[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
26 มิถุนายน 2567 16:51:05 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า:  1 ... 4 5 [6] 7 8 ... 10
 51 
 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2567 21:59:48 
เริ่มโดย สุขใจ ข่าวสด - กระทู้ล่าสุด โดย สุขใจ ข่าวสด
"เป้ย ปานวาด" มูฟออน 100 เปอร์เซ็นต์ เจ็บแล้วต้องจบ!
         


"เป้ย ปานวาด" มูฟออน 100 เปอร์เซ็นต์ เจ็บแล้วต้องจบ!" width="100" height="100  "เป้ย ปานวาด" มูฟออน 100 เปอร์เซ็นต์ เจ็บแล้วต้องจบ!
         

https://www.sanook.com/news/9457738/
         

 52 
 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2567 19:23:30 
เริ่มโดย สุขใจ ข่าวสด - กระทู้ล่าสุด โดย สุขใจ ข่าวสด
พ่อค้าโรตี โมโหลูกค้าไล่ล้างมือ เหมือนดูถูกว่าสกปรก อ้างไม่ได้ด่าแต่เป็นคนใต้เลยพูดห้วนๆ
         


พ่อค้าโรตี โมโหลูกค้าไล่ล้างมือ เหมือนดูถูกว่าสกปรก อ้างไม่ได้ด่าแต่เป็นคนใต้เลยพูดห้วนๆ" width="100" height="100  พ่อค้าโรตี โมโหลูกค้าไล่ล้างมือ เหมือนดูถูกว่าสกปรก อ้างไม่ได้ด่าแต่เป็นคนใต้เลยพูดห้วนๆ เสียงดัง


         

https://www.sanook.com/news/9457610/
         

 53 
 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2567 16:51:51 
เริ่มโดย สุขใจ ข่าวสด - กระทู้ล่าสุด โดย สุขใจ ข่าวสด
เปิดความเสียหาย ไฟไหม้วิหารวัดแสงแก้วโพธิญาณ อึ้ง ครูบาอริยชาติเพิ่งทัก แต่ไม่มีใครเชื่อ
         


เปิดความเสียหาย ไฟไหม้วิหารวัดแสงแก้วโพธิญาณ อึ้ง ครูบาอริยชาติเพิ่งทัก แต่ไม่มีใครเชื่อ" width="100" height="100  ไฟไหม้วิหารวัดแสงแก้วโพธิญาณ เห็นความเสียหายแล้วน้ำตาซึม อึ้ง ครูบาอริยชาติเพิ่งทักเมื่อวันพระใหญ่ แต่ตอนนั้นไม่มีใครสนใจ
         

https://www.sanook.com/news/9457466/
         

 54 
 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2567 16:13:05 
เริ่มโดย Maintenence - กระทู้ล่าสุด โดย Maintenence


โอปนยิโก
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร เมืองพัทยา ชลบุรี

การเข้าวัดที่แท้จริงต้องเข้าด้วยใจ ที่ทุ่มเทให้กับการหาความสงบสุขภายในใจ หาปัญญาเพื่อทำลายความหลง ที่จะคอยหลอกล่อให้ไปหาความสุขภายนอก ถ้าไม่กำหนดจะไม่มีหลัก อย่างสมัยที่อาตมาเคยปฏิบัติมา ตอนต้นก็นั่งไปตามอัธยาศัย นั่งไปแล้วรู้สึกว่าดีก็อยากจะนั่งมากขึ้น แต่ช่วงนั้นยังทำงานอยู่ ก็เลยตัดสินใจว่า อีกเดือนหนึ่งสิ้นปีพอดี ก็จะขอลาออกจากงาน จะขอใช้เวลา ๑ ปีทุ่มเทกับการปฏิบัติอย่างเดียว จะไม่ทำอย่างอื่น จะรับประทานอาหารมื้อเดียวก่อนเที่ยง ตลอดวันจะเดินจงกรมนั่งสมาธิ อ่านหนังสือธรรมะเป็นส่วนใหญ่ จะไม่ออกไปหาความสุขจากสิ่งต่างๆภายนอก เหมือนกับสมัยที่ไม่ได้ปฏิบัติ พอตื่นเช้าขึ้นมาปั๊บก็ต้องออกจากบ้าน ไปชายทะเล ไปที่ไหนก็ได้ ขอให้ได้ไป แต่ตอนนี้จะไม่ไปแล้ว จะภาวนาปฏิบัติอยู่ในบ้าน ถ้าไปข้างนอกก็จะไปหาที่สงบที่เงียบ เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง ไปหามุมสงบแถวชายทะเล บางทีก็ไปภาวนานอนค้างที่เกาะ กำหนดว่าจะลองทำสักปีหนึ่ง ต้องมีเป้าหมาย กำหนดการไว้ ถ้าปีนี้ปฏิบัติได้ร้อยละสิบ ปีหน้าจะเพิ่มเป็นร้อยละยี่สิบ เคยเข้าวัดเพียง ๒ ถึง ๓ ครั้งต่อปี ก็จะเพิ่มเป็นเดือนละครั้งเป็นต้น

