหรือเรียกกันว่าบำเพ็ญทุกรกิริยา ทำกิริยาที่ทรมานพระองค์เอง เพราะต้องการทำให้กิเลสเหือดแห้ง นี่เป็นความเข้าใจในตอนแรกของพระองค์ หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 04 กุมภาพันธ์ 2553 21:16:23 ภาพที่ 36 อยู่หลีกเร้นเพียงผู้เดียว (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/36.jpg) บางครั้งพระองค์ไปอยู่ในป่า ปรารถนาไม่ให้ใครพบเห็น ใครแบกขวานมาผ่าฟืนในป่า พระองค์ก็วิ่งหนีไปไม่ต้องการให้ใครเห็นหน้าพระองค์ เรียกว่าอยู่หลีกเร้นแต่เพียงผู้เดียวไม่ปรารถนาพบหน้าตาของมนุษย์ บางครั้งพระองค์จากร้อนสู่ร้อน จากหนาวสู่หนาว เช่นเมื่อแดดร้อนพระองค์ก็ไปอยู่กลางแดด เมื่อหนาวจัดก็ไปอยู่กลางหิมะ เพื่ออะไร? เพื่อความอดกลั้นอดทนอันยิ่งใหญ่ บางครั้งพระองค์ไปออกบิณฑบาตแก้ผ้า หรอว่าสลัดจีวรเครื่องพันธนาการออก เหลือแต่พระวรกายล่อนจ้อน เดินเก็บผลไม้ที่หล่น ที่อยู่บนต้นก็ไม่เก็บ เสวยประทังชีวิตไป บางครั้งพระองค์เอาขี้เถ้าทาหัวทาตัวรอบไปหมด ภาพที่ 37 ไม่มีรัก โลภ โกรธ หลง (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/37.jpg) บางครั้งพระองค์ไปอยู่ในป่าช้า นอนแทรกแซงไปกับกระดูกของซากศพที่ตายจำนวนมากเกลื่อนกลาดไปหมด ปรากฏว่า มีฝูงเด็ก ๆ จำนวนหลายคน เลี้ยงควายกันบ้าง เลี้ยงสัตว์ในริมทุ่งบ้าง เมื่อเห็นพระพุทธเจ้านอนซมอยู่เพราะอดกระกระยาหาร เด็กเหล่านี้ไม่รู้หรอกว่าเป็นพระพุทธเจ้า จึงได้ทำอะไรต่าง ๆ นานากับพระองค์ บ้างก็เอาไม้ยอนหูจนเลือดไหล บ้างก็เอาฝุ่นซัดใส่เข้าไปจนเปื้อนพระวรกาย บ้างก็ยืนปัสสาวะฉี่รดใส่เข้าไปเลย แต่พระองค์ก็อดทน ไม่ได้มีความอาฆาตมาดร้าย พยายามประคองใจไม่ให้มีโกรธ มีเกลียด มีรัก มีชัง ภาพที่ 38 ตรากตรำพระวรกาย (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/38.jpg) บางครั้งพระองค์ทรงเสวยอุจจาระของพระองค์เอง เมื่อถ่ายออกมาก็เสวยเข้าไป ถ่ายออกมาก็เสวยเข้าไป จนกระทั่งไม่มีจะถ่าย ไม่มีจะเสวย พระวรกายจึงได้เหือดแห้งซีดเซียวถึงขนาดที่เรียกว่าผอมซีด เมื่อเอามือลูบแขนขนก็ร่วงเพราะรากขนเน่า เมื่อจะลุกขึ้นนั้นเล่าก็เซซวนล้มไป เมื่อหวังจะเอามือลูบท้องให้สบายพระวรกายบ้าง ก็ต้องไปแตะเอากับกระดูกสันหลัง พระองค์นั้นได้เล่าไว้ว่า พระองค์ต้องเปียกแต่เพียงผู้เดียว ต้องแห้งแล้งแต่เพียงผู้เดียว กว่าจะตรัสรู้นำพระธรรมมาสอนพวกเรา ต้องลำบากพระวรกายขนาดไหน ที่จะค้นพบสิ่งเหล่านี้มาให้พวกเรา เราจะไม่เสี่ยงลำบากรักษาเผยแพร่กันต่อไปเชียวหรือ เดี๋ยวมาต่อค่ะ http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/index/index.htm (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/index/index.htm) หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 04 กุมภาพันธ์ 2553 21:18:35 ภาพที่ 39 เปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/39.jpg) ต่อมาพระองค์เริ่มเห็นว่า การทรมานพระวรกายนี้คงจะไม่ใช่ทางที่จะทำให้พ้นทุกข์ได้ จึงคิดเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ เริ่มจากการขอนมแพะจากเด็กเลี้ยงแพะ ซึ่งเป็นวรรณะต่ำในอินเดียเมื่อครั้งพุทธกาลถือชั้นวรรณะกันมาก ถ้าเป็นคนจันฑาลจะไม่แตะต้องพวกวรรณะกษัตริย์หรือพราหมณ์เป็นอันขาด หนูน้อยผู้นี้เมื่อจะยื่นนมให้ก็ถามว่าเป็นคนชั้นวรรณะไหน พระองค์ก็บอกว่าเดิมนั้นเป็นวรรณะกษัตริย์ เท่านั้นเองหนูน้อยก็ไม่กล้าจะยื่นนมให้ทั้งที่พระองค์ขอ มือไม้สั่นไปหมด พระองค์ก็บอกว่า ให้เถอะ มือต่อมือน่ะลูกเอ๊ย เรานี้ไม่ได้ถือแล้วชาติชั้นวรรณะ วางไว้ตั้งแต่วันที่ออกมาแล้ว มุ่งที่จะเอาชนะกิเลสอย่างเดียว ไม่ได้มุ่งหมายในการถือชั้นวรรณะอีกแล้ว ภาพที่ 40 อุปมาเผากิเลส (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/40.jpg) ต่อมาพระองค์ก็ได้นั่งนึกถึงอุปมา 3 อย่าง คือ อุปมาเห็นไม้สดอยู่ในน้ำ ไม้สดอยู่บนที่แห้ง และไม้แห้งอยู่บนที่แห้ง ถ้าต้องการจะสีให้เกิดไฟลุก มันจะต้องเป็นไม้แห้งที่อยู่บนที่แห้ง ไม่ใช่ไม้สดที่อยู่ในน้ำ…เราอยากจะได้ไฟ เอามาสีเท่าไรก็คงไม่เกิดไฟ ซึ่งอุปมาได้ว่า คนที่ออกประพฤติธรรมยังมีจิตใจชุ่มฉ่ำอยู่กับกาม เช่น ออกบวชแล้วยังชอบยังยินดีในรูปสวย ๆ เสียงเพราะ ๆ กลิ่นหอม ๆ ในกุฏิหรือในวัด มีสิ่งประเล้าประโลมมากเกินไป มันก็เหมือนกับเอาไม้สดมาสี มันไม่มีทางเกิดไฟ หากนักบวชคนใดมีจิตที่ชุ่มไปด้วยราคะ ด้วยความใคร่ในรูปสวย ๆ เสียงเพราะ ๆ กลิ่นหอม ๆ รสอร่อย ๆ สัมผัสนุ่มนวลแล้ว ยากที่จะได้ไฟมาเผากิเลส ฉันใดก็ฉันนั้น พระองค์ได้เกิดอุปมานี้ขึ้นในหัวใจ ภาพที่ 41 อุปมาพิณสามสาย (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/41.jpg) วันหนึ่ง จวนจะเย็นจะค่ำ พระอาทิตย์คล้อยต่ำ แสงแดดเริ่มอ่อนสลัว ๆ พระองค์เห็นหญิงจำนวนหนึ่งกลับจากเล่นดนตรี แล้ววันนั้นเครื่องดนตรีเขาเกิดดังไม่ ด้วยบ้างก็ขึงตึงไป บ้างก็ขึงหย่อนไป บ่นกันว่าวันนี้ดนตรีมันดังไม่เพราะเลยนะเธอนะ มันขึงตึงเกินไป คนหนึ่งก็บอกว่าหย่อนเกินไปพระองค์จึงได้แวบขึ้นในหัวใจด้วยคำพูดของเหล่าสตรีเหล่านี้ว่า โอ ว่าตึง ว่าหย่อนนี้ จึงดังไม่เพราะ เรานี้หนอก็คงจะเป็นเพราะตึงเกินไปก็ได้ จึงยังไม่ได้รู้อะไร ท่านฟังแล้วก็อย่าไปคิดเข้าข้างตัวเราว่า มันคงจะตึงเกินไป ที่เราปฏิบัติกันสมัยนี้น่ะไม่ตึงหรอก มีแต่หย่อน มีแต่ยืดกันไปทุกที ๆ หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 05 กุมภาพันธ์ 2553 02:35:45 สมุดภาพชุดนี้ยังต้องมีต่อแน่เลย จะรออ่านครับ
เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น สำหรับนักเรียน นักศึกษา เอาข้อมูลไปทำรายงาน อนุโมทนาบุญครับ ผมอ่านมาก็มาก ยังยอมรับเลยว่าผมเพิ่งเจอครั้งแรกที่ว่า พระองค์ไปนอนที่ป่าช้าแทรกไปกับซากศพ จนเด็กมาแกล้ง มาฉี่รด เพราะในส่วนของที่พระองค์ทรงทรมาณพระวรกาย ส่วนมากจะกล่าวแค่ว่า ลิ้นดันเพดานปาก กำมือจนเล็บแทงทะลุผิวหนัง ผอมจนเห็นกระดูกปูดโปน สาธุครับ สำหรับสิ่งดี ๆ ผมรักเวบนี้มากขึ้นทุกวัน ๆ อยากให้สิ่งดี ๆ มีคุณภาพแบบนี้ ได้เผยแพร่ให้กับคนมากมาย (:Y:) (:Y:) (:Y:) หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 05 กุมภาพันธ์ 2553 18:44:23 ภาพที่ 42 นิมิตก่อนตรัสรู้ (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/42.jpg) ภาพนี้เกิดนิมิตครั้งสำคัญอันยิ่งใหญ่ โดยฝันว่า พระองค์นั้นได้บรรทมหลับ มือทั้งสองข้างจรดมหาสมุทรทั้งทิศใต้และทิศเหนือ พระองค์เล่าว่า ในความฝันครั้งนี้ จะแสดงถึงความตรัสรู้อันยิ่งใหญ่ของพระองค์ พระองค์จะแผ่พระศาสนาไปจากเหนือจรดใต้ จากบนพื้นแผ่นดินถึงแม่น้ำมหาสมุทร ข้ามไปหลาย ๆ จุดทั่วโลกเลย หมายถึงว่าแผ่พระศาสนาไปเสมือนกับผู้นอนแผ่แล้ว มีมือและแขนยืดยาวไปจรดมหาสมุทรทั้งทางทิศใต้และทิศเหนือ เหมือนเขาสร้างวัดให้พุทธสาวกของพระองค์ได้ประทับทั่วสารทิศขยายแพร่ใหญ่ไพศาล ภาพความฝันข้อที่สอง ที่เห็นต้นไม้ขึ้นที่กลางสะดือนั้นมีความหมายว่า พระองค์นั้นจะได้รู้อริยมรรค แล้วประกาศเกรียงไกรแก่มนุษย์และเทวดาขึ้นไปจนถึงพรหม หมายถึงว่าเมื่อพระองค์ประกาศไปแล้ว ศาสนาของพระองค์จะงอกงามขึ้น สูงขึ้น ในจิตใจของมนุษย์ประดุจดังต้นไม้ที่งอกพิสดาร คือไม่ใช่งอกขึ้นตามวันตามคืน หมายถึงว่ามันงอกขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะความตรัสรู้ของพระองค์นั้นถูกต้อง ดีงาม ข้อต่อมา ความฝันที่เห็นว่ามีหนอนหัวดำตัวสีขาว พากันมาไต่ตอมชอนไชที่หน้าแข้ง และที่เท้าของพระองค์นั้น ข้อนี้มีความหมายว่า ต่อไปจะมีอุบาสก อุบาสิกา นุ่งขาวห่มขาว แต่ว่าหัวดำ เหมือนหนอนหัวดำ คือยังไม่ยอมโกนผม ยังไปนุ่งขาวห่มขาวบวชชีพราหมณ์บ้าง อะไรต่าง ๆ นานา ยังเป็นหนอนประเภทตัวขาวแต่หัวดำ แต่ก็พยายามจะชอนไชดูดดื่มซับซึมเอาธรรมรสจากพระพุทธองค์ให้จงได้ ก็นับว่าเป็นหนอนที่ใช้ได้ ถึงว่าจะหัวดำแต่ก็ตัวขาวและก็คงจะมีใจขาวต่อไป ความฝันข้อต่อมา ก็คือฝันว่า เห็นมีนกสีต่าง ๆ กันบินเข้ามารุมล้อมเท้าพระองค์และก็กลายเป็นสีขาวไปหมด หมายความว่า คนที่ต่างชั้นวรรณะไม่ว่าจะเป็นวรรณะพราหมณ์ แพศย์ กษัตริย์ หรือว่าจะเป็นจัณฑาลคนชั้นต่ำ เมื่อได้ประพฤติธรรมร่วมกันแล้วก็จะขาวบริสุทธิ์ ประดุจดังอยู่ในโลกทิพย์โลกสวรรค์อันเดียวกัน จะเป็นชั้นวรรณะกษัตริย์ วรรณะพราหมณ์ หรือว่าวรรณะแพศย์ วรรณะศูทร หรือคนงานชั้นต่ำ ถ้าลองได้ประพฤติธรรมตามที่พระองค์ทรงอบรมสั่งสอนแล้ว ก็จะมีจิตใจขาวบริสุทธิ์ประดุจดังนกที่ต่างสีเหล่านั้น เมื่อมาอยู่ใกล้เท้าพระองค์แล้วก็จะเป็นสีขาวไปหมด ความฝันข้อที่ห้าฝันว่า พระองค์เดินลุยไปในกองอุจจาระที่เป็นภูเขาใหญ่ แต่อุจจาระไม่ได้ติดเท้าของพระองค์แม้แต่น้อย หมายความว่า ต่อไปนี้ลาภสักการะจะมีมากขึ้นในพระองค์และสาวกของพระองค์ แต่เมื่อถึงธรรมที่พระองค์สอนแล้ว ลาภสักการะเหล่านั้นจะไม่ติดเปื้อนจิตใจให้หลงใหลมัวเมา สยบอยู่ ประดุจดังเดินไปในกองอุจจาระ แต่อุจจาระไม่เปรอะเปื้อนพระองค์แม้แต่น้อย หมายความว่าไม่มัวเมาในลาภสักการะซึ่งเป็นเสมือนน้ำลายและอุจจาระซึ่งเปรอะเปื้อนคนมาเป็นจำนวนมาก คนส่วนใหญ่นั้นชีวิตต้องเศร้าหมองเพราะลาภสักการะ เพราะยินดีในเงินทอง ข้าวของ ลาภสักการะ ที่เขานำมาปรนเปรอ จนติดสยบอยู่ ไปไหนไม่ได้ บางองค์นั้นบวชเข้ามาแล้วก็มาติดข้าวของเงินทองทรัพย์สมบัติต่าง ๆ นานาจนแน่นกุฎิ ไปไหนไม่ได้…ห่วงกุฎิ มีเรื่องเขาเล่าว่า พระหลวงตาองค์หนึ่งบวชมาแล้วเก็บสะสมไว้นาน ปรากฏว่าวันหนึ่งโจรมางัดกุฏิ เมื่อกลับจากบิณฑบาต…เป็นลมช็อคตาย อย่างนี้ไม่ใช่พุทธสาวก ถ้าเป็นพุทธสาวกของพระองค์แล้ว จะไม่ให้สิ่งเหล่านี้ครอบงำใจให้เปรอะเปื้อนใจเป็นอันขาด เพราะพระองค์ได้ทรงสอนไว้ ให้สละ ให้ละ ให้ปล่อย ให้วาง ฉะนั้น ความฝันครั้งนี้ก็จะได้เกิดขึ้นกับสาวกผู้ทำจริง ปฏิบัติจริง ตามรอยพระองค์ไปจึงเป็นความฝันครั้งยิ่งใหญ่ก่อนที่จะตรัสรู้ หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 05 กุมภาพันธ์ 2553 18:50:59 ภาพที่ 43 นางสุชาดาถวายข้าวมธุปายาส (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/43.jpg) เมื่อเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ พระองค์ได้ทรงมีผิวพรรณดีขึ้น และได้เสวยข้าวจากนางสุชาดานำมาถวาย ข้าวที่นางสุชาดานำมาถวายพระพุทธเจ้านั้นเรียกว่า ข้าวมธุปายาส เป็นอาหารจำพวกมังสวิรัติ ไม่ปนเนื้อ ไม่เจือปลา ใช้สำหรับบวงสรวงเทพเจ้าโดยเฉพาะ ข้าวมธุปายาสนี้หุงด้วยนมจากแม่โคจำนวนหนึ่งพันตัว โดยให้กินชะเอมเครือ กินอิ่มแล้วไล่ต้อนออกมาแล้วแบ่งออกเป็นสองฝูง ๆ ละ 500 ตัว แล้วรีดเอานมจากแม่โคนมฝูงหนึ่งให้แม่โคอีกฝูงหนึ่งกิน แบ่งและคัดอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนเหลือแม่โค 8 ตัว แล้วจึงรีดน้ำนมจากแม่โคทั้ง 8 มาหุงเป็นข้าวมธุปายาส หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 05 กุมภาพันธ์ 2553 18:57:33 ภาพที่ 44 อธิษฐานจิตที่โคนต้นโพธิ์ (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/44.jpg) เมื่อเสวยข้าวมธุปายาสของนางสุชาดาแล้ว ผิวพรรณพระองค์จึงได้เปล่งปลั่งขึ้น ทรงนั่งที่โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์หรือต้นโพธิ์ โดยการเอาหญ้าคาที่โสตถิยพราหมณ์ถวายมาปูนั่งแล้วอธิษฐานจิต การนั่งบนหญ้าคานั้นหมายถึงจะไม่ให้กิเลสทิ่มแทงจิตใจ พระองค์ได้อธิษฐานจิตในคืนนั้นว่า เราจะไม่ยอมคลายบัลลังก์ลุกออกจากที่นี้ ถ้าจิตของเราไม่บรรลุถึงอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ แม้เลือดเนื้อในกายจะเหือดแห้ง เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกก็ตามที เราจะไม่คลายบัลลังก์นี้ นี่แหละท่านสาธุชนผู้ชมภาพพระพุทธประวัตินี้แล้ว เคยอธิษฐานอะไรจริงจังในการละกิเลสอย่างพระองค์บ้าง หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 05 กุมภาพันธ์ 2553 20:07:40 ภาพที่ 45 ผจญมารผู้ขวางทาง (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/45.jpg) ในคืนนั้น พญามารฝูงใหญ่ก็ได้แห่กันมารังควานพระองค์ มาร แปลว่าผู้ขวางทางอันไม่ให้ถึงจุดหมายดีงาม หรือสิ่งที่มาขวางคุณงามความดีที่จะเกิดขึ้นในหัวใจ หรือความประพฤติของเราก็ได้ มารต่าง ๆ ผุดขึ้นในสมอง มาเรียกร้องเชิญชวนให้พระองค์กลับวัง เดี๋ยวพ่อบ้าง เมียบ้าง ลูกบ้าง ทรัพย์สินต่าง ๆ ในพระราชวังบ้าง แต่พระองค์ก็ข่มใจไม่ให้หวั่นไหว ข่มใจระงับไว้ แม้มารจะมาขวางทางอย่างไรพระองค์ก็ใจแข็ง ทรงข่มพระทัยมั่นคงที่จะบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณให้ได้ ถ้าเป็นพวกเราอาจจะวิ่งจีวรปลิว สบงปลิว วิ่งผ้าปลิวกันไปตาม ๆ กัน นี่แสดงว่าน้ำพระทัยของพระผู้มีพระภาคนั้นเหมาะสมที่จะตรัสรู้อย่างยิ่ง ภาพที่ 46 แย้มพระสรวลเยาะมาร (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/46.jpg) ด้วยจิตใจที่มั่นคง แม้มารจะมาด้วยวิธีไหนก็ไม่สามารถยั่วยวนพระองค์ได้สำเร็จ พระองค์จึงได้ทรงยิ้มเยาะมาร