[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
26 มิถุนายน 2567 16:43:16 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า:  1 ... 6 7 [8] 9 10
 71 
 เมื่อ: 21 มิถุนายน 2567 05:26:18 
เริ่มโดย สุขใจ ข่าวสด - กระทู้ล่าสุด โดย สุขใจ ข่าวสด
รู้ยัง! ข้าวบูดอย่าเพิ่งทิ้งนะ เอาไปทำประโยชน์ได้
         


รู้ยัง! ข้าวบูดอย่าเพิ่งทิ้งนะ เอาไปทำประโยชน์ได้" width="100" height="100  Sanook ขอเสนอนำทริคดี ๆ ว่า “ข้าวบูดนำไปทำอะไรได้บ้าง” มาฝากทุกคนกัน จะเป็นอย่างไร ไปดูกันเลย
         

https://www.sanook.com/news/9452042/
         

 72 
 เมื่อ: 21 มิถุนายน 2567 03:37:18 
เริ่มโดย สุขใจ ข่าวสด - กระทู้ล่าสุด โดย สุขใจ ข่าวสด
สส.เท้ง แท็กทีม "วิโรจน์-ไอติม" อภิปรายไม่เน้นวาทะกรรม ขอ รบ.ตั้งใจฟังสาระ ไปปรับปรุง
         


สส.เท้ง แท็กทีม "วิโรจน์-ไอติม" อภิปรายไม่เน้นวาทะกรรม ขอ รบ.ตั้งใจฟังสาระ ไปปรับปรุง" width="100" height="100  สส.เท้ง แท็กทีม "วิโรจน์-ไอติม" อภิปรายเน้นเนื้อหา ไม้เน้นวาทะกรรม ขอ รบ.ตั้งใจฟังสาระ นำไปปรับปรุง

         

https://www.sanook.com/news/9450618/
         

 73 
 เมื่อ: 21 มิถุนายน 2567 02:45:25 
เริ่มโดย สุขใจ ข่าวสด - กระทู้ล่าสุด โดย สุขใจ ข่าวสด
กู้ภัยผงะ เปิดโลงเจอศพแช่ด้วยน้ำแข็ง สวดไป 4 คืน เพิ่งโทรตามให้ช่วยฉีดฟอร์มาลีน
         


กู้ภัยผงะ เปิดโลงเจอศพแช่ด้วยน้ำแข็ง สวดไป 4 คืน เพิ่งโทรตามให้ช่วยฉีดฟอร์มาลีน" width="100" height="100  กู้ภัยผงะ เปิดโลงเจอศพแช่ด้วยน้ำแข็ง ทำยังกับดองปลาทู สวดไป 4 คืน เพิ่งโทรตามกู้ภัยให้ช่วยฉีดฟอร์มาลีน เพราะเริ่มมีกลิ่นและขึ้นอืด


         

https://www.sanook.com/news/9453122/
         

 74 
 เมื่อ: 21 มิถุนายน 2567 00:14:31 
เริ่มโดย สุขใจ ข่าวสด - กระทู้ล่าสุด โดย สุขใจ ข่าวสด
ผู้ว่าฯ นนทบุรี สั่งเด้ง ผอ.รพ.สต. หลังถูกร้องเรียน เป็นชู้กับพยาบาลที่มีสามีแล้ว
         


ผู้ว่าฯ นนทบุรี สั่งเด้ง ผอ.รพ.สต. หลังถูกร้องเรียน เป็นชู้กับพยาบาลที่มีสามีแล้ว" width="100" height="100  ผู้ว่าฯ นนทบุรี สั่งเด้ง ผอ.รพ.สต. แอบแซ่บพยาบาลสาวที่มีสามีแล้ว พร้อมตั้งกรรมการสอบ
         

https://www.sanook.com/news/9452986/
         

 75 
 เมื่อ: 20 มิถุนายน 2567 21:44:05 
เริ่มโดย สุขใจ ข่าวสด - กระทู้ล่าสุด โดย สุขใจ ข่าวสด
หนุ่มนิ้วโปนถูกบูลลี่ทั้งชีวิต พลิกวิกฤตจนกลายเป็นช่างผมชื่อดัง ลูกค้าแห่ต่อคิวใช้บริการ
         


หนุ่มนิ้วโปนถูกบูลลี่ทั้งชีวิต พลิกวิกฤตจนกลายเป็นช่างผมชื่อดัง ลูกค้าแห่ต่อคิวใช้บริการ" width="100" height="100  หนุ่มนิ้วโปนถูกบูลลี่มาทั้งชีวิต พลิกวิกฤตกลายเป็นช่างผมชื่อดัง ลูกค้าต่อคิวใช้บริการ เพราะจุดเด่นที่ไม่เหมือนใคร
         

https://www.sanook.com/news/9452286/
         

 76 
 เมื่อ: 20 มิถุนายน 2567 21:30:35 
เริ่มโดย สุขใจ ข่าวสด - กระทู้ล่าสุด โดย สุขใจ ข่าวสด
เปิดประวัติ สส.เท้ง ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ นั่งเก้าอี้ ปธ.กมธ.งบฯ ที่ก้าวไกลยืนยันต้องได้มา
         


เปิดประวัติ สส.เท้ง ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ นั่งเก้าอี้ ปธ.กมธ.งบฯ ที่ก้าวไกลยืนยันต้องได้มา" width="100" height="100  เปิดประวัติ สส.เท้ง ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ จากตัวเต็ง รมว.ดีอีเอส ประธาน กมธ.งบฯ เก้าอี้ที่ก้าวไกลสู้สุดตัว ยืนยันว่าต้องได้มา!

         

https://www.sanook.com/news/9063790/
         

 77 
 เมื่อ: 20 มิถุนายน 2567 19:12:31 
เริ่มโดย สุขใจ ข่าวสด - กระทู้ล่าสุด โดย สุขใจ ข่าวสด
"ใหม่ สุคนธวา" เปิดใจพร้อมคุณพ่อ เล่าชีวิตวัยเด็กต้องต่อสู้ วันนี้ภูมิใจซื้อบ้านราคา 60 ล้านให้พ่อ
         


"ใหม่ สุคนธวา" เปิดใจพร้อมคุณพ่อ เล่าชีวิตวัยเด็กต้องต่อสู้ วันนี้ภูมิใจซื้อบ้านราคา 60 ล้านให้พ่อ" width="100" height="100  ใหม่ สุคนธวา ควง คุณพ่อปัญญา เผยชีวิตวัยเด็กต้องดิ้นรนต่อสู้ วันนี้ภูมิใจซื้อบ้าน 60 ล้านให้พ่อได้อยู่
         

https://www.sanook.com/news/9452086/
         

 78 
 เมื่อ: 20 มิถุนายน 2567 16:39:09 
เริ่มโดย สุขใจ ข่าวสด - กระทู้ล่าสุด โดย สุขใจ ข่าวสด
อื้อหือ! "น้องออกัส" ลูกสาวคนโต "เปิ้ล นาคร" โตเป็นสาวแล้ว สวยได้แม่
         