ให้มีกำหนดการแล้วพยายามปฏิบัติตามให้ได้ ถ้าไม่กำหนดไว้ ปล่อยไปตามความรู้สึกความพอใจ หรือรอให้มีเหตุการณ์ชักจูงไป จะไปไม่ถึงไหน เพราะเหตุการณ์ที่จะจูงไปมีน้อย ความรู้สึกอยากจะไปก็มีน้อย อยากจะไปที่อื่นมากกว่า ถ้าไม่วางแผนไว้ แล้วฝืนลากใจไปนี่ ปล่อยให้ไปตามความรู้สึก จะไปไม่ถึงไหน จะเสียเวลามาก เวลาจะไม่พอต่อการปฏิบัติ เพราะชีวิตของเรามันสั้น ไม่ยาวนาน จะสั้นลงไปเรื่อยๆ น้อยลงไปเรื่อยๆทุกวัน แต่ถ้ากำหนดเวลาไว้ ว่าจะปฏิบัติมากน้อย แล้วเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จะมีเวลาเพียงพอ ที่จะทำให้เกิดผลขึ้นมาได้ เบื้องต้นเราต้องพยายามศึกษาฟังเทศน์ฟังธรรม จนเกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ว่าความสุขในโลกนี้ไม่มี ไม่อยู่กับสิ่งต่างๆ หรือบุคคลต่างๆ มีแต่ความทุกข์ทั้งนั้น เมื่อเข้าใจอย่างนี้แล้ว ก็จะเห็นว่าความสุขที่แท้จริงต้องอยู่ในใจ ต้องเข้าข้างใน ต้องปล่อยวางรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ ปล่อยวางความสุขภายนอก อยู่คนเดียว ทำจิตให้สงบให้ได้ แล้วก็เจริญปัญญา ให้รู้ทันความหลง ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพราะปัญญาหรือความเข้าใจที่ได้ยินได้ฟังนี้ไม่พอเพียง พอไม่คิดถึงมันปั๊บ ความหลงก็จะมาหลอกเราได้ทันที

เช่นขณะที่เราฟังนี้ เราเข้าใจแล้วว่า ความสุขในโลกนี้ไม่มี แต่พอออกจากสถานที่นี้ไปไม่นาน เดี๋ยวมันจะหลอกให้ไปหาอะไรกินหาอะไรดื่ม ชวนไปที่นั่นไปที่นี่ ชวนคุยกันเรื่องนั้น คุยกันเรื่องนี้ พอเริ่มไปทางนั้น แสดงว่าปัญญาที่ได้ยินได้ฟังเมื่อสักครู่นี้ ถูกกลบไปหมดแล้ว ต้องไปอยู่ที่สงบเงียบ ทำจิตใจให้สงบ เจริญความเข้าใจนี้อยู่เสมอ เตือนตนอยู่เสมอว่า ความสุขต่างๆในโลกนี้ไม่มี อยู่ที่ใจของเราเท่านั้น อยู่ที่ตรงนี้ อยู่ในวัด อยู่ที่สงบสงัดวิเวก โดดเดี่ยวเดียวดาย นี่แหละคือความสุขที่แท้จริง อย่าไปคิดถึงเพื่อนคนนั้น คิดถึงเพื่อนคนนี้ อย่าไปหาคนนั้นหาคนนี้ อย่าไปอยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ มันเป็นความหลงทั้งนั้น นี่คือเป้าหมายที่เราต้องทำให้ได้

เรารู้โดยสังเขปแล้วว่า ความสุขอยู่ในตัวเรา ไม่ได้อยู่ภายนอก ทีนี้เราต้องนำเอาไปปฏิบัติให้ได้ พอเราเผลอปั๊บ ความหลงจะหลอกให้ไปหาความสุขภายนอกทันที เพราะว่าชีวิตของเราส่วนหนึ่ง ก็มีความจำเป็น ต่อการแสวงหาบางสิ่งบางอย่างจากภายนอก เพื่อมาดูแลรักษาอัตภาพร่างกายของเรา ต้องหาอาหารมารับประทาน หาที่อยู่อาศัย หายารักษาโรค หาเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มต่างๆ แต่การแสวงหานี้ก็อาจจะถูกความหลงหลอก ให้หาแบบเลยเถิดไปก็ได้ คือไม่รู้จักประมาณ หาแบบหรูหราฟุ่มเฟือย ก็จะถูกกิเลสถูกความหลงหลอกไปแล้ว ต้องใช้ความมักน้อยสันโดษเสมอ เวลาแสวงหาปัจจัย ๔ เพื่อจะได้ไม่เสียเวลา อย่างของพระนี่ท่านก็มีเวลา มีกำหนดการ อาหารก็ตอนเช้าออกไปบิณฑบาต ได้อะไรมาก็ฉันไปตามมีตามเกิด ไม่ต้องไปปรุงแต่ง ว่าวันนี้จะรับประทานอาหารชนิดไหน อย่างไร แบบไหน เพราะจะกลายเป็นความหลงไปแล้ว ถ้าปรุงแต่งก็จะปรุงแต่งเพื่อความสุข ต้องรับประทานอาหารที่ถูกอกถูกใจ จะได้มีความสุข

