[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
23 พฤศจิกายน 2567 11:37:39 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก เวบบอร์ด ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

  แสดงกระทู้
หน้า:  [1] 2 3 ... 45
1  สุขใจในธรรม / ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม / Re: ขอเชิญร่วมสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรมบ่อเงินบ่อทอง อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา เมื่อ: 10 กรกฎาคม 2555 14:41:39
.

ขอเชิญทุกๆท่านร่วมงานบุญการสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรม ในการศึกษาของเณร(ผู้ที่ไม่มีโอกาสในการศึกษา)กันครับ





สถานที่ก่อสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรมครับ






ผมและเพื่อนไปถวายปัจจัยในการร่วมก่อสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรมเรียบร้อยแล้ว

นอกจากนี้ ผมได้นำหนังสือการไหว้ 5 ครั้ง จำนวน 100 เล่ม และรูปสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(เจริญ) วัดเทพศิรินทราวาส จำนวน 335 ใบ ไปถวายหลวงพ่อแผน แต่การรับหนังสือและรูป มีกติกาในการรับหนังสือและรูป ก็คือ ต้องมีความจงรักภักดีต่อชาติไทย , ศาสนาพุทธ , สถาบันพระมหากษัตริย์ และ นำหนังสือและรูป ไว้ในที่อันควร หากท่านใดทำไม่ได้ก็ไม่ต้องรับไปครับ

สำหรับท่านใดที่ร่วมทำบุญการร่วมสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรมบ่อเงินบ่อทองและต้องการที่จะได้พระสมเด็จเจ้าคุณกรมท่า ผมให้ร่วมทำบุญองค์ละ 5,000 บาท

มีทั้งรุ่นที่หลวงปู่อิเกสาโร อธิษฐานจิต (การสร้างพระชุดนี้ อยู่ระหว่างประมาณปี 2416 - 2428)

และรุ่นที่หลวงปู่อิเกสาโรและสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี อธิษฐานจิต (การสร้างพระชุดนี้ก่อนปี 2415)

อธิษฐานจิต ที่พระอุโบสถวัดบวรสถานสุทธาวาส(วังหน้า)ครับ

มาโมทนาบุญร่วมกัน

โมทนาสาธุครับ

.

2  สุขใจในธรรม / ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม / Re: ขอเชิญร่วมสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรมบ่อเงินบ่อทอง อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา เมื่อ: 10 กรกฎาคม 2555 14:40:06
วันนี้ผมนำพระสมเด็จเจ้าคุณกรมท่า (ทั้งลงชาด(รักสีแดง ของจีน) และ ลงรักสมุ(รักสีน้ำเงิน รักของพม่า) จำนวน 210 องค์ ไปถวายหลวงพ่อแผน มอบให้ผู้ร่วมทำบุญในการสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรม ที่กำลังดำเนินการก่อสร้างอยู่และงานบุญอื่นๆแล้วแต่หลวงพ่อแผนท่านเห็นสมควร

เพื่อนผมนำสังฆทานไปถวายด้วยเช่นกัน ขอโมทนาบุญด้วยครับ



ป้ายชื่อวัดบ่อเงินบ่อทอง












การก่อสร้างพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ที่กำลังก่อสร้างอยู่ครับ
(อยู่ด้านหลังของวัด)





ส่วนองค์นี้ กำลังสร้างองค์หลวงพ่อโสธร(จำลอง)




ทรายที่บ้านผมและที่บ้านเพื่อน นำไปถมเป็นฐานองค์หลวงพ่อโสธร

มาร่วมโมทนาบุญกับผมและครอบครัว และเพื่อนผมและครอบครัวเพื่อนผมกันครับ

.
3  สุขใจในธรรม / ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม / Re: ขอเชิญร่วมสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรมบ่อเงินบ่อทอง อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา เมื่อ: 10 กรกฎาคม 2555 14:39:07
กลับมาถึงบ้านแล้วครับ

หลังจากไปกราบหลวงพ่อแผนที่วัดบ่อเงินบ่อทอง

แต่ต้องขออภัย ถ่ายรูปมาเยอะ เกิดขัดข้องทางความจำ(ผม) ผมCopy จากการ์ด(ของกล้อง) ลงเครื่อง เข้าใจว่าลงรูปหมดแล้ว

ก็เลยลบรูปจากการ์ด พอมาดูรูปในเครื่องคอมฯ ปรากฎว่า Copy มาได้ไม่กี่รูปเองครับ


การเดินทางไปวัดบ่อเงินบ่อทอง

จากบางนา มุ่งหน้าจังหวัดฉะเชิงเทรา





ทางไปพนมสารคามครับ





สามแยกไปวัดบ่อเงินบ่อทอง






พอเลี่ยวจากสามแยกเข้ามา จะเจอป้ายไปแปลงยาว ,สัตหีบและระยอง




ป้ายของวัดบ่อเงินบ่อทอง ที่เชิญชวนไปกราบพระพุทธรูปพระพุทธเจ้า 5 พระองค์(ที่กำลังก่อสร้าง)









สามแยกข้างหน้า ด้านซ้ายเป็นถนนที่ไปวัดบ่อเงินบ่อทอง

ตอนนี้เป็นถนนลาดยางแล้ว(หลังจากไม่ได้ไปนานแล้ว)



ป้ายทางเข้าวัดบ่อเงินบ่อทอง

.
4  สุขใจในธรรม / ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม / ขอเชิญร่วมสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรมบ่อเงินบ่อทอง อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา เมื่อ: 10 กรกฎาคม 2555 14:38:43
ขอเชิญร่วมสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรมบ่อเงินบ่อทอง อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา

ขอเชิญร่วมสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรมบ่อเงินบ่อทอง อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา[/b]



.
5  สุขใจในธรรม / ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม / Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ เมื่อ: 28 เมษายน 2555 11:25:50
เรียน ท่านประธานชมรมพระวังหน้า
ท่านรองประธานชมรมพระวังหน้า
ท่านผู้ช่วยเลขานุการชมรมพระวังหน้า
ท่านสมาชิกชมรมพระวังหน้าทุกๆท่าน

ผมได้เปิดประชุมชมรมพระวังหน้า และส่งให้ทุกๆท่านทาง Email เรียบร้อยแล้ว

ผมรบกวนทุกๆท่าน ส่งความเห็นมาให้ผม และ เรียนท่านประธานชมรมพระวังหน้า และ ท่านรองประธานชมรมพระวังหน้า แจ้งมตินี้มาให้ผมภายในวันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม 2555 เวลา 18.00 น.ครับ


ขอแสดงความนับถือ
sithiphong


----------------------------------------

ผมขอแจ้งเพิ่มเติมในการร่วมทำบุญ

ผมขอปิดการร่วมทำบุญก่อนกำหนด (เดิมสิ้นสุดในวันที่ 31 พฤษภาคม 2555 เวลา 18.00น.)

ผมขอปิดการร่วมทำบุญในวันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม 2555 เวลา 18.00 น.


จาก การสอบถาม หนังสือจะพิมพ์เป็นขาวดำ ปก จะเป็นปกอ่อน ราคาจะอยู่ประมาณ เล่มละ 60 - 70 บาท ส่วนรูป จะมีค่าเพลท ประมาณ 4 - 5,000 บาท ส่วนค่าพิมพ์รูป ไม่เท่าไหร่

ผมประมาณการค่าใช้จ่ายอยู่ตามนี้

1.หนังสือ 500 เล่มๆละ 70 บาท รวมเงิน 35,000 บาท
2.ค่ารูป (เพลทประมาณ 5,000 บาท) รวมเงิน 10,000 บาท
3.ส่วนค่าพิมพ์ต้นฉบับที่ผมจ้างพิมพ์ ผมจ่ายเงินในส่วนนี้เอง

รวมจำนวนเงินประมาณ 45,000 บาท

ปัจจุบันมีผู้ร่วมทำบุญมา 10,300 บาท

ในส่วนที่เหลือ(จากที่มีผู้ร่วมทำบุญมา) ผมจะร่วมทำบุญเองทั้งหมด

งานบุญนี้ เป็นงานบุญที่ผมตั้งใจมาตั้งแต่ต้นปีแล้ว ตั้งใจว่าจะทำงานบุญนี้ เพื่อเผยแพร่ประวัติของ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวร) และ บทไหว้ 5 ครั้ง ให้ผู้คนที่สนใจได้ปฎิบัติ หากใครที่ไหว้ 5 ครั้งได้ทุกวัน สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวร) ท่านบอกว่า จะเจริญเหมือนชื่อของท่าน

โมทนา
sithiphong
28/4/2555

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2552.html#post6064238-

.

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2552.html#post6064238
.

http://board.palungjit.com/groups/%E0%B8%8A%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%86-2139-page10.html?pp=30

.

6  สุขใจในธรรม / ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม / Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ เมื่อ: 28 เมษายน 2555 11:25:15
วาระงานบุญที่ 4 ปี 2555

เนื่องด้วยผมเองมีความศรัทธาในสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถระ) วัดเทพศิรินทราวาส และศรัทธาในวิธีการไหว้ 5 ครั้ง

ผมจึงขอเชิญชวนท่านสมาชิกชมรมพระวังหน้า , ท่านผู้สนับสนุนชมรมพระวังหน้า , ท่านที่เคยร่วมทำบุญกับผม และ ท่านที่มีความศรัทธาในสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถระ) วัดเทพศิรินทราวาส และศรัทธาในวิธีการไหว้ 5 ครั้ง มาร่วมกันทำบุญ ดังนี้
1.จัดพิมพ์รูปสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถระ) วัดเทพศิรินทราวาส
2.พิมพ์บทไหว้ 5 ครั้ง และ ประวัติสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถระ) วัดเทพศิรินทราวาส(โดยย่อ)

ส่วนจำนวนที่จะจัดพิมพ์รูป , บทไหว้ 5 ครั้งและประวัติฯนั้น ขอปรึกษากับพี่สิทธิพรก่อน เมื่อได้ข้อสรุปแล้วจะมาแจ้งให้ทราบอีกครั้ง

การเริ่มต้นในวาระบุญที่ 4
เริ่มต้นในวันที่ 20 เมษายน 2555
สิ้นสุดในวันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม 2555 เวลา 18.00 น.

บัญชีที่ใช้ในการโอนเงินร่วมทำบุญ บัญชีออมทรัพย์เลขที่ 878-0-11250-1
ชื่อบัญชี นายสิทธิพงศ์ สงวนศักดิ์
บมจ.ธนาคารกรุงไทย สาขาเดอะมอลล์ท่าพระ

หมายเหตุ สำหรับท่านใดที่โอนเงินร่วมทำบุญ ขอให้แจ้งชื่อ – นามสกุล มาให้ผมทาง PM (สำหรับสมาชิกเว็บพลังจิต) หรือ ทาง Email(สำหรับสมาชิกชมรมพระวังหน้า , ผู้สนับสนุนชมรมฯ และ คณะพี่สิทธิพร) ด้วย หากท่านใดไม่แจ้งมา ผมจะลงในบัญชีว่า ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม ครับ

หมายเหตุ สำหรับท่านใดที่ไม่แน่ใจว่า ผมจะนำเงินไปทำบุญ หรือ มีการยักยอก หรือ มีการกินส่วนต่างในงานบุญ ก็ไม่ต้องร่วมทำบุญ

หมายเหตุ ผมไม่ต้องการเงินที่ผู้ร่วมทำบุญมีจิตใจที่เป็นอกุศล , ไม่ต้องการเงินที่ได้มาโดยไม่บริสุทธิ์ , ไม่ต้องการเงินของคนที่ปากอย่าง ใจอย่าง , ไม่ต้องการเงินของคนที่คิดไม่ดีในงานบุญของผม และ ผมรังเกียจเงินและคนเหล่านี้



โมทนาบุญทุกประการ
sithiphong
7  สุขใจในธรรม / ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม / Re: ขอเชิญร่วมช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยครับ จากน้าแม๊ค เมื่อ: 15 ตุลาคม 2554 18:08:58
โมทนาในมหาทานครับ


.
8  สุขใจในธรรม / ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม / Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ เมื่อ: 03 กรกฎาคม 2554 23:22:41
http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2288.html-


http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2288.html



.
9  สุขใจในธรรม / ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม / Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ เมื่อ: 03 กรกฎาคม 2554 09:44:20
สำหรับชมรมพระวังหน้า

มีเพียง 3 เว็บไซด์ (4 แห่ง)เท่านั้นครับ

1.กระทู้พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....
และ กระทู้ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ (จากกลุ่มพระวังหน้า)

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2288.html#post4837610-

http://board.palungjit.com/groups/6/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-

เว็บพลังจิต


2.กระทู้ ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ

http://www.tairomdham.net/index.php/topic,4172.90.html-

เว็บใต้ร่มธรรม

3.กระทู้ ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ



http://www.sookjai.com/index.php?topic=13666.20-

เว็บสุขใจ


หากท่านใดไปพบ ชื่อ ชมรมพระวังหน้า ในเว็บอื่นๆ นอกเหนือจากทั้ง 3 เว็บไซด์นี้ เช่น พวกเว็บตระกูล บล็อคต่างๆ เป็นต้น ขอให้ทราบว่า หากพบชื่อ ชมรมพระวังหน้า นี่เป็นการแอบอ้างชมรมพระวังหน้า และชมรมพระวังหน้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆทั้งสิ้น

และ ระวังการหาผลประโยชน์จากผู้ที่นำชื่อชมรมพระวังหน้าไปแอบอ้างด้วย และ หากข้อมูลต่างๆที่ออกมาจากผู้ที่แอบอ้าง เป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง และ ผมคิดว่า เป็นการแอบอ้างเพื่อสร้างความไม่น่าเชื่อถือต่อชมรมพระวังหน้าด้วยเช่นกัน

จึงเรียนมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน

sithiphong
3/7/2554

.
10  สุขใจในธรรม / ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม / Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ เมื่อ: 16 พฤษภาคม 2554 11:10:44

ปัจจุบัน เท่าที่ผมเห็นเมื่อสักพักนี้ มีผู้นำชื่อ ชมรมพระวังหน้า นำไปใช้

ให้ระวังครับว่า มีการนำไปแอบอ้าง

ส่วนจะแอบอ้างอย่างไร สำหรับสมาชิกชมรมพระวังหน้า ผมจะส่งรูปไปให้ดู

ชมรมพระวังหน้า ที่เกี่ยวข้องมีเฉพาะในกระทู้พระวังหน้าฯ และ กลุ่มพระวังหน้า ในเว็บพลังจิต , เว็บใต้ร่มธรรม และ เว็บสุขใจ เท่านั้น

หากเป็นบล็อคต่างๆ ชมรมพระวังหน้าไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้องใดๆทั้งสิ้น

จึงเรียนมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน

sithiphong
เลขานุการชมรมพระวังหน้า
16/5/2554

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2261.html#post4713932-

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2261.html#post4713932

http://board.palungjit.com/groups/%E0%B8%8A%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%86-2139-page4.html#gmessage31049


.

11  สุขใจในธรรม / ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม / Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ เมื่อ: 14 พฤษภาคม 2554 21:27:18
วันนี้ เพื่อนผมได้ถวาย ธาตุกายสิทธิ์ เพื่อประดิษฐานที่หน้าผากสมเด็จองค์ปฐม(ที่สร้างใหม่)

เทพเทวาที่อยู่ในธาตุกายสิทธิ์(องค์นี้ก็ใหญ่ครับ) ท่านดีใจมาก

ขอโมทนาบุญกับเพื่อนผมท่านนี้ด้วย

และขอเชิญทุกๆท่าน มาร่วมโมทนาบุญกันครับ


.

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2258.html#post4709462


.
12  สุขใจในธรรม / ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม / Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ เมื่อ: 14 พฤษภาคม 2554 21:26:47
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong อ่านข้อความ
.
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 7 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 5 คน )    [ แนะนำเรื่องเด่น ]
sithiphong, ปฐม+


สวัสดีตอนเช้า วันเสาร์สุขสันต์ครับ


.
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ปฐม อ่านข้อความ
สวัสดีครับพี่ท่าน เตรียมตัวเดินทางไปทำหน้าที่แล้วครับพี่ท่าน กลับมาแล้วจะรายงานรายละเอียดให้พี่ท่านทราบนะครับ
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong อ่านข้อความ
ขอให้เดินทางโดยปลอดภัยทุกประการ ไม่มีอุปสรรค ในการเดินทางและงานบุญ

โมทนาบุญทุกประการครับ

-------------------------------------------------------------------------

.
วันนี้ น้องปฐมได้เดินทางไปถวายพระวังหน้า(ที่ผมและสมาชิกชมรมพระวังหน้า ร่วมกันถวายและมอบให้น้องปฐมเป็นตัวแทนในการถวาย) แด่พระภิกษุ(ผู้ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบ) 3 วัด

ขอโมทนาบุญกับทุกๆท่านในทุกๆบุญครับ

แอบมาบอก(บางส่วน)จากที่ผมได้คุยกับน้องปฐม พระำภิกษุท่านมีความปิติยินดี ในงานบุญนี้

ส่วนตัวผมเองได้ถวายพระสมเด็จTott 1 , พระสมเด็จTott 4 , พระกริ่งปวเรศ (เนื้อสเตอร์ริงซิลเวอร์ ปีพ.ศ.2434) และเบี้ยแก้(วังหน้า)

พระสมเด็จTott 1 , พระสมเด็จTott 4 ผมฝากให้น้องปฐมเลี่ยมใส่กรอบและติดแหนบถวายพระภิกษุ

ขอโมทนาบุญกับน้องปฐมที่เสียสละเวลา แรงกาย แรงใจ กำลังทรัพย์ ในงานบุญนี้

อย่างที่มีคำกล่าวของครูบาอาจารย์และคำโบราณที่ว่า ยิ่งทำยิ่งได้ ยิ่งให้ยิ่งมี เชื่อว่า น้องปฐม คงทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี

เงินทองของนอกกาย ใช้อย่างประหยัด ตามกำลังของตนเองที่หามาได้ แต่ก็ไม่สามารถนำติดตัวไปได้ ยกเว้น อริยทรัพย์(บุญ) ที่ติดตามตัวเราไปได้ทุกๆที่

โมทนาบุญทุกประการ

และขอเชิญทุกๆท่าน ร่วมโมทนาบุญในบุญนี้

รายละเอียดไว้น้องปฐมและผมจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง

ส่วนรูปจริง พี่ขออนุญาตน้องปฐม ส่งให้กับสมาชิกชมรมพระวังหน้า โดยพี่ขอไม่ปิดหน้า หากรูปใดที่ลงเว็บ พี่ปิดหน้าพระภิกษุและหน้าเราครับ

โมทนาสาธุครับ


http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2258.html#post4709462

.
13  สุขใจในธรรม / ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม / Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ เมื่อ: 05 พฤษภาคม 2554 14:36:38
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong 
เมื่อสักพักนี้ ได้ไปส่งพระวังหน้า ให้กับท่านน้องปฐม เรียบร้อยแล้ว

มีจำนวน 3 กล่อง

กล่องแรก น้ำหนัก 6.538 กก.
ค่าจัดส่ง 216.-บาท

กล่องที่สอง น้ำหนัก 1.926 กก.
ค่าจัดส่ง 86.-บาท

กล่องที่ 3 น้ำหนัก 1.960 กก.
ค่าจัดส่ง 86.-บาท

ค่าจัดส่ง รวม 388.-บาท
ผู้ที่จ่ายเงินค่าจัดส่ง
1.ท่านน้องปฐม 156.-บาท
2.คุณเฉลิมพล 56.-บาท
3.sithiphong 176.-บาท

ถึงในวันพรุ่งนี้ตอนบ่ายครับ

พี่ใช้บริการ การจ้ดส่งไปรษณีย์เอกชน (เจ้าเดิม) ครับ

รายละเอียด พี่จะแจ้งให้ทราบทาง Email ครับ

โมทนาบุญทุกประการครับ


.

เรียน ท่านประธานชมรมพระวังหน้า
ท่านรองประธานชมรมพระวังหน้า
ท่านสมาชิกชมรมพระวังหน้า
และท่านผู้สนับสนุนชมรมพระวังหน้า

ผมได้ส่งรายละเอียด ในเรื่องของพระวังหน้า ที่ได้ส่งให้กับน้องปฐม ไปให้ทุกๆท่านทราบ ทาง Email เรียบร้อยแล้ว

โมทนาสาธุครับ

http://board.palungjit.com/f179/พระวังหน้า-ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก-ถ้าต้องการที่จะได้-22445-2251.html

.
14  สุขใจในธรรม / กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ / Re: กรรมฐานแก้กรรมได้อย่างไร ? เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2554 06:31:49
ที่มา

http://www.jarun.org/

.
15  สุขใจในธรรม / กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ / Re: กรรมฐานแก้กรรมได้อย่างไร ? เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2554 06:29:17
ญาติโยมผู้ปฏิบัติธรรมทุกท่าน ถ้ามีเวทนาต้องสู้ กำหนดให้ได้ ปวดท้อง ปวดขา หรือปวดตรงไหน ปวดหนอ ตายให้ตาย เดี๋ยวท่านจะเห็นกรรม เมื่ออดีตชาติท่านทำอะไรไว้ท่านจะโล่งใจนะ ท่านจะดีใจเดี๋ยวท่านจะได้แก้กรรมด้วยการแผ่เมตตา อโหสิกรรม ข้าพเจ้าจะไม่ปฏิเสธกรรมทุกข้อหา นี่กรรมฐานแก้กรรมอย่างนี้

บางทีเรามีเวทนาหน่อยเลิกเลย ไม่รู้จะแก้อย่างไร ครูอาจารย์เขาบอกกำหนด ปวดหนอๆ นักศึกษาวิทยาลัยครูพระนครศรีอยุธยามานั่งปฏิบัติ เดี๋ยวนี้จบปริญญาโทเป็นอาจารย์ที่ขอนแก่นไปแล้ว ปวดหนอๆ ปวดหนักเข้ามาบอกแม่ยุพิน บอกหนูไม่หาย แม่ยุพินให้กำหนดต่อไป พอวันที่ ๓ นึกขึ้นได้ เมื่ออยู่ชั้นประถมสอง ประถมสาม หักขาเขียด หักทั้งเป็น ใส่เกลือทั้งเป็น กำหนดหนักเข้าให้อโหสิกรรม แผ่เมตตาให้สัตว์เสีย นี่แหละกรรมฐานแก้กรรม ก็เลยเบาลงไปและหายวับไปกับตา ไม่ปวดขาอีกต่อไป

เขาบอกว่าไปหักขาขวาเขียดและปวดขาขวามาตลอด พออโหสิกรรมว่าไม่ปฏิเสธ เราไปหักขาเขามาจริง เราปวดอย่างนี้ เขาก็ต้องปวดอย่างนั้นแหละ เราก็ต้องใช้หนี้ด้วยการปวดไป ทรมานพอสมควรแก่เวลา และเรากำหนดจิตแผ่เมตตาต่อเมื่อออกจากกรรมฐาน อโหสิกรรมเสีย นี่เรียกว่า กรรมฐานแก้กรรมอย่างนี้ สามารถจะไม่ปวดอีกต่อไปแล้ว

บางคนปวดตา บอกว่า “ไม้แทงตา ไม้แหลมมาแทงตาปวดเหลือเกิน” กำหนดเข้าโยม ไม่มีใครไปแทง กำหนดเสีย นึกถึงคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นคนข้างวัดนี้เอง แต่ไม่เคยทำกรรมฐาน เดี๋ยวภาพนิมิตออกมาทันที

โยมคนนี้อายุ ๗๐ กว่าแล้ว ภาพนิมิตออกมาว่า เมื่อยังแข็งแรงอยู่ มาลักหน่อไม้วัดนี้ หน่อไหนที่เอาไม่ได้ เอาไม้แหลมแทงให้มันเสีย แทงหน่อไม้วัดเลย ตัวเองก็ต้องปวดตาอย่างนี้ พอรู้ชัดเข้าก็ขออโหสิกรรม พระสงฆ์อนุโมทนาและก็หายปวดตาจนชีวิตหาไม่ นี่กรรมฐานแก้กรรมอย่างนั้น

บางคนไม่รู้พอปวดก็เลิกไปเลย ไม่เอาแล้ว ชอบสบาย รับรองท่านจะไม่รู้กฎแห่งกรรม เดี๋ยวจะว่าอาตมาหลอกไม่ได้นะ อาตมาผ่านมาแล้วนะ ขอฝากผู้ปฏิบัติธรรมไว้ด้วย

เป็นคนจริงหรือเปล่า ถ้าจริงต้องได้ผลแน่ อย่างหนูที่วิทยาลัยครูพระนครศรีอยุธยา เจริญวัยชันษาพอดี ผู้ที่ไม่ได้รับราชการครู แต่เรียนวิชาครูไม่จำเป็นต้องเข้าครูเสมอไป เพราะวิชาครูเป็นหลักสำคัญมาก เป็นศูนย์กลางอันสำคัญ ที่เรียนเข้าไว้ สามารถจะเลื่อนยศตำแหน่งได้

มีจ่าทหารคนหนึ่ง มีฝึกกรรมฐานที่นี่ สอบวิชาครูได้ปริญญาตรี บัดนี้เลื่อนเป็นนายร้อยโทแล้ว อาตมาช่วยบอกเจ้ากรม กรมยุทธศึกษาทหารบก เดี๋ยวนี้เป็นร้อยเอกไปอีกคนหนึ่ง

อย่างท่านทั้งหลายเป็นทหาร เป็นฝ่ายอะไรก็ตามมีประโยชน์นะ แต่ท่านไม่นั่งกรรมฐานจริง ก็ไม่ทราบประโยชน์ตัวเอง อันนี้ช่วยไม่ได้ นี่เห็นว่าคนเข้างานได้หมดแล้ว บรรจุได้หมด เจริญกรรมฐาน เป็นผลงานกฎแห่งกรรม แก้กรรมได้คนที่เป็นหนี้เขา ยังใช้หนี้ไม่หมด สร้างความดีไม่ขึ้นหากินไม่ขึ้น บางคนหาเงินโดยค้าขายร่ำรวยจริง แต่เก็บไม่อยู่ ทำอย่างไรก็ไม่อยู่ ไม่รู้ไหลออกไปทางไหนหมด

อาตมาก็ดูให้ บอกให้มานั่งกรรมฐานเสีย แก้กรรมนี้ ก็ได้ความว่าสร้างเวรสร้างกรรมมามากยังใช้ไม่หมด พอใช้เวรใช้กรรมหมด อโหสิกรรมแผ่เมตตา บำเพ็ญกุศลเสร็จเรียบร้อย ทีนี้เงินเก็บอยู่ละ เป็นเศรษฐีได้ นี่กลายเป็นคนมีเงินมีทองไปแล้ว นี่แหละใช้หนี้ใครไม่หมดไม่เจริญหรอก ทำไม่ขึ้น ขอฝากไว้สั้น ๆ นะ บางคนมาถามว่า "ฉันมีเวรมีกรรมอะไร”

“มานั่งกรรมฐานซิโยม จะได้รู้”

“โอ๊ย ฉันไม่มีเวลา ไม่ว่าง"

แต่เวลาไปคุยบ้านเหนือบ้านใต้ว่างดีนัก คุยนินทากันนั่นแหละว่าง ไปสร้างความชั่วว่าง แต่สร้างความดีไม่มีใครว่าง ถูกต้องแล้วน่าเห็นใจ เพราะคนเราจะดีเหมือนกันทุกคนไม่ได้ แล้วแต่วาสนาบารมี คนที่ไม่มีบุญวาสนา มันทำยาก อาตมาก็เห็นใจด้วยคนเราที่จะดึงมาสร้างความดีดึงยาก เพราะดูเหตุการณ์แล้ว คนนั้นไม่มีบุญ ไม่มีวาสนา เขาจึงทำยาก อย่าไปว่าเขาเลย เพราะไม่มีวาสนา ทำอย่างไรก็ทำไม่ขึ้น และทำไม่ได้ด้วย

ขอเจริญพรให้ญาติพี่น้องได้ทราบว่า กรรมฐานแก้กรรมได้ มีนายทหารคนหนึ่ง ยศร้อยโท อยู่ศูนย์การทหารปืนใหญ่มาบวชที่นี่ พ.ศ. ๒๕๐๐ มีลูกผู้หญิง ๒ คนแล้ว ปู้ยี่ปู้ยำกับผู้หญิงจริงๆ ไม่เชื่อบุญเชื่อกุศล ไม่เชื่อเวรเชื่อกรรมด้วย อาตมาบอก “ผู้บังคับหมวด อาตมาขอบิณฑบาต สึกหาลาเพศแล้ว อย่าไปยุ่งกับผู้หญิงเขานะ”

“โอ๊ยหลวงพ่อ ผมไม่เชื่อ ไม่มีทางหรอก สนุกสนานไปชั่วคราวเท่านั้น ตอนตายแล้วมันก็สูญ จะไปเกิดที่ไหนอีก ที่ผมมาบวชที่นี่ไม่ใช่เพราะศรัทธานะ แม่ให้มาบวช แม่บอกว่าสำเร็จนักเรียนนายร้อยแล้วบวชให้แม่หน่อย เลยผมก็ไปมีครอบครัวเสียก่อน”

“เอาละผู้หมวด ไม่เชื่ออาตมาไม่เป็นไรนะ จดไว้นะไม่มีลูกผู้หญิงบ้างก็แล้วไปนะ”

“โอ๊ย ผมมี ๒ คนแล้ว”

“จดไว้เผื่อจะมีลูกผู้หญิงอีก”

ในที่สุดก็สึกหาลาเพศไป จากไปเป็นเวลานานหลายสิบปี ยศสุดท้ายก่อนที่จะมาพบกัน เป็นนายพันเอกพิเศษ มีลูกสาว ๓ คน ลูกชาย ๒ คน ภรรยาเป็นอาจารย์ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขอฝากข้อคิดท่านทั้งหลายไว้ หนักเข้าลูกสาวสามคนเป็นอย่างไร ลูกสาวจบ ม.๖ ทุกคน จบแล้วออกเลเพลาดพาด ไปด้วยกฎแห่งกรรม จากที่พ่อทำให้กับลูก มาหาพ่อ พ่อก็เตะทั้งรองเท้า มาหาแม่ แม่ก็บ่นจู้จี้ สอนลูกด้วยด่าลูกด้วย ลูกก็เลยออกจากบ้านไป ไปร้องเพลงอยู่ตามโฮเต็ล ตามโรงแรม ทำเสียหายน่าบัดสีในวงศ์ตระกูลเหลือเกิน ลูกชายสองคนดีหมด นี่แหละกฎแห่งกรรม

หนักเข้าสามีภรรยาก็ร้องไห้มาหา เพราะว่าบันทึกหลักฐาน จำได้ว่าบวชที่วัดนี้เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ บันทึกไว้ว่า ไม่เชื่อตามใจ ลูกจะต้องเสียหายมากราบนมัสการอาตมา อาตมาบอก ท่านจะแก้ไหมล่ะ ถ้าจะแก้ลาพักร้อนมาด้วยกันทั้งคู่ มานั่งเจริญกรรมฐาน ๗ วัน แล้วก็แผ่เมตตาให้ลูก อโหสิกรรมให้ลูกทุกวันๆ อย่าด่าลูกอีกต่อไป ตั้งแต่นาทีนี้เป็นต้นไป

ลูกมาแล้วก็อย่าไปพูดเรื่องเก่ามาเล่ากันใหม่โดยเด็ดขาด เอาเรื่องใหม่เลย ให้ลูกไปเรียนปริญญาต่อไป ก็ได้ความว่า กลับไป ลูกกลับทีละคน ไปตามน้องมาหมด พ่อแม่ไม่ได้ว่าอะไร หนักเข้าทั้งสามคนก็ไปเรียนรามคำแหง สำเร็จปริญญาด้วยกันทั้งหมด และบัดนี้เข้าทำงานด้วยกันทั้งหมด ลูกสาวก็มานั่งวิปัสสนาที่นี่ด้วย

บางคนหาเงินหาทองร่ำรวยจริงๆ ได้มาเก็บไม่อยู่ ต้องไหลออกไปจนได้ มีเรื่องให้ไหลออกไป ก็เพราะเราใช้กรรมไม่หมด มันต้องใช้กรรมอยู่ตลอดไป อย่าไปเสียใจไม้ต้องไปหาหมอดู เราก็เป็นพิเภกเสียเอง คือ สติเป็นพิเภก หนุมานเป็นลิง คือจิตใจ ลักษณ์ราม คือธรรมะที่ประทับใจ ขาวผ่องบริสุทธิ์ใจคือพระลักษณ์ น่ารัก น่าเอ็นดู น่าบูชา เขียวชอุ่ม เป็นพุ่มไสว อิทธิพลของบุญกุศล ดลบันดาลให้จิตใจชุ่มชื่นเป็นเรื่องการกระทำของกรรม เพราะคนไม่มีบุญวาสนาทำอย่างนี้ไม่ได้ ต้องฝืนใจ คนที่จะดีได้ต้องฝืนใจได้ ถ้าฝืนใจไม่ได้รับรองเอาดีไม่ได้ ไปเกิดอยู่ที่ไหนก็เอาดีไม่ได้ จะไปบวชเป็นพระเป็นชีก็เอาดีไม่ได้

ดีไม่ได้แน่เพราะฝืนใจไม่ได้ ล่องไปตามกระแสลมและสายธาร ตามอารมณ์ตามใจตัวเองตลอดมาช้านานแล้ว จึงเอาดีไม่ได้ดังเหตุที่กล่าวมานี้ มีความหมายอย่างนั้น

เรื่องที่จะเล่าสู่กันฟังมีมาก มีหลายเรื่องก็จริง แต่หมดเวลาแล้ว ขอแนะนำโยมผู้ปฏิบัติธรรมทุกท่าน จงอุตส่าห์ตั้งใจอดทน เดินจงกรมนั่งปฏิบัติคู่กันไป

อย่างที่คุณหมอชลอ คู่กับแม่ใหญ่มาช้านานนั้น ก่อนที่จะเข้าผลสมาบัติได้ ๘๔ ชั่วโมง รำลึกชาติได้ว่าตัวเองเกิดที่บ้านมอญ จังหวัดราชบุรี ไปฆ่าเขาตายที่น้ำตกเอราวัณ พอเหตุการณ์ผ่านไปแล้ว เข้าผลสมาบัติ ลืม ! อาตมาจดไว้ครบ และเขาต้องไปตายตรงนั้นทีเดียวกฎแห่งกรรมอย่าลืมนะ ทำเขาไว้ ไปฆ่าเขาตายที่ ต.ท่าพุทรา อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี ที่กระท่อมหลังนั้น ตัวเองก็ต้องไปโดนฆ่าตายตรงนั้น

ขอฝากไว้ด้วยเป็นกฎแห่งกรรม ทำอะไรขอให้ทำให้จริงๆ ได้ผลจริงและสมค่า สมปรารถนาทุกประการด้วยกฎแห่งกรรม ที่ชี้แจงแสดงมาในวันนี้



.......................................................................