อื้อหือ! "น้องออกัส" ลูกสาวคนโต "เปิ้ล นาคร" โตเป็นสาวแล้ว สวยได้แม่" width="100" height="100  อื้อหือ! "น้องออกัส" ลูกสาวคนโต "เปิ้ล นาคร" โตเป็นสาวแล้ว สวยได้แม่ "จูน กษมา"
         

https://www.sanook.com/news/9450338/
         

 79 
 เมื่อ: 20 มิถุนายน 2567 16:27:46 
เริ่มโดย Kimleng - กระทู้ล่าสุด โดย Kimleng

อิเหนา : ภาพโดย ครูเหม เวชกร

อิเหนา
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต
ทรงแปลจากต้นฉบับภาษามะลายู

ภาคปฐม

ในกาลอันกล่าวนี้ ฝ่ายประไหมสุหรีกำลังประทับเอาลม๙๑อยู่ นางกำนัลเข้ามาสู่ที่เฝ้าก็ทรงระลึกขึ้นได้ ถึงของถวายท่านลิกูคือข้าวหมักของเสวยนั้น แท้จริงข้าวหมักนั้น ก็ได้มีผู้นำไปทิ้งไว้ใกล้ที่ประทับตากอากาศนั้นแล้ว เหตุที่เห็นนางกำนัลนั้นเป็นเครื่องเตือนพระหทัย จึ่งประไหมสุหรีเกิดความคิด อยากจะเสวยเครื่องของถวายนั้น แล้วก็ทรงเคลื่อนเอาชามข้าวหมักนั้นมาเสวยแต่ลำพังพระองค์ ๆ เดียว พอเสวยเข้าไปได้นิดหนึ่ง ข้าวหมักนั้นไม่ทันหมด ก็ทรงรู้สึกเวียนและปวดพระเศียรสุดที่จะทนทาน ซ้ำยังทรงอาเจียรอีก และรู้สึกพระกายเป็นไข้หนาวๆ ร้อนๆ เสโทออกจนไหลจากพระศีรเกล้า นัยเนตรลายพรายพราวเป็นแสงหิ่งห้อย พระบาทอ่อนเปลี้ยไม่สามารถเสด็จลุกขึ้นยืนอีกได้ จึ่งเกิดกาหลอลหม่านขึ้นในพระราชวังนั้น และมหาเดหวีกับทั้งก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา ก็เสด็จมาเพื่อจะช่วยองค์ประไหมสุหรีนั้น ก้าหลุเห็นพระชนนีทรงอาเจียรและอาเจียรนัก ก็ทรงทุกขะจิตต์อย่างยิ่งพระหทัยเต้น มิหนำซ้ำเห็นพระรูปโฉมของพระมารดาเปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว พระฉวีซีดเผือด พระเนตรก็เบ่งโพลงราวกับว่าโลกนี้มืดมนอนธการไปสิ้นแล้ว เวลานั้น ก้าหลุ จันตะหรา กิระหนาก็กรรแสงสอื้นไห้อย่างใหญ่ พลางร่ำพิไรรำพรรณถึงพระชนนีมิรู้หยุด บรรดานางพี่เลี้ยงสาวสรรกำนัลในทั้งหลายต่างก็ตกใจอกสั่นขวัญหาย มิได้รู้ต้นสายปลายเหตุว่าเป็นอย่างไรกัน องค์ประไหมสุหรีจึ่งประชวรดังนั้น ต่างงงงวยมิรู้ที่จะทำประการใด ได้แต่วิ่งไขว่ไปมาไม่เป็นสมฤดี บ้างก็ร้องไห้บริเทวะรำพรรณ บ้างก็กลัวอกใจสั่นหวั่นไหว ด้วยเกรงว่าสังระตูจะทรงพระพิโรธเอาโทษกรณ์แก่บรรดาข้าไท นางสาวสรรกำนัลในนั้นๆ วุ่นวายกันเป็นโกลาหล บางคนก็วิ่งหาโอสถ บางคนก็บดยา แต่ละคนเป็นดังกล่าวนี้ อีกสักครู่หนึ่งสังนาตะก็เสด็จมาทอดพระเนตรเห็นเหตุดังนั้น ทันใดนั้นจึงทรงช้อนองค์ประไหมสุหรีขึ้นใส่ตัก ตรัสสั่งให้ชโลมด้วยน้ำกุหลาบดอกไม้เทศและของหอม พวกข้าหลวงบางคนก็ได้รับรับสั่งให้ไปเรียกหาแพทย์หมอ ขณะนั้นก็มีแพทย์มีหมอมาถวายยาแก้ไขเหมือนกัน แต่ก็หาหายคลายประชวรไม่ แพทย์ผลัดเปลี่ยนกันถวายพระโอสถรักษาองค์ประไหมสุหรีอยู่นั้นก็มากมายหลายคนด้วยกัน ด้วยเทวประสงค์แห่งองค์มหาเทวาธิราชประไหมสุหรีก็เสด็จสู่สวรรค์ เพื่อเหตุในอันเสวยข้าวหมักเจือยาพิษนั้นแล

ครั้นประไหมสุหรีสิ้นชีพ๙๒ลง สังนาตะก็ประชวรพระวาโยถึงสิ้นสมฤดีวิสัญญีภาพ มหาเดหวีก็ดุจกัน ครั้นฟื้นจากวิสัญญีภาพก็ทรงครวญคร่ำร่ำพิไรอยู่ที่พระศพนั้น ฝ่ายก้าหลุ จันตะหรา กิระหนานั้น แต่พอเห็นชนนีวายชนม์ก็ล้มลงกับพื้นสิ้นสมฤดี ทันใดนั้นมหาเดหวีก็รับประคองไว้ และประพรมชะโลมด้วยน้ำกุหลาบ มหาเดหวีร่ำพิไรพลางกอดศอก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา จุมพิตและรำพรรณว่า “อุวะ ลูกแม่ ระวังให้ดีนะ แต่วันนี้ไปเธอเป็นกำพร้าแล้ว จงอุส่าห์รักษาตนด้วยความเฉลียวฉลาด รู้ประพฤติสุจริตดีงาม วาจาให้อ่อนหวานลมุนลม่อม อย่ายกตนให้ใหญ่เกินงาม ลูกเอ๋ย ยามเดือดร้อนใครที่ไหนเล่าจะเป็นที่ปรับทุกข์”

ฝ่ายบรรดาพี่เลี้ยงสาวสรรกำนัลในก็พิไรบ่นพร่ำรำพรรณไปต่างๆ กัน ก็แต่ในส่วนก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา นั้น สุดที่จะเล่าแถลงต่อไป บัดเดี๋ยวก็สลบไสลสิ้นสมฤดี บัดเดี๋ยวก็ฟื้นขึ้นกรรแสงและจุมพิตพระศพชนนี พลางรำพรรณเช่นว่า

“อุวะ พระมารดาของลูกนี้ ช่างมีพระหทัยทิ้งลูกไปเสียได้ ที่ไหนเล่าจะเป็นที่อยู่ของลูก ใครเล่าจะเฝ้าตักเตือนพร่ำสอนแก่หม่อมฉัน ด้วยหม่อมฉันนี้ยังเล็กนักยังไม่รู้ภาษา๙๓ โอ้พระมารดา ใครเล่าจะดูแลอนันดานี้ ในวันนี้พระมารดามาพรากจากลูกไป ความร่มเย็นย่อมสูญสิ้นไปเสียแล้ว”