แต่นักปฏิบัติต้องรับประทานอาหารเหมือนกับเติมน้ำมัน เหมือนกับรับประทานยา ยาจะมีรูปร่างอย่างไร สีอะไร ไม่สำคัญ หมอให้มารับประทาน ก็รับประทานเข้าไป อาหารจะเป็นชนิดไหนก็ไม่สำคัญ จะมีรสชาติอย่างไรก็ไม่สำคัญ ถ้าเป็นประโยชน์ รับประทานแล้วไม่เกิดโทษ ไม่เจ็บท้อง ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ก็รับประทานเข้าไป เพื่อให้มันอิ่ม เพื่อให้ร่างกายมีพลังงาน จะได้อยู่ต่อไปได้ เท่านี้ก็พอ ต้องมักน้อยสันโดษ รู้จักประมาณในการบริโภคปัจจัย ๔ เสื้อผ้าก็พอปกปิดร่างกายได้ก็พอ ไม่ต้องหรูหรา ไม่ต้องสวยสดงดงาม ไม่ต้องพิสดาร ติดเพชรติดทอง ติดขนไก่ ติดอะไรต่างๆให้ยุ่งไปหมด ที่อยู่อาศัยก็พอหลบแดดหลบฝนได้ ปลอดภัยจากภัยต่างๆ ทางธรรมชาติและจากคนที่ไม่ดีทั้งหลายก็พอ ก็มีเท่านี้ สิ่งที่เราต้องแสวงหาจากภายนอก แต่ไม่ได้แสวงหาเพื่อความสุข เป็นเหมือนเติมน้ำมันให้กับรถ

ร่างกายของเรานี้เป็นเหมือนรถ ที่จะพาให้เราไปสู่จุดหมายปลายทาง คือความสุขภายในที่วิเศษ ที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายได้สัมผัสได้มาครอบครอง คือใจที่สะอาดบริสุทธิ์ ที่เกิดจากการทำความดี ละบาป และชำระความโลภความโกรธความหลงจนหมดสิ้นไป ด้วยการบำเพ็ญภาวนา รักษาศีล ทำบุญให้ทาน นี่คือข่าวสารจากพระพุทธเจ้า นี่คือคำสอนที่จะพาให้พวกเรา ได้ไปพบกับความสุขที่แท้จริง เมื่อเราได้รับข่าวสารนี้แล้ว ก็ต้องนำเข้ามาสู่ใจ โอปนยิโก นำเข้ามาเตือนสติเตือนใจเราอยู่เรื่อยๆว่า ขณะนี้เรากำลังทำอะไรกันอยู่ วันเวลาผ่านไป กำลังทำอะไรอยู่ กำลังทำตามความหลง หรือกำลังทำตามพระพุทธเจ้า ถ้าทำตามพระพุทธเจ้า ก็ต้องทำบุญให้ทานรักษาศีลหรือภาวนาอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าไปสนุกสนานเฮฮา ก็ไม่ได้ทำตามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็เคยอยู่ในวัง ท่านก็เคยสนุกสนานเฮฮา แต่ท่านเบื่อเร็ว ท่านเห็นโทษของมันเร็ว พออายุ ๒๙ ท่านก็กระโดดหนีแล้ว เข้าป่าแล้ว พวกเรานี่ ๔๐ –๕๐ เข้าไปแล้ว ยังไม่เห็นอีกหรือ แล้วเมื่อไหร่จะเห็นล่ะ.


จุลธรรมนำใจ ๑๓ กัณฑ์ที่ ๓๘๐     
วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๑

 55 
 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2567 16:06:24 
เริ่มโดย Maintenence - กระทู้ล่าสุด โดย Maintenence



ต้องพิจารณาธรรมะอยู่เรื่อยๆ
ถาม : ท่านอาจารย์ครับ ตอนที่ท่านอาจารย์พูดถึงเรื่องคนเจ็บป่วยตอนที่จะตายนี่ เวทนาทางกายมาก มันก็ทำให้เวทนาทางจิตเกิดตามไปด้วย คนทั้งหลายไม่มีความพร้อมที่จะรับกับสิ่งนั้น จะทำอย่างไรให้ความพร้อมมันมี