คัดลอกจาก ::
หนังสือกฎแห่งกรรม เล่ม 3



.


http://www.tairomdham.net/index.php/topic,5667.0.html


.
16  สุขใจในธรรม / กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ / กรรมฐานแก้กรรมได้อย่างไร ? เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2554 06:27:58
กรรมฐานแก้กรรมได้อย่างไร ?
โดย พระธรรมสิงหบุราจารย์
(หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม)


ขอเจริญพร บรรดาญาติพี่น้องและคณะอาจารย์วิทยาลัยครูธนบุรีและผู้ปฏิบัติธรรมทุกท่าน ขอเจริญสุขนักศึกษาที่มาปฏิบัติธรรมทุกคน วันนี้จะแสดงธรรมะในเรื่องกฎแห่งกรรมและกรรมฐานแก้กรรมได้อย่างไร ขอให้ท่านทั้งหลายได้ตั้งใจฟังธรรมสืบไป

คำว่า กฎแห่งกรรม แปลว่าอะไร กฎ แปลว่า ดัน และผลัก กรรม แปลว่า การกระทำ แต่ละราย แต่ละรูปไม่เหมือนกัน ทำดีก็ดันไปทางดี ทำชั่วก็ดันไปทางชั่ว กฎ ตัวนี้คือ กฎแห่งธรรมชาติ กฎ แปลว่า กดลงไปและดันขึ้นมา ถ้าหากเรามีคุณธรรมได้อบรมมาดีแล้ว มันจะดันและผลักไปในทางดีให้มีปัญญาถ้าการกระทำของเราไม่สมส่วนควรกันไม่สมเนื้อสมน้ำ เพราะจิตใจที่อบรมมาไม่ดี มันจะดันไปในทางที่ไม่ดีและกดให้จมลง ให้ต่ำลงไปโผล่ไม่ขึ้น

อาตมาประสบมามากหลาย บางคนไม่สนใจในเรื่องกรรมดี กรรมชั่ว ต้องการอายุมั่นขวัญยืน ต้องการให้มีความสวยงาม ผิวพรรณผ่องใส ต้องการให้สุขภาพอนามัยดี และต้องการให้กิจการสำเร็จตามเป้าหมาย แต่เขาไม่ได้สร้างเหตุผลที่จะส่งผลให้อายุยืน กลับไปทำให้อายุสั้น ไปฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เบียดเบียนชีวิตเขา อาฆาต เคียดแค้นผูกพยาบาท ริษยา รับรองผู้นั้นจะอายุสั้น พลันตายตั้งแต่อายุยังน้อย

พระท่านสอนไว้ว่า “กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ” การเกิดเป็นมนุษย์แสนจะยาก ลำบากเหลือเกินที่จะเกิดมาโสภาภาคย์ มีน้าตาดียิ่งหายากที่สุด ท่านต้องมีญาณมา มีปัญญามา มีวิชชามา มีความรู้ของมนุษย์ คือมีคุณสมบัติมนุษย์ครบ คือคุณธรรม มีศีล ๕ ครบ จึงจะมาเกิดเป็นมนุษย์ที่โสภาได้

บางคนมีศีลมาไม่ครบ มีคุณสมบัติไม่ครบ เกิดมาขี้ริ้วขี้เหร่ บางคนเกิดมาง่อยเปลี้ยเสียขา บางคนตาบอดหูหนวก บางคนแถมยังปัญญาอ่อนอีก บางคนเฒ่าแก่ชราเป็นอัมพาต

บางคนมีทานดีมาแต่ชาติก่อน ก็เกิดมาเป็นลูกมหาเศรษฐีมั่งมีศรีสุข แต่เมื่อชาติก่อนเขาได้ทำการเบียดเบียนสัตว์มา ชาตินี้จึงสามวันดีสี่วันไข้ เข้าโรงพยาบาลไม่พัก มีเงินก็ช่วยไม่ได้ บางคนไม่ได้สร้างเหตุแห่งปัญญามา ถึงเกิดเป็นลูกเศรษฐี เงินก็ชื้อวิชาไม่ได้ เงินก็ช่วยลูกเรียนเป็นดอกเตอร์ไม่ได้ เพราะเหตุใด เพราะทำบุญมาไม่ครบ

บางคนบ้านใหญ่โตราวกับวัง แต่กินข้าวกับน้ำตาไม่เว้นแต่ละวัน ท่านทั้งหลายโปรดทราบ เรื่องสังข์ทองเป็นปริศนาธรรม หกเขยคือหน้าโง่ โง่ทางอายตนะ ตาโง่ ไม่มีกำหนดเห็นหนอ เห็นด้วยโง่ๆ ไม่เห็นลึกซึ้ง ไม่เห็นนิสัยใจคอคน ดูคนไม่เป็น ดูคนให้ดูหน้า ดูผ้าให้ดูเนื้อ ดูเสื่อให้ดูลาย ดูชายให้ดูพ่อ จะได้ไม่ย่อท้อใจ !

ท่านทั้งหลาย เพิ่งเริ่มเข้ามาปฏิบัติไม่กี่ชั่วโมง จึงอาจจะไม่ลึกซึ้งถึงขึ้นที่ดูหน้าดูตาก็จะรู้ได้ ดูคนให้ดูหน้า ดูโหงวเฮ้ง การแนะแนวไม่ใช่มาถึงวัดสอนบุญ บาป ทำบุญไปสวรรค์ ทำบาปไปนรกเท่านั้น ต้องสอนแนะแนวถึงกรรมฐานแก้กรรมได้อย่างไร ใครเอาไปใช้ปฏิบัติเป็นประจำ จะแก้กรรมได้จริงๆ ถ้าใช้ไม่จริงก็เหมือนถ้วยชา เขาให้มาแล้วเอาไปใส่ตู้ไว้ ไม่ค่อยใช้ให้เป็นประโยชน์เลย ตัวเรานี้มีประโยชน์มาก แต่ใช้ตัวไม่เป็น ไปใช้ในเรื่องไร้สาระเสียมาก ไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง เกิดมาเสียชาติเกิดไม่ประเสริฐล้ำเลิศ ไหนๆ จะตายจากโลกไปก็จะต้องมีความดีติดตัวไปด้วย และทิ้งความดีไว้ในโลกมนุษย์ คือความดีเป็นตรา ถ้าใครทำกรรมฐานได้ลึกซึ้ง จะรู้เหตุผลของชีวิตได้อย่างดีที่สุด เป็นประโยชน์แก่ชีวิตประจำวัน แก้ไขปัญหาเกิดขึ้นเฉพาะหน้าด้วยกรรมฐาน

บางคนชอบไปหาหมอดู หมอดูบอกว่าต้องสอบได้ที่หนึ่ง แต่ปรากฏว่า สอบตก หมอดูว่า สอบตกกลับสอบได้เพราะเราขยัน เราต้องสร้างความดีให้กับดวง หาใช่ดวงทำให้เราดีไม่ ต้องสร้าง อยู่เฉยๆ ดีได้อย่างไร มันต้องเกิดจากการกระทำ คือกฎแห่งกรรมนั่นเอง

การสร้างความดีให้กับดวง ก็คือสร้าง ศีล สมาธิ ปัญญา ให้เกิดขึ้นแก่ตัวเรา แล้วเราจะอบอวล ทวนลม ผู้ที่มีสมาธิจะเป็นคนขยันหมั่นเพียร และเป็นผู้มีปัญญา คนที่มีปัญญาแหลมลึก แหลมหลักต้องมีสามคม

คมกริบ ไว้ภายในจิต ไม่บอกใคร แสดงออกในเมื่อมีความจำเป็นจะต้องใช้

คมคาย มันยังเป็นหลุม เป็นบ่อ ไม่เสมอ ก็เอาบุ้งมาแทง อย่างนี้เป็นต้น

คมสัน มันต้องใช้ขวานตอกย้ำลงไป จึงจะเข้าเรียบร้อยดี นี่มันมีในลักษณะศีล สมาธิ ปัญญา ครบ ศีล คือ สถาปนิก ออกรูปแบบพื้นฐานให้คนชอบ

สมาธิ คือ วิศวกร รู้วาระจิต รู้จักน้ำหนัก รู้จักชั่งตวงวัด รู้จักวาระจิตของคนในฐานะเช่นไร ควรทำกับเขาอย่างไร รู้จักกาลเทศะ รู้จักบาป รู้จักบุญ รู้จักคุณ รู้จักโทษ รู้จักสิ่งที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ที่วิศวกร

ปัญญา คือ นายช่าง ลงมือทำทันที มิได้รอรีแต่ประการใด

ถ้าใครเป็นทั้งสถาปนิก วิศวกรและนายช่างแล้ว รับรองคนนั้นเอาตัวรอดปลอดภัยในอนาคต บางคนเกิดมาแต่ชาติก่อน นิสัยดีมีปัญญาในโลกมนุษย์นี้ เขาจะมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง ถึงจะเกิดในบ้านยากจนก็สามารถเป็นรัฐมนตรี หรือเป็นใหญ่เป็นโตได้ เพราะสติปัญญาที่สร้างมาแต่ชาติก่อน คนเราก็มีทั้งถูกและแพง มีทั้งเก๊และดี มีทองคำก็มีทองชุบ มีหลวงพ่อทวดก็มีหลวงพ่อเทียบ คนดีหายากคนเก๊เยอะ มีน้อยเหลือเกินที่จะดีเด่นเห็นชัดและเห็นไกล อย่างนี้หายาก ต้องอดทน ต้องฝึกฝนท่านทั้งหลายเอ๋ย จิตนี้ฝึกได้ขยันก็ได้ฝึกให้ทำงานก็ได้ ฝึกให้ขี้เกียจก็ได้

การเจริญวิปัสสนากรรมฐานจะรำลึกชาติได้ รู้กฎแห่งกรรมที่ผ่านมา จะแก้ปัญหากรรมที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าในกิจประจำวันของเราได้ ถ้าใครเจริญวิปัสสนากรรมฐานโดยต่อเนื่อง สร้างความดีให้ติดต่อกัน สร้างความดี ถูกตัวบุคคล ถูกสถานที่ ถูกเวลา ต่อเนื่องกันเสมอต้นเสมอปลายแล้ว คนนั้นจะได้รับผลดี ๑๐๐% และจะเอาดีในชาตินี้ได้แน่นอน ไม่ต้องรอดีถึงชาติหน้า สำคัญที่ทำความดีผิดสถานที่ ผิดตัวบุคคล และผิดกาลเวลาด้วย ไม่ใช่กาลเวลาที่จะต้องทำไปแล้วไปทำ ไม่ใช่กาลเวลาที่จะพูดแล้วไม่พูด มันก็เสียหาย ถ้าเรานั่งสมาธิอยู่หายใจยาวๆ มีกรรมฐานเป็นการพักผ่อนในร่างกายในตัว เช่น ๑ นาทีหายใจ ๑๘ ครั้ง กำลังนอนหลับเหลือ ๑๕ ครั้ง ถ้าเราทำสมาธิปกติเหลือ ๑๕ ครั้ง ก็เหมือนได้หลับไปแล้ว มันไม่อ่อนเพลียละเหี่ยใจแต่ประการใด มันจะเข้าภาวะปกติอย่างดียิ่ง จะมีพลังจิตสูง ต่อสู้กับเหตุการณ์และปัญหาได้ ด้วยการฝึกฝนกรรมฐานนี่แหละเพราะฉะนั้นกรรมฐาน แปลว่า การกระทำให้ฐานกายนี้เป็นที่ตั้งของสติ พอท่านทั้งหลายทำจนได้ดวงตาเห็นธรรมวิเศษบางประการ ได้ศีล สมาธิ ลึกซึ้งในจิตใจ ท่านจะเห็นความดีในจิต

รำลึกถึงบุพการีได้ สามารถรำลึกชาติได้ จะไม่ลืมพ่อ ลืมแม่ ปู่ย่าตายาย ครูบาอาจารย์ จะสนิทสนมกลมกลืนกันกับครูบาอาจารย์ผู้มีพระคุณทั้งหลาย

นักปราชญ์ท่านสอนไว้ว่า ถ้าเราให้อะไรใครจะไม่นับไม่จำ แต่ใครให้อะไรเรา แม้น้ำถ้วยเดียว เราก็กำหนดจดจำไว้ได้ เราจะไม่ลืมบุญคุณของเขา อย่างนี้จะเกิดขึ้นกับนักกรรมฐานที่ซึ้งใจ เพราะเหตุที่เราไม่หวังผลตอบแทน แล้วบุญกุศลจะสนองแก่เราเอง เงินไหลนอง ทองไหลมา จะคิดอ่านทำอะไรก็ได้ผลสำเร็จตามเป้าหมายทุกประการ มีแต่ความเจริญ จะได้อยู่ในแวดวงสิ่งแวดล้อมที่ชื่นใจ ไม่มีการทะเลาะวิวาทกัน จะมีแต่สิ่งที่เป็นมงคลในบ้านนี้

อันนี้บางคนทำได้ยาก เพราะสันดานทำไม่ได้ นิสัยไม่ให้ รูปร่างก็ดีๆ นะ แต่นิสัยไม่ให้ บางคนเข้าใจว่าคนอื่นคงเหมือนเรา และเราเหมือนคนอื่นเขา เหมือนไม่ได้ ! เพราะแตกต่างด้วยกฎแห่งกรรม เหมือนกันไม่ได้ ! การแต่งกายก็ไม่เหมือนกัน บางคนชอบทรงนั้นทรงนี้ ถ้าเคยชอบอย่างไร ไปใช้อย่างอื่นมันก็ไม่พอใจ ไม่สบายใจเป็นที่การฝึก เราเคยทำอย่างนี้แล้วไปทำอย่างนั้นมันก็ทำไม่ได้ ก็ธรรมดา เพราะกฎแห่งกรรมนี้มันแยกประเภทของสรรพสัตว์เหมือนกันไม่ได้ กฎแห่งกรรมสั้นๆ มาจากไหน อาตมาทบทวนได้แล้วขอฝากท่านทั้งหลายไว้ด้วย เราจะดูได้จาก เห็นหนอ ! รู้หนอ คิดหนอ เข้าใจหนอ และกำหนดกิเลสได้ในตัวเรา ธาตุ อายตนะจะโง่หรือฉลาดอยู่ที่ อายตนะ ๖ อยู่ที่.....อินทรีย์ หน้าที่นี้เอง ตา หู จมูก ลิ้น กาย จิต จะโง่หรือไม่โง่ อยู่ที่ตรงนี้

จะฉลาดหรือมีปัญญาอยู่ที่ตา หู.....ทำได้จริงหรือเปล่า กำหนดต่อเนื่องหรือเปล่า เปล่าเลย มันก็ไม่ได้ ก็ได้แค่นั้น ที่กำหนดก็ไม่รู้ด้วย และรู้ไม่จริง ที่ท่านทั้งหลายทำนี่ก็ต้องการเอาเป็นนิสัยปัจจัย เพื่อทำต่อเนื่องต่อไปในอนาคต เพื่อแก้ปัญหาปัจจุบัน จากการกำหนดตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนี่เอง นี่มันอยู่ตรงนี้ มันโง่หรือฉลาดมันอยู่ตรงนี้เอง ขันธ์ ๕ รูปนามก็อยู่ตรงนี้เองเพราะฉะนั้นการกระทำของแต่ละท่านนี้ เราดูได้จากตัวเรา สังเกตได้จากตัวเรา เจริญกุศลภาวนามีหน่วยกิตครบ เราจะรู้ได้เองว่าตัวเรามีปาณาติบาตติดตัวมา ๖๐% เราจะต้องรับใช้หนี้ในชาตินี้แน่

รับใช้หนี้อะไร ก็หมายความว่าเราจะต้องโดนรถชน เราจะต้องโดนฆ่าตาย เราจะต้องโดนใส่ร้าย มันจะบอกเราเองก่อนที่จะไปบอกคนอื่นเขา อันนี้อาตมาก็ได้ประสบมาเป็นต้น เช่นมีปาณาติบาตฆ่าสัตว์ติดตัวมา ๖๐% เรารู้แจ้งแก่ใจ รู้วันตายว่าจะต้องตายอย่างไร รถชนตาย โดนยิงตาย โดนอุบัติเหตุตาย เป็นต้น