อีกสักครู่หนึ่งก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา ก็สิ้นสมฤดีวิสัญญีอีกจนตลอดวันมิได้ฟื้นคืนองค์

ฝ่ายสังระตู เมื่อฟื้นขึ้นจากวิสัญญีภาพ จึงทรงปกคลุมพระศพประไหมสุหรี ด้วยผ้าแพรเดวังคะ๙๔ และก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา ก็ไม่ยอมปล่อยจากบาทชนนี เฝ้าแต่จูบฝ่าบาทอยู่ร่ำไป ใครเห็นก็รู้สึกใจแทบจะขาด ครั้นล่วงไปอีกครู่หนึ่ง พระราชาจึงดำรัสซักถามนางกำนัลข้าหลวง ฝ่ายนางกำนัลนั้นก็บังคมทูลด้วยความกลัวตัวสั่นขวัญหนีว่า “โอ้ ตวนกู ข้าพระองค์ขอพระราชทานอภัยนับพันๆ อภัย๙๕ ภายใต้ธุลีตวนกู อันข้าพระองค์นี้มิได้ทราบเลยว่าอะไรเป็นสาเหตุให้เกิดเป็นดังนี้ ข้าพระองค์ผู้หินชาติ๙๖นี้มิได้เห็นอะไร นอกจากเห็นองค์ประไหมสุหรีเสวยข้าวหมักเท่านั้น”

ขณะนั้นพระราชาก็ทรงพระพิโรธอย่างสาหัศ ดำรัสสั่งให้เรียกบรรดาพี่เลี้ยงสาวสรรกำนัลในมาพร้อมกัน ข้าหลวงกำนัลทั้งหลายก็มาด้วยความกลัว แล้วก็ถวายบังคมก้มเกล้าลงแทบบาทบงกชศรีษะจรดถึงพื้นดิน จึงพระราชาทรงถือไว้ซึ่งเศษข้าวหมักเหลือประไหมสุหรีเสวยนั้น พลางตรัสด้วยพิโรธว่า “เฮ้ย นางกำนัลนี้หรือเป็นต้นเหตุให้เกิดร้ายแก่ประไหมสุหรีดังนั้น ก็ของเสวยนี้เธอได้มาแต่ไหน”

นางกำนัลทั้งหลายนั้นจึงบังคมทูลด้วยสั่นระรัวไปทั่วอินทรีย์ว่า

“โอ ตวนกู ชาห์ อาลัม๙๗ แท้จริงข้าพระองค์ทั้งมวลนี้เห็นแต่เสวยข้าวหมักเท่านั้น เป็นของถวายมาแต่ท่านลิกู ด้วยเมื่อกี้นั้นมีข้าหลวงท่านลิกูสามคนนำชามฝาทองคำบรรจุข้าวหมักมาถวายองค์ประไหมสุหรี ไม่มีอะไรอื่น ข้าพระองค์ทั้งหลายได้เห็นแต่เพียงเท่านี้”

ครั้นแล้ว สังระตู จึงทรงทิ้งชามข้าวหมักนั้นลงยังพื้นดิน ตรงหน้าสัตว์ต่างๆ มีสุนัข และไก่เป็นต้น สุนัขและไก่ที่กินข้าวหมักนั้นก็ตายลง ณ ที่นั้น แม้แต่แมลงวันและแมลงหวี่ที่กินข้าวหมักก็ไม่มีรอดชีวิตต์เลย ขณะนั้นสังระตูก็พิโรธแรงกล้า ฝ่ายก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา ซึ่งกำลังสลบไลลด้วยกรรแสงร่ำไห้ถึงพระชนนีนั้น พลันก็เข้ากอดพลันก็ปล่อยลงบรรธมเกลือกกลิ้งกับพื้นภูมิพสุธา๙๘ ด้วยความกริ้วโกรธสุดที่จะทนทาน ฝ่ายสังระตูก็ทรงสงสารยิ่งนัก แต่พอจันตะหรา กิระหนาปล่อยพระหัตถหลุดพ้นมา ทันใดนั้นก็ทรงชักพระแสงดาพจากฝัก แล้วก็ดำเนิรไปสู่ที่ท่านลิกู บรรดาคนทั้งหลายเห็นสังระตูชักพระแสงด้วยพิโรธแรงกล้าดังนั้นก็พากันตกใจกลัวอย่างที่สุด ด้วยพระพักตร์นั้นแดงดับวับวาบดังเปลวไฟ พระอากัปกริยาเหมือนดังงูขด พลางตรัสว่า “วันนี้แหละ กูจะเอาชีวิตนางลิกูเสียให้ได้ไม่ให้รอดอยู่ต่อไปอีก กูจะตัดหัวตัดตัวสามท่อนให้หนำใจกูเทียว”

สังระตูบทจรสู่ที่ท่านลิกูนั้น ดูพระกิริยาประดุจพยัคฆชาติอันกำลังจะโจนตะครุบพ่นลมหายใจเป็นกรดพิษฉนั้น

บัดนี้จะกล่าวถึงท่านลิกู เมื่อได้ชานสลาอันศักดิสิทธิและขลังชมัดนั้นจากบัณฑิต๙๙นั้นแล้ว จึงเอาสอดไว้ใต้เขนยที่นางนอน ครั้นแล้วท่านลิกูก็รู้สึกสบายใจ จึงนั่งลงที่หน้าประตูตำหนัก ดูไปทางโนันทางนี้ด้วยบรรดาข้าไทสาวใช้ทั้งหลายก็ไล่ไปเสียก่อนหมดแล้ว โดยสั่งให้ไปเสียจากที่นั้น เหตุฉนั้นในตำหนักท่านลิกูนั้นจึงเงียบสงัด ก็และในรวางที่นางเหลียวซ้ายแลขวาอย่ที่หน้าประตูนั้น นางเธอเหลือบเห็นสังระตูเสด็จมาด้วยอาการรุกรันฉุนเฉียวทั้งชักพระแสงมาด้วย ทันใดนั้นท่านลิกูก็เข้าตำหนักขึ้นนั่งบนเตียงนอน ซึ่งเก็บชานหมากไว้ใต้เขนยนั้น แล้วเธอก็กอดเขนยไว้ พลางเผยออกอุระประเทศอันประดับด้วยคู่หนึ่งซึ่งวาปีกษิรากร ตลอดไปถึงมธุวารีชลาลัย๑๐๐ ฝ่ายพระราชาสังระตูก็เสด็จดำเนิรตามท่านลิกูเข้าไป ครั้นไปถึงเตียงภาพแห่งท่านลีกูนั้นก็ประจักษแก่พระราชา แต่พอสังระตูทอดพระเนตรเห็นดังนั้น พระแสงดาบซึ่งชักออกจากฝักแล้วก็หล่นจากพระหัตถ์ลงยังพื้น พระกมลที่พิโรธนั้นก็เสื่อมคลายอ่อนลง กลับเพิ่มพูลพระสิเนหาอาลัยยิ่งขึ้น กำหนัดเสียวกระศัลย์ก็เกิดขึ้นในพระหทัย พระโทษะจริตก็เปลี่ยนไปเป็นสุขุมลมุนลม่อม พระอารมณ์ที่ฉุนเฉียวก็กลายเป็นอ่อนน่วม พระสุรเสียงที่กระด้างก็กลายเป็นอ่อนหวาน ประดุจเสียงแมลงภู่ตอมบุบผชาติฉนั้น ที่ขุ่นเคืองทั้งปวงก็เหือดหายไปสิ้น ด้วยเหตุที่สังระตูไม่สามารถฝ่าฝืนพิสวาสดิ์ในท่านลิกูได้ จึ่งทรงประโลมสรวมกอดนางและจุมพิตณปรางเบื้องซ้ายเบื้องขวา แลลูบไล้ผมนางพลางตรัสด้วยสุรสำเนียงอันอ่อนหวานลมุนลม่อมว่า “เออ อะดินดาดวงยิหวาของพี่๑๐๑ เวลานี้อะนันดาก้าหลุ อาหยังอยู่ที่ไหนเล่า ตลอดวันนี้ยังมิได้เห็นหน้าเลย๑๐๒ กะกันดานี้คิดถึงเธอนัก แม้ไม่ได้พบเพียงวันเดียวก็รู้สึกเหมือนนานนับเดือน”