ทรงแย้มพระสรวลเยาะมารว่า เจ้ามารเอ๋ย เจ้าได้พาเราล่องแล่นไปในสังสารวัฏฏ์ ได้เวียนว่ายมานานนักแล้ว เจ้ากลับไปเสียเถอะมารผู้มีบาป เจ้าได้ลวงเราโดยเอาความเป็นกษัตริย์มาล่อเราให้หลงยศ หลงตำแหน่ง เจ้าเอารูปโฉมเลอเลิศของนางสนมกำนัลมาผูกพันเราไว้ เจ้าเอาสวนสระปราสาท เอาพิมพา ราหุลลูกรัก รูปโฉมงดงามของลูกและภรรยา มาผูกพันเรา บัดนี้อย่าได้หวังเช่นนั้นอีกเลย เจ้ามารเอ๋ย กลับไปเถอะ เท่านั้นเอง มารผู้มีบาปก็หงายหลังกลับไป ภาพที่ ๔๗ บำเพ็ญเพียรจนตรัสรู้ (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/47.jpg) หลังจากมารกลับไปหมดแล้ว พระองค์จึงได้ตั้งความเพียรอันเข้มข้นยิ่งยวดต่อไปแล้วในที่สุดก็ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาโพธิญาณในคืนนั้นเอง เมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาโพธิญาณแล้ว เหล่าพืชพันธุ์ในป่า ต้นไม้ดอกไม้นานาชนิดเบ่งบานชูช่อชามยิ่งนัก พระองค์ได้เสวยวิมุตติสุขร่วมกับเหล่าสัตว์เล็กใหญ่ในป่านั้น ทั้งฝูงวิหคนกกาในป่าก็พากันรื่นเริง ฝูงกวางและสัตว์ต่างๆพากันรู้สึกว่าชีวิตปลอดภัยยิ่งนัก เพราะต่อแต่นี้ไป พระธรรมคำสอนของพระองค์จะแผ่ไพศาลไปสู่จิตใจเหี้ยมโหด ให้กลายเป็นผู้เมตตาปรานีต่อเพื่อนร่วมโลก ซึ่งจะทำให้อยู่กันอย่างสงบสุขและปลอดภัย หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 05 กุมภาพันธ์ 2553 20:23:39 ภาพที่ ๔๘ อุบาสกคู่แรกในพระพุทธศาสนา (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/48.jpg) เมื่อพระองค์ตรัสรู้ใหม่ๆทรงเสวยวิมุตติสุขอยู่ใต้ต้นไม้เกด มีพ่อค้าวาณิชสองคนชื่อตปุสสะคนหนึ่ง ภัลลิกะคนหนึ่ง เดินทางมาจากอุกกลชนบท มาพบพระพุทธเจ้าประทับอยู่ใต้ต้นไม้เกด มีผิวพรรณผ่องใสยิ่งนักก็เกิดความเลื่อมใส ได้นำข้าวสัตตุก้นสัตตุผงหรือข้าวที่ตำเป็นก้อนๆปั้นๆ ซึ่งเป็นเสบียงของตนเข้าไปถวายพระผู้มีพระภาค และขอนับถือพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมกับพระธรรมที่พระองค์ทรงตรัสรู้เป็นที่พึ่งที่ระลึก แต่ยังขาดพระสงฆ์ เรียกว่ามีสองพระรัตนตรัย พระรัตนตรัยยังไม่ครบ กล่าวมีเพียงเฉพาะพระพุทธเจ้ากับพระธรรมเท่านั้น หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 05 กุมภาพันธ์ 2553 20:31:46 ภาพที่ ๔๙ พรหมอาราธนาแสดงธรรม (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/49.jpg) เมื่อตรัสรู้ใหม่ๆพระองค์รู้สึกท้อพระทัยในการที่จะนำสิ่งที่ตรัสรู้ อันเป็นพระธรรมที่ลึกซึ้งสุขุมคัมภีรภาพนั้นสอนชาวโลกเป็นยิ่งยัก แต่ด้วยน้ำพระทัยอันเมตตาปรารถนาดีต่อผู้อื่นจึงได้คิดที่จะช่วยสอน แสดงถึงว่าเหมือนมีพรหมผู้ประกอบด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา มาอาราธนา ซึ่งภาพนี้เขาได้วาดให้เห็นเป็นเสมือนกับว่ามีพรหมมาอาราธนา เรียกว่าจากนามธรรมมาเป็นรูปธรรมสักหน่อยหนึ่ง ภาพนี้เขาก็วาดได้สวยมากเป็นพรหมโปร่งแสง สีสันวาว ออกมาอาราธนาให้พระองค์ทรงเห็นใจแก่สัตว์ผู้ทุกข์ยาก มีกิเลสมีธุลีในดวงตาน้อย แต่ขาดผู้แนะนำพร่ำสอน จึงขาดประโยชน์จากการรู้ธรรม ขอพระองค์ทรงโปรดแก่ชนเหล่านั้นเถิด หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 05 กุมภาพันธ์ 2553 20:39:30 ภาพที่ ๕๐ บัวสี่เหล่าคนสี่ประเภท (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/50.jpg) ในที่สุด พระผู้มีพระภาคได้อุปมาว่า คนมีสี่จำพวกซึ่งเปรียบได้กับบัวสี่เหล่ากล่าวคือ ๑. บัวประเภทบานแล้ว ได้แก่คนเข้าใจง่าย พูดนิดเดียวก็เข้าใจสว่างไสว ๒. บัวที่กำลังปิ่มน้ำจะบานจะโผล่ขึ้นมา หมายถึงคนที่จะจูงพร่ำสอนกันหลายเที่ยวหลายครั้ง ๓. บัวที่ยังอยู่ลึกไปกว่านั้น หมายถึงคนที่ได้รับฟังหลายครั้งหลายหนแล้วก็ยังจะต้องอาศัย เพื่อนฝูงที่ดีคอยกระตุ้นเตือน และ ๔. บัวที่อยู่ใต้น้ำ หมายถึงคนที่สอนเท่าไรก็ไม่รู้เรื่อง พยายามจะโต้แย้ง จะเถียงจะรั้น จะดันทุรังไปก่อน ท่านอยู่ประเภทไหน หรืออาจจะต้องเพิ่มขึ้นเป็นเหล่าที่ห้า หุบๆบานๆพอฟังพอรู้เรื่อง อะไรดีก็สว่างไสวขึ้นแวบหนึ่ง แล้วก็กลับไปมืดมนต่อไปอย่างนั้นหรือ? หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 06 กุมภาพันธ์ 2553 06:58:50 ภาพที่ ๕๑ นำธรรมะสู่สัตว์ผู้ทุกข์ยาก (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/51.jpg) เมื่อทรงเปรียบคนได้กับบัวสี่เหล่าแล้ว ในที่สุดพระองค์ก็ได้ทอดพระเนตรได้ตาใน คือธรรมจักษุ มองเห็นบรรดาเหล่าสัตว์โลกทั้งหลายที่ตกอยู่ในความทุกข์ยาก ถูกเพลิงกิเลสเผาผลาญชีวิต พากันระงมร่ำไห้ เจ็บปวดอยู่ด้วยไฟราคะ ไฟโทสะ และไฟโมหะ ทำให้พระองค์ทรงเกิดความสงสารขึ้นอย่างจับใจ และคิดจะนำความจริงที่พระองค์ตรัสรู้ได้ด้วยพระองค์เอง เผยแพร่ไปสู่เขาเหล่านั้น เพื่อความดับไปแห่งไฟราคะ ไฟโทสะ และไฟโมหะ ให้มอดดับลง เพื่อจะได้อยู่กันอย่างมีความสงบเย็น หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 06 กุมภาพันธ์ 2553 07:03:00 ภาพที่ ๕๒ พบอาชีวกระหว่างทาง (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/52.jpg) เมื่อตัดสินพระทัยจะเผยแพร่สิ่งที่ตรัสรู้ จึงเดินทางออกจากที่ตรัสรู้เพื่อไปยังป่าอิสิปตนมฤทายวัน เพื่อโปรดปัญจวัคคีย์ผู้ที่เคยดูแลพระองค์มาอาศัยอยู่ ในระหว่างทางได้พบกับอาชีวกผู้หนึ่งชื่ออุปกะ ได้เข้ามาถามพระองค์ว่า ใครเป็นศาสดา ใครเป็นผู้มอบรมธรรมให้กับท่านมา ท่านจงช่วยแสดงธรรมโปรดเราด้วย พระองค์ได้ตรัสว่า เราเป็นสยัมภู เป็นผู้ตรัสรู้ได้ด้วยตนเอง เท่านั้นเองอาชีวกผู้นี้ถึงกับตะลึง และก็กล่าวคำไม่ศรัทธาออกมาว่า เชิญพ่อรู้ไปคนเดียวเถอะ เป็นไปไม่ได้… คนที่ไม่มีครูบาอาจารย์และในที่สุดถึงกับแสดงอาการสั่นศีรษะและถ่มน้ำลายแลบลิ้น แล้วเดินหลีกพระพุทธองค์ไป หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 06 กุมภาพันธ์ 2553 07:21:39 ภาพที่ ๕๓. โปรดปัญจวัคคีย์ (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/53.jpg) เมื่อพระองค์ได้เสด็จมาถึงป่าอิสิปตนมฤคทาย วันนั้นพวกปัญจวัคคีย์ซึ่งมีโกณฑัญญะเป็นหัวหน้า กำลังสนทนากันถึงพระพุทธองค์ว่า ป่านนี้ประทับอยู่ที่ไหน จะคิดถึงพวกเราอยู่หรือไม่ ทันใดก็แลเห็นพระพุทธองค์เสด็จและไม่ถวายความเคารพ เนื่องจากไม่เลื่อมใสที่พระองค์เลิกบำเพ็ญทุกรกิริยา ซึ่งเป็นเหตุให้พวกตนหนีจากมา และเมื่อพระองค์เสด็จมาถึงจริง ทีแรกปัญจวัคคีย์เหล่านั้นทำท่าว่าจะไม่เข้าไปต้อนรับพระองค์ แต่แล้วเมื่อพระองค์เข้าไปใกล้ ต่างก็เข้ามาหยิบบาตรหยิบนั่นหยิบนี่ ล้างเท้า หาน้ำให้ ต้อนรับพระองค์เป็นอย่างดี ลืมข้อตกลงกันเสียสิ้น ภาพที่ ๕๔. ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/54.jpg) หลังจากต้อนรับทักทายพูดคุยกันแล้ว พระพุทธเจ้าได้แสดงธรรมโปรดปัญจวัคคีย์เหล่านั้น และเมื่อได้ฟังธรรมของพระองค์แล้วก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ แต่เป็นชั้นโสดาบันก่อน แล้วเรื่อยมาจนได้เป็นพระอรหันต์ด้วยธรรมเทศนาที่เรียกกันว่า ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร คือพูดถึงสุดโต่งสองอย่าง หนักหน่วงไปในทางทรมานกายให้ลำบาก และการปล่อยชีวิตไปตามความใคร่ มัวเมาเปียกแฉะ เพลิดเพลินอยู่กับเรื่องกาม อันเป็นทางที่ไม่พ้นทุกข์ทั้งสองฝ่าย เมื่อปัญจวัคคีย์ฟังพระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงโปรด ต่างก็มีจิตใจเห็นตามความเป็นจริงนั้น จนกระทั่งได้ขอบวชในพระศาสนาของพระองค์ต่อไป ภาพที่ ๕๕. โปรดยสกุลบุตร (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/58.jpg) เมื่อพระองค์ไปจำพรรษาอยู่ในป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ก็มีลูกเศรษฐีผู้มั่งคั่งชื่อว่ายส ได้เกิดความเบื่อหน่ายความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในบ้าน ทั้งๆที่มีทรัพย์มากมาย จึงออกจากบ้านแล้วเดินบ่นไปตามทางว่า ที่นี่วุ่นวายจริงนะ ที่นี่ขัดข้องจริงหนอ พระองค์ผู้อยู่ในป่าได้ยินเข้าจึงได้สวนคำออกมาว่า มาที่นี่สิ ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง ยสกุลบุตร รู้สึกเอะอะ เอ๊ะ มีใครที่อยู่ในนี้ ไม่วุ่นวาย ไม่ขัดข้อง จึงได้แวะเข้าไป ไปพบเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์จึงได้แสดงอนุปุพิกถาโปรดยสกุลบุตร จนเกิดความเลื่อมใสศรัทธาไม่กลับบ้าน แล้วจึงขอบวชเป็นพระภิกษุกับพระพุทธเจ้าต่อไป หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 06 กุมภาพันธ์ 2553 07:28:43 ภาพที่ ๕๖ ประกาศพระศาสนา (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/56.jpg) เมื่อพระยสบวชแล้ว เพื่อนของพระยสอีกจำนวนมากได้พากันออกบวชตาม รวมพระที่บวชครั้งนี้เป็นจำนวน ๒๐ รูป แล้วได้บรรลุพระอรหันต์ พระองค์จึงได้บอกกับภิกษุเหล่านี้ว่า บัดนี้พวกเราทั้งหลายเป็นผู้พ้นแล้วจากบ่วงอันเป็นทิพย์ และบ่วงอันเป็นมนุษย์ จงช่วยกันแยกย้ายไปเผยแพร่พรหมจรรย์ให้งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด แก่คนผู้มีธุลีในดวงตาน้อย จงแยกกันไปทางละองค์ อย่าไปหลายองค์ นี่พระองค์ทรงส่งมิชชันนารีไปสู่ปวงชนเป็นรุ่นแรกของโลกเลยทีเดียว ไม่ได้ทรงแนะนำว่าเธอจงไปสร้างวัด เสกเหรียญ ทำน้ำมนต์ พ่นน้ำหมากแข่งกัน แต่พระองค์ทรงบอกให้ไปประกาศพรหมจรรย์ให้งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง และงามในที่สุด หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 06 กุมภาพันธ์ 2553 07:37:16 ภาพที่ ๕๗ โปรดภัททวัคคีย์ (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/57.jpg) จากนั้นพระองค์เองก็จะไปยังอุรุเวลาเสนานิคม ขณะที่พักระหว่างทางได้พบกับเหล่าภัททวัคคีย์ที่พากันไปแสวงหาความสุขรื่นเริง ได้พาผู้หญิงจับคู่กันไปคนละคนสองคนปรากฏว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งเกิดฉวยเอาเครื่องแต่งตัวของพวกผู้ชายคนหนึ่งหนีไป ผู้ชายเหล่านี้ก็ได้วิ่งติดตามหาหญิงเหล่านั้นกันจ้าละหวั่น จนกระทั่งมาพบพระผู้มีพระภาค แล้วก็ได้ถามพระองค์ว่า " ท่านสมณะ ท่านได้เห็นผู้หญิงเดินผ่านมาทางนี้บ้างหรือไม่ " แทนที่พระองค์จะตอบว่าเห็นหรือไม่เห็น พระองค์กลับสอนคนเหล่านี้โดยสวนคำออกไปว่า " ท่านทั้งหลาย ท่านจะมัวหาหญิงดีหรือจะหาตนดี " ปรากฏว่าพวกภัททวัคคีย์เหล่านั้นก็ได้เกิดเอะใจกล่าวไปว่า " เอ๊ะ ก็ตนของฉันก็อยู่นี่ จะต้องไปหาตนอะไรอีกเล่า ก็ผู้หญิงมันลักทรัพย์ข้าวของเงินทองไป กำลังตามหากันอยู่นี่ ท่านเห็นบ้างหรือไม่ " พระองค์ก็ยังย้ำคำเดิมว่า " ควรจะหาตนก่อนดี หรือจะหาหญิงดี " เหล่าภัททวัคคีย์เหล่านี้ก็เริ่มเอะใจก็เลยถามว่า ยังไงกันแน่ แสวงหาตนนั้นดีอย่างไร ลองพูดให้เข้าใจซิ พระพุทธองค์จึงตรัสว่า " เชิญพวกท่านนั่งลงเถิด อาตมาจะแสดงให้ฟัง " เมื่อเหล่าภัททวัคคีย์เหล่านั้นนั่งลงเรียบร้อยแล้ว พระองค์ก็ทรงแสดงไปในลักษณะที่ว่า … ก็เรานั่นแหละ ที่ว่าหาหญิงก็คือหาตน เพราะว่าผู้หญิงเหล่านั้นเอาของของตนไปใช่ไหมล่ะ ? ถ้ามันไม่ได้เอาของของตนไป เราก็คงจะไม่ตามหาอะไรทำนองนั้น เหล่าภัททวัคคีย์เมื่อได้ฟังที่พระองค์กล่าว ก็เริ่มเห็นจริงเห็นจังว่า อ๋อ ที่เราตามหาอะไร ก็คือตามหาของตนบ้าง ตามหาพวกของตนบ้าง ตามหาข้าวของตนบ้าง ตามหาวงศ์วานของตนบ้าง ที่จริงเรามัวแต่ตามหาตนที่เป็นภายนอกนั้นมันไม่ถูก เพราะเกิดความรู้สึกยึดถือว่า ไอ้นั่นของตน ไอ้นี่ของตน จึงตามหาคน ก็คือตามของของตนนั่นเอง เมื่อเข้าใจและเห็นจริงดังนั้น ทำให้คนเหล่านี้เกิดเลื่อมใสศรัทธาในคำสอนของพระผู้มีพระภาคเป็นอันมาก จึงหยุดแสวงหาหญิงผู้นำเสื้อผ้าของตนไป กลับมามองเพ่งตนหาตน ว่าอะไรหนอที่ทำให้ตนวุ่นวาย ก็ได้คำตอบว่าคือความยึดมั่นถือมั่นว่ามีตัวตนนั่นเอง หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 06 กุมภาพันธ์ 2553 07:43:10 ภาพที่ 58 โปรดชฎิลสามพี่น้อง (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/58.jpg) ต่อมาพระองค์ได้ไปโปรดชฎิลสามพี่น้องซึ่งถือการบูชาไฟกันอย่างยิ่ง และในที่สุดพระองค์ก็ทรงแสดงธรรมว่า สิ่งที่ร้อนกว่าไฟที่น่ากลัว น่าสยดสยองนั้นยังมีอีก อย่ามัวแต่หลงกลัวไฟข้างนอกกันอยู่เลย ไฟที่ร้ายกาจก็คือไฟที่เผาใจให้เกิดใคร่กระสัน เกิดความร่านทุรนทุราย ที่จะต้องเสพสุขสนุกสนานจากเนื้อหนัง หรือสิ่งที่เรียกกันว่า ยั่วให้ใคร่ ให้รักทั้งหลาย ซึ่งเป็นไฟเผาใจ ยั่วให้โกรธ ความโกรธก็คือเป็นไฟ ยั่วให้กลัว ให้หลงก็เป็นไฟ เพราะฉะนั้นไฟทั้งสามนี้เป็นอันตรายมาก ควรจะดับเสีย เมื่อพระองค์ทรงแสดงธรรมจบลง เป็นเหตุให้ชฏิลผู้พี่เกิดศรัทธาถึงกับลอยบริขารไป ส่วนชฎิลที่เหลืออีกสองก็ถือบวชในเวลาต่อมาร่วมกับบริวารอีกจำนวนมากมาย หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 06 กุมภาพันธ์ 2553 07:47:00 ภาพที่ 59 โปรดพระโมคคัลลานะ (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/59.jpg) ภาพนี้ คือ พระโมคคัลลานะซึ่งเป็นอัครสาวกฝ่ายซ้ายของพระพุทธเจ้า