จะโดนง่อยเปลี้ยเสียขา โดนทรมาน โดนหนอนกินจนชีวิตหาไม่ มันจะบอกเหตุการณ์ชัดในตัวเราก่อน

ในเมื่อบอกตัวเราได้ ดูคนอื่นมันก็บอกได้ เราอ่านภาษาอังกฤษที่นี่จบ ไปอ่าน เอ บี ซี ที่ไหน มันก็ต้องผสมสระ ผสมอักษรเข้าแล้วก็แปลความหมายของศัพท์ได้ นั่นแหละเช่นเดียวกัน

เราจะรู้ได้ว่าเห็นหนอ คนนี้มีปาณาติบาตติดมาก็จะรู้ได้เลยว่า กฎแห่งกรรมคนนี้จะต้องเป็นอัมพาต คนนี้ต้องไปอุบัติเหตุ คนนี้ไปโดนรถชนตาย มันบอกชัดนะ มีประโยชน์มากสำหรับผู้ทำได้ มันมีประโยชน์อย่างนี้

ถ้าเราเจริญกรรมฐาน เราจะรู้กฎแห่งกรรมได้ตอนมีเวทนา คนไหนอดทนต่อเวทนาได้ กำหนดผ่านเวทนาได้ เราจะรู้ได้ว่าทุกข์ทรมานที่ผ่านนั้นไปทำกรรมอะไรไว้ มันจะมีกรรมอะไรมาแทรกซ้อน มันจะบอกเราเอง อันนี้มีตัวอย่างที่อาตมาประสบการณ์มามากมาย เช่น อทินนาทาน

เบียดเบียนทรัพย์เขามานะ แล้วก็ไปเบียดเบียนสัตว์ด้วย ทุกอย่างเอาหมดมักได้มักง่าย รุกหัวคันไร่คันนา ลักเงินลักทอง โจรกรรมเล็กๆ น้อย สะสมหน่วยกิตนิสัยไม่ดี นิสัยเคยชินในการลักขโมย ไปเบียดเบียนทรัพย์ เหมือนเศรษฐีมีเงินแล้วไปบ้านเหนือบ้านใต้ ก็ต้องหยิบมีดเขามา หยิบโน่นใส่พกใส่ห่อมา จนได้คือนิสัยสันดาน มีเงินแล้วยังต้องไปลักของเขาอีก ไปเบียดเบียนเขาอีก เบียดเบียนคนจนอีก ทำนองนี้เป็นต้น

กฎแห่งกรรมจะบ่งบอกออกมาเป็นดุจเครื่องคอมพิวเตอร์ว่า คนนี้ได้เงินได้ทองมาแล้วต้องถูกโจรกรรม ต้องถูกคนลัก ตีชิงวิ่งราว มิฉะนั้นไฟจะไหม้บ้าน ไม่เคยผิดแม้แต่รายเดียว อาตมาเคยทายไว้ คนนี้ระวังนะโยมเคยถูกโจรกรรมไหมโยม ไม่ถูกเลยค่ะ ระวังอันเดียวคือไฟไหม้บ้านหมดเนื้อประดาตัว แล้วก็จริงด้วย อันนี้เห็นได้ชัด

นี่แหละท่านทั้งหลาย ทำให้มันจริง จะเห็นจริง ทำไม่จริง จะเห็นจริงได้อย่างไร ต้องเห็นจากตัวเราออกมาข้างนอก เรารู้ตัวว่าเรามีเวรมีกรรมประการใด ก็ใช้หนี้โดยไม่ปฏิเสธทุกข้อหา จิตอโหสิกรรมได้ ยินดีรับเวรรับกรรมได้ โดยไม่มีปัญหาใดๆ

กาเมสุมิจฉาจาร ถ้าเรารู้ตัวเอง นั่งเจริญกุศลภาวนา มันจะบอกว่าอดีตชาติ ไปปู้ยี่ปู้ยำเขามา ชู้สาวนานาประการ ผัวเขา เมียเขา นานาชนิด มีข้อคิดหลายอย่าง

มาในชาตินี้ เราก็มาลำบากลำบนในครอบครัวหาความสุขไม่ได้เลย มีสามีก็เป็นของเขาหมด มีภรรยาก็มีชู้หมด และครอบครัวต้องหายนะ ทะเลาะวิวาทกัน ไม่ใช่คู่สร้างคู่สม กลายเป็นคู่วิวาทกัน และจะต้องแตกแยกหย่าร้างกันไป ถึงจะมีลูกด้วยกันแล้ว มีทั้งเขยสะใภ้แล้วก็ตาม จะต้องแยกกันไปตามกาลเวลา จากการกระทำของเราแน่นอนที่สุดบางท่านเป็นผู้ชายแท้ๆ ปู้ยี่ปู้ยำผู้หญิง ทำให้เขาช้ำอกช้ำใจหลายชาติที่ผ่านมา เกิดมาในชาตินี้ต้องเกิดมาเป็นผู้หญิงโสเภณี ก่อนจะตายต้องให้หนอนกินก่อน มีจริงที่จดไว้หลายราย ถ้าท่านไม่เชื่อลองไปทำดูนะ มีความหมายอย่างนี้

นอกเหนือจากนั้น หลอกลวงโลกหวังเอาลาภเขา หลอกลวงเขาตลอดรายการ พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ เพ้อเจ้อ เลี้ยวลดคดเคี้ยวติดวิญญาณมาในชาตินี้ รับรองอย่าปฏิเสธ ไม่ช้าเราต้องโดนหลอกเอาเงินไป โดนหลอกเอาโน่นไป โดนหลอกเอานี่ไปอย่างแน่นอน ใครเป็นผู้หลอก ผู้ใกล้ชิด ญาติมิตรหรือเพื่อนฝูง เขามาเกิด จะต้องสนองงานในกฎแห่งกรรม ก็มาหลอกเอาของเราไป และเราไม่ต้องติดตามของนั้นแน่นอนที่สุด เพราะเราไปหลอกเขามาก่อนอย่างนี้เป็นต้น

สุราเมรัย เครื่องดองของเมานานาชนิดทุกประการ ถ้าเรานั่งภาวนาเราจะรู้ตัวเองว่า อดีตชาติเราเสพยานี้มาไหม ถ้าติดมา ๖๐% รับรองว่า เรานี้จะไม่ต้องเรียนอะไรเลย เรียนไม่ไหวแล้ว และเป็นโรคปัญญาอ่อน ไปเรียนอะไรก็ไม่จบหลักสูตรมัธยมศึกษา แน่นอนและเป็นความจริงด้วยเราต้องแก้กรรมของเราเสีย อ๋อ ! ปาณาติบาตเมื่อชาติก่อนติดมา เรายังไม่ง่อยเปลี้ยเสียขาในขณะนี้ เราจะต้องรับสนองผลงานในโอกาสหน้า เราก็รีบบำเพ็ญกุศล ด้วยการปฏิบัติกรรมฐาน

เราก็มาบำเพ็ญทานศีลและภาวนา สวดมนต์เป็นนิจ อธิษฐานจิตเป็นประจำ อโหสิกรรมเสียก่อนและเราก็แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่เราไปสร้างกรรมมาครั้งอดีต รู้บ้าง ไม่รู้บ้าง รู้เท่าทันหรือไม่เท่าทันก็ตาม ถ้ารู้เท่าไม่ถึงการณ์เช่นนี้แล้ว ขอสรรพสัตว์ทั้งหลายจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้า มันก็จะน้อยลงไป ยกตัวอย่างอาตมาเป็นต้น

อาตมารู้ตัว ๖ เดือน ก็ขออโหสิกรรมทุกวัน ว่าเราก็ไปหักคอนกมามากหลาย เราก็บอกว่า พ่อนกเอ๊ยตอนที่ข้าพเจ้าเป็นเด็กรู้เท่าไม่ถึงการณ์ อย่าเอาโทษเราเลย ขอให้โทษเราลดลงไป ให้อภัยโทษเถิด เหมือนให้การกับศาลรับสภาพฉะนั้น ศาลจะเมตตาเราที่ให้ความสะดวกในการพิจารณาของศาล จึงลดโทษลงไปอีก ๖๐% เราอาจจะรอดจากความตายได้ เลยก็เตรียมให้รถชนคอหักหมุนได้ แล้วก็กลับมาใช้เวรกรรมให้สิ้นสุดในชาตินี้ชาติเดียวเท่านั้น ผ่านจากหนักเป็นเบาได้ คือมิได้ปฏิเสธทุกข้อหาด้วยกรรมฐาน แก้กรรมได้อย่างนี้ โดยรู้ตัวของเราเอง

ที่มา

17  สุขใจในธรรม / กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ / Re: บุพกรรมของพระพุทธองค์ และพระอรหันต์ เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2554 06:24:19
.
http://www.tairomdham.net/index.php/topic,5657.0.html

.

http://www.tairomdham.net/index.php/topic,5658.0.html

.

http://www.tairomdham.net/index.php/topic,5659.0.html

.

http://www.tairomdham.net/index.php/topic,5660.0.html

.

http://www.tairomdham.net/index.php/topic,5665.0.html

.



18  สุขใจในธรรม / กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ / Re: บุพกรรมของพระพุทธองค์ และพระอรหันต์ เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2554 06:22:00
บุพกรรมของพระมหาโมคคัลลานะ

โดย  หลวงพ่อพระราชพรหมยาน  วัดท่าซุง

ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย  ตอนนี้ขอนำเรื่องราวกรรมเก่าของพระโมคคัลลานะ มาแสดงแก่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายจะเห็นว่า  ท่านที่มีบุญใหญ่  คือ  พระโมคคัลลานะ เป็นถึงอัครสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง  เป็นพระสาวกฝ่ายซ้ายที่มีฤทธิ์มาก  ไม่น่าจะถูกคนฆ่าตาย  นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย  ขึ้นชื่อว่าเรื่องกฎของกรรมที่ท่านทั้งหลายชอบบ่นกัน  บอกว่าทำบุญทำทานมามาก  ทำไมบุญที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่า  ทำดีจะได้รับผลดี  แต่ว่าพวกเรานี้กลับได้รับผลร้าย  ถ้าคิดอย่างนี้ละก็  นึกถึงเรื่องราวของกฎของกรรมเก่า ๆ ที่เล่าสู่กันฟัง  เอาเข้ามาคิด  จงคิดว่า  ชาตินี้เราไม่ได้ทำ  แต่ว่าชาติก่อน ๆ เราอาจจะทำก็ได้  เพราะเราเองก็ทราบไม่ได้เหมือนกันว่า  ชาติก่อน ๆ เราทำอะไรไว้บ้าง

                        ถ้าหากว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย  ได้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ  คือ การระลึกชาติหนหลังได้  มันก็เป็นของไม่ยาก  แล้วการบำเพ็ญปุพเพนิวาสานุสสติญาณให้ปรากฎนี้  ความจริงมันก็ไม่ยากเหมือนกัน  ทำไมจึงกล่าวว่าไม่ยาก  ถ้าหากว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทปฏิบัติตามคำแนะนำขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า  เรื่องปุพเพนิวาสานุสสติญาณ  ระลึกชาติหนหลัง  ท่านจะมีความรู้สึกเหมือนกับเรียนหนังสือชั้นประถมเท่านั้นเอง  ยังไม่ใช่ใหญ่โตมโหฬารอะไรนัก  แต่ทว่าเรื่องของการปฏิบัติ  บรรดาท่านพุทธบริษัทฟังกันในเรื่องของการเจริญพระกรรมฐานดีกว่า  ถ้ามีเวลา  จะอธิบายให้บรรดาท่านพุทธบริษัทฟังว่า  การที่จะได้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ  ระลึกชาติได้นั้น  เขาทำกันอย่างไร  เอาไว้ฟังกันในเรื่องของพระกรรมฐาน  นี่เราคุยกันเรื่องของพระสูตร  เล่านิทานสู่กันฟัง  แต่เป็นนิทานเรื่องจริง ๆ ไม่ใช่นิทานเล่าโกหกกันเล่น  เว้นไว้แต่ว่า ไปหยิบเอาตัวนิทานมาแสดงให้แก่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยทั่วหน้าไม่ได้  แต่เรื่องขององค์สมเด็จพระจอมไตร  พระองค์ก็ทรงรับรองอยู่แล้ว  องค์สมเด็จพระประทีบแก้วบอกว่า  ถ้าใครไม่เชื่อเชิญมาพิสูจน์ด้วยการปฏิบัติตาม  ฉะนั้น  ขอบัณฑิตทั้งหลายที่ทรงความเป็นบัณฑิต ประเภทไหนก็ช่าง  ถ้าอยากจะรู้ความจริงเรื่องกฎของกรรมเก่า ๆ  ก็ปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอน  ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ก็จะรู้เรื่องได้ไม่ยากไม่ลำบากอะไร ต่อไปนี้  มาคุยกันถึงเรื่องบุพกรรมของพระมหาโมคคัลลานะ

                        ในสมัยนั้น  เมื่อองค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงได้พระมหาโมคคัลลานะและพระสารีบุตรมาเป็นคู่อัครสาวกซ้ายขวา  อัคร  แปลว่า  ผู้เลิศ  พระสารีบุตรเป็นผู้มีปัญญาชั้นเลิศ  ประเสริฐ  ไม่มีใครเสมอเหมือน  นอกจากพระพุทธเจ้า พระมหาโมคคัลลานะก็เช่นเดียวกัน   เรื่องการมีฤทธิ์แล้ว ใครไม่ยิ่งไปกว่าพระมหาโมคคัลลานะ  พระพุทธเจ้าทรงยกย่องว่า  เป็นผู้เลิศเรื่องมีฤทธิ์

                        อาศัยความมีฤทธิ์ของพระมหาโมคคัลลานะ ท่านเป็นพระขยัน  เวลากลางคืน  ท่านมักจะไปเที่ยวสวรรค์บ้าง  ไปเที่ยวเมืองนรกบ้าง  ไปพบเทวดาก็ดี ไปพบพรหมก็ดี ไปพบสัตว์นรก เปรต อสุรกายก็ตาม  ท่านก็ถามถึงประวัติเดิม  เกิดที่ไหน ใครเป็นพ่อ ใครเป็นแม่ ใครเป็นดี่ ใครเป็นน้อง  ทำความดี ทำความชั่วอะไร จึงมาเกิดในแดนนี้  เมื่อท่านทราบแล้ว  ก็มาถามองค์สมเด็จพระชินสีห์  ให้ประกาศแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท

                        เมื่อองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ทรางทราบด้วยอำนาจพระพุทธญาณว่า เรื่องนี้พระโมคคัลลานะไม่ได้กุขึ้น  พระพุทธเจ้าเมื่อทราบว่าจริง  ก็ทรงรับรอง  แล้วประกาศให้เขาทราบ  แล้วในสถานที่ใดเป็นที่ยากลำบาก  คนเจริญศรัทธาไม่ดีพอ  พระอื่นมีความสามารถไม่พอ  พระพุทธเจ้าก็ทรงส่งพระมหาโมคคัลลานะไป

                        เมื่อพระมหาโมคคัลลานะไปถึงแล้ว  ก็แสดงปาฏิหาริย์ต่าง ๆ  ด้วยความชำนาญในการแสดงฤทธิ์  เป็นการน้อมจิตให้บุคคคลทั้งหลายเหล่านั้นมีความเชื่อถือ  เห็นเป็นอัศจรรย์  แล้วองค์สมเด็จพระภควันต์ก็เสด็จตามไปทีหลัง  ตอนนี้พระพุทธเจ้าเทศน์ธรรมะโปรดบรรดาท่านทั้งหลายเหล่านั้น  ก็พากันบรรลุมรรคผลไปตาม ๆ กัน

                        เรื่องพระมหาโมคคัลลานะมีความสามารถเป็นอัจฉริยบุคคล  เลิศกว่าบุคคลอื่น  แม้แต่พวกเดียรถีย์ทั้งหลายก็เศร้าสร้อยหงอยใจ  บรรดาบริษัทบริวารของเดียรถีย์ทั้งหลายพากันมาเคารพในพระพุทธเจ้า  สร้างความยากสร้างความลำบากให้เกิดแก่เดียรถีย์  เพราะเขาทั้งหลายเหล่านั้นมีความสามารถไม่พอ และก็ดีไม่จริง   เป็นเหตุให้บริษัทชายหญิงของเขามาติดพระพุทธเจ้ากันเสียเกือบหมด

                        เขาจึงได้พากันพิจารณาว่า  องค์สมเด็จพระบรมสุคตที่มีคนนับถือมาก  มีลาภสักการะมาก  ก็เพราะอาศัยพระโมคคัลลาน์เป็นกำลังสำคัญ  เพราะท่านเที่ยวไปยังที่ต่าง ๆ เที่ยวเมืองนรกบ้าง  เมืองสวรรค์บ้าง  ปลุกใจประชาชนให้มีความเคารพในองค์สมเด็าจพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเหตุ

                        เขาจึงคิดกันต่อไปว่า  ถ้าเราจะทำลายองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์  คือพระพุทธเจ้า  ทำลายไม่ได้แน่  เพราะคิดทำลายมาหลายวาระแล้ว  เคยใช้นางจิญจมาณวิกา แกล้งทำเป็นคนท้องไปประกาศให้คนทราบว่า  พระพุทธเจ้าทำให้ท้อง  แต่หนูจัญไรกลับไปกัดเอาเชือกที่ผูกไม้ที่แกล้งทำเป็นคนท้องให้ขาดลงมา  เป็นเหตุให้นางจิญจมาณวิกาได้รับโทษลงอเวจีทั้งเป็น

                        แล้วก็พระเทวทัตได้หาทางกลั่นแกล้งพระพุทธเจ้า  สั่งนายขมังธนูยิงบ้าง  ปล่อยช้างนาฬาคีรีให้ไล่แทงพระพุทธเจ้าบ้าง  กลิ้งหินให้ทับบ้าง  พระพุทธเจ้าก็ไม่มีอันตราย

                        การที่คิดจะฆ่าองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นของทำได้ยาก  แต่ว่าถึงกระไรก็ดี  ถ้าตัดแขนขาขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเสียได้แล้ว  องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็จะต้องเศร้าไป  แขนขาที่สำคัญขององค์สมเด็จพระจอมไตรก็คือ พระมหาโมคคัลลานะ ที่มีฤทธิ์มาก และปลูกศรัทธาคนได้ดี

                        บรรดากลุ่มเดียรถีย์ทั้งหลายพร้อมใจกัน  แต่ความจริงเขาประกาศว่า  เขาเป็นพระอรหันต์  แต่กลับมีอารมณ์จิตอิจฉาพระพุทธเจ้า  คิดจะฆ่าสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ดูเอาเถิดบรรดาท่านพุทธบริษัท  เขาประกาศตนว่า เขาเป็นคณาจารย์ใหญ่สอนให้บุคคลอื่นทำความดี  แต่ว่าจิตใจของตัวนี้เลวทรามยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน  เพราะอะไร  เพราะสัตว์เดรัจฉานมันยังมีความกตัญญูรู้ความดีของคน  แต่ว่าบรรดาเดียรถีย์หน้ามนพวกนี้  เขาไม่เคยเห็นความดีของพระพุทธเจ้าและพระมหาโมคคัลลานะ  มีอย่างเดียวท่านทั้งหลายเหล่านี้ดีกว่าเขา   เขาต้องคิดทำลาย  สมัยนี้มีบ้างหรือเปล่าก็ไม่ทราบ  บรรดาท่านพุทธบริษัทที่คณาจารย์ทั้งหลายตั้งสำนักกันขึ้นมา  แต่เห็นว่าสำนักอื่นเขาดีกว่า  มีอารมณ์อิจฉาริษยา  มีหรือเปล่าอาตมาไม่ทราบ  ถ้าบังเอิญมีก็รู้สึกว่าน่าสลดใจ  แต่เข้าใจว่าไม่มี  แต่ก็ไม่แน่นัก  เพราะเคยพบท่านผู้เฒ่าท่านหนึ่ง  ท่านตั้งสำนักสมถวิปัสสนาของท่านขึ้นมา  ปรากฎว่าคนอื่นเขาตั้งทีหลัง  ท่านเป็นพระ เป็นพระราชาคณะ  เป็นเจ้าคณะจังหวัด  เห็นว่าคนอื่นเขาดีกว่าตนทนไม่ไหว  แทนที่จะมีมุทิตาในพรหมวิหาร 4  กลับหาทางย่ำยีกลั่นแกล้งด้วยประการทั้งปวง  เป็นที่น่าสงสาร  ปรากฎว่าท่านผู้นี้เมื่อตายลงไป  เวลาก่อนจะตายถูกทุกขเวทนาครอบงำมากต้องทุรนทุรายไค้สติสัมปชัญญะ  ตายแล้วลงอเวจีมหานรก  กฎของกรรมนี้ผ่านมาแล้วไม่นาน

                        ความจริงเรื่องราวในสมัยที่องค์สมเด็จพระพิชิตมากทรงพระชนม์อยู่  ก็มีตัวอย่างมากมาย  ท่านบวชภายหลัง  มีตำรามากเรียนได้ครบ  เรียนจบเป็นมหาเปรียญ  แล้วก็เป็นเจ้าคุณฯ  เป็นเจ้าคณะจังหวัด  ไม่น่าจะประพฤติความชั่วแบบนั้น  แต่ทั้งนี้ไม่ใช่อะไร  บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย  เพราะว่าการปฏิบัติธรรมของท่านนั้น  ไม่ได้เข้าถึงธรรมขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแท้จริง  ท่านตั้งสำนักหลอกชายและหญิงเพื่อนำทรัพย์สินไปให้เท่าเท่านั้น  ลูกศิษย์ของท่านอาจจะดีได้  แต่ตัวของท่านเองลงอเวจีมหานรก  ที่พูดอย่างนี้ก็พูดตามสำนักของท่านอาจารย์ใหญ่ท่านหนึ่ง  ซึ่งพวกเรายกย่องกันว่าท่านเป็นผู้ประเสริฐ  เมื่อท่านกล่าวขึ้นมาอย่างนั้นก็สร้างความแน่ใจว่า  คงจะเป็นแบบนั้น  เพระาว่าดูจริยาของท่านผู้นั้น  ก็คงจะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน

                        บรรดาเดียรถีย์เหล่านั้น  เมื่อฆ่าพระมหาโมคคัลลานะแล้ว  ต่อมาองค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ไม่ได้ทรงว่าอะไร  และก็กรรมของเดียรถีย์ทั้งหลายเหล่านั้นคือ โจรที่รับอาสา 500 คนถูกฆ่าหมด  พวกเดียรถีย์ถูกปลดจากความดี  การที่พระมหาโมคคัลลานะถูกฆ่าในคราวนี้  ความจริงท่านทราบก่อน  เพราะมีญาณพิเศษ  ประเดี๋ยวจะมานั่งสงสัยกันว่า มีฤทธิ์ขนาดนั้น มีญาณขนาดนั้น ทำไมไม่หนีพวกโจรที่เข้าไปฆ่าตัวเอง  ความจริงโจรมาล้อมแล้ว 2 ครั้ง ท่านรู้  เมื่อรู้ตัวแล้ว ท่านก็เหาะหนีไป  โจรเข้ามาล้อมครั้งที่ 3  ท่านก็มานั่งพิจารณาว่า  นี่มันเรื่องอะไร  ถอยหลังชาติเข้าไป  ด้วยอำนาจปุพเพนิวาสานุสสติญาณ  ก็ทราบว่ากรรมเก่าของท่านที่ทำไว้แล้วในกาลก่อน

                        เรื่องนี้  องค์สมเด็จพระชินวรเคยเทศน์ให้พระฟัง  เพราะพระท่านมีความสงสัยว่า  พระมหาโมคคัลลานะนี้มีบุญใหญ่  ทำไมจึงได้ถูกโจรทุบตาย  แต่ความจริงระหว่างที่ถูกโจรทุบนั้นท่านไม่ตาย  เขาทุบแล้วก็คิดว่าท่านตาย  กระดูกแหลกเหลวหมด  เขาลากท่านไปทิ้งไว้ที่กอไผ่  เมื่อโจรไปแล้วท่านก็อธิษฐานจิต  ด้วยอำนาจของกำลังฤทธิ์ ประสานกระดูกทั้งหมดให้ติดกัน  แล้วก็เหาะมาเฝ้าองค์สมเด็จพระทรงธรรม์บมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  ขอลาเข้าสู่พระนิพพาน  เมื่อองค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงอนุญาตแล้ว จึงได้กราบลาพระประทีปแก้วไปนิพพานในที่สมควร

                        เมื่อพระมหาโมคคัลลานะนิพพานแล้ว  องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ทรงพาพระสงฆ์ทั้งหลายนำอัฐิธาตุของพระมหาโมคคัลลานะ บรรจุเข้าไว้ในสถูปให้เขาสร้างสถูป  เป็นที่บรรจุกระดูกไว้  สถูปนั้นก็ทำเหมือนกับบาตรคว่ำ  คือทำดินนูนขึ้นมาเป็นโคก  เป็นสัญญลักษณ์  คนจะได้ไม่เดินข้าม  และท่านกล่าวกฎของกรรมว่า ถอยหลังไปประมาณ 1,000 ชาติ  เรื่องนี้พระมหาโมคคัลลานะก็ทราบตอนโจรมาล้อมครั้งหลังว่า

                        พระมหาโมคคัลลานะเป็นลูกชายของพ่อแม่  ที่ทั้งพ่อและแม่ตาบอดทั้งคู่  โฉมตรูโมคคัลลานะในเวลานั้น  เป็นคนที่ประกอบไปด้วยความกตัญญูรู้คุณบิดาและมารดา  เลี้ยงดูบิดามารดาด้วยดีทุกประการ  เมื่อทำงานกลับมาแล้วก็ต้องมาหุงข้าวเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่  คนดีอย่างนี้หายาก

                        ต่อมาท่านพ่อท่านแม่เห็นว่าลูกชายลำบาก  ก็อยากจะหาเมียให้จะได้ช่วยแบ่งเบาภาระ  แต่ทว่าพระมหาโมคคัลลานะก็คัดค้านว่า  อย่าเลย  หญิงที่นำมา ดีไม่ดีเขาจะไม่รักพ่อไม่รักแม่ก็เป็นได้  แต่ว่าบิดาและมารดาทั้งสองนั้นไซร้ก็บอกว่า  ไม่เป็นไรลูก จะหาคนที่มีตระกูลเสมอกัน  คือตำแหน่งของท่านก็เป็นเศรษฐี เป็นคนมั่งมีทรัพย์มาก  จึงไปขอหญิงในตระกูลอื่นเข้ามา

                        ในตอนแรก ๆ แม่ลูกสะใภ้คนดี  ก็มีความกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดาของผัวเป็นอย่างดี  แต่ว่าพระมหาโมคคัลลานะท่านมีความรักในพ่อและแม่ท่านมาก  เวลากลับมาจากทำงาน แทนที่จะเข้าไปจู๋จี๋กับเมียก่อน  แต่กลับเข้าไปจู๋จี๋กับพ่อแม่เสียก่อน  เหตุนี้เองเป็นเหตุให้นางเมียไม่พอใจ  คิดจะฆ่าทั้งสองคนเสีย  จึงได้หาอุบายด้วยประการทั้งปวง

                        ในที่สุด  ก็บอกกับพระมหาโมคคัลลานะว่า  บิดามารดาของท่านเป็นคนใจร้าย  หุงข้าวให้กินก็ไม่กิน  แต่ความจริงเวลาที่ทำอาหารให้ผัวมีรสอร่อย  แต่ทำอาหารให้แก่พ่อผัวแม่ผัว  บางทีก็เค็มจัดเกินไป  เผ็ดจัดเกินไป  เปรี้ยวจัดเกินไป  พ่อผัวแม่ผัวกินไม่ไหวก็เลยไม่กิน  นางก็ฟ้องบอกว่า นี่แหละ อาหารมันเหมือนกัน  แต่ว่าท่านทั้งสองไม่ยอมกิน ท่านลูกชายก็ยังไม่ว่าอะไร

                        ต่อมา   นางในก็เอาใหม่อีก  ทำอาหารรสจัด  ในเมื่อท่านทั้งสองไม่กิน นางก็เทราดไปเต็มบ้าน  เมื่อลูกชายกลับมาก็ฟ้องบอกว่า  ท่านผู้เฒ่าทั้งสองคนทำอาหารให้ก็ไม่กิน  แล้วก็เทราดไปบนบ้านเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด  ฉันปัดกวาดไม่ไหว  เช็ดถูไม่ไหว  อย่างนี้ไม่ไหวแล้ว  ฉันขอลากลับบ้าน

                        อาศัยที่จอมนงคราญอกตัญญูไม่รู้คุณคน  ทำให้พระโมคคัลลาน์หน้ามนซึ่งเป็นคนกตัญญู รู้คุณ เป็นคนอกตัญญูไป  เพราะการนั่งทูลนอนทูลของเมียสาว  มันก็มีความสำคัญเหมือนกัน  นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน  ฟังไว้แล้วก็คิดด้วยว่า  ความดีที่เรามีอยู่  เราจงอย่าเชื่อคนอื่น  อย่างไร ๆ ก็สอบสวนให้ดีเสียก่อน  เป็นเหตุให้พระมหาโมคคัลลานะคิดผิดในตอนนั้น  เพราะอาศัยเมียออดอ้อนสนับสนุน  หาทางกลั่นแกล้งด้วยประการทั้งปวง  จนเห็นว่าบิดามารดาของตนนี้เป็นคนไม่ดี

                        วันหนึ่ง  คิดจะฆ่าพ่อฆ่าแม่เสียในป่า  จึงได้บอกกับบิดาและมารดาว่า  ญาติผู้ใหญ่ที่อยู่ทางฝั่งป่าทางโน้นเป็นญาติกัน  ความจริงบิดามารดาก็รู้จัก  ท่านสั่งให้ท่านทั้งสองไปเยี่ยมและเวลานี้ท่านก็เตรียมเกวียนไว้แล้ว  จะให้บิดามารดาทั้งสองนั่งไปในเกวียน  ท่านจะเป็นคนบังคับเกวียนไป  เมื่อท่านบิดามารดาทั้งสองได้ฟังก็เห็นใจ  คิดว่าลูกชายของเรานี้เป็นคนดี  จึงให้ลูกชายประคองบิดามารดาทั้งสองศรีนั่งบนเกวียน

                        พอเข้าไปถึงป่าลึก  ท่านพระมหาโมคคัลลาน์คิดจะฆ่าพ่อฆ่าแม่ในป่า  จึงได้บอกกับท่านบิดาว่า  คุณพ่อช่วยจับเชือกบังคับวัวไว้ให้ที  กระผมนี้กำลังปวดอุจจาระ จะไปถ่ายอุจจาระ  ท่านพ่อก็จับเชือกเข้าไว้  บังคับวัวให้เดินตรง

                        ท่านมหาโมคคัลลานะไปแล้ว  ก็ทำเสียงดังเหมือนกับโจรจะเข้ามาปล้น  ท่านพ่อท่านแม่ทั้งสองคนได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย  เข้าใจว่าโจรร้ายมาปล้น  ห่วงลูกชายของตนคือพระมหาโมคคัลลานะผู้เป็นลูกชาย  ท่านทั้งสองจึงได้ร้องประกาศไปว่า  ลูกเอ๋ย พ่อแม่ทั้งสองคนแก่แล้ว  ปล่อยให้พ่อแม่ตายเถิด  ลูกยังมีความเป็นหนุ่มอยู่ หนึเอาตัวรอดไปก่อน  ไม่ต้องห่วงพ่อห่วงแม่

                        นี่แหละ  บรรดาท่านพุทธบริษัท  น้ำใจของบิดามารดาย่อมมีความสำคัญแก่บุตรเพียงนี้  ยอมตายแทนลูก  แต่ว่าลูกคนนี้สิ  บรรดาท่านพุทธบริษัท  พระโมคคัลลานะเองที่ปลอมมาเป็นโจร  เมื่อพ่อแม่พูดอย่างนั้น  ใจไม่ยักอ่อน  พ่อบังอรใช้ไม้ทุบพ่อและแม่ตายทั้งคู่  เมื่อพ่อโฉมตรูฆ่าพ่อและแม่ตายแล้ว  ก็แจวอ้าวกลับบ้าน

                        องค์สมเด็จพระพิชิตมารกล่าวว่า  เขาก็ไม่มีความสุข  เพราะกฎของกรรมที่ทำกับบิดามารดา  เมื่อตายแล้วจากชาตินั้น  ต้องไปเกิดในอเวจีมหานรก  เมื่อตกอเวจีมหานรกสิ้นเวลากัปหนึ่ง  พ้นจากนั้นก็มาเกิดเป็นเปรต  อสุรกาย  สัตว์เดรัจฉาน  เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสาร  คือเป็นมนุษย์บ้าง  เทวดาบ้าง  เป็นพรหมบ้าง  เฉพาะเป็นมนุษย์ 1,000 ชาติพอดี  ต่อมาก็พบองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  อาศัยบุญเก่าที่เคยบำเพ็ญบารมีร่วมกันมาในสมัยที่องค์สมเด็จพระศาสดาเป็นสุเมธาบส