ท่านลิกูได้พังพระวาจาลมุนลม่อมอ่อนโยนฉนั้นก็สุขะจิตรบันเทิงใจยิ่งนัก ความที่หนักใจก็โล่งโปร่งไป จึงทูลว่า “อ้า พระราชา กะกันดา ก้าหลุ อาหยังนั้น ชรอยจะกำลังเล่นอยู่กับข้าหลวง”

ณ กาลนั้น สังระตูไม่ทรงรำลึกถึงประไหมสุหรีซึ่งวายชนม์นั้นต่อไปอีกแล้ว ด้วยมาทรงคิดว่าอันบุถุชนมลายชีพแล้วก็ย่อมคงเป็นคนตายอยู่เท่านั้นเอง เหตุเป็นกรรมอันมหาเทวราชเจ้าทรงบันดาล แล้วสังนาตะก็เลยประทับเสวยสุขารมย์๑๐๓ เริงรื่นด้วยท่านลิกูเหนือแท่นที่ไสยานั้น กอร์ปด้วยพระวาจาตรัสคำหวานสัพยอกหยอกเย้าเล้าโลม ดูเหมือนว่าจะไม่ทรงระลึกถึงการที่จะกลับคืนสู่พระราชมณเฑียรอีกต่อไป ส่วนพระศพประไหมสุหรีนั้นก็ยังทอดอยู่บนแท่น คนทั้งหลายยังเฝ้าร่ำพิไรรำพรรณอยู่ และก้าหลุจันตะหรา กิระหนาก็ยังกอดจูบพระศพนั้นอยู่เรื่อยไป.

ฝ่ายสังนาตะ ครั้นเล้าโลมเสวยรมย์อยู่ด้วยกับท่านลิกู อิ่มหนำสำราญแล้วจึ่งเพิ่งจะทรงระลึกขึ้นได้ในอันจะเสด็จกลับคืนสู่พระราชมณเฑียร แล้วจึงให้ชุมนุมรี้พลลกลไกร และให้นำเอาอาวุธออกด้วยจะแห่เชิญพระศพประไหมสุหรีนั้นไปฝัง ชั้นต้นให้ปั้นพระรูปจำลองไว้ ครั้นเสร็จแล้วก็แห่เชิญพระศพไปฝัง ณ สุสาน แห่นำตามแวดล้อมไปด้วยข้าไทยรี้พลพหลโยธา ซึ่งทุกขะจิตตเศร้ากำสรดโศกาดูลย์ กาลนั้นแสงตวันก็มัวมนประหนึ่งบุถุชนในยามทุกข์ ครั้นไปถึงยังสุสาน จึงลดพระศพลงบรรจุหลุม ทั้งพระรูปที่ปั้นงามวิจิตรนั้นก็ให้ฝังไว้ด้วยกันกับพระศพประไหมสุหรี ทวยพศกนิกรชาวนาครทั้งมวญก็ทุกข์เศร้าสลดใจด้วยสิ้น นกยูงร้องเป็นเสียงยาวยืดเย็นเยือกยังใจคนทั้งหลายที่ได้ยินให้กำศรดโศกาดูลย์ ประหนึ่งดังบุถุชนเฝ้ากำชับแก่ก้าหลุ จันตะหรา กิระหนาว่า “จะรู้รักษาระมัดระวังองค์ให้ดี” ฝนก็ตกปรอยๆ ประหนึ่งบุถุชนสงสารสมเพชกำพร้าซึ่งมารดาละทิ้งไว้ในยามตุนาหงัน พระพายพัดรำเพยเฉื่อยๆ ลักษณดุจบุถุชนพร่ำให้พรแก่กำพร้าเพื่อให้ทรงชีพอยู่โดยสวัสดี สถาพร ฟ้าร้องฟ้าคนองซับซ้อนสนั่นยังใจผู้ที่ได้ยินให้ประหวั่นรันทด ประดุจจะบุถุชนปริเทวะดิ้นพลิกไปพลิกมาบ่นรำพรรณว่า “กระไรเลย ช่างมาทิ้งธิดาไว้องค์เดียว ให้เป็นกำพร้าในยามกำลังตุนาหงัน”

ฝ่ายจันตะหรา กิระหนานั้นเล่า ทุกวันคืน เช้าค่ำเฝ้าแต่พร่ำออกนามชนนีไม่รู้หยุด ใครได้ยินได้ฟังแล้วใจแทบจะขาด ด้วยพระมารดามาสละละทิ้งไปแต่ยังเยาว์และในยามตุนาหงัน มีทุกข์ร้อนเคราะห์กรรมอย่างไร จะได้ใครที่ไหนเล่าเป็นที่ปรึกษาปรับทุกข์ เมื่อเธอคิดถึงเคราะห์ของเธอขึ้นมาทีไรก็มีอาการเหมือนดังบุถุชนที่ไม่อยากจะมีชีวิตรอยู่ต่อไป หรือมิฉนั้นกิเกิดความคิดใคร่จะไปเสียยังบ้านอื่นเมืองอื่น และเดินทางไปที่ใดที่หนึ่งแม้ถึงว่าเป็นที่ซึ่งยังไม่เคยพบเคยเห็นเลย.