ก่อนที่จะมาบวชในพระพุทธศาสนา เคยศึกษาทางพ้นทุกข์อยู่ในสำนักของอาจารย์สญชัยปริพาชก ผู้มีชื่อเสียและมีคนนับถือมาก แต่เมื่อศึกษาจบแล้วเห็นว่ายังไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ จึงลาอาจารย์ออกแสวงหาความรู้ ต่อมาได้รับการชักชวนจากสหาย คือ พระสารีบุตร ให้มาบวชกับพระพุทธเจ้า วันหนึ่งพระองค์ได้ทรงมาโปรดพระโมคคัลลานะซึ่งมาปฏิบัติธรรมและง่วงหลับ พระองค์แก้วิธีง่วงหลับให้หลายอย่างหลายประการ เช่น มีการเอาน้ำลูบเนื้อลูบตัว เอาไม้ทิ่มหู หรือว่ามีการเดินจงกรม เป็นต้น เพราะฉะนั้น ท่านผู้อ่านอย่ามัวง่วงหลับไหลอยู่ หาทางแก้เสีย หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 06 กุมภาพันธ์ 2553 07:51:46 ภาพที่ 60 โปรดปริพาชกทีฆนขะ (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/60.jpg) วันนี้ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมที่เรียกกันว่าแบบลักษณะแคนนอน ระบบตีวัวกระทบคราด หรือว่ายังไงก็ได้ ว่าแต่ไม่ใช่เป็นเจตนาเช่นนั้น ความจริงแล้วเป็นเรื่องของความเข้าใจของผู้ทำหน้าที่พัดอยู่ คือพระสารีบุตร อัครสาวกฝ่ายขวา ทำหน้าที่พัดขณะที่พระองค์ทรงแสดงธรรมกับปริพาชกทีฆนขะ ปรากฏว่าขณะที่พระองค์ทรงแสดงธรรมอยู่นั้น พระสารีบุตรผู้ทำหน้าที่พัดอยู่ข้างหลัง ก็เกิดแวบขึ้นในพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงจนกระทั่งได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ นี่เรียกว่าเทศน์กับองค์ข้างหน้า แต่องค์ข้างหลังบรรลุ นี่เป็นการแสดงธรรมในลักษณะแคนนอน หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 06 กุมภาพันธ์ 2553 07:55:59 ภาพที่ 61 โปรดพระเจ้าพิมพิสาร (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/61.jpg) ภาพนี้ พระองค์ได้มาโปรดพระเจ้าพิมพิสาร ซึ่งแต่เดิมนั้นนับถือเคารพอุรุเวลกัสสปะมาก ก่อนที่พระองค์จะแสดงธรรมนั้นได้ถามอุรุเวลกัสสปะว่า บัดนี้ ท่านได้เลื่อมใสในธรรมของใคร ท่านเคารพธรรมของใคร อุรุเวลกัสสปะก็บอกเคารพธรรมของพระผู้มีพระภาค เลื่อมใสพระผู้มีพระภาค เป็นการเรียกศรัทธาให้เกิดขึ้นก่อน เมื่อพระเจ้าพิมพิสารเห็นว่าอาจารย์ของตนยังเลื่อมใสพระผู้มีพระภาค จึงเกิดเพิ่มศรัทธาในพระผู้มีพระภาคขึ้นมา เมื่อศรัทธาเสียแล้วจะป้อนธรรมะลงไปมันก็ง่าย เหมือนท่านทั้งหลาย ถ้าศรัทธาในพระพุทธประวัติชุดนี้ ก็ทำให้เข้าใจง่ายและอยากจะฟังติดตาม พระเจ้าพิมพิสารก็เช่นกันเมื่อได้ฟังธรรมก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน พร้อมกับบริวารอีกเป็นจำนวนมาก หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 06 กุมภาพันธ์ 2553 08:02:45 ภาพที่ 62 แสดงโอวาทปาติโมกข์ (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/62.jpg) นี่เป็นภาพเหตุการณ์ในวันมาฆะ ที่เรียกกันว่าวันที่พระสงฆ์ที่เป็นพระอรหันต์จำนวนเป็นพัน ๆ รูปได้มาพร้อมกันโดยมหัศจรรย์ โดยไม่ได้นัดหมาย จำนวนถึง 1,250 องค์ มาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ซึ่งเรื่องเหล่านี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์ ที่พระสาวกมีน้ำใจอันหนึ่งอันเดียวกันว่า มุ่งหน้าสู่พระศาสดา ท่านทั้งหลายเหมือนกัน พวกเราบางทีก็ไม่ได้นัดหมาย ต่างคนต่างมา ต่างอยากจะรู้ ต่างอยากจะดู ต่างอยากจะฟัง เพราะจิตใจของเรานั้นมอบให้พระพุทธเจ้าเข้ามานั่งอยู่ในหัวใจเสียแล้ว อยู่ที่ไหน ๆ ก็สามารถรวมกันได้โดยไม่ต้องเรียกร้องบอกกล่าว หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2553 05:39:26 ภาพที่ 63 ถูกพระบิดาตัดพ้อ (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/63.jpg) เมื่อครั้งพระองค์เสด็จกรุงกบิลพัสดุ์ และได้ออกบิณฑบาตนั้น พระเจ้าสุทโธทนะผู้เป็นพระราชบิดาก็ได้ออกมาแสดงอาการน้อยเนื้อต่ำใจว่า “โถ ลูกพ่อทำไมถึงทำอย่างนั้น เป็นกษัตริย์จะขอข้าวเขากินทำไม จะมาบิณฑบาตขอข้าวเขากินทำไม ต้องการเท่าไรบอกพ่อ พ่อจะหาให้เอง ทำอย่างนี้มันเสียวงศ์ตระกูลแก่พ่อเหลือเกินแล้วลูกเอ๋ย” พระองค์ก็ทรงได้ตรัสตอบไปว่า “ตระกูลของพระพุทธเจ้านั้น ต้องออกบิณฑบาตทุกพระองค์ เพื่อให้ปวงชนได้มีโอกาสสละความเห็นแก่ตัว ความตระหนี่ ความเบิกบานใจแห่งการให้จะได้เกิดขึ้น ฉะนั้นมหาบพิตรอย่าได้เสียอกเสียใจเลย นี้เป็นพุทธประเพณี เป็นตระกูลของพระพุทธเจ้า” ตรัสตอบไปดังนั้นพระเจ้าสุทโธทนะจึงได้เข้าใจ หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2553 05:44:51 ภาพที่ 64 มอบอริยทรัพย์ให้ราหุล (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/64.jpg) พระเจ้าสุทโธทนะต้องการให้พระราหุลเป็นกษัตริย์แห่งกบิลพัสดุ์ต่อไป เมื่อราหุลเข้าพบพระผู้มีพระภาค พระองค์ได้ถามราหุลว่าอยากได้ทรัพย์สมบัติหรืออริยทรัพย์ ถ้าต้องการอริยทรัพย์ก็ไปกับพ่อเถอะ จะมีมอบให้มากมาย แต่ถ้าอยากได้แค่ทรัพย์สมบัติซึ่งมันวิบัติได้ ก็อยู่รับต่อไป ด้วยความรักพ่อ อยากอยู่ใกล้พ่อ ราหุลจึงไม่อยากได้ทรัพย์สมบัติ พระเจ้าสุทโธทนะถึงกับผิดหวัง ลูกก็ผิดหวังไปแล้ว นี่ยังมาผิดหวังกับหลานอีก จึงได้มีการขออนุญาตพระพุทธเจ้าว่า ต่อไปนี้จะเอาลูกใครเขาไปบวชก็ขอให้ถามบิดามารดาให้เขาอนุญาตเสียก่อน จึงเป็นคำหนึ่งที่พระอุปัชฌาย์ได้ถามผู้เข้ามาบวชว่า บิดามารดาอนุญาตแล้วหรือ? อย่างนี้เป็นต้น ถ้าไม่อนุญาตก็บวชไม่ได้ หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2553 05:49:17 ภาพที่ 65 ตรัสตอบบัญญัตพระวินัย (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/65.jpg) พระสารีบุตรได้มากราบอาราธนาพระผู้มีพระภาคให้ทรงบัญญัติพระวินัย เพราะเมื่อสาวกอยู่กันมากมายย่อมจะมีการเป็นอยู่ที่ไม่งดงาม พระผู้มีพระภาคจึงได้กล่าวว่า เรื่องนั้นเรารู้และเข้าใจ เรื่องที่สารีบุตรบอกว่าวินัยเป็นเสมือนเชือกเส้นด้ายที่รวบรวมดอกไม้ต่าง ๆ จะเป็นดอกดาวเรือง บานไม่รู้โรย มะลิ อะไรก็ตาม แต่ถ้ามีเส้นเชือกเข็มร้อยไปแล้ว ก็จะอยู่กันอย่างงดงาม พระองค์ก็บอกว่าเราจะมาสร้างวินัยขึ้นก่อนโดยเหตุการณ์ไม่เกิดนั้น ก็เป็นเรื่องที่ยังไม่บังควร เราจะคอยกำหนดตามทีหลัง ซึ่งเป็นเรื่องค่อยว่าค่อยแก้ไขกันไป ไม่ใช่มาสร้างข้อบังคับอะไรไว้ล่วงหน้าก่อนมากมาย มันจะเกิดเรื่องยุ่งยาก หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2553 05:52:54 ภาพที่ 66 บัญญัติปฐมปาราชิก (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/66.jpg) ต่อมา ทรงบัญญัติปฐมปาราชิก ด้วยพระสุทินเป็นต้นเหตุ มีเรื่องเล่าว่า แม่ของพระสุทินต้องการที่จะได้ลูกสืบวงศ์ตระกูลไว้ ก็เลยพยายามชักชวนให้ไปทิ้งพืชพันธุ์ไว้ช่วงหนึ่งเถิด ที่จริงพระสุทินไม่ปรารถนาที่จะไปเสพสมกามารมอะไรกับภรรยาเก่าอีก แต่เนื่องจากแม่ปรารถนาที่จะให้มีลูกไว้สืบสกุล เมื่อถูกขอร้อง พระอสุทินก็ไปทำให้ตามความต้องการ เมื่อมีพระนำเรื่องนี้มาโจษขานกัน พระพุทธองค์ก็ทรงบัญญัติพระวินัยขึ้นเป็นข้อแรกว่า ภิกษุผู้ปรารถนาที่จะพ้นจากบ่วงทั้งปวงแล้ว ไม่ควรไปยินดีในเมถุนอีก เรื่องนี้เป็นครั้งแรก พระสุทินก็ไม่ผิดหรือขาดจากความเป็นบรรพชิต เพราะไม่ได้มีจิตใจยินดี และตอนนั้นพระวินัยยังไม่ได้บัญญัติ หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2553 06:04:37 ภาพที่ 67 ทรงบัญญัติความฟุ้งเฟ้อ (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/67.jpg) ต่อมา มีลูกของเศรษฐีมาออกบวช ปรากฏว่าได้ประดับตกแต่งจัดทำกุฏิอย่างสวยงาม พระองค์เห็นว่าจะเป็นการหลงใหลมัวเมาที่อยู่อาศัยมากเกินไป จึงได้สั่งให้ภิกษุรูปนั้นรื้อทำลายกุฏิเสีย หมายความว่าเพื่อไม่ให้หลงใหลยินดีในการอยู่ดีกินดี จนติดใจหลงใหล ไม่มุ่งบำเพ็ญความเพียร ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่สวนทางกับความรู้สึกของคนทั่วไป ซึ่งทะยานใหญ่จนกระทั่งไปดาวน์ไปผ่อนไปส่งเขามากมาย พระองค์นั้นต้องการให้ขูดเกลาให้ อยู่งาม อยู่ง่าย หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2553 06:08:41 ภาพที่ 68 การฆ่าเป็นบาปอย่างยิ่ง (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/68.jpg) เมื่อพระองค์ทรงสอนให้พิจารณาเห็นร่างกายสังขารเป็นของเปื่อยเน่า พระจำนวนหนึ่งพากันพิจารณาจนเบื่อหน่ายในสังขาร เข้าใจผิดคิดว่าดับกิเลสคือดับชีวิต ถ้าสิ้นชีวิตถึงจะสิ้นกิเลส ให้สิ้นทุกข์ก็ต้องสิ้นชีวิต จนกระทั่งบรรพชิตพากันไปจ้างเขาให้มาฆ่าตัวให้ตายเป็นจำนวนมาก จนระทั่งเหลือน้อยเต็มที พระองค์จึงได้ทรงบัญญัติว่า การฆ่าตัวตาย หรือ ฆ่าผู้อื่นตาย ก็เป็นความผิดขั้นปาราชิกคือขาดจากความเป็นบรรพชิต พระองค์ก็ทรงแก้ไขเรื่อยมาจนกระทั่งเกิดความพอดิบพอดีในการปฏิบัติธรรมให้ลุล่วงชำระกิเลสได้ไม่ผิดทางว่า ให้ดับกิเลสแล้วปล่อยชีวิตอยู่ต่อไปทำประโยชน์ได้ หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2553 06:12:40 ภาพที่ 69 อวดอุตริมนุษยธรรม (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/69.jpg) ต่อมาเมื่อบรรพชิตมากเข้าก็ต้องมีคนไม่ดีหลงเข้ามาเป็นธรรมดา ถ้ามีมากขึ้นก็ต้องเสียหายไปเป็นธรรมดา แต่การแก้ไขนั้นก็ต้องมีตามมา พระองค์ก็ได้พยายามแก้ไขบัญญัติ ข้อห้ามไม่ให้กระทำสิ่งที่เสียหาย เรื่องมีว่า พระไปจำพรรษา เกิดข้าวยากหมากแพง ก็ได้ออกอุบายหลอกญาติโยมว่าให้ทำบุญกับองค์นั้นสิเป็นพระอรหันต์ ญาติโยมก็นำอาหารมาถวายจนอ้วนพี ปรากฏว่าเมื่อพระอีกส่วนหนึ่งไปอยู่ในที่อดอยากก็ผอม แต่ว่าพระเหล่านี้ไม่หลอกลวงโยม ไม่ยอมทำความผิด ต่อมาพระองค์จึงได้ทรงบัญญัติว่า ภิกษุที่ไปอวดอ้างว่าได้ บรรลุฌาน ได้บรรลุพระอรหันต์ ก็ต้องผิด ถ้าไม่มีคุณธรรมวิเศษนั้นเอง ก็ขาดจากความเป็นบรรพชิต ถ้ามีก็ยังถือว่าผิด เป็นการอวดอ้างตนที่ไม่เหมาะสม หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2553 06:18:07 ภาพที่ 70 อบรมธรรมแก่สาวก (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/70.jpg) พระองค์ได้พยายามอบรมพระสาวกของพระองค์ให้ทำตนเหมือนสะใภ้ใหม่ คือให้เหมือนภาพแรก สะใภ้ใหม่นั้นต้องเคารพกราบนอบนบพ่อผัวแม่ผัว สะใภ้เก่านั้นบางทีชี้หน้าด่าแม่ผัวพ่อผัว ถ้าเปรียบเทียบกับพระภิกษุ ก็หมายถึงจะต้องทำตัวนอบน้อม เชื่อฟังพระเถระ หรือว่าทำตัวให้รู้จักอาย เข้าสู่วงศ์ตระกูลพ่อผัวแม่ผัวแล้วต้องเป็นคนอายชั่ว กลัวบาป ไม่ใช่เป็นคนหน้าด้าน อายลำบาก อะไรดังที่เขาเป็นกันทั่วไป นี่ก็เป็นเรื่องที่พระองค์พยายามตะล่อมสาวกของพระองค์ให้ดีงาม ให้เป็นที่เคารพเลื่อมใสศรัทธา หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2553 06:22:28 ภาพที่ 71 จงเป็นธรรมทายาท (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/71.jpg) พระองค์ได้พยายามเน้นพระสาวกของพระองค์ให้เป็นธรรมทายาท อย่าเป็นอามิสทายาท ทรงเล่าย่อๆว่า ถ้าหากมีภิกษุสององค์ องค์หนึ่งตั้งใจเป็นธรรมทายาท จะไม่รับอาหารบิณฑบาตรลาภสักการะของพระผู้มีพระภาคเจ้าที่ทรงเหลือมาให้ ถึงจะอดอย่างไรก็ไม่รับ แต่องค์หนึ่งพยายามจะรับของฉันที่เหลือจากพระพุทธเจ้า หมายความว่าคอยรับลาภสักการะจากคนที่เลื่อมใสศรัทธานำสักการะมาให้พระองค์ เรียกว่ามีแต่รับไม่มีจ่าย หรือที่เรียกกันว่ามีแต่เทค ไม่มีกิ๊ฟ ก็กลายเป็นพระประเภทที่เรียกว่า เป็นญาติข้างกากเดน หรือพวกเศษอาหาร มานอนกอดกากที่ชาวบ้านเขาถวายอยู่ ไม่มุ่งสละละปล่อยวางบำเพ็ญประโยชน์ตนให้มากขี้น ประโยชน์ส่วนรวมให้มากขึ้น หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2553 06:25:01 ภาพที่ 72 โทษการหลงใหลหลับนอน (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/72.jpg) พระองค์ได้ทรงแสดงโทษของการหลงใหลในการนอน บอกกับภิกษุทั้งหลายโดยเล่าเรื่องเจ้าแผ่นดินแห่งลิจฉวีให้ฟังว่า เมื่อก่อนโน้นกษัตริย์ลิจฉวีนอนหนุนขอนไม้ ไม่เห็นแก่การนอน มีความเพียรที่จะปกป้องแผ่นดิน ต่อมากษัตริย์ลิจฉวีหันมานอนหนุนหมอนอันนุ่มนิ่ม ก็เกิดนอนตื่นสาย มารหรือศัตรูย่อมได้ช่อง ฉะนั้นพระองค์ได้ทรงเน้นกับภิกษุทั้งหลายว่าอย่าเห็นแก่นอนมารจะได้ช่อง อย่าปล่อยให้มารผู้มีบาปเข้าครอบงำคือการหลับใหล แล้วเราจะไม่มีความเพียร ความระวัง ในการที่ป้องกันกิเลส เผาผลาญกิเลส ฉะนั้นอย่าเห็นแก่การนอน นี่คือคำสอนและวิงวอนชักชวนของพระผู้มีพระภาคแห่งเราทั้งหลาย หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2553 06:27:59 ภาพที่ 73 มหาสติปัฏฐาน (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/73.jpg) ต่อมาพระองค์ได้ทรงแสดงธรรมกับภิกษุว่า อิริยาบถสี่ คือ การยืน เดิน นั่ง นอน ให้สมบูรณ์อยู่ด้วยสติปัฏฐานสี่ การตั้งสติกำหนดพิจารณาสิ่งทั้งหลายให้รู้เห็นตามความเป็นจริง คือความที่สิ่งนั้นมันเป็นของมันเอง คือเฝ้าพิจารณาอยู่เนือง ๆ ในกาย…การตั้งสติกำหนดพิจารณากายให้รู้เป็นตามเป็นจริง เวทนาการตั้งสติกำหนดพิจารณาเวทนาให้รู้เป็นตามเป็นจริง จิต…การตั้งสติกำหนดพิจารณาจิตให้รู้เป็นตามเป็นจริง