.พระร่วงโรจนฤทธิ์ ศรีอินทราทิตย์ ธรรโมภาส มหาวชิราวุธราช ปูชนียบพิตร
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) ทรงอัญเชิญมาประดิษฐานไว้
ณ พระวิหารด้านทิศเหนือ องค์พระปฐมเจดีย์
รัชกาลที่ ๖ มีพระราชประสงค์ให้สร้างพระร่วงโรจนฤทธิ์ มีพระอุทรพลุ้ยออกมา
เนื่องด้วยพระองค์มีพระวรกายค่อนข้างจะทรงพระเจริญ (ภาษาสามัญว่า อ้วน)
พระพุทธรูปองค์นี้จึงมีพุทธลักษณะพิเศษแตกต่างจากที่เคยพบเห็นโดยทั่วไป
และกล่าวกันว่าช่างต้องแก้ไขในส่วนพระอุทรกันหลายครั้งทีเดียว จึงเป็นที่พอพระราชหฤทัย
พระร่วงโรจนฤทธิ์
ในขณะที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระยุพราช เสด็จประพาสหัวเมืองฝ่ายเหนือในปี พ.ศ. ๒๔๕๒ ได้ทอดพระเนตรพระพุทธรูปโบราณเป็นอันมาก แต่มีพระพุทธรูปองค์หนึ่ง จมในพื้นวิหารวัดโบราณในเมืองศรีสัชนาลัย (สุโขทัย) กอปรด้วยพระลักษณะงดงามเป็นที่ต้องพระราชหฤทัย แต่ชำรุดมาก เหลืออยู่แต่พระเศียร พระหัตถ์ และพระบาทที่ยังดีไม่ชำรุด จึงโปรดให้เชิญลงมากรุงเทพฯ ครั้งเสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ จึงโปรดให้สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ทำรูปหุ่นขี้ผึ้ง ปฏิสังขรณ์ปั้นให้บริบูรณ์เต็มองค์
ตั้งการพระราชพิธีเททองหล่อที่วัดพระเชตุพนฯ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๖ เป็นพระยืนปางห้ามญาติ ศิลปะสุโขทัย หล่อด้วยทองเหลืองหนัก ๑๐๐ หาบ สูงจากพระบาทถึงพระเกศา ๑๒ ศอก ๔ นิ้ว ประทับยืนบนฐานโลหะทองเหลืองลายบัวคว่ำบัวหงาย ทำวงพระพักตร์ตามยาว พระหนุเสี้ยม นิ้วพระหัตถ์ พระบาทไม่เสมอกัน ห้อยพระหัตถ์ซ้ายลงข้างพระวรกาย แบฝ่าพระหัตถ์ขวายกตั้งขึ้น ยื่นไปข้างหน้า มีพระอุทรพลุ้ย
ครั้นแล้วเสร็จอัญเชิญประดิษฐานไว้ที่ซุ้มวิหารทิศตรงบันไดใหญ่เมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๔๕๘ ทรงถวายพระนามว่า “พระร่วงโรจนฤทธิ์ ศรีอินทราทิตย์ธรรโมภาส มหาวชิราวุธราชปูชนียบพิตร” ตามประกาศกระแสพระบรมราชโองการ ลงวันที่ ๑๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๖๖ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าในพระราชพินัยกรรม ให้บรรจุพระอังคารของพระองค์ท่านไว้ในใต้ฐานพระนี้ด้วยพระพุทธนรเชษฐ์ เศวตอัศมมัยมุนี ศรีทวารวดีปูชนียบพิตร
วัดปฐมเจดีย์ กรมศิลปากรอัญเชิญมาประดิษฐานไว้
ณ มณฑลลานชั้นลด ด้านทิศใต้ องค์พระปฐมเจดีย์
พระพุทธนรเชษฐ์ ประดิษฐาน ณ ลานชั้นลด (กะเปาะ) ด้านทิศใต้ขององค์พระปฐมเจดีย์ สร้างในสมัยทวารดี (พ.ศ. ๑๑๐๐-๑๖๐๐) ชาวบ้านเรียกว่า พระขาว หรือหลวงพ่อขาว มีลักษณะและขนาดเช่นเดียวกันกับองค์ที่ประดิษฐานในพระอุโบสถ
เดิมอยู่ที่โบราณสถานวัดทุ่งพระเมรุ นครปฐม ห่างจากองค์พระปฐมเจดีย์ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณสองกิโลเมตร เป็นองค์หนึ่งในจำนวนพระพุทธรูปศิลาขาว ๔ องค์ ซึ่งนายธนิต อยู่โพธิ์ อดีตอธิบดีกรมศิลปากรกล่าวไว้ในหนังสือ “พระพุทธรูปศิลาขาว สมัยทวารวดี” ว่า พระพุทธรูปศิลาเนื้อหินขาว ๔ องค์ ซึ่งเคยประดิษฐานอยู่ ณ วัดพระเมรุจังหวัดนครปฐมนั้น ในสมัยอยุธยาตอนต้น ราวรัชกาลสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ หรือรัชกาลสมเด็จพระราเมศวรได้ขนย้ายกันมาประดิษฐานไว้ในวัดพระยากง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เกือบครบ ๓ องค์ คงทิ้งไว้ที่เดิม ๑ องค์ กับชิ้นส่วนบางท่อน ต่อมาในรัชกาลที่ ๔ ได้นำองค์ที่คงอยู่ ณ ที่เดิมนั้นไปประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถวัดพระปฐมเจดีย์ กับในรัชกาลที่ ๕ ได้นำชิ้นส่วนที่เหลือไปจัดตั้งไว้ ณ ระเบียงพระปฐมเจดีย์ ส่วนที่นำไปไว้ในวัดพระยากงนั้น ต่อมาราว ๒๐ ปีมานี้ ได้มีผู้ศรัทธานำบางส่วนมาประกอบเป็นองค์ไว้ที่วัดขุนพรหม ส่วนที่ยังคงอยู่ที่วัดพระยากงก็มีคนใจร้ายทุบทำลายพระเศียร ๒ พระเศียร ให้แตกแยกจากกันเพื่อสะดวกแก่การขนย้าย แล้วนำมาขายไว้ ณ ร้านค้าของเก่าในเวิ้งนครเกษม และกรมศิลปากรได้นำมาคืนประกอบเข้า แล้วนำไปจัดตั้งแสดงอยู่ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ต่อมาด้วยความร่วมมือของผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา กรมศิลปากรได้นำพระพุทธรูปองค์ที่วัดขุนพรหม กับชิ้นส่วนจากวัดพระยากง มาประกอบเต็มองค์โดยถูกส่วนสัดได้ ๓ องค์ จัดตั้งแสดงไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา องค์หนึ่ง ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร หนึ่งองค์ และอีกองค์หนึ่งถวายพระนามว่า “พระพุทธนรเชษฐ์เศวตอัศมมัยมุนี ศรีทวารวดีปูชนียบพิตร” ซึ่งได้นำมาประดิษฐานไว้เป็นที่สักการะบูชา ณ ลานชั้นลดด้านทิศใต้ขององค์พระปฐมเจดีย์ เมื่อรวมองค์ที่ประดิษฐานอยู่แล้วในพระอุโบสถวัดพระปฐมเจดีย์ด้วยกันก็เป็นครบสี่องค์พระบรมฉายาทิสลักษ์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ประดิษฐานที่ผนังพระวิหารหลวง วัดพระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม
พระอังคารพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว,
พระอัฐสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี พระราชธิดา
และ พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี
ประดิษฐานไว้ในฐานพระร่วงโรจนฤทธิ์