ครั้นเสร็จการฝังพระศพประไหมสุหรีนั้นแล้ว บรรดาผู้ที่ทำการบรรจุพระศพและแห่แหนนั้น ต่างก็กลับคืนสู่พระราชฐานหรือกลับคืนยังบ้านเรือนแห่งตนๆ ฝ่ายสังระตูก็ทรงประกอบพระราชกิจจานุกิจต่างๆ ตามชอบควรแก่เวลา

ฝ่ายก้าหลุ จันตะหรา กิระหนานั้น ทุก ๆ วันไปประทับกรรแสงอยู่ ณ ที่ฝังพระศพพระชนนีจนกระทั่งพระกายพระรูปซูบซีดเนตรบวมช้ำ และเกษาซึ่งข้าหลวงเคยหวีถวายทุกวันนั้นก็กลายเป็นยุ่งเหยิงหมดสิ้น เหตุเพราะหทัยทุกข์ร้อน และเจ็บแค้นในการอันทำของท่านลิกูนั้น ครั้งมหาเตหวีทอดพระเนตรเห็นอาการของอะนะกันดา จันตะหรา กิระหนาเป็นดังนั้น ก็มีพระหทัยสมเพชเวทนายิ่งนัก พระนางเธอนี้และเป็นผู้ปลอบโยนอยู่ทุกๆ วัน และคอยชวนเล่นชวนคุย เพื่อให้จันตะหรา กิระหนาคลายทุกขระทมหทัย

ขณะนั้น จึ่งมหาเดหวี ทรงรับเอาเป็นประหนึ่งธิดาขององค์เอง ดังว่าได้ประสูติและได้อุ้มครรภ์มาถ้วนนพมาส มิได้ผิดแผกไปจากนั้นเลย และทรงสิเนหาอาลัยเป็นอันมาก ฝ่ายจันตะหรา กิระหนาเล่าก็เช่นกัน เธอรับนับถือเอาเป็นพระมารดาของเธอเองโดยแท้ แทนที่ชนนีซึ่งล่วงลับไปแล้วนั้น พฤติการณ์เป็นดังพรรณามาฉนี้แล.

ฝ่ายก้าหลุ อาหยัง กับท่านลิกูนั้นเล่า ครั้นสิ้นประไหมสุหริไปแล้ว สองก็สำราญใจ ตำแหน่งฐานะก็ยิ่งสูงขึ้น ไว้ท่าทางก้าวร้าวเห่อเหิมวางตนยิ่งขึ้นไปกว่าประไหมสุหรีเสียอีก ฝ่ายภคินทะ๑๐๔สังระตูก็ทรงสิเนหาอาลัย ในนางนี้ยิ่งกว่ามหาเดหวี ถ้าสังระตูเสด็จไปประทับที่ตำหนักท่านลิกูไซร้ จนคนลืมแล้วนั่นและ จึงจะเสด็จกลับมายังตำหนักมหาเดหวี แต่ถ้าประทับที่ตำหนักมหาเดหวีเพียงสองสามวันเท่านั้น ก็เสด็จคืนไปยังท่านลิกูอีก ดูประหนี่งดังว่าอยู่ที่ตำหนักมหาเดหวีนั้นหาความสุขสำราญมิได้ เหตุฉนั้นท่านลิกูจึงกำเริบยกตนใหญ่ยิ่งขึ้นทุกวัน และก้าหลุ อาหยัง ก็ตระหนักว่าตนเป็นผู้ที่ภคินทะทรงถวิลจินดาสิเนหายิ่งกว่าก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา เดี๋ยวๆ นางก็กรรแสงกลิ้งไปกลิ้งมา ครั้นแล้วข้าไทยทั้งหลายก็ถูกท่านลิกูกริ้วกราดบ้าง ก็ถูกตี ถูกด่า เพราะเหตุ ก้าหลุ อาหยังนั้น ความประพฤติของก้าหลุ อาหยังเป็นดังกล่าวนี้ ถ้าเธอกรรแสงแล้ว หากสังระตูยังไม่ประคับประคองกอดจูบปลอบโยนตราบใด เธอก็ไม่นิ่ง ส่วนพระราชาก็ยิ่งเพิ่มพูลสิเนหาอาลัยในท่านลิกูขึ้นอีก จะปรารถนาสิ่งใดก็ทรงตามใจทุกอย่าง มิได้เคยมีเลยที่จะฝ่าฝืนขัดขืนต่อความประสงค์ของนางนั้น ที่ตำหนักลิกูนั้นผู้คนก็แน่นหนาฝาคั่ง เพราะใครไม่แสดงความเคารพยำเกรงก็ต้องถูกกริ้วกราด จนบรรดาพี่เลี้ยงสาวสรรกำนัลในมีความหวาดกลัวก้าหลุ อาหยังกับท่านลิกูนั้นเป็นกันมาก ฝ่ายจันตะหรา กิระหนา กับมหาเดหวีนั้น นานนักจะได้เฝ้าสังนาตะสักครั้งหนึ่ง มีแต่เมื่อจันตะหรา กิระหนา อยากจะเล่นก็ไปยังตำหนักก้าหลุอาหยังนั่นและ จะได้เฝ้าประสบพักตร์กับพระราชบิดาสักครั้งหนึ่ง การณ์เป็นดังนี้ ด้วยเดชเทวานุภาพบันดาลนั้นแล๑๐๕

บัดนี้จะกล่าวถึงระตูกุรีปั่น เมื่อได้ทรงฟังทราบข่าวกรุงดาหาว่าประไหมสุหรีวายชนม์ไปแล้ว จึ่งประทับรำพึงกับพระชายา ตรัสว่า

“เออ อะดินดา พี่ได้ข่าวมาว่า ระตูดาหาย้ายไปอยู่กับนางลิกู เมียสาวของเธอแล้ว จะเอาอะไรก็ตามใจทุกอย่างๆ จนกระทั่งประไหมสุหรีต้องเสียชีวิตร เพราะเสพย์ยาพิษ อันที่จริงเมื่อเป็นถึงเพียงนี้ ก็สุดที่จะคิดออกว่าเป็นได้ เพราะเหตุผลกลใด”

ขณะที่ตรัสนั้นท้าวเธอก็ถ่มเขฬะ เยี่ยงบุคคลที่มีความเกลียดชังท้าวดาหา นั้นพลางตรัสว่า

“ถ้าในนครของกะกันดานี้ มีหญิงเช่นอย่างนางลิกูนั้นสักคนหนึ่งแล้ว พี่จะฆ่ามันเสียให้จงได้เทียว สงสารก้าหลุ จันตะหรา กิระหนาเสียจริงๆ เหลืออยู่แต่ลำพังตนคนเดียวไร้มารดา ฝ่ายบิดาหรือก็ไปยอมตนอยู่ใต้อำนาจนางลิกูเสียแล้ว”

ในกาลนั้นองค์สังระตู กุรีปั่น ก็ได้ทรงยินซึ่งข่าวเลื่องฦๅนานาเรื่องความประพฤติของนางลิกูนั้นแล้ว

เมื่อท้าวเธอระลึกถึงปกติพฤติการณ์๑๐๖นั้นขึ้นมาครั้งใดก็พิโรธขุ่นเคือง พระ ฉวีวรรณ๑๐๗แห่งดวงพระพักตร์พลันแดงพลันดับสลับกัน๑๐๘ ด้วยทรงสมเพชเวทนา ก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา เป็นอันมาก ซึ่งต้องมาตกเป็นกำพร้า อาจไม่มีใครเอาธุระดูแลพิทักษรักษา ในยามที่ทรงคำนึงดังนั้น จึงเกิดพระดำริขึ้นในพระหทัยองค์ท้าวกุรีปั่นนั้น ว่า