                        ตอนนั้น  องค์สมเด็จพระบรมสุคตบูชาพระพุทธเจ้า  ทรงพระนามว่า พระปทุมุตตระ  ท่านอยู่ในป่า  เมื่ออาราธนาพระพุทธเจ้ามาถึงลำรางเล็ก ๆ  ท่านก็ทอดกายเป็นสะพานให้พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์เดิน  เมื่อมาสู่สำนักของท่านแล้ว ท่านก็ประกาศตนปรารถนาพระโพธิญาณ  ก่อนที่จะถวายอาหารให้พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์  พระปทุมุตตระจึงได้เข้านิโรธสมาบัติ  พระอรหันต์ทั้งหมดเข้าผลสมาบัติ  สมาบัติทั้งสองนี้มีกำลังมาก  เพราะดลบันดาลให้บรรดาท่านพุทธบริษัทที่บำเพ็ญกุศล  เมื่อออกจากสมาบัติทั้งสอง  จะมีการคล่องในกิจการของตน  คือในความเป็นอยู่  ถ้าปรารถนาความร่ำรวย  ก็จะร่ำรวยสมความปรารถนา  ถ้าปรารถนาความสำเร็จมรรคผล  ก็จะสำเร็จมรรคผลสมความปรารถนา  เมื่อองค์สมเด็าจพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกจากนิโรธสมาบัติแล้ว  ทรงรับพระกระยาหาร  หลังจากนั้นแล้ว   พระพุทธเจ้าก็ทรงให้พร  และก็ทรงพยากรณ์ว่า  นับตั้งแต่นี้ไปอีก  91 กัป ท่านสุเมธดาบสจะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้า  มีพระนามว่าพระสมณโคดม

                        ในขณะนั้นเองพระโมคคัลลานะและพระสารีบุตร  ทั้งสองท่านเป็นสาวกของสุเมธดาบส  จึงได้เข้ามากราบองค์สมเด็จพระบรมสุคตองค์หนึ่งบอกว่า  ข้าพระพุทธเจ้าขอเป็นอัครสาวกเบื้องขวา  อีกองค์หนึ่งประกาศกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า  ข้าพระพุทธเจ้าขอเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายของพระสมณโคดม

                        เป็นอันว่า  อาศัยบุญบารมีที่ติดตามกันมาอย่างนี้  สิ้นเวลา  91  กัป  แต่ความจริงมากกว่านั้น  องค์สมเด็จพระทรงธรรม์จึงกล่าวว่า  มหาโมคคัลลานะชาตินี้มาพบเรา  จึงได้กลายเป็นคนมีฤทธิ์มาก เป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย  แต่ว่าโมคคัลลานะถึงแม้ว่าจะตาย  ท่านก็ไปนิพพาน  ไม่มีความทุกข์อะไร

                        แล้วองค์สมเด็จพระจอมไตรจึงได้ตรัสแก่บรรดาภิกษุสงฆ์ทั้งหลายว่า ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  พวกเธอทั้งหลายจงอย่าประมาทในกรรมเล็กน้อยว่าจะไม่ให้ผล  ดูตัวอย่างพระมหาโมคคัลลานะเป็นสำคัญ  ท่านเป็นอริยสงฆ์  เป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย  มีฤทธิ์มาก  แต่ก็ไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงกฎของกรรมได้  ขึ้นชื่อว่ากรรมใดที่เราทำไว้แล้ว  ถ้าไม่ให้ผลในชาตินี้  ก็จะให้ผลในชาติต่อ ๆ ไป

                        ฉะนั้น  ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย  ที่เคยบ่นบอกว่าทำบุญให้ทานแล้ว  ก็มีความไม่สบาย  เมื่อฟังเรื่องราวของพระมหาโมคคัลลานะแล้วไซร้  ก็โปรดทราบว่า  กฎของกรรมเก่าของเราทำไว้มากเพียงใด  เราไม่ทราบ  ฉะนั้น  ถ้ากรรมใดที่มันเกิดขึ้นกับเรา  ทำให้เราได้รับความลำบาก  ก็คิดไว้ในใจว่า  เราจะใช้หนี้มัน

                        นี่แหละ  บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน  ขึ้นชื่อว่ากฎของกรรมเราหนีไม่พ้น  สำหรับตอนนี้ก็ขอยุติเรื่องราวของพระมหาโมคคัลลานะในเรื่องบุพกรรม คือกรรมเก่าไว้แต่เพียงเท่านี้  ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน  สวัสดี


http://kaskaew.com/index.asp?contentID=10000004&title=%BA%D8%BE%A1%C3%C3%C1%A2%CD%A7%BE%C3%D0%C1%CB%D2%E2%C1%A4%A4%D1%C5%C5%D2%B9%D0&getarticle=105&keyword=&catid=3-


http://kaskaew.com/index.asp?contentID=10000004&title=%BA%D8%BE%A1%C3%C3%C1%A2%CD%A7%BE%C3%D0%C1%CB%D2%E2%C1%A4%A4%D1%C5%C5%D2%B9%D0&getarticle=105&keyword=&catid=3


.
19  สุขใจในธรรม / กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ / Re: บุพกรรมของพระพุทธองค์ และพระอรหันต์ เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2554 06:21:00
บุพกรรมขององคุลีมาล

http://kaskaew.com/index.asp?contentID=10000004&title=%BA%D8%BE%A1%C3%C3%C1%A2%CD%A7%CD%A7%A4%D8%C5%D5%C1%D2%C5&getarticle=34&keyword=&catid=3-
 

                        “หลวงพ่อคะ  หนูเคยอ่านเรื่องกฎของกรรมเรื่องหนึ่ง  คือ  นายแดงเป็นคนเนรคุณพ่อแม่และเคยทุบตีพ่อแม่  พอแกมีลูกออกมาลูกก็มีอาการเหมือนกับพ่อค่ะ  คงจะเป็นกฎของกรรมของนายแดง  แต่หนูคิดว่าลูกของนายแดงจะต้องมีบาปเหมือนกันใช่ไหมคะ....”

                        ก็ไม่ใช่บาป

                        “แล้วกฎของกรรมจะบันดาลให้เป็นอย่างไรคะ...”

                        นายแดงเป็นคนอกตัญญูไม่รู้คุณพ่อแม่  ตีพ่อตีแม่ นายแดงก็เป็นคนมีจิตเลว  ฉะนั้นเด็กที่จะต้องมาเกิดด้วยก็ต้องเป็นเด็กเลว ๆ มาเกิด  คือว่าเด็กที่จะมาเกิดร่วมกันส่วนใหญ่จะต้องมีศรัทธาเสมอกัน  มีจาคะเสมอกัน  มีปัญญาเสมอกัน  มีศีลเสมอกัน  เสมอกับพ่อแม่  จึงจะเข้าสู่ครรภ์ตระกูลนั้นได้

                        แต่ว่าไอ้กรรมที่เป็นอกุศลย่อมให้ผลต่างวาระ  บางทีตอนเป็นเด็ก ๆ แกดี  ตอนโตอาจเลวไปชั่วขณะหนึ่งก็ได้

                        หมายความว่า  กรรมที่เป็นอกุศลเดิมเข้ามาสิงจิตในช่วงกลางนะ  และในช่วงหนึ่งของชีวิต  เขาอาจจะมีดีในตอนปลายมือก็ได้  เพราะว่าตอนต้น ๆ พ่อเลวแม่เลว  แต่เขาอาจมีดีอยู่  เป็นเพราะช่วงของกรรมเขาเกิดมาในช่วงนั้น  กรรมที่เป็นอกุศลมันให้ผลไปก่อน  แต่ว่ากรรมที่เป็นกุศลคือความดีมันอาจจะมาทีหลัง

 

องคุลีมาล

                        “อย่างนั้น  พระองคุลีมาลที่ต้องเป็นโจรฆ่าคนเอานิ้วมือ  ก็คงเป็นกฎของกรรมใช่ไหมคะ......”

                        อันนี้ก็เป็นกฎของกรรม  คือถอยหลังจากชาตินี้ไปหนึ่งชาติ  ก่อนที่จะเกิดมาเป็นคน  ท่านเกิดเป็นควายป่า  เป็นควายแต่ว่ามีความสามารถมาก  มีความเก่งกล้ามาก  สัตว์ในป่าทุกประเภทไม่มีใครสู้ได้เลย  มีความว่องไว  เขาก็แหลมคม  มีกำลังดีมาก  ปะทะกันก็แพ้หมดทุกประเภท  สัตว์ในป่าทุกประเภทเห็นท่านเดินไปก็ยอมซูฮก

                        ทีนี้แกก็นึกในใจว่า  อ้ายสัตว์ที่อยู่ในป่าทั้งหมดเป็นลูกน้องของเราทั้งหมด  แต่อ้ายสัตว์ชาวบ้านเขาเลี้ยงมันจะเก่งแค่ไหน  เลยออกมาก็ไล่ขวิดวัวควายช้างม้าเตลิดเปิดเปิงหมด  ออกมาทีไรก็ทำแบบนั้นทุกคราว  ชาวบ้านเขาก็รำคาญ  เขาก็โกรธอ้ายควายป่าตัวนี้  ออกมาทีไรทำควายเราตายเสียบ้าง   ทำให้ทุพพลภาพไปบ้าง  บางทีก็เพลียไปบ้าง ใช้งานไม่ได้ตั้งหลายวัน เพราะวิ่งหนี

                        วันหนึ่งคนหมู่บ้านแถวนั้นก็มาคิดกันว่า  อ้ายควายตัวนี้ในไม่ช้ามันก็มาอีก  ถ้ามาทีนี้จะต้องฆ่าให้ตาย  คนทั้งหมดมันมีพันคนเศษ  ก็ทำคอกให้แน่นหนาไว้  แล้วก็ทำเป็นซองคล้าย ๆ โป๊ะ  รู้จักโป๊ะไหม

                        “ไม่รู้จักค่ะ”

                        เหมือนอย่งกับโป๊ะปลาทำปากกว้าง ๆ ซองแคบ  ข้างในเขาทำแน่นหนา  ถ้าวิ่งเข้ามา  พอถึงซองแคบตัวก็จะติด  เข้าถึงคอกไม่ได้  เขาก็เอาควายไปไว้ในนั้น

                        ทีนี้ควายป่าตัวนั้นก็ออกเบิ่งหน้าเบิ่งหลังซิ  ควายอื่นเห็นก็วิ่งหนีหมด  อ้ายควายคอกไม่หนี  หนีไปไหนล่ะ ใช่ไหม  แกก็โมโห   อ้ายนี่มันหยิ่งนี่ ไม่กลัว  กูต้องจัดการ  วิ่งไปวิ่งมา มองหาทางเข้า  อ้อ..ไอ้ทางปากช่องเข้าได้  พอถึงที่แคบ  ตัววิ่งมาแรง  กระแทกเข้าไปก็ติด ขยับตัวไม่ได้  เขาก็เสียบไม้  กันออก

                        ทีนี้ก็เอาซิ  เข่าเข้าไป  ศอกเข้าไป  แต่วาคนพันคน ไม่ได้ทุบทั้งพันคนนะ   พวกผู้หญิงพวกผู้ชายไม่ได้ลงมือตีทั้งหมด  แต่ว่าพร้อมใจตีให้ตาย  พอตีลงไปแล้ว  ก่อนจะสิ้นใจตายแกก็ลืมตาดู  ไอ้พวกนี้มันมาก  กูคนเดียว มึงรุมฆ่ากู  ถ้าชาติหน้ามีจริงก็ขอฆ่ามึงบ้าง  นี่เป็นเวรที่จองกันไว้

                        พอเกิดมาอีกชาติหนึ่ง  พ่อตั้งชื่อให้ว่า  อหิงสกกุมาร  แปลว่ากุมารผู้ไม่เบียดเบียน  พอเกิดมาแล้ว สติปัญญาดี  จริยามรรยาทก็ดี  ความจริงท่านเป็นคนดีมาก  พอโตขึ้นมาหน่อย  พ่อก็พามาเฝ้าประเจ้าปเสนทิโกศล

 

กรรมเก่าเข้ามาสนอง

                        ทีนี้เวลาไปเรียนศิลปวิทยา  เพราะความดีของท่าน  เขาเรียนกัน 4 ปี ท่านเรียน 2 ปี จบหลักสูตรทั้งหมด  ทั้งฝ่ายบู๊ ฝ่ายบุ๋น  ทั้งเพลงอาวุธด้วย  เมื่อลูกศิษย์คนอื่น ๆ สู้ไม่ได้ อาจารย์ก็ให้เป็นครูสอนแทน  ทีนี้ไอ้เพื่อนที่ไปด้วยกันมันอิจฉา  มาด้วยกันเสือกมาเป็นครู  ตอนนี้กรรมเก่าเข้ามาสนอง  ก็หาทางจะฆ่า  เลยไปยุอาจารย์  บอกว่าอหิงสกกุมารมันคิดจะตั้งตัวเป็นอาจารย์เสียเอง  มันจะฆ่าท่านอาจารย์

                        ไอ้ลมพายุมันพัดแล้วก็ไป  แต่ไอ้ลมปากคนมันพัดบ่อย ๆ ก็ชักไหวเหมือนกัน  ตอนหลังท่านอาจารย์ก็เชื่อ  ก็คิดในใจว่า  ถ้าเราจะฆ่าเสียเองมันจะเสียชื่อ  ทางที่ดีให้คนอื่นเขาฆ่าดีกว่า

                        วันหนึ่งจึงเรียกอหิงสกกุมารเข้าไปถามว่า  เวลานี้เจ้าเก่งมากทั้งวิชาฝ่ายบู๊ และฝ่ายบุ๋นทั้งหมด  แม้ในการรบก็เก่ง  แต่ทว่าวิชาของอาจารย์ยังมีอีกหน่อย เขาเรียกว่า วิษณุมนต์  ถ้าหากใครเรียนได้จะปราบได้ทั่วไตรภพ  มนุษย์ก็ปราบได้ เทวดาก็ปราบได้  พรหมก็ปราบได้  ทีนี้คนเป็นวัยรุ่นและก็เก่งอยู่แล้วก็อยากเก่งต่อไป  ก็อยากเรียน อาจารย์ก็เลยบอกว่า

                        คนอื่นเรียนไม่ได้แต่อย่างเธอนี่เรียนได้แน่  จะให้ได้คนเดียว  แต่ก่อนที่จะเรียนต้องยกครูเสียก่อน  แต่ว่าการยกครูนี่ไม่ใช้ของ  แต่ต้องฆ่าคนให้ได้หนึ่งพันคน  ถ้าฆ่าคนได้หนี่งพันคนละก็  เธอจึงจะเรียนได้  ท่านก็เลยตกลงยกครูโดยการไล่ฆ่าคน  ทีนี้คนที่แกจะฆ่าได้ง่าย ๆ ก็แค่ 2-3 คนแรกเท่านั้นแหละ  ตอนหลังเขารู้ข่าวว่าอีตาคนนี้ไล่ฆ่าคน  ใครเขาฟังข่าวก็ไม่อยากจะเห็นแก  เห็นเข้าเขาจำรูปร่างได้เขาก็หนี  กว่าจะไล่ฆ่าได้ก็แย่

                        ทีนี้ฆ่าไปฆ่าไป   ลืมนับจำนวน  หนัก ๆ เข้าก็ลืม  ไม่รู้เท่าไร  ทีหลังก็เริ่มต้นใหม่  ฆ่าได้หนึ่งคนตัดเอานิ้วไว้หนึ่งนิ้ว  ตอนนี้จึงมีนามว่า องคุลีมาลโจร  แปลว่า โจรผู้ฆ่าคนเอานิ้วมือ  ฆ่าไปจนได้ 999 นิ้ว  นี่ถ้านับจริง ๆ มันเกิน 1,000  แล้วนะ  ใช่ไหม อีตอนที่ไม่ได้เอานิ้วไว้ไม่รู้เท่าไร   แต่ว่าคู่ปรับยังมีอีกคนเดียว ถ้าได้อีกนิ้วเดียวก็ครบคู่ปรับพอดี  และคู่ปรับที่จะต้องฆ่าก็คือแม่  แต่ความจริงท่านไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าแม่  แต่ว่ามันเหลืออีกนิ้วเดียว  แต่ละนิ้วก็หาได้ยาก    วันพรุ่งนี้จะเข้าไปกรุงพาราณสี  จะเป็นใครก็ตามที  ถ้าเห็นต้องฆ่า

                        ทีนี้คืนนั้น   แม่ได้ยินข่าวว่าลูกชายจะมาอยู่ใกล้  ก็ตั้งใจว่าพรุ่งนี้เช้าจะไปเยี่ยมลูก  จะไปห้าม  ถ้าแม่ไปก็ถูกฆ่า เพราะว่าเป็นคู่ปรับเดิม  สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรวจอุปนิสัยของสัตว์ตอนเช้ามืด  ทรงทราบว่า ถ้าอหิงสกกุมารฆ่าแม่  จัดเป็นอนันตริยกรรม  มรรคผลจะไม่ได้เลย  ท่านทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ  ต้องการให้คนที่จะดีก็ขอให้ดีต่อไป ไม่ให้ความชั่วเข้ามาทับถม  ท่านจึงเสด็จไปก่อน  ไปก่อนแม่

                        อหิงสกกุมารเห็นพระพุทธเจ้านึกว่าหวานแล้ว  อีตานี่เดินนวยนาด สวย หล่อ ลีลาดีหม่ำสบายละ  แกก็วิ่งกวดเลย  พระพุทธเจ้าทรงเดินเฉย ๆ  ท่านทำให้แผ่นดินสูง ๆ ต่ำ ๆ สูง ๆ แกก็วิ่งไม่ถนัด  แกเห็นแกก็กวดไม่ทัน  แกก็ร้องบอก  เอ้า...สมณะหยุดก่อน  พระพุทธเจ้าบอกตถาคตหยุดแล้ว  แล้วท่านก็เดินต่อไป  แกก็วิ่งไม่ทัน  พอเหนื่อยเข้าก็ร้องบอก  ไง...สมณะทำไมพูดมุสาวาท  ท่านบอกว่าท่านหยุดแต่ท่านยังเดินอยู่