และธรรม…การตั้งสติกำหนดพิจารณาธรรมให้รู้เป็นตามเป็นจริง อย่าปล่อยให้อิริยาบถทั้งสี่เป็นเรื่องคลุกคลี ปราศจากสติปัฏฐานสี่แล้ววันคืนของเธอทั้งหลายจะเจริญ หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2553 06:30:46 ภาพที่ 74 อสรพิษร้ายของภิกษุ (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/74.jpg) พระองค์ได้ทรงพูดกับพระอานนท์ถึงเรื่องห่อเงินและทอง ซึ่งตกอยู่ข้างคันนา ที่โจรปล้นแล้วนำมาทิ้งไว้ พระองค์ทรงชี้ให้เห็นว่า ห่อเงินและทองเหล่านี้ พวกเราทั้งหลายผู้เป็น บรรพชิตแล้ว ควรจะมองเห็นว่า นี่คืออสรพิษ ส่วนชาวบ้านทั่วไปมีจิตเพ่งเล็งเห็นว่าคือแก้วสารัดนึก เราควรเห็นว่านี่คือแก้วสาพัดพิษ เพราะว่าการแย่งข้าวของเงินทองนั้น ทำให้เข่นฆ่า แก่งแย่ง ล้างผลาญชีวิตซึ่งกันและกัน ฉะนั้นเราไม่ควรมีจิตยินดีในเงินและทอง นี่เป็นคำพร่ำสอนของพระศาสดาผู้ชี้โทษแก่พระสาวกทั้งหลาย ว่าอย่าเป็นผู้ยินดีสะสมในเงินและทอง หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2553 06:35:55 ภาพที่ 75 แสดงธรรมกระหนาบสาวก (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/75.jpg) พระองค์ทรงแสดงธรรมกระหนาบภิกษุทั้งหลายว่า…ถ้าขืนปล่อยทำตนให้มัวเมาเปียกแฉะ ซึ่งคนมากล่าวโทษในความประพฤติอันไม่ดีงามของเรา สูตรนี้พระองค์ทรงแสดงอย่างชนิดที่ให้ภิกษุผู้แก้ยาก หน้าด้าน ได้สะเทือนความรู้สึกสักทีหนึ่ง พระองค์ทรงแสดงธรรมโดยกล่าวเปรียบเทียบอุปมาว่า ภิกษุถ้าไม่ประพฤติพรหมจรรย์ให้งาม ให้ดี ประพฤติแหกคอกนอกวินัยแล้ว ก็จะมีลักษณะเหมือนกับการที่ได้กลืนกินก้อนถ่านเหล็กแดงของชาวบ้าน ที่เขาได้ให้ข้าว ให้น้ำ ให้อาหาร แล้วมีแรงทำความชั่ว ให้เร่าร้อนใจต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด ภิกษุทั้งหลาย ระหว่างการได้ลูบไล้สัมผัสกับลูกสาวคณหบดีที่มีผิวพรรณอันนุ่มนิ่มกับการเอาถ่านไฟแผ่นเหล็กนาบลงไปบนหลัง อันไหนจะดีกว่ากัน ภิกษุบางองค์ที่มัวเมาในการทำผิดกับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสอันนุ่มนวลชวนให้หลงใหลก็ตอบว่า ได้ลูบไล้ลูกสาวคหบดีนั่นแหละจะมีความสุข พระองค์บอกเราว่า…คนที่ประพฤติชั่วแล้ว ควรจะเอาแผ่นเหล็กนาบลูบไล้ให้ตายไปเสียในกองไฟในแผ่นเหล็กนั้น ยังดีกว่าที่จะกลืนกินก้อนข้าวชาวบ้านแล้วประพฤติชั่วจะทำให้ตัวเองต้องตกนรกคือร้อนใจไม่ได้หยุดหย่อน ถ้าได้ตายไปเสียเลยทีเดียว หมดแรงทำชั่วต่อไปจะดีกว่า และพระองค์ทรงเน้นว่า…การที่ได้เอามีดกรีดลงไปในหนังให้ขาดเป็นชิ้น ๆ ให้เลือดหยด กับการได้อภัยโกรธ หมายความว่า ถ้าหากว่าอยู่ด้วยความโกรธ อาฆาตมาดร้ายกับผู้อื่นแล้ว ให้เขาเอามีดเอาเลื่อยมา กรีดเนื้อให้ขาดทะลุหนัง แล้วเรายังคุมความโกรธได้ ท่านก็ว่านั้นเป็นสาวกของเรา แต่ถ้าคุมไม่ได้ล่ะก็อย่าอยู่เลย ให้มันตายไปเสียดีกว่า เพราะฉะนั้นมีสาวกที่ขี้โกรธ ที่มัวเมาลุ่มหลงในกำหนัดขัดเคืองอะไรต่าง ๆ ที่ประพฤติไม่ดีอยู่ในจำนวนฟังครั้งนี้ มีพระภิกษุ 180 รูป ปรากฏว่ากระอักเลือดอาเจียนออกมาเป็นโลหิต 60 รูป ขอสึก 60 รูป และบรรลุพระอรหันต์ตรงนี้เอง 60 รูป ภิกษุผู้ที่ประพฤติดีปฏิบัติชอบ ฟังแล้วเกิดปิติปราโมทย์ ไม่ขยะแขยงในความประพฤติ ก็บรรลุธรรมไป ส่วนภิกษุผู้ที่ขยะแขยงต่อความประพฤติของตัวเองอย่างหนักก็ถึงกับกระอักเลือดหรืออาเจียนเป็นโลหิตออกมาเลยทีเดียว ความประพฤติทำให้ตัวเองต้องร้อน ถ้ากลืนกินก้อนข้าวชาวบ้านแล้วประพฤติชั่วก็เท่ากับคลืนกินของร้อนให้ตัวเองได้มีโอกาสหาเรื่องร้อนใส่ปาก ใส่ท้อง ใส่ใจต่อไปนั่นเอง หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2553 06:39:48 ภาพที่ 76 ความเห็นไม่ตรงกัน (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/76.jpg) พระภิกษุเป็นจำนวนมากพากันไปอยู่ในป่าโคลิงคสาลวันร่วมกับพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วเกิดความเห็นมีทิฎฐิไม่ตรงกัน พระสารีบุตรว่า ป่านี้จะต้องมีภิกษุที่มีปัญญาเรืองเลิศจึงจะทำให้เกิดความสวยงามขึ้นในป่านี้ พระโมคคัลลานะว่าจะต้องมีฤทธิ์ จึงจะทำให้ป่านี้สวยวิจิตรพิศดาร พระกัสสปะกล่าวว่า จะต้องถือธุดงค์เคร่งครัดจึงจะทำให้ป่านี้สวยชัดน่าชื่นชม อย่างนั้นอย่างนี้ จึงได้พากันนำเรื่องราวมาเฝ้ากราบทูลถามพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสกับภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นว่า ป่านี้จะงดงามต่อเมื่อภิกษุในป่านี้เสร็จภัตตกิจแล้ว ตั้งกายตรง ดำรงสติมั่น ถอนความพอใจและความไม่พอใจ คลายอุปาทานเสีย ป่านี้แหละจะงดงาม หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2553 06:42:35 ภาพที่ 77 แม่ทัพธรรม (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/77.jpg) ภาพนี้พระองค์ทรงแสดงธรรมกับพระปุณณะซึ่งมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าในการที่จะนำธรรมของพระศาสดาไปเผยแพร่ และเมืองที่จะไปนั้นเป็นเมืองที่มีคนดุร้าย มีคนโหดร้ายมาก พระองค์จึงได้ถามความแน่ใจว่า ปุณณะ ถ้าเธอจะไปเผยแพร่ธรรมในเมืองนั้นคนเขาไม่ชอบเขาด่าว่าเอาจะทำยังไง พระปุณณะตอบว่า…เขาด่าเขาว่าก็จะคิดว่าดีกว่าเขาขว้าง เขาทิ่ม เขาตี ถ้าเขาขว้างด้วยก้อนหินก้อนดินล่ะ…ก็คิดว่ายังดีกว่าที่เขาจะใช้มีดใช้ขวานฟัน ถ้าเขาใช้มีดใช้ขวานฟันลงมาล่ะ…ก็คิดว่ายังดีเราไม่ได้ฆ่าตัวตาย พระพุทธองค์จึงตรัสว่า ปุณณะ เธอเหมาะสมแล้วที่จะเป็นแม่ทัพธรรม นำธรรมะสู่ประชาชน โดยไม่หวั่นไหวต่ออุปสรรคใด ๆ หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2553 06:45:26 ภาพที่ ๗๘ ความหลุดพ้น (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/78.jpg) พระองค์ทรงแสดงธรรมกับภิกษุว่า พรหมจรรย์ของตถาคตนั้นเหมือนกับคนคนหนึ่งเดินเข้าไปในป่า ปรารถนาที่จะได้แก่นไม้ แต่แล้วไปติดแค่ใบไม้ เปลือกไม้ กระพี้ไม้ไม่เข้าถึงแก่น พูดง่ายๆว่า พอหลงใหลแค่ได้ลาภสักการะ แค่ศีล สมาธิ ไม่ถึงตัววิมุตติตัวปัญญาอันสูงสุด ฉะนั้นคนบางคนมาบวชแล้วเกิดลาภสักการะ ทำสมาธิก็ภูมิใจ พอใจ นึกว่าได้แค่นี้ดีที่สุด แล้วเลิกทำ…ไม่ใช่ เรื่องของศาสนาต้องถึงขั้นวิมุตติ คือหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง จึงเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจ เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ต้องระวัง พระองค์ทรงย้ำกับสาวกในครั้งกระโน้น ในครั้งกระนี้ถ้าอยู่…พระองค์คงจะเทศน์น่าดูทีเดียวให้เอาเปลือกไปทิ้งเป็นหอบๆกันละ หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2553 06:48:16 ภาพที่ ๗๙ อย่าเห็นแก่กิน (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/79.jpg) พระองค์ทรงแสดงธรรมกับภิกษุทั้งหลายว่า อย่าเห็นแก่ปากแก่ท้อง โดยแสดงอุปมาอุปมัยว่า เสมือนกับหญิงชายหญิงชายคู่หนึ่งมีลูกน้อยเดินทางไปกลางทะเลทราย เสบียงอาหารเกิดหมด เลยปรึกษากันว่าจะต้องฆ่าใครสักคนหนึ่งเพื่อให้ชีวิตอยู่รอดด้วยการกินเนื้อของลูกเพื่อประทังชีวิตไปพระพุทธองค์แสดงให้รู้ว่าการที่จะกลืนกินก้อนข้าว น้ำ อะไรๆเข้าไปไม่ใช่กินง่ายๆ ให้มีความรู้สึกว่าเหมือนกับกินเลือดกินเนื้อผู้อื่นทีเดียว เราจะได้กินข้าวของชาวบ้านเนี่ย ก็ต้องนึกว่าชาวบ้านเขาเสียเลือดเสียเลือดเสียหยาดเหงื่อไป จะเป็นการทำบาปเพราะเห็นแก่กิน หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2553 06:53:46 ภาพที่ ๘๐ อายตนะหก (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/80.jpg) พระองค์ทรงแสดงธรรมกับภิกษุ ให้เห็นว่าอาตยตนะทั้ง ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของเรานั้น มันเหมือนการเอาสัตว์ 6 ชนิดมาผูกเชือกไว้ แล้วรวบมัดมันไว้ตรงกลาง งูมันก็จะเข้ารู จระเข้ก็จะลงน้ำ นกก็จะบินขึ้นฟ้า ลิงก็จะขึ้นต้นไม้ พวกหมู หมา กวาง เก้ง มันก็จะเข้าป่าเข้าดงไปตามเรื่องของมัน ก็เหมือนกับตาของเรา มันก็พยายามชอนไชหารูป หูก็พยายามที่จะหาเสียง ลิ้นก็พยายามที่จะหารส มันพยามยามดึงทุกวิถีทาง ฉะนั้น เราจะต้องคอยกระตุกเชือกไว้ตรงกลาง คือ มีสติคอยดึงตา ดึงหู ดึงจิต ไม่ให้มัน ไปยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส เพราะฉะนั้นชีวิตและวันคืนของเราก็คือคอยดึงเชือกไว้ แล้วชีวิตของเราก็จะสงบเย็น เพราะฉะนั้นต้องระวัง เรื่องนี้ท่านสอนไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2553 07:03:22 ภาพที่ ๘๑ ภัยอันเกิดขึ้นกับพรหมจรรย์ (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/81.jpg) ครั้งหนึ่งพระองค์ทรงอุปมาภัยที่จะเกิดขึ้นกับพรหมจรรย์ ว่าเหมือนกับภัยอันเกิดจากปลาฉลาม จระเข้ น้ำวน คลื่นในมหาสมุทร ภัยจากปลาฉลาม คือ มาตุคาม ได้แก่ การถูกยั่วยวนจากเพศตรงข้าม ภัยจากน้ำวน คือ กามคุณห้า รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส หาเงินหาทองมาได้ก็วนไปหาซื้อรูปสวย ๆ เสียงเพราะ ๆ กลิ่นหอม ๆ รสอร่อย ๆ สัมผัสนุ่มนวล ภัยจากจระเข้ ก็คือกินตะพึดตะพือ จระเข้โยนอะไรไปก็หายตะพึด ภัยอันเกิดจากคลื่น คือ ทนความยั่วให้โกรธไม่ได้ มีอะไรมายั่วให้โกรธ ก็โกรธได้ง่าย นี้เป็นภัยของผู้ประพฤติพรหมจรรย์ สี่ประการนี้พระองค์ทรงเน้นย้ำแล้วย้ำอีก หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2553 07:10:34 ภาพที่ ๘๒ อย่าฝักใฝ่ในการกิน (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/82.jpg) พระองค์ทรงแสดงธรรมสอนภิกษุว่าอย่าทำตัวเหมือนตัวกังสรกะ อย่ามีจิตฝักใฝ่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องพร่ำสรรเสริญในเรื่องการได้กินได้อยู่อย่างสบาย เล่าง่าย ๆ ว่า มีภิกษุองค์หนึ่งไปบิณฑบาตบ้านญาติโยม ได้มาแล้วเกิดอร่อย ติดใจในรสอาหาร ก็มานั่งพูดกันว่า แหม เมื่อไรจะได้ไปบิณฑบาตบ้านนั้นอีก บ้านนั้นจะใส่อย่างนั้นอย่างนี้อีก พระองค์ก็ว่า ภิกษุเอ๋ย ถ้านั่งพูดกันอย่างนี้ก็เหมือนตัวกังสรกะที่ชอนไชอยู่ในกองอุจจาระปัสสาวะ ไม่ได้พ้นไปจากเรื่องกิน ซึ่งเมื่อย่อยเข้าไปก็เป็นอุจจาระ ที่ว่าเลิศว่าประเสริฐก็กลายเป็นของเน่า เพราะฉะนั้นอย่าให้จิตไปนั่งคิดนั่งนึกแต่เรื่องอย่างนี้ นี่ก็เรียกว่าเลวพอ ๆ กับไอ้ตัวกังสรกะชอนไชอยู่ นึกถึงอยู่แต่เรื่องกิน หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2553 07:33:26 ภาพที่ ๘๓ โปรดองคุลิมาล (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/83.jpg) ภาพนี้คือการโปรดองคุลิมาล ซึ่งเข้าใจผิดว่าถ้าได้ตัดนิ้วคนสักพันหนึ่งจะทำให้ตัวเองวิศษเลิศขึ้นมา จึงเบียดเบียนเข่นฆ่าเขา พระองค์ได้ไปทรงโปรดว่า องคุลิมาลเอ๋ย หยุดเถอะ ชีวิตที่เราพล่าผลาญเขานั้นน่ะ เหมือนกับเด็ดใบไม้ออกจากก้านจากขั้ว แล้วต่ออีกไม่ได้ ลูกเมียเขาต้องวิปโยคโศกศัลย์ องคุลิมาลเอ๋ย จงหยุดเสียเถอะ องคุลิมาลก็บอก ว่าเราน่ะหยุดแล้ว ท่านน่ะยังไม่หยุด ยังเดินไปอยู่ พระองค์บอกว่า เราน่ะหยุดจากการหยิบศาสตราวุธประหัตประหาร หยุดเบียดเบียนผู้อื่นแล้ว องคุลิมาลได้ฟังเช่นนี้ก็คิดได้ ก้มลงกราบพระองค์ ต่อมาองคุลิมาลก็ได้บวชและได้เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่งในพุทธศาสนา หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2553 07:38:56 ภาพที่ ๘๔ ความผิดของอชาติศัตรู (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/84.jpg) ภาพนี้แสดงถึงความผิดอันใหญ่หลวงของพระเจ้าอชาตศัตรู เมื่อได้ฆ่าพ่อแล้วก็เกิดความรู้สึกวิตกในบาป จึงสอบถามอำมาตย์ที่ไว้ใจทั้งหลายให้นำไปพบศาสดาที่จะช่วยสอนให้สงบใจ อำมาตย์ทั้งหลายก็พากันไปหาอาจารย์นั้นอาจารย์นี้ แต่ชีวกโกมารภัจจ์อำมาตย์คนหนึ่งได้บอกว่า ลองไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคซึ่งอยู่ในสวนมะม่วง ปรากฏว่าเมื่อเข้าไปใหม่ ๆ นั้น พระเจ้าอชาตศัตรูไม่รู้ว่าองค์ไหนเป็นพระพุทธเจ้า และรู้สึกวังเวงขนพองสยองเกล้า เนื่องจากพระสงฆ์จำนวน 500 รูปที่อยู่กับพระพุทธเจ้า ไม่มีเสียงกระแอมไอ ไม่เสียงที่จะโหวกเหวกโวยวาย จึงทำให้พระเจ้าอชาติศัตรูขนพองสยองเกล้าเนื่องจากกระทำผิด ทำการฆ่าพ่อของตน หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2553 07:44:09 ภาพที่ ๘๕ บาปที่ร้ายแรง (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/85.jpg) พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมโปรดพระเจาอชาติศัตรูเป็นเวลานานมาก แต่ปรากฏว่าพระเจ้าอชาตศัตรูไม่ได้บรรลุธรรม เพียงเกิดความเลื่อมใสและศรัทธาพระพุทธเจ้าขึ้น พระพุทธองค์จึงได้ตรัสกับพระสาวกว่า ถ้าหากพระเจ้าอชาตศัตรูได้ฟังธรรมเทศนาชุดนี้จบแล้ว โดยไม่ได้ไปกระทำบาป คือฆ่าพ่อมาก่อน พระเจ้าอชาติศัตรูจะต้องบรรลุธรรมในธรรมเทศนาครั้งนี้เป็นแน่นอน แต่เนื่องจากบาปที่ฆ่าพ่อนั้นมันมากเหลือเกิน แล้วคนที่เคยฆ่าพ่อฆ่าแม่นั้นเมื่อไปติดคุกแล้วมันบาปสาหัสสากรรจ์ คนในคุกนี้มันเตะมันซ้อมกันน่าดูเหลือเกิน บาปอะไรไม่ร้ายแรงเท่ากับฆ่าพ่อฆ่าแม่ เพราะฉะนั้นทุกท่านต้องพยายามนึกไว้อย่าได้เผลอใจไปฆ่าผู้เป็นพ่อเป็นแม่เข้า หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2553 07:49:19 ภาพที่ ๘๖ ตอบข้อสงสัยของพราหมณ์ (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/86.jpg) มีพราหมณ์คนหนึ่ง ได้ไปเฝ้ากราบทูลพระพุทธเจ้าในทำนองว่า พระพุทธองค์คงจะทำอะไรไม่มีขั้นมีตอน และได้พูดขึ้นว่า… ข้าแต่พระองค์ท่านผู้เจริญ เขาจะทำบ้านทำเรือน เขายังมีขั้นมีตอน มีการขุดหลุม การตอกเข็ม ก่อตั้งเสา ขึ้นหลังคา อย่างโน้นอย่างนี้ อยากจะทราบว่า พระองค์มีขั้นตอนในการสอนสาวกอย่างไรบ้าง และมีลำดับในการปฏิบัติยังไง พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสตอบไปว่า… เราทำตามขั้นตอนเหมือนกัน คือพยายามปลุกเร้าชี้นำให้สาวกสำรวมในศีล สำรวมในปาติโมกข์ และเห็นโทษภัยในการทำผิดสิกขาบท ซึ่งแม้กระทั่งเล็กน้อย ให้เห็นโทษ อย่าประมาทในโทษอันเล็กน้อย เพราะมันจะคืบคลานให้ใหญ่ต่อไปได้ นี้ประการที่หนึ่ง ประการต่อมาก็คือ ให้สำรวมอินทรีย์ ระวังตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ให้เป็นที่หลั่งไหลของอาสวะ คือความยินดียินร้ายมาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ประการถัดมา ให้ประกอบตนเป็นผู้ไม่ยินดีในการหลับไหล ไม่เห็นแก่นอน ให้มีความขวนขวายทำความเพียร ตื่นอยู่ทุกเมื่อ มีสติสัมปชัญญะ มีความเพียรเผากิเลส ถอนความพอใจและความไม่พอใจในโลกนี้ ประการต่อมา พยายามแนะนำสั่งสอนให้ยินดีและเสพเสนาสนะอันสงัด ไม่เข้าไปคลุกคลีด้วยหมู่และคณะ เสนาสนะใดที่เขามีฝูงชนมากด้วยคลื่นฝูงชนพากันสนุกสนานบนถนนหนทางนั้น อย่าได้เข้าไปเสพในเสนาสนะเช่นนั้น ประการต่อมา พยายามให้เจริญฌาน พยายามเพ่งหาความสงบ และพยายามละนิวรณ์ พระพุทธองค์ตรัสเป็นข้อเป็นลำดับมาอย่างนี้ ฉะนั้นกล่าวได้ว่า พระพุทธองค์มีการกระทำอย่างมีขั้นมีตอน ไม่ถูกเขากล่าวหาว่าเป็นคนทำอะไรไม่มีขึ้นมีตอน พระพุทธองค์จึงเป็นนักวิชาการที่วางขั้นตอนได้อย่างยอดเยี่ยม ตั้งแต่ให้เริ่มต้นสำรวมระวังในปาติโมกข์ สำรวมระวังตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รู้จักประมาณในอาหาร ประกอบตนให้เป็นผู้ตื่น มีความเพียรเผากิเลส เสพเสนาสนะอันสงัด เจริญฌาน และละนิวรณ์ หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2553 07:53:02 ภาพที่ ๘๗ ข้าศึกของกุศล (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/87.jpg) ครั้งหนึ่งมีพวกนักแสดงร่ายรำฟ้อนรำมาทูลถามพระพุทธเจ้าว่า ข้าพเจ้าทำโลกนี้ให้รื่นเริงตลอดเวลา เมื่อข้าพเจ้าตายไปแล้วนี่จะมีอานิสงส์เป็นอะไรบ้าง? พระพุทธองค์บอกว่าผู้ที่ทำความรื่นเริงให้กับโลกหลงใหล ด้วยการเอาความสนุกชนิดที่เป็นข้าศึกต่อกุศลมามอมเมาปวงชนให้สิ้นสติปัญญา ตายแล้วจะตกเป็นเปรต อสุรกาย เพราะทำให้คนส่วนใหญ่ลุ่มหลง เขาทำมาหากินเหน็ดเหนื่อย ก็ไปหลอกให้เขามาลุ่มหลงเอาเงินทองของเขาไปกินไปใช้อย่างมัวเมา ไม่เคยคิดจะเอามาสร้างสิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศล พวกนี้ตายแล้วก็เป็นเปรต นี่ขณะยังไม่ตายก็เป็นเปรต เพราะจะไปจัดวงดนตรีฉายหนังที่ไหนก็เก็งกำไร นี่เป็นเปรตตั้งแต่จัดเวที เรียกร้องให้คนมาดูหรือประชาสัมพันธ์แล้ว หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2553 07:59:33 ภาพที่ ๘๘ พระที่อยู่กับพระพุทธเจ้ายังทิ้งพระองค์ไป (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/88.jpg) ภาพนี้กล่าวถึงพระภิกษุรูปหนึ่ง ซึ่งเป็นพระอุปัฎฐากของพระพุทธองค์ก่อนพระอานนท์ แต่ว่าภิกษุรูปนี้อุปัฎฐากพระพุทธองค์อยู่พักใหญ่ก็เกิดความเบื่อหน่าย จะผละหนีไม่อุปัฎฐากพระผู้มีพระภาคอีกต่อไป พระผู้มีพระภาคก็บอกว่า อย่าเลย อย่าเพิ่งรีบไปเลยพระเมฆิยะเอ๋ย ท่านอย่าเพิ่งรีบไปเลย ขอให้คนให้คนอื่นมาอุปัฎฐากเปลี่ยนกันก่อน แล้วค่อยไปเถอะนะ แต่ปรากฏว่าภิกษุเมฆิยะนี้ก็ไม่เชื่อฟัง พยายามหลีกเร้นจาก หรือว่าทอดทิ้งธุระที่อุปัฎฐากพระผู้มีพระภาคไป นี่แหละ คนอยู่ร่วมกับพระพุทธเจ้านั้น ก็มีคนเข้ามาบ้าง มีคนออกไปบ้าง เขาว่าคนในอยากออก คนนอกอยากเข้า เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่น่าคิดว่า คนที่อยู่กับพระพุทธเจ้ายังทิ้งพระพุทธเจ้าไปได้ ไม่ใช่พระพุทธเจ้าเลวหรือไม่ดี แต่เป็นเพราะเขาไม่อยากอยู่เองเขาจึงจากไป ซึ่งเรื่องนี้ก็มีปรากฏอยู่มากมาย บางคนนี่ลุกหนีจากพ่อไป คนเขาก็คิดว่าพ่อมันคงไม่ดี ลูกมันถึงอยู่ไม่ได้ หรือว่าสมภารวัด พอลูกวัดออกไป ก็คิดว่า เอ๊ะ สมภารคงเลวร้าย ลูกวัดจึงอยู่ไม่ได้ และการที่ญาติโยมไม่เข้าวัด จะโทษฝ่ายอยู่หรือโทษฝ่ายไปไม่ได้ด้วยกันทั้งนั้น ต้องหาข้อมูลความจริง บางคนนี่ แหม วิพากวิจารณ์ ปรากฏว่าสมภารอยู่ก็ได้รับกรรมอาน ซึ่งทั้ง ๆ ที่พระรูปนั้นท่านอาจจะออกไปเพราะความอยากจะไปเสพเสนาสนะอันสงัด หรือว่าอยากจะไปเพราะเหตุใดก็แล้วแต่ท่าน เหมือนอย่างในกรณีพระองค์นี้ ท่านต้องการไปเสพเสนาสนะอันสงัด แต่แล้วจิตใจก็ยังฟุ้งซ่านก็กลับมาอีก เรื่องเหล่านี้ไม่ควรจะไปวิจารณ์ว่าผู้ที่อยู่เป็นผู้เสียหาย ทำให้ผู้ที่ไปต้องเดือดร้อน ซึ่งเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันมีอยู่มากมาย ไม่ใช่ว่าผู้อยู่จะเลวร้าย หรือว่าผู้ไปจะดีเสมอไป หรือว่าผู้อยู่จะดี ผู้ไปจะเสียหาย เรื่องนี้ต้องทำใจเป็นกลาง หรือว่าฟังเหตุผลกันให้รอบคอบ หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2553 08:02:52 ภาพที่ ๘๙ อรหันต์ก่อนบวช (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/89.jpg) เช้าวันหนึ่ง พระพุทธองค์บิณฑบาตแล้วก็ได้มาพบกับพาหิยะ ซึ่งถือว่าการไม่นุ่งผ้าจะทำให้ตนเองประเสริฐ เพราะมีคนนับถือ คนนี้มันก็แปลก นับถือโดยไม่มีเหตุมีผล ไปนับถือเลื่อมใสคนที่ไม่มีผ้าจะนุ่ง พาหิยะก็เลยเชื่อถือเอาด้วยทิฏฐิแปลก ๆ ว่า คนเราจะดีมันดีเอง อยู่ ๆ ก็มีคนเลื่อมใสได้ พระพุทธเจ้าก็ทรงแสดงธรรมสั้น ๆ ว่า พาหิยะเอ๋ย เธอจงมีสติ มีทิฎฐิใหม่เถอะ ให้รู้ว่าตาเห็นรูปก็สักแต่ว่าเห็นรูป หูฟังเสียงก็สักแต่ว่าฟังเสียง พาหิยะก็แวบขึ้นในใจ บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ แต่อนิจจา… จะขอบวชยังหาผ้ามาบวชไม่ได้ ถูกควายขวิดตายเสียก่อน เป็นสาวกที่เป็นอรหันต์รูปเดียวเท่านั้นที่ยังไม่ทันได้บวช หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2553 08:08:07 ภาพที่ ๙๐ อารมณ์โกรธ (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/90.jpg) ทรงแสดงสอนภิกษุ เรื่องความโกรธ… อารมณ์ของคนนี่ บางคนมันมีอารมณ์วูบวาบเหมือนกับรอยไม้กรีดลงไปในน้ำ โกรธวูบเดี๋ยวก็หาย ไม่อาฆาตมาดร้าย ผูกพยาบาทนาน บางคนนี่มีอารมณ์โกรธประดุจดังเอาไม้กรีดลงไปในดิน ซึ่งฝนตกชะสักพักหนึ่งก็หาย หมายความว่า มีเรื่องอื่นมาลบมากลบมาเกลื่อนเสียก็หายไป แต่บางคนมันเหมือนเอามีดไปกรีดหินทีเดียว กี่ปีมันก็ยังเป็นรอยอยู่อย่างนั้น หมายถึงคนบางคนนี่อาฆาตมาดร้ายเหลือเกิน เป็นญาติเป็นพี่เป็นน้องกัน บางทีถึงกับบอกว่าตายแล้วอย่าได้มาเผาผีอะไรกันเลย นี่เรียกว่าอาฆาตกันยันเป็นกระดูกเป็นขี้เถ้า เหมือนกับกรีดลงไปในหิน รอยไม่ลบ กลบไม่มิด หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2553 08:14:03 ภาพที่ ๙๑ ความเชื่อเรื่องกรรม (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/91.jpg) พวกนิครนถ์ ซึ่งเป็นพวกที่ยึดถือว่าคนเรานี่จะต้องเกิดมาเพื่อใช้กรรม จะได้ความสุขก็ต้องเมื่อเอาทุกข์เข้าไปแลกด้วยการทำทรมานกายต่าง ๆ นานา โดยเขาไม่รู้หรอกว่ากรรมเขาทำมาเท่าไรและใช้ไปได้เท่าไร แล้วไม่รู้ทางให้เกิดกุศล ไม่รู้ทางให้สิ้นไปของอกุศล แต่ว่าก็ได้มาโต้เถียงกับพระพุทธเจ้าว่า… ท่านสมณโคดม ท่านน่ะเข้าใจไหม เชื่อหรือไม่ว่า คนเรานี่จะได้ความสุขก็ต้องเอาทุกข์เข้าไปแลก จะได้ความสุขโดยไม่ต้องมีความทุกข์น่ะมันไม่ได้ พระพุทธเจ้าก็บอกว่า อย่ากล่าวอย่างนั้นโดยส่วนเดียว ว่ากันโดยย่อ ๆ พระองค์ทรงบอกว่าอย่าผลีผลามกล่าวเช่นนั้น พวกนี้ก็บอกว่าถ้าอย่างนั้นเอาอย่างนี้แล้วกัน สรุปโดยสั้น ๆ ก็เรียกว่า โดยย้อนถามว่า… พวกพระองค์น่ะ สมณโคดมกับพระเจ้าพิมพิสาร ใครจะมีความสุขมากกว่ากัน ปรากฏว่าพระองค์ก็ยังย้ำอยู่ว่า อย่าผลีผลามกล่าวอย่างนั้นนะ ว่าอย่างนั้นเถอะจะมาเปรียบเทียบกษัตริย์กับพระพุทธเจ้า ใครจะมีความสุขมากกว่ากัน พระองค์ก็บอกเอาอย่างนี้ไหม เรานี่นะเจ็ดวันเราสามารถไม่พูด ไม่ไหวติงร่างกาย ไม่กิน ไม่เสพอะไรนิ่งอยู่ได้เจ็ดวัน พระเจ้าพิมพิสารนี้ทำอย่างนี้ได้หรือเปล่า พระเจ้าพิมพิสารหรือพระราชานั่นน่ะ ไม่ได้เห็น ไม่ได้เคลื่อนไหว ไม่ได้เห็นรูป ไม่ได้ดื่ม ไม่ได้กิน เป็นเวลาเจ็ดวันนี่จะฟุ้งซ่าน ราชบัลลังก์แทบจะสั่นสะเทือน ฉะนั้นพระองค์มีความสงบนิ่ง ไม่ไหวติงได้ดีกว่า เอาล่ะ เป็นอันว่าพวกนิครนถ์พวกนี้ก็เกิดการโต้แย้งกันอยู่พักใหญ่ เรียกว่าจะมาต้อนให้พระองค์เหงื่อไหล แต่ต้อนไปต้อนมาก็กลับเป็นผู้ที่แย่เสียเอง เรื่องนิครนถ์นี้มีการโต้กันมาก แต่ว่าเราเอามาฟังกันสักจำนวนหนึ่ง เอามาชนกันสักนิดหน่อย ว่ากันสักนิดหน่อย หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2553 08:18:20 ภาพที่ ๙๒ ปากสามชนิด (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/92.jpg) พระพุทธองค์ทรงสอนภิกษุว่า ปากของเรานี่ต้องระวังให้ดี มีอยู่สามชนิด ปากเหมือนน้ำผึ้ง ปากเหมือนดอกไม้ และปากเหมือนคูถ ปากเหมือนส้วมนี่ เรียกว่าไปไหนเผยออ้าปากก็เหมือนเปิดฝาส้วม พูดอะไรมาที ก็เหม็นขี้หน้า เรียกว่าเหม็นขี้ปาก บางคนนี่พูดมาทีก็ว่าปากมาก คลำดูแล้วก็มีปากเดียว แต่ว่าพูดอะไรไม่ดี ส่วนปากเหมือนดอกไม้ คือ น่าฟัง น่าดู น่าชม และปากเหมือนน้ำผึ้ง…แหม หยาดเยิ้ม พูดแล้วหวานรื่นหู น่าฟัง อย่างนี้เป็นต้น ทรงเน้นว่าปากชนิดไหนที่จะดีมีประโยชน์ ถูกกาล ถูกเวลา ฟังแล้วได้สาระ เป็นเครื่องชำระกิเลส หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2553 08:22:10 ภาพที่ ๙๓ รักษาตนเท่ากับรักษาผู้อื่นด้วย (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/93.jpg) พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมอุปมาเรื่องของการแสดงกายกรรมในหมู่บ้านหนึ่ง มีนักกายกรรมซึ่งมีอาจารย์กับลูกศิษย์ อาจารย์ก็เรียกลูกศิษย์ให้ขึ้นมาไต่ไม้ที่ตั้งบนไหล่ของอาจารย์ แล้วอาจารย์ก็ร้องขึ้นไปบอกว่า นี่ แกช่วยรักษาฉันให้ดีนะ หมายความว่า ขึ้นไปเหยียบเนี่ย พยายามรักษาชื่อเสียงนะ อย่าให้หล่นให้พลาดมา แกรักษาฉัน ฉันก็จะรักษาแก ว่าอย่างนั้นเถอะ ต่างคนต่างรักษาหน้าที่กันให้ดีก็แล้วกัน อาจารย์ทำหน้าที่ของอาจารย์ให้ดี ผมก็จะรักษาตัวผมให้ดี แล้วทุกอย่างก็จะดีเอง ชื่อเสียง ลาภสักการะ ก็จะมาหาเราเอง เมื่อเราต่างคนต่างรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองดี พระพุทธองค์ทรงแสดงให้เห็นว่า ในโลกนี้มันอาศัยซึ่งกันและกัน ถ้าเรารักษาตนก็เท่ากับรักษาคนอื่นด้วย เรารักษาคนอื่นเท่าไรก็เท่ากับเรารักษาตนเท่านั้น หมายความว่า การที่เรามีเมตตา มีความอดทน มีการไม่เบียดเบียนผู้อื่น โทษภัยทั้งหลายมันก็ไม่มีมาถึงเรา เพราะเรามีเมตตา มีความอดทน ใครเขาก็ไม่กล่าวโทษเรา เราก็ไม่ได้รับทุกข์รับโทษ ไม่มีใครมาล้มทับเรา ไม่มีใครมาหล่นใส่เรา ให้ร้ายเรา นั้นก็เพราะเรามีความอดทน มีความเมตตา ความอดทน ความไม่เบียดเบียนนั้นเป็นการรักษาตนที่ยอดเยี่ยม และรักษาผู้อื่นที่ดีที่สุด เพราะฉะนั้น การเถียงกันว่า จงรักษากันให้ดี จงช่วยกันให้ดี ขอให้ช่วยให้ตัวเอง จิตใจของตัวเองมีเมตตา มีความอดทน และมีการไม่เบียดเบียน จะเป็นการช่วยสังคมและช่วยตนให้อยู่อย่างมีความสุขและดีที่สุด เหมือนนักกายกรรม ที่คนข้างล่างผู้เป็นอาจารย์ก็มีความปรารถนาดี รักศิษย์ อย่าให้ศิษย์ตกลงมา ท่านมีความอดทนให้ศิษย์ยืนขึ้นไปบนไหล่ และไม่คิดจะเบียดเบียนทำให้ผู้ที่อยู่ข้างบนนั้นพลัดตกลงมา แล้วอย่างนี้ลาภสักการะ ชื่อเสียงก็เกิดขึ้นกับวงการกายกรรมนี้อย่างมากมาย นั่นคือผลแห่งการรักษาตน เหมือนกับเล่นตะกร้อ ส่งกันไปส่งกันมาดีมันก็ดีกันหมดทั้งวง แต่ถ้าหากไม่รับ ไม่เตะ ไม่ส่งให้ดี ชู้ตออกนอกวง มันก็พัง แพ้กันหมดทั้งวงเหมือนกัน นี่ชื่อว่า ถ้ารักษาตนดี มีเมตตา มีความอดทน มีความไม่เบียดเบียนผู้อื่นแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะถูกรักษาดีไปหมด หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2553 08:25:55 ภาพที่ ๙๔ หลบหนีมัจจุราช (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/94.jpg) พราหมณ์พาวรี 16 คน ได้นำปัญหาต่าง ๆ มาทูลถามคนละข้อสองข้อ มีปัญหาหนึ่งดีมากคือปัญหาของโมกขราชมาณพที่ว่า ทำอย่างไรข้าพเจ้าจึงจะไม่ให้มัจจุราชเห็น พระพุทธองค์ก็บอกว่า โมกขราช เธอจงมีสติ มองโลกนี้โดยความเป็นของว่าง ว่าไม่มีเรา ไม่มีของเรา ให้ว่างจากความรู้สึกว่าในโลกนี้มันเป็นของเรา เป็นของเราเสีย พญามัจจุราชก็จะมองไม่เห็นว่ามีเราเกิด มีเราแก่ มีเราเจ็บ มีเราตาย ให้มองว่าเป็นเพียงธรรมชาติล้วน ๆ ไหลไปเสีย จิตก็จะไม่มีตัว ความทุกข์ว่าเกิด แก่ เจ็บ ตาย นั้นมันไม่ใช่ทุกข์ที่ภาวะแก่ ทุกข์ที่ภาวะเจ็บ มันไปทุกข์ที่ยึดถือว่าเราแก่ เราเจ็บ ถ้ามองโลกนี้ด้วยความเป็นของว่างจากตัวเราเสียแล้ว จะไม่มีพญามัจจุราชมาตามมองเห็นเลย หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2553 08:29:46 ภาพที่ ๙๕ เมื่อศรัทธา ก็ไม่มีคำว่าน้อย (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/95.jpg) นี้เป็นภาพมีในพุทธประวัติจากหินสลัก พระพุทธองค์ออกบิณฑบาต พวกเด็ก ๆ ที่น่ารักกำลังนั่งเล่นดินเล่นทราย เอากะโหลกกะลามาทำข้าว ทำขนม ครั้นเมื่อเห็นพระพุทธเจ้าบิณฑบาต ก็เรียกพระพุทธเจ้าว่าจะรับไหม พระพุทธเจ้าก็เปิดบาตรรับจากเด็กผู้มีจิตศรัทธาน้อมอยากจะให้ จิตที่คิดจะให้นั้นมันสบาย แล้วจิตที่คิดจะให้ด้วยศรัทธานั้นชื่อว่าน้อยไม่มี เพราะขึ้นชื่อว่าจิตที่คิดจะให้ด้วยศรัทธาแล้วมันไม่มีคำว่าค่าน้อย มันมีคุณค่าทางจิตใจมาก เพราะใจที่จะคิดให้นั้นมันยาก ซึ่งมันไม่เหมือนกับเดี๋ยวนี้ แม้แค่ดินแค่ทรายล่วงล้ำเกินนิดเดียวเพื่อประโยชน์ของสาธารณะก็ยังยาก บางคนนี่ขยายที่รุกเขตกันเข้ามาจนหมดรั้วหมดหนทางเดิน นี่แหละ…จิตที่คิดจะให้มันยาก หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2553 08:33:37 ภาพที่ ๙๖ ทุกชีวิตมุ่งสู่ความตาย (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/96.jpg) พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมโปรดพระเจ้าปเสนทิโกศล ให้เห็นภัยในการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ความว่า… ความแก่ ความเจ็บ ความตายนั้น เป็นเสมือนภูเขาก้อนใหญ่ หรือหินก้อนใหญ่ที่กลิ้งลงมาจากยอดภูเขา แล้วก็บดทับสัตว์ให้แหลกลาญไปวัน ๆ หนึ่ง ฉะนั้นชีวิตของเรานั้นแหลกไปกับเกิด ไปกับแก่ ไปกับเจ็บ ไปกับตาย ซึ่งก้อนหินนั้นกำลังกลิ้งเข้ามา ท่านทั้งหลายอย่าได้ประมาท ที่ยังอยู่ตรงนี้เพราะว่าหินก้อนใหญ่มันยังไม่กลิ้งมาข้างหลังเรา ความแก่มันกลิ้งจะทับเราอยู่ทุกวัน ความเจ็บกำลังกลิ้งจะทับเราอยู่ทุกวันและมันก็กลิ้งทับเพื่อน ญาติพี่น้อง สัตว์ต่าง ๆ ตายไปวันละศพสองศพ เรายังไม่ตกใจ จะคิดที่จะวิ่งหนีหรือ คือวิ่งไปหาพระธรรมคำสอนที่สอนให้พ้นเกิด แก่ เจ็บ ตาย พระองค์บอกว่า ใครได้เราเป็นกัลยาณมิตรแล้วจะพ้นเกิด แก่ เจ็บ ตาย เพราะฉะนั้นจงวิ่งหาพระธรรมคำสอนของพระองค์ เพื่อให้พ้นหินก้อนใหญ่ที่มันจะทับเราให้แหลกลาญ หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2553 08:37:46 ภาพที่ ๙๗ การฝึกม้า การฝึกพระภิกษุ (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/97.jpg) ครั้งหนึ่ง เกสีผู้ฝึกม้าได้เข้ามากราบทูลถามพระพุทธเจ้า ว่า… พระองค์ฝึกสาวกอย่างไร? พระพุทธเจ้าก็เลยย้อนกลับเกสีผู้ฝึกม้าว่า แล้วท่านล่ะฝึกม้าอย่างไร? เกสีบอกว่า เราฝึกด้วยวิธีละมุนละไม บางทีก็ฝึกด้วยวิธีลงแส้ ลงปฏัก แล้วแต่ม้าตัวนั้นมันจะอยู่ในสภาพอย่างไร ถ้าหากว่าไม่ไหว ก็พาไปฆ่าทิ้ง พระองค์ก็บอกว่า เราก็เป็นเช่นนั้น เราก็ฝึกสาวกด้วยวิธีละมุนละไม และลงแส้บ้างคือขนาบบ้าง และถ้าเห็นว่าไม่ไหวเราก็ฆ่าทิ้งเช่นเดียวกัน เกสีบอกว่า เอ้า เป็นพระแล้วจะไปฆ่าได้ยังไง ไม่ผิดศีลหรือ? พระองค์ก็ทรงบอกว่า การฆ่าในธรรมวินัยนี้ ไม่ใช่ฆ่าเหมือนชาวโลก ที่ใช้ปืน ใช้มีด ใช้หอก ใช้ดาบ ฆ่าในความหมายของเราก็คือให้ตายจากความดี ฆ่าในอริยวินัยนี้ก็คือไม่พูด ไม่สอน ไม่เตือน ปล่อยให้เน่าอยู่กับความชั่วนั่นเอง เพราะฉะนั้น การที่ไม่มีใครคอยเตือน คอยสอน คอยห้าม นั่นถือว่าเราถูกฆ่าให้ตายจากความดี และจมอยู่กับความชั่วร้ายอย่างเน่าฟอนเฟะ เพราะฉะนั้นการฆ่าที่ร้ายกาจที่สุดก็คือ การปล่อย ไม่สอน ไม่เตือน ปล่อยให้จมอยู่กับความชั่ว ให้เน่าเฟะอยู่กับความชั่ว คิดชั่ว นั่นแหละเป็นการถูกฆ่าที่ร้ายกาจที่สุด ท่านทั้งหลาย…ถ้าเราไม่มีใครเตือน ไม่มีใครสอนเราเลย จงรู้สึกไว้เสียเถิดว่าเรากำลังจะถูกฆ่าอย่างน่ากลัวที่สุด หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2553 08:41:33 ภาพที่ ๙๘ น้ำพระทัยอันใหญ่หลวง (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/98.jpg) ครั้งเมื่อพระนางปชาบดีโคตมี ได้นำเอาผ้าจีวรมาถวายพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงยกมือห้ามว่า ควรถวายแก่สงฆ์ และอย่าเจาะจงเฉพาะรูปใดรูปหนึ่งเลย ซึ่งเป็นการแสดงถึงน้ำพระทัยของพระพุทธองค์ว่า ไม่ยินดีรับไว้ในลาภสักการะแต่เพียงผู้เดียว ยังได้เหลียวแลในสังฆมณฑลหมู่สงฆ์เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งชาวพุทธทั่วไปก็มักมีการเจาะจงยินดีเฉพาะบุคคลที่ตนเคารพรักใคร่รู้จัก ไม่ได้นึกถึงสังฆมณฑลทั่วไป นี่น้ำพระทัยของพระผู้มีพระภาค ผู้เป็นพระบรมศาสดาของพวกเรานั้น พระองค์ทรงมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่สาวกของพระองค์หรือหมู่คณะเป็นอย่างยิ่ง หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2553 08:45:46 ภาพที่ ๙๙ ภิกษุณีองค์แรก (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/99.jpg) ต่อมาพระนางปชาบดีก็ได้บวชเป็นภิกษุณี ซึ่งถือว่าเป็นภิกษุณีองค์แรกในพระพุทธศาสนา และต่อมาได้เป็นพระอรหันต์ เป็นภิกษุณีที่มีจิตใจเด็ดเดี่ยว หลังจากที่พระบรมศาสดาพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ให้มีสตรีเข้ามาบวช ด้วยเห็นว่าจะเป็นอันตรายต่อพรหมจรรย์ แต่ว่าด้วยความใจเด็ดของผู้เป็นสตรีสมัยก่อนโน้น อย่าว่าแต่แค่รักษาศีลแปดเลย ศีลสองร้อย สามร้อย ยังพยามยามที่จะรักษาไว้ได้ หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2553 08:49:14 ภาพที่ ๑๐๐ พระจริยาวัตร (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/100.jpg) ภาพนี้เป็นอิริยาบถพระจริยาวัตรที่น่าเลื่อมใสของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นทรงมีน้ำพระทัยเอื้อเฟื้อเกื้อกูลอย่างยิ่ง ภิกษุสาวกรูปใดเจ็บป่วย พระองค์ก็ทรงไปอาบน้ำเอาน้ำลูบ โดยเสด็จไปพร้อมกับพระอานนท์ ซึ่งเป็นพระอุบัฎฐาก โดยทรงพยายามเน้นหนักตรัสสั่งสอนพระอานนท์ไปในทางที่ว่า ใครที่มุ่งจะปฏิบัติต่อตถาคตแล้ว ขอให้ปฏิบัติกับภิกษุที่ป่วยไข้เช่นเดียวกับที่ปฏิบัติต่อพระองค์ นี่ก็แสดงถึงว่าเราเป็นเพื่อนภิกษุหรือว่าเป็น พุทธบริษัทร่วมกันแล้ว จะเหลียวแลกันเมื่อยามเจ็บยามไข้ ที่เรียกว่า ป่วยก็ช่วยกันรักษายามดีก็ช่วยกันที่จะประกอบกิจการงาน หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2553 09:09:48 ภาพที่ ๑๐๑ อุปมาหม้อสี่ชนิด (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/101.jpg) ครั้งหนึ่งพระองค์แสดงธรรมกับภิกษุสาวก โดยอุปมาด้วยหม้อ 4 อย่าง คือ หม้อเปล่าปิดฝา หม้อเปล่าไม่ปิดฝา หม้อน้ำเต็มปิดฝา และหม้อน้ำเต็มไม่ปิดฝา ซึ่งอุปมาได้กับภิกษุที่ไม่รู้อริยสัจแล้วก็มีความประพฤติไม่งาม (หม้อเปล่าเปิดฝา) ภิกษุที่รู้อริยสัจจ์แต่ว่ากิริยามารยาทไม่งามเลยนี้เปรียบเสมือนกับหม้อที่มีน้ำแต่ว่าเปิดฝา ส่วนหม้อที่เปล่าด้วยแล้วก็ไม่ปิดฝาด้วย ก็คือรูปร่างกิริยามารยาทก็ไม่ดี อริยสัจสี่ก็ไม่รู้ สุดท้ายหม้อที่เต็มน้ำด้วยปิดฝาด้วย นี่ก็คือภิกษุที่น่าเคารพเลื่อมใส ภายในจิตใจก็รู้อริยสัจสี่ ทรงอุปมาไว้เพื่อแสดงให้เห็นว่า ภิกษุที่แม้จะรู้อริยสัจสี่แล้วแต่กิริยาไม่น่าเคารพเลื่อมใสนั้นก็ยังมีอยู่ในส่วนตัวนั้นหมดทุกข์ไป แต่กิริยาภายนอกไม่สร้างศรัทธาให้เกิดแก่ปวงชน หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2553 09:15:14 ภาพที่ ๑๐๒ กุศโลบายสอนธรรม (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/102.jpg) พระองค์ทรงแสดงธรรมสั่งสอนภิกษุด้วยการใช้อุปกรณ์ภายนอกที่เห็นได้ด้วยตา เช่น ไปเห็นหนูสี่ตัว ตัวหนึ่งขุดรูแต่ไม่อยู่ ตัวหนึ่งอยู่แต่ไม่ขุด ตัวหนึ่งขุดด้วยอยู่ด้วย ตัวหนึ่งไม่ขุดด้วยไม่อยู่ด้วย นี่แสดงอุปมาว่า ภิกษุบางรูปนั้นศึกษาสำนักนั้นสำนักนี้ แต่ว่าไม่ได้ปฏิบัติ เรียกว่าขุดแต่ไม่อยู่ ส่วนผู้ที่ปฏิบัติเอาจริงเอาจัง แต่ไม่ค่อยศึกษาธรรมวินัยให้ทั่วถึงเรียกว่าอยู่โดยไม่ค่อยได้ขุด ส่วนที่ศึกษาด้วยปฏิบัติด้วยอย่างจริงจังตามที่ศึกษานั้นและเผยแพร่ได้ด้วย เป็นประโยชน์ส่วนตน ส่วนรวม ก็เรียกว่าทั้งขุดด้วยทั้งอยู่ด้วย ส่วนที่ไม่ขดไม่อยู่นั้นก็ง่ายที่สุด คือพวกไม่เอาไหนเลย ไม่ยอมฟัง ไม่ยอมศึกษา ไม่ยอมทดลองปฏิบัติอะไรทั้งสิ้น นี่คือกุศโลบายของพระองค์ที่ทรงสั่งสอนภิกษุให้เข้าใจ หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2553 09:22:25 ภาพที่ ๑๐๓ โปรดสิงคาลมาณพ (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/103.jpg) พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมโปรดสิงคาลมาณพ ซึ่งเชื่อตามที่พ่อได้สอนไว้ว่า ให้ไหว้ทิศทุกเช้า พระองค์ก็ทรงมาโปรดและตรัสถามว่า ทำไมต้องไหว้อย่างนี้ เขาก็ตอบว่าพ่อสั่งให้ทำ พระองค์ก็เลยบอกว่า มันมีทิศที่น่าจะไหว้อีก ทิศแปลว่าสิ่งที่จะต้องเหลียวดู เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราน่าจะเหลียวดูทุกเช้า ไม่ใช่ทิศเหนือทิศใต้ ทิศที่น่าเหลียวดูที่สุด ทิศเบื้องหน้า ได้แก่ บิดา มารดา เป็นต้น ทิศเบื้องหลัง ได้แก่ บุตร ภรรยา แต่คนบางคนมันหันกลับทิศ มัวดูแต่บุตรและภรรยา บิดามารดาไม่ได้ดู อย่างนี้ก็เสียหาย ก็เรียกว่าดูให้ทั่วทิศที่เราควรเหลียวดู เช่น บุตร ภรรยา สามี เพื่อน บ่าว ไพร่ สมณะ ชี พราหมณ์ หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2553 09:47:28 ภาพที่ ๑๐๔ โปรดลัทธิชีเปลือย (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/104.jpg) พระพุทธองค์เสด็จโปรดพวกลัทธิชีเปลือย ที่มีการประพฤติแบบอัตกิลมถานุโยค หรือเป็นพวกสีลัพพตปรามาส ซึ่งมีความเชื่อว่าการประพฤติให้หมดกิเลสจะมีวิธีเช่น การจับกิ่งไม้โหนไว้ไม่ไปไหน มือกำไว้แน่น พระองค์ก็มาถามว่า ทำไปทำไม เขาก็บอกว่าทำเพื่อใช้กรรมเก่า พระองค์ทรงถามว่า ไปทำกรรมอะไรมาไว้ เขาก็บอกว่าไม่รู้ ครั้นพอถามว่าใช้ไปได้เท่าไรแล้ว เขาบอกไม่รู้ ยังเหลืออีกเท่าไรที่จะใช้ต่อไป ก็ไม่รู้ แต่ทำไปตามที่เรียกว่าเถรส่องบาตร เขาบอกให้ทำยังไงก็ทำกันไปยังงั้น พระองค์ทรงแสดงธรรมโปรดโดยชี้ให้เห็นว่า ถ้าหากว่ามือนี้มัวมากำอยู่นั่น เพื่อไม่ให้มันทำกรรมต่อ นั่นมากำไม้กวาดกวาดวัดเสียยังดีกว่า อย่าเสียเวลาไปกำอยู่อย่างนั้นเลย บางคนก็เอามือลนย่างไฟ เพื่อไม่ให้มือนี้มันไปทำบาปทำกรรมใหม่ บางคนก็เดินบนหนาม นอนบนหนาม ยืนขาเดียว ยืนบิดตัว สารพัดอย่างที่จะทรมานกันไป หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2553 09:53:24 ภาพที่ ๑๐๕ ธิดาช่างหูก พูดเล่นลิ้น (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/105.jpg) ครั้งหนึ่ง ขณะที่พระองค์ทรงแสดงธรรมกับฝูงชนเป็นอันมาก มีลูกสาวช่างหูกคนหนึ่งมาพูดในลักษณะที่คนทั่วไปมองดูแล้วหาว่าพูดยวนพระพุทธเจ้า เรียกง่าย ๆ แบบชาวบ้านก็ว่า พูดเล่นลิ้น แต่ใจจริงของเธอที่พูดไปนั้น พูดไปตามความรู้สึกสภาพธรรมะที่เกิดขึ้นในหัวใจ กล่าวคือ… พระองค์ทรงถามลูกสาวช่างหูกผู้นั้นว่า …มาจากไหน หญิงคนนั้นแทนที่จะบอกว่ามาจากบ้านหรือมาจากไหน นางกลับไม่ตอบแบบนั้น กลับตอบว่าไม่รู้ เมื่อพระพุทธองค์ตรัสถามต่ออีกว่าแล้วจะไปไหน บอกรู้ จะไปเมื่อไร บอกไม่รู้ พูดกันง่าย ๆ ก็สรุปว่า พระองค์ถามว่ามาจากไหน…ไม่รู้ ก็คือไม่รู้ว่าตนเกิดมาจากไหนที่มาเกิดนี่ ทีนี้จะไปไหนก็รู้ล่ะ ไปตายแหละ ก็ต้องไปแหละ นี่รู้ ถามว่าไปเมื่อไร ตายวันไหน บอกไม่รู้อีก คนส่วนใหญ่นี่โมโหมาก นึกแค้นว่าผู้หญิงคนนี้มันพูดเล่นลิ้นกับพระพุทธเจ้า แต่ที่จริงนั้นไม่ใช่ เป็นเรื่องที่ดังได้กล่าวแล้วว่า เป็นการเข้าใจผิดกัน พวกชาวบ้านหาว่าพูดเล่นลิ้น แต่หญิงนั้นหมายถึงว่า การถามว่ามานี่ เกิดมานี้มาจากไหนไม่รู้ ส่วนจะไปไหน รู้ว่าไปสู่ความเกิด เจ็บ ตาย ส่วนไปเมื่อไรล่ะ บอกไม่รู้เหมือนกันจะไปเมื่อไร ลักษณะนี้เรียกว่าเป็นแบบเซ็นเลยทีเดียว แต่ว่าพระพุทธเจ้าเข้าใจ คนส่วนใหญ่ที่มาฟังวันนั้นไม่เข้าใจ จึงเกลียดชังโกรธแค้นมาก หาว่าลูกสาวช่างหูกผู้นี้พูดจาเล่นลิ้นกับพระพุทธเจ้า หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2553 10:02:52 ภาพที่ ๑๐๖ โปรดชายไถนา (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/106.jpg) พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมกับคนไถนา คนไถนาเขาต่อว่าพระสมณโคดมว่า ไม่เห็นทำมาหากิน ทำไร่ไถนาอะไร เที่ยวบิณฑบาตขอเขาอยู่เรื่อยไป พระองค์เมื่อได้ยินชายไถนากล่าวต่อว่าดังนั้น จึงทรงแสดงธรรมโปรดชายไถนาว่า เราก็ทำนาเหมือนกัน มีอมตะเป็นผล คือมีความไม่ตายนี้เป็นข้าวเปลือกเป็นผล เรามีขันติเป็นงอนไถ มีสติเป็นเหมือนเชือก มีผาลเป็นปัญญาที่จะไถพลิกความโง่ออกจากจิตใจ พระองค์ทรงแสดงธรรมโปรดสั้น ๆ ครั้นปรากฏว่าพอแสดงธรรมไปแล้ว