“ถ้าเป็นดังนั้น ก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา จะต้องทุกข์ยากลำบากใจยิ่งนัก ไม่มีใครแต่สักคนเดียวที่จะเป็นผู้เฝ้าปลอบโยนรักษาใจเธอ อย่าเลย เราจะส่งของปลอบใจไปให้เธอ จะให้เขาทำของเล่นสักอย่างหนึ่ง คือตุ๊กตาทองคำ๑๐๙ เพื่อเป็นเครื่องปลอบใจเธอ แล้วจึงดำรัสสั่งให้ทำตุ๊กตาทองประดับด้วยเพชรพลอย ให้เป็นของเล่นของก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา เพื่อใครพบเห็นตุ๊กตานั้นเข้าจะต้องยิ้มสรวลด้วยความยินดี ครั้นถึงเพลาหนึ่ง ระเด่น อินู กะระตะปาตีมาขึ้นเฝ้าสังนาตะ น้อมเศียรถวายบังคมภคินทะ จึ่งท้าวสังระตูประทานตุ๊กตาของเล่นนั้นแก่อินูพลางตรัสว่า “แน่ะ ลูก อันอายะฮันดา๑๑๐นี้ใคร่จะส่งของฝากนี้ไปยังกรุงดาหา และจะสั่งมอบให้มนตรี และข้าราชการนำไป”

ฝ่ายระเด่นอินู ได้ฟังสังนาตะตรัสดังนั้น ก็ขวยเขินสะเทิ้นอายก้มพักตรนิ่งสงบอยู่ ครั้นพระราชาตรัสประพาศดังนั้นแล้ว พนักงานก็เชิญเครื่องมาตั้งแล้วก็เสวยด้วยกัน เสวยแล้วก็ทรงเครื่องหอม แล้วระเด่นอินูก็ถวายบังคมลาฝ่าธุลีสังนาตะกลับคืนสู่วัง อันตั้งอยู่ ณ ตำบลบ้านการังงัน ด้วยใคร่จะประสพพบตรัสกับยะรุเดะและปูนตา ฝ่ายข้าทั้งสองนั้นก็เข้ามาน้อมเกล้าบังคมแทบบาทเจ้านายแห่งตน จึ่งระเด่นอินูตรัสว่า “แน่ะ ยุระเดะ กับปูนตา จงไปเองในทันใดนี้ เพื่อเรียกน้าปาติ๊ห์๑๑๑ และแจ้งให้ทราบว่ามีรับสั่งสังระตูให้เข้าไปเฝ้าฝ่าละอองธุลีพระบาท” ยะรุเดะก็รีบเร่งไปยังบ้านน้าปาติ๊ห์นั้น แล้วปาติ๊ห์ก็เข้าเฝ้าธุลีลอองบาทสังระตูด้วยความเคารพ ฝ่ายผู้ที่ทำตุ๊กตาทองคำนั้นก็คือ ระเด่น อินู นั้นเอง๑๑๒ ด้วยใค๑๑๑๑๔ ปักไหมทองและผูกรัดด้วยแพรสีชมภู๑๑๕ ส่วนห่อตุ๊กตาทองคำนั้นรัดด้วยแถบผ้าดำ องค์สังนาตะก็ทรงสุขจิตต์โสมนัศเป็นอันมาก ครั้นแล้วในกาลวันนั้นเอง จึ่งสังระตูตรัสสั่งให้เสนาจำนวนหนึ่ง มีปาติ้ห์ บูปาติ๑๑๖ มนตรี, นายทหาร และตำมะหงง พร้อมทั้งไพร่พล เชิญของประทานกับทั้งตุ๊กตานั้นไปถวายเจ้ากรุงดาหา เพื่อประทานแก่พระราชธิดาก้าหลุทั้งสองนั้น แล้วคนนั้นก็เชิญแห่ไปด้วยดุริยดนตรี ฆ้องตับ ฆ้องหมุ่ย ฆ้องโข่ง และระนาดทอง เดิรทางไปสู่ทิศนครดาหา เพื่อนำสารสวัสดี๑๑๗ ของกรุงกุรีปั่นไปให้ถึง เขาทั้งหลายนั้นเดิรไปมิได้หยุดยั้ง และมิช้านานก็ไปถึงนอกนครดาหา ชาวบ้านร้านถิ่นทั้งหลายทั้งปงงก็ออกมาดูฟังดุริยดนตรีนั้น บ้างก็วิ่งหนีระส่ำระสายด้วยสงกา สำคัญว่ามีสัตรูมารบพุ่งชิงชัย ฝ่ายผู้ที่ทราบว่าเป็นทูตมาแต่กรุงกุรีปั่นก็เข้าใกล้และเข้าปฏิสันฐารรับรองอย่างเอิกเริก ที่ดูและสดับดนตรีฆ้องตับ ฆ้องหมุ่ย เพลิดเพลินเจริญใจไปก็มี จนกลายเป็นชุมนุมชนแน่นหนาอึกทึกครึกโครม อีกไม่นาน เขาทั้งหลายนั้นก็เข้าไปถึงในเมือง ยับยั้งอยู่นอกพระราชฐาน ทันใดนั้นนายประตูก็รับรองและพาเข้าไปเฝ้าองค์สังระตูดาหา ฝ่ายองค์ท้าวดาหาเล่า ก็ตรัสสั่งให้ต้อนรับด้วยดุริยดนตรีฆ้องกลองประโคมตอบแทน มิได้หยุดหย่อนไพร่พลและข้าราชการกุรีปั่นทั้งปวง ก็น้อมเกล้าถวายบังคมธุลีละอองบาทสังระตูดาหานั้น ก็และในเวลานั้นสังระตูประทับอยู่ ณ ตำหนักท่านลิกู และท่านลิกูกับก้าหลุ อาหยัง กำลังเฝ้าอยู่หน้าที่นั่ง ท่านลิกูและธิดาก็สุขจิตต์โสมนัศเป็นอันมาก มนตรี ข้าราชการ ดะหมัง ตำมะหงงทั้งหลายนั้นก็ทูลสารสวัสดีของพระเจ้ากรุงกุรีปั่น และถวายตุ๊กตาสองตัวนั้นแด่ธุลีสังระตู ฝ่ายสังระตูก็ทรงรับด้วยสุขจิตต์โสมนัศและทราบตระหนักแล้ว ว่าห่อของนั้นบรรจุตุ๊กตา ขณะนั้นจึงสังระตูตรัสแก่ก้าหลุ อาหยังว่า “แนะ ลูกพ่อเลือกเอาตัวหนึ่งสิในจำนวนตุ๊กตาทั้งสองที่ส่งมาจากกรุงกุรีปั่นนั้น เปนเครื่องหมายที่ระลึกถึงระเด่นอินู กะระตะปาตี”