                        พระพุทธเจ้าก็ทรงหยุดหันมาบอกอหิงสกกุมาร  ตถาคตหยุดจากบาปกรรมธรรมอันลามกมานานแล้วนะ  เธอน่ะยังไม่หยุดอีกรึ  เพราะกรรมที่เป็นกุศลเดิมให้ผลก็รู้สึกตัวทันที  วางดาบ  วางพวงนิ้วมือแล้วก็นุ่งผ้าให้เรียบร้อย  ทำผมให้เรียบ  วิ่งเข้าไปกราบพระพุทธเจ้า  ท่านก็ทรงให้โอวาทนิดหนึ่ง  ท่านก็ขอบวช  ท่านก็ให้บวช  บวชแล้วก็ได้เป็นอรหันต์

                        นี่เรื่องนี้บางคนสงสัยว่า  ทำไมองคุลีมาลฆ่าคนเหยง ๆ แต่ไปเป็นพระอรหันต์  ก็ท่านทำบุญไว้ดีน่ะซิ  แต่ไอ้บุญประเภทนี้เราก็ไม่อยากทำนะ

 

(จาก หนังสือธรรมสัญจร เล่มที่ 4)


http://kaskaew.com/index.asp?contentID=10000004&title=%BA%D8%BE%A1%C3%C3%C1%A2%CD%A7%CD%A7%A4%D8%C5%D5%C1%D2%C5&getarticle=34&keyword=&catid=3

.
20  สุขใจในธรรม / กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ / Re: บุพกรรมของพระพุทธองค์ และพระอรหันต์ เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2554 06:19:44
บุพกรรมของพระสิวลี

โดย  หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

ท่านกล่าวว่า  สมัยหนึ่งบรรดาภิกษุทั้งหลาย  คำว่าสมัยหนึ่งก็คือเวลาต่อมานั่นเอง คือไม่ใช่เวลาเดี๋ยวนั้น  หลังจากฉันข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว  บรรดาภิกษุทั้งหลายนั่งสนทนากันว่า  ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย  เพราะเหตุอะไรหนอแล  พระสีวลีเถระจึงเป็นผู้อยู่ในท้องมารดาถึง 7 ปี 7 เดือน 7 วัน  แล้วก็เป็นเพราะกรรมอะไร  พระสีวลีจึงได้ไหม้ในนรก เพราะกรรมอะไร จึงได้ถึงความเป็นผู้เลิศในลาภ และมียศเลิศอย่างนั้น

                        หมายความว่าพระสีวลีนี้  เวลาแม่ตั้งท้อง  อยู่ในท้อง  7 ปี 7 เดือน 7 วัน  และก่อนที่พระสีวลีจะมาเกิด  ท่านก็นอนในนรกสิ้นกาลนาน  เมื่อเกิดแล้วมาเป็นพระ คราวไปป่า คราวนี้มีลาภมาก  เทวดาปรารภพระสีวลีแต่ผู้เดียวว่า  การทำบุญคราวนี้เราต้องการถวายหลวงปู่สีวลี  หลวงพ่อสีวลีของเราเท่านั้น  แม้แต่องค์สมเด็จพระทรงธรรม์ คือพระพุทธเจ้าไปด้วย  เทวดาก็ไม่ได้ปรารภ  พระพุทธเจ้านี้ถ้าเป็นคนที่มีกิเลส  เห็นใครเขามาบูชาลูกน้องมากกว่า  น่ากลัวว่าลูกน้องจะลำบาก  ทั้งนี้ เพราะอะไร  เพราะว่าลูกพี่แกจะอิจฉาเอา  แต่ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่อย่างนั้น  พระองค์ทรงยกย่อง  ถ้าลูกศิษย์องค์ไหนดี ก็ยกย่องว่าเป็นพระดี เป็นพระควรแก่การบูชา

                        ในลำดับนั้น  เวลาที่บรรดาภิกษุทั้งหลายโดยทั่วหน้ากำลังปรารภกันว่า พระสีวลีนี้เป็นเพราะกรรมอะไร จึงได้อยู่ในท้องแม่ 7 ปี 7 เดือน 7 วัน  เป็นเพราะกรรมอะไรจึงได้ลงไปในนรกสิ้นกาลนาน  เป็นเพราะกรรมอะไร  เวลาที่เกิดมานี้จึงมีลาภมาก  จึงมียศใหญ่  เป็นที่เคารพของเทวดาทั้งหลาย

                        ในขณะที่บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายคุยกันอยู่นั้น  องค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  เสด็จพระทับอยู่ในพระคันธกุฎี  สมเด็จพระพิชิตมารฟังเสียงของบรรดาพระสงฆ์ด้วยทิพโสตญาณ  คือหูทิพย์  คุยอยู่ที่ไหนพระพุทธเจ้าก็ได้ยิน  องค์สมเด็จพระมหามุนีใคร่จะเปลื้องความสงสัยของบรรดาภิกษุทั้งหลาย  สมเด็จพระจอมไตรจึงได้เสด็จมา

                        เมื่อเสด็จมาถึงแล้ว  องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็เสด็จประทับอยู่ในที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว  จึงถามบรรดาภิกษุทั้งหลายว่า  ภิกขเว  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  พวกเธอกล่าวอะไรกัน  พวกเธอพูดอะไรกัน

                        บรรดาภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นจึงกราบทูลว่า  ข้าพระพุทธเจ้ากำลังปรารภเรื่องบุพกรรมของพระสีวลีพระพุทธเจ้าข้า  พวกข้าพระพุทธเจ้ามีความสงสัยว่า  ในสมัยที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาเสด็จไปเยี่ยมพระเรวัตตะคราวนี้  ปรากฎว่าพระสีวลีแสดงบุญญาธิการเป็นที่เลื่อมใสของบรรดาเทวดาทั้งหลาย  ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายเกิดสงสัยว่า  ทำไมพระสีวลีมีบุญญาธิการขนาดนี้  จึงได้ต้องอยู่ในท้องมารดาถึง 7 ปี 7 เดือน 7 วัน และก่อนจะมาเกิดก็ได้ตกนรกเสียก่อน  เมื่อมาเป็นคนแล้ว ก็มีบุญใหญ่ มีลาภมาก มียศศักดิ์มาก ข้าพระพุทธเจ้าสงสัยอย่างนี้พระพุทธเจ้าข้า

                        เป็นอันว่า  เมื่อบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายกราบทูลดังนี้แล้ว  องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ทรงพยากรณ์บุพกรรมของพระสีวลีว่า  เหตุที่พระสีวลีต้องไปอยู่ในท้องแม่ถึง 7 ปี 7 เดือน 7 วัน เป็นต้น  มาจากกรรมที่เป็นอกุศลอะไร

                        บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย  สำหรับเรื่องราวบุพกรรมของพระสีวลีก็ของดไว้ก่อน  ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนพงคลสมบูรณ์พูนผล  และจงเจริญไปด้วยจตุรพิธพรชัยทั้ง 4 ประการ จงมีแก่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทุกท่าน สวัสดี.

                                                             *****************

 

                        บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย  สำหรับตอนที่แล้ว  ได้มาจบลงตรงที่บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายพากันมาประชุมกัน  หลังจากที่กลับมาจากที่อยู่ของพระเรวัตตะแล้ว  ต่างพากันมารำพึงว่า  เหตุใดพระสีวลีจึงต้องอยู่ในท้องมารดาถึง 7 ปี 7 เดือน 7 วัน เป็นเพราะกรรมอะไร  พระสีวลีจึงต้องตกนรก  หลังจากนั้นก็เป็นผู้มีลาภมาก  มียศใหญ่

                        หลังจากบรรดาภิกษุทั้งหลายได้พากันประชุมหารือกัน  ขณะเดียวกันนั้น องค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จมา  แล้วถามบรรดาภิกษุทั้งหลายว่า  เธอพูดปรึกษาหารือกันด้วยเรื่องอะไร  บรรดาภิกษุทั้งหลายกราบทูลองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาตามที่กล่าวมาแล้ว  หลังจากนั้น  องค์สมเด็จพระประทีปแก้วจึงได้นำเอาบุพกรรมของพระสีวลีมาแสดงแก่บรรดาภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย  ซึ่งเรื่องจะได้เริ่มขึ้นในตอนนี้

 

พระราชากับประชาชนแข่งกันทำบุญ

 

                        ความตามพระบาลีมีอยู่ว่า  ในขณะนั้นองค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดา  ได้ทรงมีพระพุทธฎีการตรัสว่า  ภิกขเว  ดูก่อน  ภิกษุทั้งหลาย  ในกัปที่ 91 กับ นับถอยหลังไปจากนี้  พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า วิปัสสี ทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลก  สมัยหนึ่งเสด็จจาริกไปในชนบท  กลับมาสู่พระนครของพระราชบิดาแล้ว  สมเด็จพระวิปัสสีท่านก็เป็นลูกของพระเจ้าแผ่นดินเหมือนกัน  พระราชาทรงเตรียมอาคันตุกะทาน

                        อาคันตุกะทานคือ ทานแก่พระผู้มา หรือแขกผู้มา  อาคันตุกะ แปลว่า แขกผู้มา พระท่านมาจากที่ไกล  ไม่ได้ประจำอยู่เฉพาะ  ถือว่าเป็นอาคันตุกะ  ทานังแปลว่า การให้  หมายความว่า  ตั้งใจถวายทานแก่พระอาคันตุกะทั้งหมด  มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข  เพื่อบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลาย  มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข

                        แล้วก็ส่งข่าวให้แก่ชาวเมืองทั้งหลายว่า  ชนทั้งหลายจงมาเป็นสหายในทานของเรา  หมายความว่า  พระองค์ให้ส่งข่าวให้ชาวบ้านมาร่วมกันบำเพ็ญทาน  บรรดาชนทั้งหลายเหล่านั้นทำอย่างนั้นแล้ว  คิดว่าเราก็จะต้องถวายทานแด่บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขเหมือนกัน  แต่ชาวบ้านเขาคิดกันว่า  พวกเราจักถวายทานนี้ให้ยิ่งกว่าทานที่พระราชาถวายแล้ว  เขาเรียกว่าแข่งกันดี  หรืออวดดี ไม่ใช่อวดเลว  เมื่อพระราชาถวายทานแบบไหน  เราจะทำไม่ให้แพ้พระราชา  อย่างนี้เขาเรียกว่าอวดดี ควรอวด

                        จึงนิมนต์องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าในวันรุ่งขึ้น  แล้วก็แต่งทานถวาย แล้วก็ส่งข่าวไปทูลแด่พระราชา  พระราชาเสด็จมาทอดพระเนตรทานของประชาชนเหล่านั้นแล้วดำริว่า  เราจักถวายทานให้ยิ่งกว่าทานนี้  คือดีกว่า ประเสริฐกว่าที่บรรดาประชาชนถวายแล้ว

                        ในวันรุ่งขึ้น  จึงนิมนต์องค์สมเด็จพระประทีปแก้ว  พร้อมไปด้วยบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลาย  พระราชาไม่ทรงสามารถจะให้ชาวเมืองแพ้ได้  เป็นอันว่าต่างคนต่างถวายแข่งกัน  พระราชาถวายแบบนี้ได้  ชาวเมืองก็ถวายได้  ทำให้ดีกว่าพระราชา  พระราชาก็ทำให้ยิ่งไปกว่าชาวเมือง  ชาวเมืองก็ทำให้ยิ่งกว่าพระราชา  ว่ากันอย่างนี้เป็นลำดับ

                        แล้วท่านกล่าวว่า  ถึงชาวเมืองก็ไม่สามารถให้พระราชาท่านแพ้ได้  ต่างคนต่างไม่มีใครแพ้ใคร  วันนี้เราถวายเพียงนี้  วันรุ่งขึ้นเขาถวายยิ่งไปกว่า  วันรุ่งขึ้นอีกเราก็ถวายยิ่งไปกว่านั้น  ฉะนั้น  ในครั้งที่ 6  ชาวเมืองจึงมาคิดว่า  บัดนี้  พวกเราจักถวายทานในวันพรุ่งนี้  จะทำเรื่องของทานที่เราทำทั้งหมด  โดยที่ใคร ๆ ก็ไม่อาจจะพูดได้ว่า  วัตถุชื่อนี้ไม่มีในทานของเรานี้

                        เป็นอันว่าการแข่งการให้ทาน  ยิ่งประเสริฐเท่าไร มากเท่าไร  เกิดการไม่แพ้กันขึ้นมาแล้ว  ชาวเมืองคิดใหม่ว่า  ขึ้นชื่อว่าทานทั้งหมดที่เราจะถวายในวันพรุ่งนี้  ไม่ว่าอะไรทั้งหมดจะไม่มีใครมาติได้เลยว่า  สิ่งทั้งหลายเหล่าใดเหล่าหนึ่งมันไม่มีในที่นั้น  จะต้องมีทุกอย่าง

 

ขาดน้ำผึ้งดิบ

 

                        เมื่อต่างคนต่างคิดแล้ว  วันรุ่งขึ้นได้จัดแจงของถวาย  เสร็จแล้วตรวจดูว่า มีอะไรหนอแลที่ยังไม่มีอยู่ในที่นี้อีก  มองไปมองมาก็มองไม่เห็นน้ำผึ้งดิบ  จะมีก็แต่น้ำผึ้งสุก  น้ำผึ้งดิบไม่มี  ส่วนน้ำผึ้งสุกมีมาก   บรรดาชนทั้งหลายเหล่านั้น จึงใช้ให้คน ๆ พวก นำทรัพย์ไปพวกละหนึ่งพันกหาปณะ  คือหนึ่งพันตำลึง  ไปยืนอยู่ที่ประตูพระนคร 4 ประตู  เพราะประตูเมืองมันมีอยู่ 4 ประตู  เพื่อต้องการน้ำผึ้งดิบ  หมายความว่า ถ้ามีคนเขาเอามา เราก็ไปซื้อ

                        ครั้งนั้น  คนบ้านนอกคนหนึ่ง  มาเพื่อจะเยี่ยมพวกชาวบ้านในเมือง  ก็ไม่เห็นจะมีอะไรติดมือมาได้  เพราะแกอยู่ป่า  ก็ถือรวงผึ้งมา 1 รวง  ไล่ตัวผึ้งออกให้หนีไปหมดแล้ว  จึงตัดกิ่งไม้แล้วก็ถือรวงผึ้งนั้นมา  พร้อมทั้งไม้คอนเสร็จ  จึงเข้ามาสู่เมือง  ด้วยคิดตั้งใจว่า  เราจะไปให้กับเพื่อนของเราในเมือง  สำหรับคนที่ไปยืนอยู่หน้าประตูเมือง เห็นบุรุษคนนี้ถือรวงผึ้งมา เป็นคนบ้านนอก จึงถามว่า   ท่านผู้เจริญ  น้ำผึ้งนี้ท่านขายไหม  คนบ้านนอกคนนั้นบอกว่า  น้ำผึ้งฉันไม่ขาย  ฉันจะไปให้เพื่อนของฉัน  คนทั้งหลายเหล่านั้นก็บอกว่า  ท่านผู้เจริญ  ท่านรับเอากหาปณะเท่านี้  คือท่านขายน้ำผึ้งให้เรา  เราจะให้ 4 บาท หรือ 1 ตำลึง  คนบ้านนอกก็คิดว่า  รวงผึ้งนี้ราคาไม่ถึงบาท  แต่ว่าเจ้านี่จะให้สตางค์ถึง 4 บาท  น่ากลัวเจ้าคนนี้มันจะสติไม่ดี  ให้มากเกินไป เรายังไม่ให้  ต้องขึ้นราคาก่อน  แกก็เป็นนักฉวยโอกาสเหมือนกัน

                        แกจึงกล่าวว่า  เราไม่ให้  เราให้ไม่ได้  ราคา 1 ตำลึง น้ำผึ้งรวงนี้ให้ไม่ได้  ราคามันแพง  พวกนั้นก็ขึ้นราคาเป็น 2 ตำลึง  3  ตำลึง  4  ตำลึง  ก็ว่ากันดะไป  ผลที่สุดก็ขึ้นราคาถึง 1,000 ตำลึง  สำหรับบุรุษผู้นั้นจึงคิดว่า  คนพวกนี้น่ากลัวจะสติไม่ดี  น้ำผึ้งรวงเดียวราคาไม่ถึงบาท  มันดันให้ตั้งพัน  และก็บอกด้วยว่า  ฉันมีอยู่แค่ 1,000 ตำลึงเท่านั้นนะ  หมด ขอท่านจงให้น้ำผึ้งแก่เรา