พระอาจารย์ : ต้องปฏิบัติธรรม ต้องพิจารณาธรรมะอยู่เรื่อยๆ เรื่องความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ว่าเป็นธรรมดา ก็จะลดความทุกข์ทางด้านจิตใจไปได้เยอะ ความทุกข์ทางกายมันแค่ ๑๐ เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง เวลาที่เกิดความเจ็บไข้ได้ป่วย แล้วเกิดความทุกข์นี่ จะมีทุกข์ ๒ อย่างเกิดขึ้นมา ทุกข์กายกับทุกข์ใจ ทุกข์กายแค่ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ แต่ทุกข์ใจ ๙๐ เปอร์เซ็นต์ เวลาปฏิบัติทำจิตให้สงบนี้จะเห็นได้ชัดเลยว่า ตอนที่จิตยังไม่สงบ จะมีความกังวล ความวุ่นวายใจเกี่ยวกับความเป็นความตาย แต่พอจิตสงบลงไปปั๊บนี่จะเห็นเลยว่า ความเจ็บปวดของร่างกายมีนิดเดียวเอง ที่เจ็บปวดส่วนใหญ่อยู่ในใจ เช่นเวลาอดอาหาร ถ้าจิตไม่สงบนี่ มันฟุ้งซ่าน มันทรมาน คิดแต่เรื่องอาหาร แต่พอทำจิตให้สงบปั๊บ ความทุกข์ที่เกิดจากความฟุ้งซ่าน ความคิดปรุงนี่มันหายไป เหลือแต่ความรู้สึกหวิวๆท้องเท่านั้นเอง

ความทุกข์ทางกายนี่มันน้อยมาก เมื่อเทียบกับความทุกข์ทางใจ พระพุทธเจ้าพระอรหันต์จึงไม่หวั่นไหวกับความเป็นความตาย เพราะผ่านมาหมดแล้ว เวทนาขนาดไหนก็ผ่านมาหมดแล้ว ผ่านมาได้ เพียงทำจิตให้นิ่ง แล้วปล่อยให้เวทนาแสดงไปเต็มที่ จนกว่าจะหายไปเอง อย่างหลวงตาท่านเล่าว่าท่านนั่งสมาธิทั้งคืน ทุกขเวทนาก็มาถึง ๓ หรือ ๔ ระลอกด้วยกัน ระลอกแรกนี่เป็นเหมือนหนู ระลอกที่ ๒ เหมือนแมว ระลอกที่ ๓ หรือ ๔ เป็นเหมือนช้าง เหมือนกับถูกช้างเหยียบไปทั้งตัว ร่างกายทุกส่วน อวัยวะทุกส่วนมันปวดร้าวไปหมด แต่ถ้าใจไม่หวั่นไหวกับมัน พิจารณาแยกแยะกายให้ออกจากเวทนาออกจากจิตได้ ความทุกข์ใจก็จะไม่มี มีแต่ความทุกข์กาย ที่ใจรับได้อย่างสบาย.


พิจารณาความเสื่อม
ถาม : ถ้าจิตไม่รวม เราก็จะพิจารณาไม่ได้

พระอาจารย์ : ได้ แต่เป็นเหมือนมีดที่ไม่คม คนตัดก็ไม่มีแรง ตัดได้ทีละนิดทีละหน่อย แต่จะไม่ขาด ต้องทำไปเรื่อยๆ ต้องซ้อมไปก่อน ซ้อมนั่งสมาธิซ้อมใช้ปัญญา ควรบำเพ็ญสมาธิและปัญญาสลับกันไป ช่วงนี้นั่งสมาธิ ช่วงหน้าก็พิจารณา ถึงแม้ยังตัดไม่ได้ พิจารณาเพื่อให้เกิดความชำนาญ พอจิตรวมแล้วปัญญาจะไปได้อย่างรวดเร็ว ต้องทำสลับกันไป

ถาม : นั่งสมาธิทุกวัน แต่เวลาออกจากสมาธิแล้วยังหงุดหงิดขี้โมโห เวลากระทบเรื่องงาน

พระอาจารย์ : เพราะไม่เจริญปัญญา สมาธิอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีปัญญา ต้องเห็นไตรลักษณ์ถึงจะตัดได้  ในมรรค ๘ มีทั้งสัมมาสมาธิ มีทั้งสัมมาทิฐิสัมมาสังกัปโป คือปัญญานั่นเอง

ถาม : ไม่รู้ว่าจะพิจารณาตรงไหน

พระอาจารย์ : พิจารณาความเสื่อม ความเปลี่ยนแปลง ความไม่เที่ยง พิจารณาร่างกายก่อน ร่างกายของคนรอบข้าง พิจารณางานที่ทำอยู่ว่าถาวรหรือไม่ หรือมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ บริษัทเปิดได้ก็ปิดได้


ต้องสลับกันทำ อย่าทำอย่างเดียว
ถาม : ตอนที่หยิบข้อธรรมะขึ้นมาพิจารณา ให้เป็นวิปัสสนานี่ ต้องใช้สมาธิแบบไหน

พระอาจารย์ : ต้องออกมาจากสมาธิก่อน มาอยู่ในจิตปกติก่อน

ถาม : ไม่ใช่อยู่ในอุปจาร  ออกมาเป็นปกติเลย

พระอาจารย์ : ออกมาเป็นปกติ มารับรู้ภายนอกก่อน แล้วค่อยพิจารณา ต้องพิจารณาตลอดเวลาเลย ในขณะที่ไม่ได้อยู่ในสมาธิ แทนที่จะปล่อยให้จิตเป็นเครื่องมือของกิเลส ต้องดึงเอามาเป็นเครื่องมือของธรรมะ พอออกจากสมาธิปั๊บ ถ้าไม่เคยพิจารณา จะกลับไปคิดตามกิเลสทันที กิเลสให้คิดว่า นั่งมานานแล้ว เมื่อยแล้ว หาอะไรมาดื่มสักหน่อย หรือนอนสักหน่อย หรือเปิดวิทยุฟังสักหน่อย นี่ไปทางกิเลสแล้ว อย่าปล่อยให้มันทำอย่างนั้น ต้องดึงมาพิจารณาเรื่องเกิดแก่เจ็บตาย พิจารณาอาการ ๓๒ ของร่างกายเป็นต้น