นางลิกูก็ยินดี ฝ่ายก้าหลุ อาหยัง ก็เลือกตุ๊กตาและเลือกเอาตัวที่ห่อดีคือห่อด้วยแพรเทวังคะนั้นแล้วก็หยิบเอา ส่วนตัวที่ห่อผ้าเก่าและเป็นเศษ๑๑๘เดนเลือกอยู่นั้น ก้าหลุ อาหยังยกให้แก่ก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา และให้คนนำไปยังตำหนักก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา ฝ่ายจันตะหรา กิระหนา ครั้นเห็นของเศษเดนเลือกที่ส่งมานั้นก็ก้มพักตร ไม่ตรัสประการใด พลางชลนัยคลอเนตร ด้วยมาระลึกถึงเคราะห์กรรมของเธอเอง “ของนี้เป็นเศษเหลือเดนเลือกแล้ว เขาจึงส่งมานี่ ผ้าห่อหรือก็เก่าคร่ำคร่า สายผูกก็สีดำ” มหาเดหวีก็ทรงสมเพชเวทนาในอันเห็นธิดาจันตะหรากิระหนาดังนั้นแล้วตรัสว่า “เธอจงรับเอาของนั้นเถิด แม้บกพร่อง อย่าผลักไสไปเสียเลย”

แล้วมหาเดหวีก็ตรัสปลอบโยนก้าหลุ จันตะหรา กิระหนาด้วยปิยะวาจาอันอ่อนหวานนุ่มนวล

วาจาของมหาเดหวีนั้นเป็นประดุจกับคำชองชนนีของเธอเอง และด้วยเหตุที่เธอมีความยำเกรงกลัวผู้ใหญ่ยิ่งนัก และได้ฟังคำมหาเดหวีเช่นนั้น เธอก็ปฏิบัติตามโดยดุษณีภาพ ด้วยเข้าแทนที่เสมอด้วยชนนีของเธอเองแล้ว จึงแก้ห่อของนั้นเปิดออก พลันเห็นในห่ออย่างเลวทรามและคร่ำคร่านั้น ซึ่งของสิ่งหนึ่ง อันเป็นของสูงคือตุ๊กตาทองคำตาฝังเพชร์มีรูปร่างงามยิ่งนัก แต่พอมหาเดหวีทอดพระเนตรเห็นตุ๊กตานั้น ก็ทรงยิ้มแล้วทรงสรวล เพราะว่าตุ๊กตานั้นรูปร่างเหมือนมนุษย์ จึงจินตนาตรัสในหทัยว่า “ผู้ที่ทำตุ๊กตานี้มีความฉลาดสามารถจริงๆ”

ฝ่ายก้าหลุ อาหยัง ก็แก้ห่อของที่ส่งมาแต่กรุงกุรีปั่นนั้น นางเธอปลื้มเปรมยินดีตบหัตถ์โลดเต้นไปมาด้วยความร่าเริง เพราะเห็นของนั้นห่อด้วยผ้าอย่างดีทอด้วยไหมเทวังคะ แล้วก็เปิดห่อ เห็นตุ๊กตาทำด้วยเงินหนึ่งตัว ตาฝังแก้ว หาทราบไม่ว่าก้าหลุ จันตะหรา ซึ่งได้จับเศษเดนเลือกนั้น ได้ตุ๊กตาทำด้วยทองคำอย่างสุกใสแวววาว ถ้าแม้เธอได้ทราบความนี้ แน่เทียว ก็คงไม่โสมนัศร่าเริงบันเทิงใจเห็นปานนั้น

ในกาลดังกล่าวนี้ ฝ่ายท้าวดาหาก็ทรงรับรองทูตกุรีปั่น โปรดให้เลี้ยงอาหารของดื่มสนุกสนาน ครั้นทูตบริโภคอาหารและผลไม้ต่างๆ และใช้เครื่องหอมลูบทาเสร็จแล้ว พลางประโคมดุริยดนตรีอึกทึกกึกก้อง องค์สังระตูก็ทรงสุขจิตต์โสมนัศเป็นอันมาก ต่อนั้นไป ทูตกุรีปั่นอยู่ในกรุงดาหาด้วยความสนุกสนานไม่ขาดสาย ตกมาวันหนึ่งเขาเหล่านั้นก็ทูลลากลับ ขณะนั้นก้าหลุ อาหยัง ก็ประทานของกินแก่ทูตเพื่อบริโภคกลางทาง และพระราชาก็พระราชทานพระราชานุเคราะห์ด้วยเสื้อผ้าอย่างงาม ๆ

ก้าหลุ อาหยังมีของฝากไปถวายแด่กะกันดา อินู กะระตะปาตี ท่านลิกูก็เช่นกัน และนอกจากของฝาก ยังสั่งเสียต่างๆไปกับทูตนั้นด้วย ครั้นสำเร็จสิ้นแล้ว จึงบรรดามนตรี เสนาข้าราชการ ดะหมัง และตำมะหงง นั้นๆ น้อมเกล้าอัญชุลีธุลีลอองบาทองค์สังระตู ออกจากพระราชฐานเดิรออกนอกเมืองมุ่งไปยังนครกุรีปั่น พนักงานดุริยดนตรีก็กระทั่งเสียงประโคมไปตลอดทางมิได้หยุดยั้ง

เดิรทางมาอย่างเร็วเช่นนั้น พลันก็ถึงนครกุรีปั่นโดยไม่เนิ่นช้า เข้าเฝ้าธุลีองค์สังระตูกุรีปั่นด้วยความเคารพ ถวายบังคมทูลแถลงซึ่งสารสวัสดี และบังคมของท้าวดาหา ดังเช่นได้กล่าวมาแล้วนั้น ภคินทะสังระตูก็ทรงสุขจิตต์โสมนัศยิ่งนัก ในอันได้ทรงสดับข่าวดีทั้งสิ้นนั้น ทั้งนี้ด้วยเดชเทวานุภาพบันดาลนั้นแล

ฝ่ายก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา เมื่อได้รับตุ๊กตาทองจากคู่ตุนาหงันนั้นแล้ว ก็ค่อยคลายทุกข์ในทหัยของนางในเหตุที่ตกเป็นกำพร้านั้นทุกๆ วัน เธอเล่นสพาย ตุ๊กตาทองคำนั้นอุ้มชู โดยใช้สใบของพระมารตา บัดเดี๋ยวก็ร่อนกล่อมตุ๊กตานั้นด้วยร้องขับ๑๑๙ เป็นเพลงว่า

       “ลูกแม่คือแสงนัยนา๑๒๐
       นานแล้วแม่นี้โศกจาบัลย์
       เช้าค่ำเมามัวถวิลจินดา
       เฉกเมฆปกคลุมดวงบุหลัน
       นาสิกกลบิดานั้น
       พ่อดีลูกนี้รูปงามครัน
       เยี่ยงแม่ใจบุญสุนทร์ธรรม์
       รู้ประพฤติหลักแหลมเลอสรร
       เยี่ยงชนกผู้เลิศเผ่าพันธุ์
       ไข้เจ็บอย่าได้มาโรมรัน
       แม่กำพร้าได้มิตรติดพัน
       ได้บุตรนี้มีคุณอนันต์
       เหมือนโอสถตวงถ้วยนับพัน
       บ่มีอื่นใดสู้สำคัญ
       แม้ย่อมรูปเยี่ยมเทียมทัน
       ยังใจแม่หายประหวั่น”