                        แต่ทว่าบุรุษผู้มาจากป่าแกก็เป็นคนมีปัญญา  คิดว่าต้องมีอะไรพิเศษสักเรื่องหนึ่ง  จึงได้ถามว่า  ผู้เจริญ  ข้าพเจ้ารู้ว่ากรรมที่ข้าพเจ้าจะทำในน้ำผึ้งนั้นมีอยู่  เพราะเหตุใดท่านจึงมาขึ้นราคาอย่างนี้  พวกนั้นก็ถามว่า  น้ำผึ้งท่านจะไปทำอะไร  แกก็บอกว่า  ฉันจะไปให้เพื่อนของฉัน  ฉันเป็นคนอยู่ป่า  มาคราวหนึ่งไม่มีอะไรติดมือมามันก็ไม่ดี  พวกนั้นก็บอกว่า  ฉันเองก็มีความจำเป็นด้วยเรื่องน้ำผึ้งดิบ  อย่างอื่นมีครบ  จึงให้ราคาถึง 1,000 ตำลึง  ความจริงฉันรู้ว่า  น้ำผึ้งนี้ราคามันไม่ถึงบาท  แต่ด้วยความจำเป็นจึงให้

                        คนบ้านนอกจึงถามว่า  เรื่องอะไรจึงได้ให้ราคาแพง  บอกมาสิ  อยากจะรู้ ถ้าควรจะให้ก็ให้  บรรดาคนพวกนั้นบอกว่า  พวกข้าพเจ้าเตรียมการถวายทานเป็นการใหญ่ เพื่อสมเด็ยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระวิปัสสีทศพล  ผู้มีสมณะ คือพระ รวมด้วยกันทั้งหมด  พระที่เป็นบริวาร 6,800,000 องค์  และก็มีพระพุทธเจ้าอีก 1  ในมหาทานครั้งนี้  อะไร ๆ ของเราก็มีหมด  ไม่มีอยู่อย่างเดียวคือน้ำผึ้งดิบเท่านั้น

                        เพราะฉะนั้น  ข้าพเจ้าจึงขอซื้อรวงผึ้งของท่านด้วยราคาแพง  เพราะว่าต้องการจะเอาบุญ  เพราะทานคราวนี้มีความประสงค์ว่าจะให้มีทุกอย่าง  ขึ้นชื่อว่าอะไรในทานนั้นไม่มี  เราไม่ต้องการ  ต้องการให้มันครบ  ฉะนั้นจึงยอมซื้อของแพง ขอให้ขายเถิด

 

ทำบุญปิดท้าย

 

                        คนบ้านนอกแกก็บอกว่า  ถ้าเป็นอย่างนั้นเพื่อนข้าพเจ้าก็จักไม่ให้  ด้วยราคาเรื่องการซื้อไม่ยอมขาย  แต่ถ้าท่านทั้งหลายจะยอมให้เราร่วมบุญร่วมกุศลด้วยจะให้  บรรดาคนพวกนั้นจึงได้ส่งข่าวไปหาหัวหน้าในเมือง  บอกว่าเวลานี้เจอะคนนำน้ำผึ้งดิบมาแล้ว  แต่ว่าเขาไม่ยอมขาย  แต่ให้เขาร่วมบุญด้วยละก็เขาจะให้

                        เมื่อชาวเมืองทราบที่ศรัทธาของเขามี  จึงได้ยกมือสาธุ  ดีแล้ว ๆ พ่อคุณเอ๋ย  มาร่วมบุญร่วมกุศลด้วยกันเถิด  เรื่องบุญนั้นไม่หวง  ที่ต้องการน้ำผึ้งที่ต้องซื้อเพราะเกรงว่าจะไม่ยอมทำบุญด้วย  จึงกล่าวว่า ขอเขาจงเป็นผู้มีส่วนได้บุญ มาร่วมบุญกัน  บรรดาพวกชาวเมืองทั้งหลายเหล่านั้น  เมื่อได้น้ำผึ้งแล้ว  ก็ได้นิมนต์พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน  ให้มาเสวยอาหาร ถวายข้าวต้ม ถวายของเคี้ยว

                        ทีนี้เขาบอกว่า  ให้คนนำเอาถาดทองคำใบใหญ่มาแล้ว   แล้วก็บีบรวงผึ้งลงไป  เอาน้ำหวานออก  แม้กระบอกนมส้มอันมนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้นนำมาเพื่อต้องการจะเป็นของกำนัลมีอยู่  เขาก็เทนมส้มเหล่านั้นลงไปในถาดทองคำ  เคล้ากับน้ำผึ้งนั้น  ได้ถวายแก่บรรดาพระภิกษุสงฆ์   มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข  น้ำผึ้งนั้นก็ทั่วถึงแก่บรรดาพระภิกษุ
ทุกรูป

                        อย่าลืมว่ามีพระพุทธเจ้าองค์เดียว มีพระสงฆ์ถึง 6,800,000 องค์  น้ำผึ้งรวงเดียวกับนมสัมหน่อยหนึ่งที่เขาผสมกันพอดิบพอดี  คือเหลือจากพระเสียอีก  ท่านกล่าวว่า ผู้รับเอาจนพอความต้องการ  หมายความว่า  บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายพอหมดแล้ว  แถมเหลือเสียด้วยซ้ำ

                        ตอนนี้พระบาลีท่านกล่าวว่า  ใคร ๆ ก็คิดไม่ได้ว่า  น้ำผึ้งน้อยอย่างนั้นจะเพียงพอกับภิกษุ 6,800,000 องค์ได้อย่างไร  ท่านกล่าวต่อไปตามพระสูตรว่า  จริงอยู่ น้ำผึ้งนั้นถึงได้ด้วยอานุภาพแห่งพระพุทธเจ้า  น้ำผึ้งนั้นมีมากมายด้วยอำนาจของพระพุทธเจ้า  แล้วท่านกล่าวต่อไปว่า  ขึ้นชื่อว่าพุทธวิสัย  ใคร ๆ ก็ไม่ควรคิด

 

อจินไตย

 

                        ท่านบอกว่า  จริงอยู่ เหตุ 4 อย่างที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า  เป็นเรื่องที่ใคร ๆ ไม่ควรคิด  ใคร ๆ เมื่อคิดถึงเหตุเหล่านั้นเข้า  ก็ย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นคนบ้าเอาละสิ  ท่านบอกว่า  สิ่งที่เป็นอจินไตยไม่ควรคิด  ถ้าคิดแล้วก็บ้าเปล่า ๆ ไม่รู้เรื่องรู้ราว  เหตุ 4 อย่างที่ไม่ควรคิด ที่พระพุทธเจ้ากล่าวก็คือ

                        1.  พุทธวิสัย  วิสัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  เราคิดไม่ได้  ขืนคิดอยากจะรู้เท่าทันพระพุทธเจ้า เราก็บ้า  เพราะว่าเรารู้ไม่ได้

                        2.  ฌานวิสัย  วิสัยของบุคคลผู้ทรงฌาน  ถ้าเราไม่สามารถได้ฌานสมาบัติ  เราอย่าไปคิดเรื่องฌานสมาบัติ  ยิ่งคนสมัยปัจจุบันย่อมอยากจะพูดกันถึงเรื่องพระนิพพานบ้าง  เรื่องวิสัยของอรหันต์บ้าง  แต่ความจริงแค่ฌานโลกีย์เท่านี้  พระพุทธเจ้ากล่าวว่า  ถ้าเรายังเข้าไม่ถึงก็ไม่ควรจะคิด  คิดเท่าไรมันก็ผิด

                        3.  กรรมวิสัย  คือกฎของกรรม  เรื่องกฎของกรรมนี้ก็เหมือนกัน  อย่าไปคิดมันคิดไม่ออกหรอก  นอกจากว่าเราจะได้วิชชาสาม  อภิญญาหก  แล้วก็เป็นพระอริยเจ้าขั้นอรหันต์  จึงจะพอคิดถึงเรื่องกรรมได้  ถ้ายังไม่ถึงอย่าไปคิด  คิดแล้วมันก็จบลงไม่ได้

                        4.  โลกจินไตย  เรื่องของโลก  เรื่องของโลกนี้  เราจะคิดว่ามันจะไปจบลงตรงไหน อย่าไปคิด  มันไม่มีทางจบ  คือโลกหาที่สุดไม่ได้

                        จำไว้ให้ดีว่า เหตุ 4 อย่างที่พระพุทธเจ้าบอกว่า ไม่ควรคิด  ถ้าคิดแล้วก็บ้าเปล่า ๆ  นั่นก็คือ หนึ่งพุทธวิสัย  สอง ฌานวิสัย  สามกรรมวิสัย  สี่  โลกจินไตย

 

กลับมาเกิดใหม่เป็นพระราชากรุงพาราณสี

 

                        สำหรับบุรุษนั้น  เมื่อทำทานประมาณเท่านั้นแล้ว  ท่านกล่าวว่า  ในกาลเป็นที่สุดแห่งอายุ  ก็บังเกิดในเทวโลกเป็นเทวดาท่องเที่ยวไป  สิ้นกัปมีประมาณเท่านี้ คือ 91 กัป  เป็นเทวดาเกะกะ ๆ อยู่  91  กัป

                        ในสมัยหนึ่งจุติจากเทวโลกแล้ว  ก็มาบังเกิดในกรุงพาราณสี  โดยกาลที่พระชนกทิวงคตแล้ว  เขามาเกิดเป็นลูกพระราชาในตระกูลพาราณสี  เมื่อพระราชบิดาตาย ทิวงคต  เขาแปลว่า ตาย  สวรรคต  จึงได้เสวยราชสมบัติแทนพระราชบิดา

                        มาในครึ่งหนึ่งท้าวเธอคิดว่า  เราจะยึดเอาพระนครนครหนึ่ง  ซึ่งมีกำลังน้อยกว่าให้ได้  จึงได้เสด็จไปแล้วก็ล้อมพระนครนั้นไว้  แล้วก็ส่งสาส์นกับชาวเมืองว่า  ท่านจะให้ราชสมบัติคือสมบัติแก่เรา หรือจะให้เรารบ  บรรดาชาวเมืองทั้งหลายเหล่านั้นตอบว่า เราจะไม่ให้ราชสมบัติ  และเราก็จะไม่ให้ทั้งการรบ  เราจะปิดประตูเมืองไม่ให้ท่านเข้า ดังนี้

                        พระราชาองค์นั้นก็ล้อมไว้  แล้วก็ปิดประตูเมือง ประตูใหญ่  แต่ว่าชาวเมืองก็อาศัยประตูเล็กออกไปหาฟืน  หาน้ำ  มาทางประตูเล็ก  ทำธุรกิจทุกอย่าง  การล้อมของพระราชาจึงไม่มีผล  ต่อมาเมื่อพระราชาปิดประตูเมืองของเขา  ล้อมไม่ให้เขาออกไว้สิ้นเวลา 7 ปี 7 เดือน 7 วัน  ล้อมไว้  ต้องการให้คนในเมืองเขาอดตาย จะได้ยอมแพ้  เขาก็ไม่ยอมแพ้ เพราะเขาออกทางประตูเล็กมาหากินกันได้

 

กรรมที่ล้อมเมือง

           

                        ในกาลต่อมา  พระราชชนนีคือมารดาพระราชาองค์นั้น  ตรัสถามบรรดาอำมาตย์ข้าราชบริพารว่า  ลูกชายของเราเขาทำอะไร  บรรดาอำมาตย์ทั้งหลายกราบทูลว่า ไปล้อมเมืองไว้พระเจ้าข้า  ล้อมประตูใหญ่หมด  ท่านจึงตรัสว่า  พุทโธ่เอ๋ย...ลูกชายของฉันนี้  มันไม่น่าจะโง่อย่างนี้เลย  ก็ไปล้อมประตูใหญ่แล้วก็ไม่ล้อมประตูเล็ก  คนเขาก็ออกมาหากินกันได้  จงล้อมประตูเล็ก ๆ เสีย  ประตูช่องเล็ก ๆ ปิดมันเสีย  ชาวเมืองออกมาไม่ได้  ประเดี๋ยวมันก็ยอมแพ้

                        อำมาตย์จึงได้ไปส่งข่าวพระราชา  ท้าวเธอทรงสดับคำของพระราชชนนีแล้ว  ก็มีคำสั่งให้ปิดประตูเล็ก  คือกันคนออกทางด้านประตูเล็กเสียอีก  ฝ่ายชาวเมืองเมื่อออกไปหากินภายนอกไม่ได้  ก็เริ่มอด  อดแล้วไม่รู้จะทำอย่างไร  ในวันที่ 7  จึงพากันปลงพระชนม์พระราชาของตนเสีย  แล้วก็ได้เปิดประตูเมืองรับพระราชาองค์นั้น  ถวายพระราชสมบัติแก่พระองค์

                        ท้าวเธอทรงทำกรรมแบบนี้  ในกาลเป็นที่สุดแห่งอายุ  หมายความว่าเวลาที่ตาย แล้วก็ไปเกิดในอเวจีมหานรก  ไหม้อยู่แล้วในอเวจีมหานรกนั้น  ตราบเท่ามหาปฐพี คือผืนแผ่นดินนี้หนาขึ้นประมาณ 1 โยชน์  โทษของการล้อมเมืองเขา  ทำให้เขาฆ่าพระราชาของเขา  ลงนรกอเวจีด้วย  แล้วให้แผ่นดินหนา 1 โยชน์  ไม่รู้เวลาเท่าไร

                        ครั้งจุติจากอัตภาพ  คือพ้นจากนรกนั้น  แล้วก็มาปฏิสนธิในท้องของมารดานั่นแหละ  หมายความว่า มารดาในสมัยนั้นก็มาเป็นแม่สมัยนี้  เข้าไปอยู่ในท้องแม่สิ้น 7 ปี 7 เดือน 7 วัน  แม่ต้องถูกทรมานด้วย  ก็เพราะอาศัยที่ให้คำแนะนำกับลูก  แต่บังเอิญแม่ไม่ได้ตกนรกด้วย  จึงได้คลอด  เพราะโทษที่แม่ต้องรับโทษด้วย  เพราะว่าสั่งให้ปิดประตูเล็ก 4 ประตู  นี่เป็นกรรมของพระสีวลีที่ต้องตกนรก  และก็อยู่ในท้องแม่

                        องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า  ภิกขเว  ดูก่อน  ภิกษุทั้งหลาย  พระสีวลีไหม้แล้วในนรกสิ้นกาลนานประมาณเท่านี้  เพราะกรรมที่เธอล้อมพระนคร  และยึดไว้ในกาลนั้น  และถือปฏิสนธิของมารดานั้นนั่นแหละ  อยู่ในท้องสิ้นกาลประมาณเท่านั้น  7 ปี 7 เดือน 7 วัน  ก็เพราะว่าความที่เธอปิดประตูเล็กทั้ง 4  ต่อมา  เป็นผู้ถึงความเป็นผู้มีลาภมากและมียศเลิศ  ก็เพราะว่าการที่เธอถวายน้ำผึ้ง ด้วยประการฉะนี้

                        ในวันรุ่งขึ้น  ภิกษุทั้งหลายสนทนากันว่า  แม้สามเณรผู้เดียว ทำเรือน 500 หลัง เพื่อภิกษุ 500 รูป  มีลาภมีบุญน่าชมจริง ๆ  องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมา แล้วถามว่า  ภิกษุทั้งหลาย  บัดนี้ เธอนั่งประชุมกันด้วยเรื่องอะไร  เมื่อภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นรับถ้อยคำเช่นนั้นแล้ว  จึงตรัสว่า

                        “ดูกร  ภิกษุทั้งหลาย  บุตรของเราไม่มีบุญ  ไม่มีบาป  ก็เพราะว่าบุญบาปทั้งสองของเธอละเสียแล้ว”

                        จึงตรัสพระธรรมเทศนาว่า

                        “บุคคลใดในโลกนี้  พ้นเครื่องข้องทั้งสองอย่าง คือบุญและบาป  เราเรียกบุคคลนั้นว่า เป็นผู้ไม่โศก  ปราศจากกิเลสเพียงดังธุลี  ผู้หมดจดว่าเป็นพราห์ม”

                        เป็นอันว่าท่านทั้งหลาย  เรื่องราวของบุคคลตัวอย่าง  จงจำไว้ด้วยว่า  กฎของกรรมของพระสีวลีท่านมีลาภมาก  มียศยิ่งใหญ่มาก  การที่มีลาภก็เพราะว่าถวายรวงผึ้ง  แต่ว่าต้องลงในนรก  เพราะอาศัยที่ไปปิดล้อมเมืองเขาไว้  และมารดาผู้เป็นต้นคิดก็มีปัจจัยร่วมเช่นเดียวกัน

                        เอาละ  สำหรับเรื่องราวของบุพกรรมของพระสีวลี  ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล  สมบูรณ์พูนผล  จงมีแก่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทุกท่าน  สวัสดี.


http://kaskaew.com/index.asp?contentID=10000004&title=%BA%D8%BE%A1%C3%C3%C1%A2%CD%A7%BE%C3%D0%CA%D5%C7%C5%D5&getarticle=107&keyword=&catid=3-



http://kaskaew.com/index.asp?contentID=10000004&title=%BA%D8%BE%A1%C3%C3%C1%A2%CD%A7%BE%C3%D0%CA%D5%C7%C5%D5&getarticle=107&keyword=&catid=3

.
หน้า:  [1] 2 3 ... 45
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 2.321 วินาที กับ 26 คำสั่ง