พราหมณ์ผู้ทำนานี้เกิดเลื่อมใสศรัทธาเพราะว่าไอ้คันไถอย่างนั้น เชือกอย่างนั้น มันหายากเหมือนกันนะ ผาลไถนี่เราก็ทำกันได้ เดี๋ยวนี้ใช้เครื่องผาลไถพลิกกลับดินให้งอกงาม ทำให้ต้นไม้ขึ้นดี แต่ว่าพระองค์นั้นทรงใช้ปัญญา พระผู้มีพระภาคทรงไปโปรดพราหมณ์ผู้ทำนา ปรากฏว่าพราหมณ์ก็ได้พูดกับพระพุทธเจ้าว่า ท่านจะทำนาบ้างไม่ได้หรือไง ผู้ที่ทำนาก็ย่อมได้ข้าวกิน เมื่อไม่ได้ทำนาก็ไม่ควรจะกิน พูดตามภาษาบ้านเราก็ว่าอย่างนั้นเถอะ ปรากฏว่า พระองค์ก็บอกว่าเราก็ทำนาเหมือนกัน ชาวนาผู้เป็นพราหมณ์ก็ถามว่า เอ้า ไหนล่ะเครื่องมือในการทำนาไม่เห็นมีอะไร มีแต่บาตรลูกเดียวจะทำได้อย่างไร พระองค์ก็ทรงตอบว่าเรามีศรัทธาเป็นเสมือนพืชเป็นเหมือนเมล็ดที่จะเพาะปลูกงอกงามเป็นผลเรามีปัญญาเป็นเหมือนแอกและไถ มีหิริเป็นงอนไถ ใจเป็นเชือกชัก สติของเราเป็นผาลและปฏัก เรามีกายคุ้มครอง ดีแล้ว มีทวารมีวาจาอันคุ้มครองดีแล้ว เป็นผู้สำรวมแล้วในการบริโภคอาหาร เราทำการ ดายหญ้าด้วยคำสัตย์ โสรัจจะของเราเป็นเครื่องให้เสร็จงานความเพียรของเราเป็นเครื่องนำธุระไปให้สมหวัง นำไปถึงความเกษมจากโยคะ คือปราศจากเครื่องผูกพันนั้น ไปไม่ถอยหลังยังที่ซึ่งบุคคลไปแล้วไม่ต้องโศก มีอมตะเป็นผล นี้คือการทำนาของเรา บุคคลทำนาอย่างนี้แล้ว ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้เหมือนท่านต้องการข้าวไปแก้หิว เรานั้นก็มีคุณธรรมดังที่ได้กล่าวนี้เป็นเครื่องให้พ้นทุกข์ด้วยเช่นกัน หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2553 10:07:28 ภาพที่ ๑๐๗ พราหมณ์ผู้ถือตน (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/107.jpg) พระพุทธองค์ทรงโปรดพราหมณ์ผู้ถือตัวถือตน ได้ถือดอกไม้สองกำมาข้างละกำมือ เมื่อมาถึงพระองค์ก็ทรงบอกว่า วางสิ…พราหมณ์ พราหมณ์ได้วางดอกไม้ในมือข้างหนึ่งลง ยังเหลืออีกข้างหนึ่ง พระองค์ตรัสต่อไปว่า…วางสิพราหมณ์ พราหมณ์ก็ได้วางลงอีกข้างหนึ่ง พระองค์ก็ยังตรัสต่อไปอีกว่า วางสิ..พราหมณ์ ปรากฏว่าพราหมณ์ชักโมโห จะวางอะไรอีกล่ะ วางจนหมดแล้วนี่น่า จะให้วางอะไรอีกล่ะ พระองค์ก็ตรัสว่า วางการยึดมั่นถือมั่นถือตัวถือตนสิพราหมณ์ จะได้เบากว่านี้ ทำให้พราหมณ์ได้เกิดแวบขึ้นมาในหัวใจ และทำให้เกิดลดทิฏฐิมานะความยึดมั่นถือมั่นลงไปได้มากทีเดียว หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 09 กุมภาพันธ์ 2553 16:31:39 ภาพที่ ๑๐๘ อุปมาเรื่องนิพพาน (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/108.jpg) ภาพนี้เป็นภาพการอุปมานิพพานว่า… เหมือนกับการเรียกเด็กมากินข้ามต้ม ข้าวต้มนิพพานแล้ว ก็คือข้าวมันเย็นแล้วนั่นเอง หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 09 กุมภาพันธ์ 2553 20:54:54 ภาพที่ ๑๐๙ ม้านิพพาน (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/109.jpg) ภาพนี้ เปรียบนิพพานเหมือนม้าที่มันเชื่องเยือกเย็นดีแล้ว คนเราเมื่อกิเลสหมดแล้วก็ย่อมสงบเย็น เหมือนม้าที่เชื่อง เรียกว่านิพพานคือ ม้านิพพาน เพราะฉะนั้น คำว่านิพพานนั้นไม่ใช่เรื่องหลังจากความตาย ผู้ที่ฟังหรือพบพระพุทธเจ้าแล้วก็จะได้เย็นใจในปัจจุบัน เดี๋ยวนี้ ชีวิตนี้ ไม่ต้องรอต่อเมื่อตายแล้ว หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 09 กุมภาพันธ์ 2553 21:01:27 ภาพที่ ๑๑๐ ธรรมะกำมือเดียว (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/110.jpg) ภาพนี้พระองค์ทรงแสดงธรรมโปรดภิกษุที่ป่าประดู่ลาย โดยทรงหยิบใบไม้ขึ้นมากำมือหนึ่ง แล้วถามภิกษุว่า ใบไม้ในกำมือของพระองค์ กับใบไม้ทั้งหมดในป่าประดู่นี้ ใบไม้ที่ไหนมีมากกว่ากัน ภิกษุก็ได้ตอบว่า ใบไม้ในป่านี้ทั้งหมดมีมากกว่าในกำมือของพระองค์ พระองค์จึงทรงตรัสต่อไปว่า เรื่องที่เรารู้น่ะเท่ากับใบไม้ทั้งป่า แต่ที่นำมาสอนเธอเท่ากับใบไม้ในกำมือ คือสอนแต่เรื่องทุกข์กับเรื่องดับทุกข์เท่านั้น ส่วนเรื่องอื่น ๆ นั้น ปรากฏว่ามีคนสอนกันมากมาย ฉะนั้นพระองค์จึงมุ่งไปสอนแต่เรื่องทุกข์กับเรื่องดับทุกข์ ส่วนสูตรอื่นวิชาอื่นมีคนสอนแล้ว หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 09 กุมภาพันธ์ 2553 21:16:21 ภาพที่ ๑๑๑ แสดงธรรมโต้สัจฉกนิครนถ์ (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/111.jpg) พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมโต้กับสัจฉกนิครนถ์ ที่ป่ามหาวัน เมืองเวสาลี โดยมีพระเจ้าลิจฉวีเข้าร่วมฟังในครั้งนั้นด้วย พร้อมกับผู้ฟังอีกเป็นจำนวนมากมาย เนื่องจากว่าสัจฉกนิครนถ์นี่เป็นคนที่ค่อนข้างจะโม้คุยโวโอ้อวดศักดาสักหน่อย ได้ป่าวประกาศว่าวันนี้เราจะไปโต้กับสมณโคดมให้เหงื่อตก สั่นสะท้านดุจดังลูกนกทีเดียว เพราะสัจฉกนิครนถ์เคยพูดไว้ว่า เขาน่ะโต้กับเสาที่ไม่มีชีวิตนี่น่ะยังสั่นสะเทือน นี่เป็นถึงขนาดนั้น ปรากฏว่า เมื่อมาพูดโต้กันไปโต้กันมา ก็ได้ถามว่า ท่านสมณโคดมสอนอย่างไร? พระองค์ก็เน้นไปที่ว่า เราสอนว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน สัจฉกนิครนถ์ก็ได้ย้ำเน้น แน่นะ พระพุทธเจ้าบอกว่า แน่ สัจฉกนิครนถ์ก็บอกว่า ธรรมดาคนเขาสอนกันทั่วไป เขารู้กันว่าร่างกายนี่มันเป็นของตน ท่านมาสอนอย่างนี้มันก็ผิดน่ะสิ พระองค์กล่าวอุปมาว่า ในนครหนึ่งมีพระราชาเป็นเจ้าของแผ่นดิน ก็ยอมลงโทษบุคคลผู้ทำผิด เนรเทศให้ออกไปเสียก็ได้ บังคับให้ทำอะไร ได้รับอาชญาอย่างไรก็ได้ แต่รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เราบังคับได้ไหม เราบังคับไม่ให้เจ็บ ไม่ให้ป่วย ไม่ให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ได้หรือไม่ สัจฉกนิครนถ์ก็บอกว่า ไม่ได้ พระองค์ก็บอกว่า ถ้างั้นคำแรกกับคำหลังมันก็ไม่ตรงกันซะแล้วนี่ ซัดส่ายไปส่ายมาเสียแล้ว ทีแรกว่าเป็นตนตอนนี้ว่าไม่ใช่ตนเสียแล้ว หนัก ๆ เข้าก็ให้ตอบให้ยืนยันมาว่า ที่พูดมานี่ถูกหรือไม่ถูก ชักจะนิ่งอึ้ง ปรากฏว่าถามถึงสามครั้งไม่ตอบ พระองค์ก็บอกว่า ถ้าหากว่าครั้งที่สามนี่ไม่ตอบ จะหัวแตกเป็นเจ็ดเสี่ยงทีเดียว พระองค์บอกว่าให้ตอบนะ ไม่ใช่ให้นิ่ง ปรากฏว่าสัจฉกนิครนถ์นี่นิ่ง คอตก สั่นสะท้านเหงื่อตกทีเดียว ทีแรกคิดว่าจะมาโต้กับพระองค์นี่ ต้อนให้พระองค์นิ่ง เหงื่อไหล ว่าอย่างนั้นเถอะ แต่ปรากฏว่าพระองค์ได้หยิบจีวรให้ดูว่า นี่เหงื่อเราไม่ได้ไหลเลย แต่ของท่านน่ะย้อยตั้งแต่หน้าผากมาทีเดียว ปรากฏว่าตั้งแต่นั้นมา สัจฉกนิครนถ์ถึงกับหมดทิฏฐิอันชูโรงว่าตนเองนั้นเด่นแน่ ชอบใช้วาทะข่มผู้อื่น เลยเกิดศรัทธานิมนต์พระพุทธเจ้าไปฉันยังสำนักของตน พระเจ้าลิจฉวีก็ได้ติต่าง ๆ นานาว่า เป็นคนที่ชอบใช้วาทะข่มผู้อื่น แต่แล้วเมื่อมาเจอพระพุทธเจ้าก็เรียกว่าสยบไปเลยทีเดียว หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 09 กุมภาพันธ์ 2553 21:24:12 ภาพที่ ๑๑๒ โปรดพราหมณ์ ผู้สำคัญตนว่าโชคดี (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/112.jpg) พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมโปรดพราหมณ์ผู้สำคัญตนว่าเป็นคนมีโชคดี ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน พราหมณ์ผู้สำคัญตนว่าโชคดีนี้ เมื่อมาพบพระพุทธเจ้าก็ปรบมือแปะ ๆ บอกว่า แหม ข้าพเจ้านี่มันเป็นคนโชคดี ไม่มีโรคอะไรเสียเลย ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐว่าอย่างนั้นเถอะ พระพุทธองค์ทรงได้ยินดังนั้นก็ตรัสว่า หยุดก่อนพราหมณ์ บุคคลผู้ไม่มีโรคเลยนั้นหาได้ยาก นอกจากพระอรหันต์เท่านั้นที่จะไม่มีโรคเสียเลยโดยทางจิตใจแหละ หมายความว่า คนเรานี่มันมีสองอย่างด้วยกัน โรคทางกายเจ็บปวดหัวตัวร้อน มีแผล มีฝีมีหนอง ส่วนอีกทางหนึ่งเรียกว่า โรคทางวิญญาณ คือ โรคที่มันมีกิเลสเสียดแทง เพราะฉะนั้น… คนเราถ้ามีความโกรธ มีความอาฆาตมาดร้าย มันก็เสียดแทง มีราคะ มีความกำหนัดอยู่ก็เสียดแทง พระอรหันต์เท่านั้นแหละที่จะไม่ถูกโรคทางวิญญาณเสียดแทง นี่แหละพระองค์ทรงสอนให้รู้จักโรคอีกอย่างหนึ่งซึ่งเขานั่นเป็นคนไม่มีโรคเลยตั้งแต่เกิดมานี่ไม่ค่อยเจ็บปวดกับเขา จึงภูมิใจตบอกดังแปะ ๆ ว่า แหม ไม่มีโรคเลย แต่แล้วเมื่อพระองค์ทรงชี้ให้เห็นถึงโรคภัยไข้เจ็บอีกชนิดหนึ่ง อย่าสำคัญไปว่ามีลาภอันประเสริฐที่ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บทางกาย ถ้าไม่มีโรคทางจิตใจ ทางวิญญาณ คือ มีกิเลสทิ่มแทงด้วยนั่นแหละถึงจะเป็นลาภอันประเสริฐของความเป็นมนุษย์ หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 09 กุมภาพันธ์ 2553 21:29:51 ภาพที่ ๑๑๓ ทรงสอนราหุล (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/113.jpg) พระองค์ทรงแสดงธรรมโปรดสอนสามเณรราหุลถึงเรื่องศีล โดยหยิบอุปกรณ์โดยการใช้กะลา และก็เทียบให้ดูกะลาที่มีน้ำกับกะลาที่ไม่มีน้ำ กระลาที่มีน้ำเมื่อคว่ำเทลงไป…มันรดหกหมด ก็เหมือนกับที่เราได้เทศีลเทธรรม ไม่สำรวมระวังในวาจา เมื่อได้กล่าวคำเท็จเสียแล้ว ก็เท่ากับเทศีลของตนออกหมด เหมือนกับเทน้ำออกจากกะลา เพราะฉะนั้นการกล่าววาจาที่ไม่เป็นเท็จเป็นจริง นั่นแหละชื่อว่าเป็นการได้ตักตวงเอาศีลไว้ ตักน้ำไว้ในกะลาได้มากทีเดียว โดยย่อ ๆ ก็ว่าอย่างนั้น หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 09 กุมภาพันธ์ 2553 21:36:28 ภาพที่ ๑๑๔ ทรงเคารพพระธรรม (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/114.jpg) พระพุทธองค์ทรงเคารพพระธรรมมาก วันหนึ่งพระองค์จะเข้าไปในวิหาร ซึ่งพระภิกษุรูปหนึ่งกำลังแสดงธรรมกับภิกษุจำนานมาก พระองค์ก็ไม่ยอมเดินเข้าไป รอจนกระทั่งพระรูปนั้นเทศน์จบ เมื่อพระภิกษุรูปนั้นออกมาแล้วก็ถามว่า พระองค์มานานแล้วเหรอพระองค์บอกว่า มานานแล้ว ถามว่าทำไมพระองค์ไม่เดินเข้าไป พระองค์บอกว่า เรานั้นเป็นผู้เคารพธรรม ถ้าใครกำลังแสดงธรรม มีผู้รับธรรมอยู่ เราจะไม่เข้าไปกวนให้เขาเสียสมาธิ เดี๋ยวนี้พุทธบริษัท บางทีกำลังแสดงธรรมอยู่ก็เดินป้วนเปี้ยน ไม่ได้เคารพธรรม พุทธประวัติตอนนี้เป็นพุทธานุสสติให้เราระลึกนึกถึง พระพุทธเจ้ายังเคารพพระธรรม พวกเราไฉนเล่าจะไม่เคารพธรรมตามพระพุทธองค์ หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 09 กุมภาพันธ์ 2553 21:46:09 สาธุ ๆ อนุโมทนาครับ
หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2553 13:59:46 ภาพที่ ๑๑๕ คนสามตา (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/115.jpg) พระองค์ทรงแสดงธรรมโปรดภิกษุ โดยอุปมาเรื่องคน 3 ตา ตาที่บอดหมดทั้งสองข้าง กับอดข้างหนึ่ง และดีทั้งสองข้าง คำว่า คนตาบอดสองข้าง ก็คือคนที่ไม่มีปัญญาที่จะแสวงหาทรัพย์สมบัติ และก็ไม่มีปัญญาที่จะรู้มนุษยสมบัติ หรือทำเครื่องออกจากทุกข์ คือโง่ทั้งการแสวงหาทรัพย์สมบัติ และก็โง่เรื่องการรู้เรื่องธรรมะไว้ดับกิเลส ไม่รู้ศีล สมาธิ ปัญญา ว่าเป็นเหตุให้ถึงความหลุดพ้น เป็นเหตุให้ดับทุกข์ เหล่านี้เป็นต้น ที่ว่าตาบอดข้างหนึ่ง ดีข้างหนึ่ง ก็หมายความว่า บางคนมีแต่ปัญญาที่จะแสวงหาทรัพย์สมบัติ แต่ไม่มีปัญญารู้ธรรมะไว้เป็นเครื่องดับทุกข์ หรือว่าบางคนมีแต่คุณธรรม แต่ว่าขาดความขยันขันแข็ง มีความรู้ที่จะดำรงอยู่แบบไม่เป็นทุกข์ในด้านจิตใจ แต่ว่าไม่ค่อยจะขวนขวายประกอบอาชีพ หมายความสลับกัน คราวนี้ที่ว่ามีตาดีทั้งสองข้าง คือมองเห็นช่องทางทำมาหากินที่จะได้ทรัพย์ด้วยสติปัญญา วิชาความรู้ในด้านอาชีพสาขาต่าง ๆ ประกอบกับความสามารถ แล้วก็มีคุณธรรมไม่มัวเมาลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติที่แสวงหามาได้ มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีคุณธรรมแห่งการที่จะบำเพ็ญตนให้อยู่เหนือทุกข์ทั้งปวงได้ อย่างนี้เรียกว่า มีสองตา เพราะฉะนั้น เราก็ควรจะได้ให้ครบสมบูรณ์ทั้งสองตา รู้ทั้งวิชาทางโลกที่จะดำรงชีวิต มีอาชีพ มีฐานะ และก็ไม่เป็นทุกข์กับสิ่งที่เรามี หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2553 15:38:01 ภาพที่ ๑๑๖ กาลามสูตร (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/116.jpg) คราวหนึ่ง พระพุทธองค์ทรงเดินผ่านมาทางหมู่บ้านที่เรียกว่า กาลามชน หรือหมู่บ้านกาลามะ หมู่บ้านนี้มักจะมีคนเดินผ่านมา ศาสดาต่าง ๆ มาสอนกันจนบ้านมึนหัวไม่รู้จะเชื่อใครถูก จนกระทั่งพระพุทธองค์ได้มาพูดถึงหลักของความเชื่อ 10 ประการ ที่เรียกกันว่า กาลามสูตร คือ พระองค์ตรัสว่า..