-----------------------------------



๙๑ หมายความว่าตากอากาศ
๙๒ ต้นฉบับใช้คำ “ชีวะ” คำนี้เป็น “ยิหวา” ใน พ.ร.น. อิเหนา เช่น ดวงยิหวา เหตุที่กลายไปเพราะ ช นั้นออกเสียงเหมือน J อังกฤษ ซึ่งไม่มีในภาษาไทย
๙๓ ต้นฉบับใช้คำ “บะฮาซา” ในที่นี้หมายความว่ายังไม่รู้ผิดรู้ชอบ
๙๔ ว่าเป็นแพรทอด้วยไหมเทศชนิดหนึ่ง
๙๕ รงกับสำนวนไทยว่า “ขอประทานโทษร้อยโปรดพันโปรด”
๙๖ ต้นฉะบับใช้คำ “หิมะ” เป็นสำนวนเคารพยิ่ง
๙๗ “ชาห์ อาลัม” ภาษาอาหรับแปลว่าผู้ผ่านพิภพ หรือเจ้าโลก
๙๘ ต้นฉบับใช้คำ “บูมิ”
๙๙ ต้นฉบับใช้คำ “ปันเดตา”
๑๐๐ ๑๐๐. ตอนนี้ผู้แต่งประสงค์กล่าวความหยาบโลนตลกคนอง แต่ปกคลุมเสียด้วยถ้อยคำอันไพเราะเข้าทำนองบทอัศจรรย์ของไทยเรา
๑๐๑ ต้นฉบับว่า “ชีวะ กะกันดา”
๑๐๒ ต้นฉบับว่า “รูปะ”จะแปลว่ารูปก็ขัดสำนวนไทย
๑๐๓ ต้นฉบับใช้คำ “บรสุกา-สุกาอัน”
๑๐๔ คำมะลายูว่า บะคินดะ แปลว่าเจ้าแผ่นดิน มาแต่สันสกฤต ภคว่า MAJESTY ส่วนอินทะว่า CHIEF แต่คำอินดะข้างท้ายอาจเป็นสำนวนยกย่องต่อท้ายคำตามระเบียบภาษามะลายูเท่านั้นก็ได้ เช่น อะดินดา = อาดิ. อินดา แปลว่าพระน้อง กากันดา = กากะ + อันดา = พระพี่ อายันดา = อายะห์ + อันดา = พระบิดา อานะกันดา = อานัก + อันดา = พระโอรส เป็นต้น
๑๐๕ ความตอนนี้ ต้นฉบับใช้สำนวนและคำภาษาอาหรับว่า “วะอัลลาฮูอาลัม บิสซาวับ” แปลโดยอรรถว่าการณเป็นดังนี้ เทพเจ้าเท่านั้น หากทรงทราบได้ ไม่เป็นสำนวนไทย จึงได้แปลแปลงไปเสียบ้าง
๑๐๖ ต้นฉบับใช้คำ “บูติ ปกรตี” คือ ปกติพุฒิ
๑๐๗ ต้นฉบับใช้คำ “วระนะ” คือ วรรณ
๑๐๘ สำนวนมะลายูในที่นี้แปลตามพยัญชนะว่า “แดงดับ” หมายความว่าเปลี่ยนสีวับวาบประดุจแสงเพลิงบัดเดี๋ยวก็โพลงขึ้น บัดเดี๋ญวก็อ่อนลง
๑๐๙ ต้นฉบับใช้คำ “กันจานะ” คือ กาญจน
๑๑๐ อายะห์ ว่าบิดา อายะฮันตา หรือ อายันดา ว่า พระบิดา
๑๑๑ ตำแหน่งขุนนางผู้ใหญ่ คำนี้มาจาก ปติ. บดี. ใน พ.ร.น. อิเพนาว่าปาเต้ะ ที่ระเด่นอินูเรียกน้านั้นเป็นการยกย่อง
๑๑๒ ต้นฉบับตอนนี้กับตอนก่อนออกจะขัดกัน ชักฉงน ตอนก่อน ตุ๊กตาทำเสร็จแล้วท้าวกุรีปั่นยื่นประทานแก่อินู ตอนนี้ว่าอินูเปนผู้ทำตุ๊กตานั้นเอง อาจหมายความว่า อินูเข้าแย่งช่างทำโดยท้าวกุรีปั่นมิทรงทราบ หรือมิฉะนั้นอินูรับตุ๊กตาจากท้าวกุรีปั่นมาแล้ว ไม่ส่งตัวนั้น กลับมาทำขึ้นใหม่ ความไม่ชัดว่าอย่างไรแน่
๑๑๓ ต้นฉบับใช้คำ “มานุสิยะ”
๑๑๔ แพรเทวังคะ นั้นว่าทอด้วยไหมเทศมาแต่อินเดีย
๑๑๕ ต้นฉบับว่า “เมระห์ ชัมบู” แปลโดยพยัญชนะว่า แดงชมภู่ คำไทย สีชมภู ที่ถูกบางทีจะควรเปนสีชมภู่
๑๑๖ บูปาติ คือ ภูบดี สมัยปัตยุบันนี้เป็นตำแหน่งเจ้าเมือง
๑๑๗ ต้นฉบับใช้คำ “ชาลาม ตาลิม” ภาษาอาหรับ แปลว่า คำนับอวยพร
๑๑๘ ต้นฉบับใช้คำ “ซีสะ” คือ คำเศษนั้นเอง
๑๑๙ ชาวชวาอุ้มเด็กใช้ผ้าสใบห่อใหเด็กนั่ง แล้วสพายเฉียงไหล่ข้างหนึ่ง
๑๒๐ บาทกลอนมะลายูตามต้นฉบับเป็นดังนี้ คือ ไม่มีบังคับครุละหุ ไม่มีบังคับจำนวนพยางค์ มีแต่สัมผัสท้ายวรรคเป็นชุดสี่เว้นแต่บทต้นทิ้งสัมผัสเปนคู่สลับ ในการแปลได้รจนาตามไปดังบทกลอนในต้นฉบับนั้น โดยรักษาความให้ตรงกัน และสัมผัสทิ้งก็ตรงกัน ตัวอย่างเช่นบทแรก ว่า “ยะ อานักกู จะฮายะมาตา ลามาละห์ บุนดา มะนังคุง ราวัน เ

 80 
 เมื่อ: 20 มิถุนายน 2567 15:30:27 
เริ่มโดย สุขใจ ข่าวสด - กระทู้ล่าสุด โดย สุขใจ ข่าวสด
แถลงแล้ว! คืนเก้าอี้ ผบ.ตร. "บิ๊กต่อ" - "บิ๊กโจ๊ก" ยังไม่ออกราชการ รอดูคดี ไม่รู้เอกสารหลุด
         


แถลงแล้ว! คืนเก้าอี้ ผบ.ตร. "บิ๊กต่อ" - "บิ๊กโจ๊ก" ยังไม่ออกราชการ รอดูคดี ไม่รู้เอกสารหลุด" width="100" height="100  “วิษณุ” แถลงผลสอบ 2 บิ๊กตำรวจ คืนเก้าอี้ ผบ.ตร. "บิ๊กต่อ" ขณะ "บิ๊กโจ๊ก" ยังไม่ออกราชการ รอดูคดี ไม่รู้เอกสารหลุด ย้ำคำสั่งมีผลเมื่อนายกฯลงนาม


         

https://www.sanook.com/news/9451106/
         

หน้า:  1 ... 6 7 [8] 9 10
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.18 วินาที กับ 24 คำสั่ง