ถาม : ถอยออกมาแล้วก็พิจารณา พิจารณาแล้วก็กลับไปเข้าสมาธิใหม่ ทำอย่างนี้ตลอดเวลาใช่หรือไม่

พระอาจารย์ : ต้องสลับกันทำ อย่าทำอย่างเดียว ทำอย่างเดียวเหมือนกับเดินขาเดียว ปัญญากับสมาธิเป็นเหมือนเท้าทั้ง ๒ ข้างของเรา เวลาก้าวเท้าซ้าย ก็ใช้เท้าขวายัน เวลาก้าวเท้าขวา ก็ใช้เท้าซ้ายยัน สลับกันไป ถ้าพิจารณาอย่างเดียวจิตจะล้าจะเพลีย จะหมดความสงบ จะไม่เป็นเหตุเป็นผล จะฟุ้งซ่านขึ้นมา เป็นอุทธัจจะขึ้นมา ตอนนั้นต้องกลับไปทำสมาธิให้สงบตัวลง พักจิตให้ได้กำลัง เหมือนกับคนตัดไม้ เวลาตัดใหม่ๆ มีดก็คมคนตัดก็มีแรง พอตัดไปสักระยะหนึ่ง มีดก็จะทื่อ คนตัดก็จะเมื่อยล้าหมดแรง ก็ต้องหยุดพัก กินข้าว พักผ่อนหลับนอน ลับมีดให้คม แล้วค่อยออกไปตัดไม้ต่อ การพิจารณาปัญญาเพื่อตัดกิเลส ก็เป็นเหมือนกับการตัดไม้ ตอนพิจารณาใหม่ๆก็เป็นเหตุเป็นผล เพราะจิตมีความสงบ มองอะไรก็มองไปตามความจริง แต่พอความสงบหายไป ความหลงก็จะเข้ามาแทนที่ อารมณ์ก็จะเข้ามาแทนที่ พอจะให้ตัดก็จะเสียดาย ตัดไม่ลง


คำตอบอยู่ในไตรลักษณ์
ถาม : เวลาภาวนาจะมีคำถามคำตอบเกิดขึ้นตลอดเวลา บางคำตอบมันก็กระจ่าง เพราะมันกระจ่างที่ใจเลย แต่ในบางคำตอบมันไม่กระจ่าง แล้วมันจะติดออกมาให้พิจารณาในภายหลังอยู่เสมอ
 
พระอาจารย์ : เป็นการพัฒนาจิตใจ ความคิดความสงสัยต่างๆ พอมันเกิดขึ้นแล้วก็ต้องหาคำตอบ ถ้าปัญญายังไม่ทันก็ยังหาคำตอบมาไม่ได้ แต่พอพิจารณาไปสักระยะหนึ่งก็ได้คำตอบ คำตอบอยู่ในไตรลักษณ์ ถ้าใช้ไตรลักษณ์แล้วจะพบคำตอบ 


ให้อยู่ในวงของขันธ์ ๕
ถาม : จิตไม่เป็นสมาธิเลยคะ พอนั่งไปสักพักหนึ่งคำถามคำตอบต่างๆจะขึ้นมาทันที

พระอาจารย์ : จิตจะไปในทางปัญญาอบรมสมาธิ ก็ให้อยู่ในวงของขันธ์ ๕ ในวงของไตรลักษณ์ ถ้าไปในวงของลาภยศสรรเสริญสุข ก็แสดงว่าหลงทางแล้ว

ถาม : บางทีไปค้นหาคำตอบในหนังสือ

พระอาจารย์ : ค้นในใจเรานี่แหละ บางทีหนังสือก็ให้คำตอบกับเราได้ บางทีไปอ่านหนังสือของครูบาอาจารย์ก็ได้คำตอบ บางทีมีโอกาสได้พบกับครูบาอาจารย์ แล้วแย้มออกไปให้ท่านทราบ ท่านก็จะช่วยเราได้ 

ถาม : บางทีมันอัดอั้นตันใจ มันคิดซ้ำๆซากๆไปตลอด

พระอาจารย์ : การปฏิบัติโดยที่ไม่มีครูบาอาจารย์กับมีก็ต่างกันตรงนี้ เวลามีปัญหาครูบาอาจารย์ช่วยเราได้ ท่านปฏิบัติผ่านมาแล้ว ท่านรู้แล้ว พอเราติดตรงนี้ปั๊บท่านก็จะบอกเราได้ ถ้าไม่มีก็ต้องพึ่งตนเองไปก่อน เปิดหนังสือดูก็ได้ ขอให้เป็นหนังสือที่เป็นธรรมะจริงๆก็แล้วกัน ถ้าไปเจอหนังสือธรรมะที่ไม่จริง ก็จะทำให้เราเขว.