อย่าได้เชื่อถือถ้อยคำที่ได้ยิน ได้ฟัง โดยฟังตาม ๆ กันมา ข้อที่สอง ข้อที่สาม อย่าได้เชื่อถือโดยตื่นข่าว ได้ยินขึ้นว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ข้อที่สี่ อย่าได้เชื่อถือโดยอ้างเอาตำรา เขาอ้างว่ามีอยู่ในตำรา ก็เชื่อไป ข้อที่ห้า อย่าเชื่อถือโดยเดาเอาเอง คาดคะเนเดาเอา ข้อที่หก คือคาดคะเนและเดาเอา ข้อที่เจ็ด อย่าได้เชื่อถือโดยความตรึกตามอาการ ว่าอาการมันอย่างนี้ มันน่าจะเป็นอย่างนี้ ข้อที่แปด อย่าได้เชื่อถือโดยชอบใจว่ามันตรงกับทิฏฐิของเรา ข้อที่เก้า อย่าได้เชื่อถือโดยผู้พูดนั้นเป็นผู้ควรที่จะเชื่อได้ ข้อที่สิบ อย่าได้เชื่อถือโดยความนับถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา แล้วจะเชื่อถืออย่างไร ก็เรียกว่ามีหลักอยู่ว่า เชื่อถือไปแล้วกุศลธรรมเกิด ทำไปแล้ว เชื่อไปแล้วนี้ไม่เบียดเบียนตน ไม่เบียดเบียนผู้อื่น เรียกว่าไม่ต้องเชื่อทั้งตามตำรา หรือใครที่มาพูด แต่ไม่ใช่ไม่ฟังนะ ไม่เชื่อกับไม่ฟังนี่คนละอย่าง บางคนนี่ แหม มันทั้งไม่เชื่อ ไม่ฟัง นี่ก็ไม่ได้เรื่องเหมือนกัน ท่านบอกให้ฟังแต่ว่าอย่าเพิ่งเชื่อโดยอาการอย่างที่ได้กล่าวมาแล้ว คือ เชื่อเพราะเขาพูด ๆ กันมา ได้ยินเขาว่า เดาเอา คาดคะเนเอา ว่าสมณะผู้นี้เป็นครู เป็นอะไรของเรา อย่างนี้เป็นต้น ก็อย่าเพิ่งเชื่อ หมายความว่าฟังไว้ก่อน แล้วถ้าใคร่ครวญดูแล้วกุศลธรรมเกิด ทำดูแล้วกุศลธรรมเกิด ค่อยเชื่อทีหลัง หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2553 15:46:28 ภาพที่ ๑๑๗ ความศรัทธาของเด็ก (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/117.jpg) พระพุทธองค์ทรงนั่งอยู่ในป่าในท่ามกลางภิกษุเป็นจำนวนมาก พระมหากัสสปะนั้นเป็นที่รักของเด็ก ๆ พระพุทธเจ้านี่บางทีไปบิณฑบาต ปรากฏว่าเด็ก ๆ ใส่บาตรพระมหากัสสปะมากกว่าพระพุทธเจ้าด้วยซ้ำไป เพราะว่าเรื่องความเลื่อมใสศรัทธานั้น ที่เป็นศรัทธาโดยรูป โดยการมีเสียง ที่เรียกว่าศรัทธาต่างกัน ศรัทธาในรูป ศรัทธาในเสียง ศรัทธาในธรรม เป็นต้น แต่ปรากฏว่าเด็ก ๆ นั้นเคารพนับถือศรัทธาพระมหากัสสปะมากกว่าพระพุทธเจ้า แต่ว่าถ้าเด็กคนไหนเขาโตขึ้น เขารู้เรื่องว่าผู้ที่ตรัสรู้ธรรม และรู้อริยสัจจ์อย่างแตกฉานแล้ว เขาจะศรัทธาพระพุทธเจ้ามากกว่ามหากัสสปะ หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2553 15:52:53 ภาพที่ ๑๑๘ พราหมณ์ผู้ถูกลูกทอดทิ้ง (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/118.jpg) ทรงแสดงธรรมสอนพราหมณ์ผู้ถูกลูกหญิงชายทอดทิ้งว่าลูกชนิดนี้เกิดมาเหมือนกับยักษ์เหมือนกับมาร ไล่พ่อไล่แม่เหมือนหมาไล่หมูทีเดียว พระองค์ก็ได้ทรงแนะนำให้พราหมณ์ผู้นี้ถือไม้เท้าไปในหมู่บ้านคนมาก ๆ แล้วก็ให้ท่องว่า มีไม้เท้าไว้กันสัตว์ร้าย ไว้หยั่งเวลาน้ำมันจะลึกหรือตื้น พูดง่าย ๆ ว่า มีไม้เท้าของคนเฒ่าดีกว่ามีลูกเต้าอกตัญญู เพราะว่ามีลูกที่ไม่เลี้ยงดู พูดไปอย่างนี้อยู่เรื่อย ๆ คนได้ยินมาก ๆ ก็ถึงกับอยากจะไปรุมประชาทัณฑ์ ลูกของพราหมณ์ที่เสือกไสไล่พ่อแม่ยามแก่ยามเฒ่า ปรากฏว่าลูกรู้ข่าวว่าคนชักไม่พอใจ ก็เลยรับพ่อพราหมณ์ผู้เฒ่านี้ไปเลี้ยงต่อไป ทำให้ผู้แก่ผู้เฒ่าได้มีที่พึ่งที่อาศัย นับว่าพระพุทธเจ้าอุบัติเกิดขึ้นในโลกนี้ สร้างความสงบสุขให้แก่ปวงตนได้เป็นที่พึ่งเป็นอันมาก หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2553 17:51:29 ภาพที่ ๑๑๙ ไล่ผลาญพรากตีชีวิตเขา (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/119.jpg) พระพุทธองค์ทรงเตือนพวกเด็ก ๆ ที่แสวงหาความสนุกสนานในการไล่ผลาญพรากตีชีวิตเขาให้เจ็บปวด พระองค์ก็บอกว่า นี่หนู เธอรักสนุกเกลียดทุกข์กันบ้างไหม เด็ก ๆ ก็บอกว่าทุกคนก็รักสุขเกลียดทุกข์กันทั้งนั้น แล้วหนูทำไปไปยื่นความทุกข์ให้ผู้อื่นเขาล่ะ เขามาทำความทุกข์อะไรให้เรา เด็ก ๆ ก็ได้คิด จริงสินะ ก็เลยทำให้ยั้งมือ พระองค์ทรงโปรดหมดตั้งแต่แก่ยันเด็ก เมื่อตะกี้โปรดแก่คราวนี้โปรดเด็กอีกแล้ว แหม มีชีวิตที่มีประโยชน์จริง ๆ ถ้าพระองค์เป็นฟ้าชายสิทธัตถะก็คงจะไม่มีประโยชน์อย่างนี้ นี่มาเป็นพระพุทธเจ้าของเรา ที่น่าเคารพนับถือ โปรดตั้งแต่แก่ยันเด็ก หนุ่มสาวไม่ต้องห่วงนับมากไม่ถ้วนเท่าเมล็ดทรายในผืนทะเลทีเดียว หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2553 17:53:18 ภาพที่ ๑๒๐ ธรรมะเปรียบเทียบเหมือนแพอาศัยข้ามฟาก (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/120.jpg) พระองค์ทรงแนะนำภิกษุทั้งหลายให้เข้าใจว่า ธรรมะหรือศาสนานั้นเปรียบเสมือนพ่วงแพที่จะอาศัยข้ามฟาก ข้ามไปแล้ว ขึ้นไปแล้ว ก็ไม่จำเป็นที่ต้องแบกแพ แบกไม้ไผ่กอนั้นขึ้นไปด้วย เราอาศัยเกาะปะทังไม่ให้เราจมน้ำตาย เราอาศัยศาสนาเพียงเกาะไม่ให้เราจมอยู่ในสังสารวัฎฎ์ เมื่อเราขึ้นพ้นไปแล้ว เราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมาแบกให้หนักหน่วง บางคน นี่ถือศาสนาจนกลายเป็นสงครามศาสนา บางทีถ่อแพลงไปแล้วก็มัวมาแข่งกันว่า แพฉันดี แพแกผุ เหมือนกับแพพุทธ แพคริสต์ แพอิสลาม มัวแต่เถียงกัน แพแกดี แพฉันดี แพแกผุ เลยชักไม้ในแพออกมาตีกัน ก็จมตายไปหมดทั้งสามแพ อย่างนี้เรียกว่า ไม่ฉลาดในการข้ามน้ำด้วยอาศัยพ่วงแพหรือศาสนา หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2553 17:54:43 ภาพที่ ๑๒๑ การเข้าไปอยู่บ้านสามี (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/121.jpg) อุคคหเศรษฐีได้พาหลานสาวซึ่งแต่งงานจะไปอยู่บ้านตระกูลพ่อผัวแม่ผัวไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ขอให้พระองค์ทรงแนะวิธีการที่จะไปอยู่ในบ้านพ่อผัวแม่ผัวให้มีความผาสุก พระองค์ก็ทรงแสดงธรรมจับโดยใจความย่อ ๆ ว่า ขอให้เป็นผู้ที่ประพฤติตนนอนทีหลังแต่ให้ตื่นก่อน เพื่อปฏิบัติญาติของสามี หรือว่าตัวสามี ไม่เกียจค้านในการงาน พูดจาให้เป็นที่รัก ไม่นำทรัพย์ที่สามีแสวงหามาได้ไปผลาญ ไม่ดูถูกดูหมิ่นสามีผู้มีความเพียรเลี้ยงตนอยู่ทุกเมื่อ ไม่ทำให้สามีขุ่นเคืองด้วยความประพฤติหึงหวงสามี และย่อมบูชาผู้ที่เคารพทั้งปวงของสามี นารีใดย่อมประพฤติตามได้อย่างนี้ นารีนั้นยอมเข้าถึงความเป็นเทวดา หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2553 17:55:51 ภาพที่ ๑๒๒ โปรดนางวิสาขา (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/122.jpg) พระพุทธองค์สอนธรรมแก่นางวิสาขาผู้เศร้าโศกจาการสูญเสียหลานรักมาตายจาก โดยถามว่า วิสาขา คนในเมืองนี้มีตายกันมากไหม ทุกวันไหม นางตอบว่ามีมาก และมีทุกวัน ถ้าหากว่าคนทุกคนนี้มีเหมือนหลานของเธอที่เธอรัก ตายไปวันละมาก ๆ ไม่ต้องร้องไห้น้ำตาร่วงเป็นตุ่ม ๆ ไปหรือ? แล้วพระองค์ก็ทรงต่อว่า นี่ถ้าหากว่าจะให้มีหลานอีกเธอจะชอบไหมวิสาขาก็บอกว่าชอบ ถ้าหากต้องตายไปอีกอย่างนี้ แล้วเธอไม่ต้องคร่ำครวญร่ำไห้ไปอีกมากต่อมากหรือ? และสอนต่อไปว่า การสูญสิ้นครั้งนี้ควรจะเป็นข้อคิดเตือนใจว่าอาจจะสูญเสียของรักอื่นๆ ต่อไป จะได้ยั้งใจไว้อยู่ นางวิสาขาก็เริ่มเห็นตามความเป็นจริงที่พระองค์ทรงสอนจนจิตใจเริ่มสงบ หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2553 17:57:36 ภาพที่ ๑๒๓ ตายแล้วไปไหน? (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/123.jpg) ภาพนี้เป็นภาพพระภิกษุรูปหนึ่ง ที่เฝ้าตามถามพระพุทธเจ้าถึงเรื่องการเกิดการตายว่า เมื่อตายแล้วจะไปเกิดที่ไหน มาจากไหน ข้าพเจ้านี่ก่อนจะมาเป็นคนนี่มาจากไหน แล้วตายแล้วจะไปไหน ก็ถามแต่เรื่องตายเกิด หรือเรื่องอนาคต พระพุทธองค์ก็ทรงอุปมาว่า ถ้ามีคนสักคนหนึ่งถูกศรแทงที่ขา แล้วมีคนที่จะเข้ามาถอนศรให้ ปรากฏว่าคนที่ถูกศรแทงเข้าไปที่ขานั้นร้องห้ามว่าอย่าเพิ่งถอน ขอทราบก่อนว่าใครเป็นคนยิง แล้วมันยิงด้วยอะไร คนยิงชื่ออะไร ก็คงจะต้องตายเปล่า ควรจะรีบถอนศรเสียโดยฉับพลันทันที ไม่ควรจะถามว่าใครคนยิง มันยิงด้วยอะไร พ่อมันชื่ออะไรไอ้คนยิงนี้ มันก็ตายเปล่า ก็เหมือนกับคนที่มัวแต่ถามว่า ตายแล้วไปไหน อะไรเหล่านี้เป็นต้น หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2553 17:59:26 ภาพที่ ๑๒๔ เยี่ยมพระวักกลิ (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/124.jpg) พระวักกลิป่วยหนัก พระพุทธเจ้าทรงมาเยี่ยม เมื่อมาถึงพระวักกลิจะลุกขึ้นมากราบพระองค์ก็บอกว่า อย่าได้ลุกให้ลำบากเลย ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นก็เห็นเรา ที่พระองค์ตรัสเช่นนี้ก็เพราะว่า พระวักกลินี่บวชทีแรกก็บวชเพื่อจะดูพระรูปโฉมของพระพุทธเจ้าแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งต่อมาเมื่อพระพุทธองค์ทรงบอกให้เข้าใจ พระวักกลิก็ได้เป็นพระอรหันต์ แล้วก็ได้บรรลุธรรมชั้นสูงในพุทธศาสนา พระองค์ทรงโปรดไม่ให้เพราะติดเนื้อติดตัวให้เข้าถึงธรรม พระองค์ผู้ทรงตรัสผู้หลงมัวเมาในรูปโฉม ให้เข้าถึงความหลุดพ้นเป็นจำนวนมาก พระองค์จึงมีพระคุณที่พวกเราควรระลึกถึงอยู่เนือง ๆ หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2553 18:00:31 ภาพที่ ๑๒๕ ความเปลี่ยนแปลงไปของสังขาร (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/125.jpg) ตอนนี้พระพุทธเจ้าเริ่มมีพระวรกายร่วงโรย โดยพุทธสรีระ พุทธสภาวะ อาจจะต่างกัน พุทธสภาวะนั้นเป็นที่สุดใส แวววาวตลอดเวลา แต่พุทธสรีระย่อมเหี่ยวแห้งไปตามกฎของธรรมชาติ ตอนนี้พระพุทธองค์แก่ลงไปตามกฎของธรรมชาติ แต่ความยืดถือในความแก่ไม่มี พระอานนท์ได้กล่าวว่า ปีนี้พระองค์ทรงชราคร่ำคร่าลงไปมาก พระองค์ก็เลยบอกว่า อานนท์เอ๋ย ความตายมันแทรกมาแล้วมาในความเกิด ความแก่มันก็แทรกมาแล้วในความตาย ความมีโรคมันก็แทรกมาในความไม่มีโรค เรานี่มันได้แก่มานานแล้ว โดยสรีระร่างกายน่ะมันแก่มาตั้งแต่เกิด พอเกิดมันก็เริ่มมีผิวพรรณอันแก่กล้าไปตามลำดับ เพราะฉะนั้นเต่งตึงตรงไหนมันก็เหี่ยวตรงนั้น ผมเราดำตรงไหนมันก็ขาวในนั้น หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2553 18:01:57 ภาพที่ ๑๒๖ ทอดพระเนตรเมืองเวสาลีเป็นครั้งสุดท้าย (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/126.jpg) ภาพนี้เป็นตอนหลังจากที่พระพุทธองค์กลับจากบิณฑบาตร่วมกับหมู่ภิกษุ แล้วก็ผินพระพักตร์ทอดพระเนตรมองดูเวสาลีเป็นครั้งสุดท้าย เพราะนับตั้งแต่บัดนี้ พระองค์จะไม่มีโอกาสได้กลับมาเห็นเมืองเวสาลีแห่งนี้อีกแล้ว หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2553 18:03:06 ภาพที่ ๑๒๗ ประทับใต้ต้นสาละ (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/127.jpg) หลังจากที่พระพุทธองค์ได้ฉันภัตตาหารมื้อสุดท้าย และมุ่งหน้ามายังเมืองกุสินารา โดยมีพระอานนท์มาด้วยพร้อมกับหมู่พระสงฆ์ เมื่อมาถึงได้จัดเตียงนอนอาสนะที่บรรทมเหล่าดอกสาละก็ได้เบ่งบานและร่วงลงมา ประดุจเสมือนเป็นการสักการะพระองค์เป็นครั้งสุดท้าย ในภาพมีสุภัททะปริพาชกเดินทางเข้ามา จะขอฟังธรรมกับพระองค์ พระอานนท์จึงร้องห้ามไว้ เพราะพระผู้มีพระภาคทรงประชวรหนักแล้ว แต่สุภัททะก็ไม่ยอมฟัง จะเข้าไปให้ได้ส่งเสียงดัง พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ยินเข้าจึงได้สั่งพระอานนท์ว่า อานนท์เอ๋ย หลีกทางให้เขาเข้ามาเถอะ ประโยชน์ใดที่เขาจะได้จากเรา แม้กระทั่งลูกหายใจเฮือกสุดท้าย เราก็จะมอบให้เขา อย่าได้ขวางทางหรือประโยชน์ที่เขาจะพึงได้จากเราเลย อานนท์เอ๋ย หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2553 18:04:35 ภาพที่ ๑๒๘ ปัจฉิมโอวาท (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/128.jpg) ในที่สุดพระอานนท์ต้องปล่อยให้สุภัททะปริพาชกเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า และเมื่อสุภัททะได้เข้าฟังธรรมจากพระองค์ จนมีความเลื่อมใสศรัทธาและขอบวชแล้ว พระองค์ก็ได้ปิดพระโอษฐ์ลงด้วยประโยคสั้น ๆ ว่า ภิกษุทั้งหลาย สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด พระพุทธองค์ทรงปิดประโอษฐ์ลงด้วยมรดกธรรมชิ้นสุดท้าย ซึ่งมอบไว้ให้กับสาวกของพระองค์และเหล่าพุทธบริษัท พระองค์จากไปแต่สรีระ พุทธภาวะ ธรรมภาวะ ยังมีอยู่ในหัวใจของพระองค์อย่างมิได้จางหายไป หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2553 18:16:39 ภาพที่ ๑๒๙ พระพุทธกิจ (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/pic2/129.jpg) พุทธประวัติชุดนี้จึงได้จบลงด้วยพุทธกิจที่พระพุทธองค์ทรงกระทำและบำเพ็ญมาในอดีต ยามเช้าออกบิณฑบาต ยามสายทรงแสดงธรรมแก่หมู่คฤหัสถ์ โปรดเทวดา สอนภิกษุ บัดนี้ก็จะเหลือแต่ภาพมโนสำนึกที่เราจะนึกถึงพระองค์ว่าเป็นผู้บำเพ็ญกิจโดยไม่ได้คิดค่าตอบแทน หวังเพียงทำหน้าที่ของพุทธกิจที่พระองค์มีจิตสงสารชาวโลก ฉะนั้นพุทธประวัติชุดนี้หากจะเกิดขึ้นเป็นกุศลแล้ว ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลให้ตั้งแต่ผู้ค้นคว้าจากพระไตรปิฎก ผู้อุทิศเงินทองเป็นค่าจ้างกับผู้วาด และขออุทิศคุณงามความดีนี้ให้กับผู้ตั้งใจวาด มีความผิดพลาดประการใด ข้าพระพุทธเจ้า พระพยอม ขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว ขอความสุข ความเจริญ และพุทธานุภาพ จงรักษาท่านทั้งหลายตลอดไปชั่วกาลนาน เทอญ นำมาจาก สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ วาดภาพโดย อาจารย์คำนวณ ชานันโท http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/index/index.htm (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/index/index.htm) หัวข้อ: Re: สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ เริ่มหัวข้อโดย: faakang ที่ 07 กันยายน 2553 18:53:13 สาธุ ขอให้กุศลที่ท่านได้ให้ธรรมทานครั้งนี้จงนำพาให้ท่านไปสู่ที่เจริญและเป็นสุขยิ่งๆขึ้นไปเทอน
|