ต้องเติมเชื้อเพลิงใหม่
ถาม : เรื่องเกี่ยวกับว่าทุกอย่างเป็นธาตุ ๔ นี้ ก็พอดีเมื่อวันศุกร์ไปงานศพ แล้วก็ไปดูโลงศพ จากการที่ได้ฟังเรื่องนี้มาก่อน ก็พิจารณาตาม เสร็จแล้วเหมือนกับว่าจิตมันไหลไปเอง ความคิดเราไหลไปเอง ว่าเป็นธาตุดินเป็นธาตุน้ำฯลฯ ต้องทำอย่างไรดีคะ

พระอาจารย์ : ก็ควรเจริญต่อไป ให้ปรากฏอยู่กับเราอยู่เรื่อยๆ

ถาม : แต่ตอนนั้นไม่ได้บังคับให้พิจารณานะ

พระอาจารย์ : ตอนนั้นมันไปโดยอำนาจของบุญบารมีที่ได้บำเพ็ญมา เป็นปัญญาเก่าที่เคยพิจารณามาก่อน เหมือนถ่านไฟเก่าที่ได้ไฟใหม่ ไฟเก่ามอดไปแต่ไม่ดับ พอได้สะเก็ดไฟก็ลุกขึ้นมาใหม่ พอเราถอนออกมามันก็หยุด พอมันไหม้หมดมันก็หยุด เราก็ต้องเติมเชื้อเพลิงใหม่ ตอนนี้มีกำลังพิจารณาได้ในระดับหนึ่ง ถ้าพิจารณาอย่างต่อเนื่องทุกเวลานาที เวลากำหนดดูทีไรก็จะกลายเป็นธาตุไปทันที กลายเป็นซากศพไปทันที.


มักจะถูกกิเลสแย่งไป
ถาม : บางครั้งคิดว่าจะทำงานให้มีเงินเยอะๆ จะได้ทำบุญเยอะๆ

พระอาจารย์ : คิดอย่างนั้นก็ดี แต่ส่วนใหญ่พอมีแล้วมักจะลืมกัน มักจะถูกกิเลสแย่งไปก่อน ตอนแรกก็คิดจะทำบุญเยอะๆ แต่พอมีเงินแล้ว ไอ้นั่นก็สวย ไอ้นี่ก็ดี ที่นั่นก็น่าไปเที่ยว ขอแบ่งเงินไปหน่อย ความจริงแล้วไม่ควรทำงานเพื่อเอาเงินมาทำบุญ ทำงานเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เพื่อให้มีเวลาไปปฏิบัติธรรมจะดีกว่า เพราะบุญที่ได้จากการให้ มันน้อยกว่าบุญที่ได้จากการปฏิบัติธรรม เกิดจากการรักษาศีล ที่ให้ทำบุญให้ทาน เพราะมีเหลือกินเหลือใช้ เป็นวาสนาที่ทำมาหากินเก่ง ทำได้มากเกินความจำเป็น ก็ให้เอาไปทำบุญเสีย แต่อย่าไปตั้งเป้าทำเพื่อเอาเงินมาทำบุญ ไม่ใช่เป้าหมายที่แท้จริง เป็นการหลอกตัวเอง จะได้ทำงาน จะได้ไม่ต้องไปรักษาศีล จะได้ไม่ต้องไปปฏิบัติธรรม เพราะไม่มีเวลา.


ฟังให้เกิดปัญญาหรือให้เกิดสมาธิ
ถาม : เวลาที่ท่านอาจารย์พูดธรรมะเราก็คิดตามไป พอท่านอาจารย์พูดต่อไป เราฟังไม่ทัน มัวแต่คิดในเรื่องที่ท่านอาจารย์สอน อย่างนี้ไม่สมควรทำใช่ไหมคะ

พระอาจารย์ :  สมควรนะ เวลาฟังนี่ฟังได้ ๒ ลักษณะ ฟังให้เกิดปัญญาหรือให้เกิดสมาธิ การฟังแล้วพิจารณาตามนี้ เป็นการฟังเพื่อให้เกิดปัญญา พอท่านพูดอะไรเราก็พิจารณาตาม ตามเหตุตามผล ถ้าเข้าใจก็เป็นปัญญา นำเอาไปปฏิบัติได้ อย่างที่ถามเรื่องการทำงานที่ไม่ให้เครียดจะให้ทำอย่างไร เราก็บอกว่าต้องทำอย่างนี้ๆ ถ้าพิจารณาตามแล้วเข้าใจ ก็จะนำไปปฏิบัติได้ ก็เป็นปัญญา ถ้ายังไม่เข้าใจก็ต้องผ่านไปก่อน ปัญญาเรายังตามไม่ทัน ก็ไม่เป็นไร เพราะการฟังแต่ละครั้งอาจจะตามไม่ได้หมดทุกเรื่อง เพราะสติปัญญาของเราพิจารณาตามไม่ทัน ก็ไม่เป็นไร ไว้คราวหน้าค่อยตามใหม่ เพราะการแสดงธรรมจะเริ่มต้นจากขั้นต่ำไปสู่ขั้นสูงขึ้นไปเรื่อยๆ พอมาถึงขั้นที่เรารออยู่ก็จะฟังต่อ ขั้นที่ได้ผ่านมาแล้วก็ทบทวนดูว่า ความคิดของเรากับความคิดของท่านมันตรงกันหรือไม่ เหตุผลของท่านกับเหตุผลของเรามันตรงกันหรือไม่ เป็นการตอกย้ำความเข้าใจ ฟังอย่างนี้เป็นการฟังเพื่อปัญญา ถ้าฟังแล้วไม่เข้าใจเลย เพราะพิจารณาตามไม่ทัน มีปัญญาน้อยมาก ก็ให้ฟังแต่เสียงไปเรื่อยๆ จดจ่ออยู่กับเสียงไป เสียงนั้นก็จะเป็นเหมือนพุทโธๆให้เราเกาะ ไม่ให้ไปคิดเรื่องอื่นก็จะดึงใจให้เข้าสู่ความสงบได้ ก็จะเป็นสมาธิ นี่คือการฟังโดยไม่พิจารณาตาม อาจจะเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง ก็ไม่ต้องกังวล เพราะจะเกิดความฟุ้งซ่าน ความหงุดหงิดรำคาญใจขึ้นมา ฟังแล้วไม่รู้เรื่องไม่รู้จะฟังไปทำไม ก็อย่าไปคิดอย่างนี้ พอถึงจุดที่ไม่เข้าใจก็ฟังแต่เสียงไป อย่าไปคิดอะไร ก็จะเป็นสมาธิ

เวลาฟังจึงไม่จำเป็นต้องพุทโธๆไปหรือดูลมหายใจไป ใช้พุทโธๆหรือลมหายใจในขณะที่เราภาวนาอยู่คนเดียว แต่ขณะที่ฟังต้องถือเสียงที่มากระทบกับหูเป็นองค์ภาวนา เกาะอยู่กับเสียงนั้นเฉยๆ ไม่คิดพิจารณาตามก็ได้ ผลก็จะได้ต่างกัน ถ้าพิจารณาตามก็จะเกิดปัญญา ก็จะบรรลุได้ จะบรรลุได้ต้องพิจารณาตาม แต่ถ้าฟังแล้วเกาะกับเสียงนั้นไป ไม่ไปคิดเรื่องอื่นมันก็จะสงบเป็นสมาธิ สมาธิดับกิเลสไม่ได้ เพราะกิเลสเกิดจากความหลง ความไม่เข้าใจหรือความเข้าใจผิด ต้องฟังให้เกิดปัญญา เพื่อจะได้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง เกิดความเห็นที่ถูกต้อง มาระงับดับความหลงได้.

 56 
 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2567 14:21:08 
เริ่มโดย สุขใจ ข่าวสด - กระทู้ล่าสุด โดย สุขใจ ข่าวสด
"เกรซ" เปิดใจครั้งแรกหลังถูกดราม่าชื่อเพลงบาย พอ ลา คล้องชื่อโรคไบโพลาร์
         


"เกรซ" เปิดใจครั้งแรกหลังถูกดราม่าชื่อเพลงบาย พอ ลา คล้องชื่อโรคไบโพลาร์" width="100" height="100  เกรซ กาญจน์เกล้า เปิดใจครั้งแรกหลังถูกดราม่าชื่อเพลง บาย พอ ลา ที่สอดคล้องกับชื่อโรคไบโพลาร์


         

https://www.sanook.com/news/9457230/
         

 57 
 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2567 11:48:18 
เริ่มโดย สุขใจ ข่าวสด - กระทู้ล่าสุด โดย สุขใจ ข่าวสด
เจ้าของหอตรวจห้อง เห็นสภาพแทบทรุด คนเช่าปล่อยปลวกกินจนประตู-หน้าต่างพัง
         


<img src="?ip/scrop/w100h100/q80/webp" alt="เจ้าของหอตรวจห้อง เห็นสภาพแทบทรุด คนเช่าปล่อยปลวกกินจนประตู-หน้าต่างพัง" width="100" height="100" />&nbsp;&nbsp;เจ้าของหอพักขึ้นมาตรวจห้อง แทบทรุดคนเช่าปล่อยปลวกกินจนหลังห้องไม่เหลือ ลั่น "..บอกเราได้นะ อย่าทำแบบนี้เลย”
         

https://www.sanook.com/news/9457086/
         

 58 
 เมื่อ: 21 มิถุนายน 2567 23:18:02 
เริ่มโดย สุขใจ ข่าวสด - กระทู้ล่าสุด โดย สุขใจ ข่าวสด
ซ่าไม่ออก "บู๊" คู่อริแจ๊ส-แจง โดนสารวัตรแจ๊ะตามรวบแล้ว หลังโพสต์ท้าทายระบบไม่หยุด
         


ซ่าไม่ออก &quot;บู๊&quot; คู่อริแจ๊ส-แจง โดนสารวัตรแจ๊ะตามรวบแล้ว หลังโพสต์ท้าทายระบบไม่หยุด" width="100" height="100&nbsp;&nbsp;ซ่าไม่ออก "บู๊" คู่อริคุกคาม แจ๊ส-แจง ล่าสุดโดนสารวัตรแจ๊ะตามรวบแล้ว หลังโพสต์ท้าทายระบบไม่หยุด
         

https://www.sanook.com/news/9456218/
         

 59 
 เมื่อ: 21 มิถุนายน 2567 21:30:46 
เริ่มโดย มดเอ๊ก - กระทู้ล่าสุด โดย มดเอ๊ก
พบหลักฐาน UFO จากโลกโบราณ!! #ดาร์คไดอะรี่ I แค่อยากเล่า...

<a href="https://www.youtube.com/v/BayWT12a6XY" target="_blank">https://www.youtube.com/v/BayWT12a6XY</a>

https://youtu.be/BayWT12a6XY?si=l6ck-02eHu5RZjto

 60 
 เมื่อ: 21 มิถุนายน 2567 21:23:10 
เริ่มโดย มดเอ๊ก - กระทู้ล่าสุด โดย มดเอ๊ก
การพบเห็น “ยูเอฟโอ (UFO)” ในยุคกลาง
 


พูดถึง “ยูเอฟโอ (UFO)” หลายคนน่าจะรู้จัก และเคยได้ยินเรื่องของรายงานการพบเห็นยูเอฟโอ วัตถุบินได้ปริศนาจากนอกโลก ซึ่งมีรายงานการพบเห็นแทบจะทั่วมุมโลก

แต่หากย้อนกลับไปหลายร้อยปีล่ะ? คนในสมัยยุคกลางเคยเห็นยูเอฟโอบ้างหรือเปล่า? เรื่องนี้หลายคนคงไม่เคยได้ยิน

แต่จริงๆ แล้วมีครับ ย้อนกลับไปหลายร้อยปีก่อน ก็มีรายงานการพบเห็นสิ่งแปลกประหลาดบนท้องฟ้าเช่นเดียวกัน



ในปีค.ศ.1561 (พ.ศ.2104) หนังสือพิมพ์เยอรมันประจำเมืองนูเรมเบิร์ก ได้ตีพิมพ์ข่าว ซึ่งสร้างความแปลกใจให้ผู้คน

นั่นคือการพบเห็นวัตถุทรงกลมปริศนา และวัตถุคล้ายๆ กับไม้ ลอยอยู่กลางอากาศและปะทะกันเหนือท้องฟ้าเมืองนูเรมเบิร์ก สร้างความพิศวงงงงวยแก่ผู้พบเห็น

หลังจากนั้น ยังมีรายงานว่าวัตถุทรงกลมได้ตกลงในไร่ของชาวบ้าน ก่อนจะลุกไหม้เป็นควัน
 

บางคนก็คิดว่านี่คือปรากฎการณ์ “ซันด็อก (Sundog)”

“ซันด็อก (Sundog)” เป็นปรากฎการณ์ในชั้นบรรยากาศโลก คล้ายดวงอาทิตย์ทรงกลด เกิดจากแสงอาทิตย์หักเหและกระเจิงแสง ทำมุม 22 องศากับผลึกน้ำแข็งรูปหกเหลี่ยมของเมฆชั้นสูงเซอร์รัส ที่อยู่สูงจากพื้นดินขึ้นไป เกิดเป็นแถบแสงรอบดวงอาทิตย์

แต่อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีนี้ก็ถูกตีตกไป เนื่องจากไม่สามารถอธิบายถึงการที่วัตถุทรงกลมเคลื่อนที่ไปมาอย่างไม่สามารถควบคุมได้ รวมทั้งวัตถุทรงยาวคล้ายๆ กับไม้อีก

บางคนก็คิดว่านี่อาจจะเป็นภาพลวงตาหมู่ ทำให้ผู้คนเห็นภาพลวงตา หรืออาจจะเป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติบางอย่าง
 

ต่อมาในปีค.ศ.1566 (พ.ศ.2109) ก็มีเหตุการณ์คล้ายๆ กันนี้ที่สวิตเซอร์แลนด์

ในช่วงวันเกิดเหตุ ดวงอาทิตย์ดูแปลกไป มีขนาดเล็กลงและสีเข้มขึ้น ก่อนจะมีวัตถุทรงกลม พุ่งด้วยความเร็วไปทางทิศทางของดวงอาทิตย์ และหายลับไปอย่างปริศนา
 

นี่ก็เป็นเรื่องราวการพบเห็นของวัตถุปริศนา หรืออาจจะเป็นยูเอฟโอที่เคยมีการพบเห็นเมื่อหลายร้อยปีก่อน

จาก https://www.blockdit.com/posts/6201f4f423e968166e94d669

หน้า:  1 ... 4 5 [6] 7 8 ... 10
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.132 วินาที กับ 24 คำสั่ง