สุภูติ......เรายังระลึกได้ว่าเมื่อ 500 ชาติก่อนเราได้บำเพ็ญขันติบารมีแม้ตอนนั้นเราก็มีอิสระแล้วจากความเห็นแปลกแยกจากอัตตาตัวตน
สุภูติ ดังนั้นโพธิสัตว์ทั้งหลายจึงควรอยู่นอกเหนือความแปลกแยกแตกต่างแห่งปรากฏการณ์ทั้งปวง และจะตื่นแจ้งเสมอต่อ วิมุติภาวะอันสูงสุดโโยไม่ปล่อยใจไหลไปตามการกระทบของ รูป - เสียง - กลิ่น - รส สัมผัสและธรรมมารมณ์ใด ๆ จิตควรอิสระจาจากการปรุงแต่งทั้งปวง ถ้าจิตยังพึ่งพิงสิ่งใดอยู่มันไม่มีทางที่จะพบกับความสุขที่แท้จริงได้นี้เป็นเหตุว่าทำไมพระพุทธเจ้าจึงสอนว่า จิตของโพิธิสัตว์ไม่ควรยึดติดในรูปลักษณะและปรากฏการต่าง ๆ เมื่อบำเพ็ญทานบารมี สุภูติ.....เมื่อโพิธิสัตว์บำเพ็ญทานบารมีเพื่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย เขาควรยึดถือหลักดังเช่นตถาคตได้แสดงไว้ว่า รูปลักษณ์ทั้งหลายหาใช่รูปลักษณ์ที่แท้จริงไม่ เฉกเช่นสรรพสัตว์ทั้งหลายความจริงก็หาใช่สรรพสัตว์ทั้งหลายไม่เช่นกัน สุภูติ ตถาคตคือบุคคลที่แสดงให้เห็นว่าสิ่งใดถุกสิ่งใดเป็นหลักการที่แท้จริง - สิ่งใดเป็นเลิศ ตถาคตจะไม่แสดงสิ่งที่หลอกลวงสิ่งที่ผิดจากธรรมชาิติ สุภูติ มันเป็นความจริงที่ว่าสิ่งที่ตถาคตบรรลุก็หาใช่สิ่งที่มีอยู่จริงหรือสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงไม่ สุภูติ.....ถ้าโพธิสัตว์บำเพ็ญทานด้วยจิตที่ยังคงยึดติดอยู่ในสิ่งที่ได้กล่าวมานั้น เขาก็เปรียบเสมือนบุคคลที่น่าสงสารกำลังคลำทางอยู่ในที่มืดมิด แต่สำหรับโพิธิสัตว์ผู้บำเพ็ญทานด้วยจิตที่ไม่ยึดมั่นถือมั่น นั่นเปรียบเสมือนคนตาดีที่ลืมตาต่อแสงสว่างในยามเช้าซึ่งจะสามารถมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างแจ่มชัด สุภูติ ถ้ากุลบุตร - กุลธิาในอนาคตจะท่องบ่นอ่านทบทวนพระสูตรนี้ทั้งหมดแล้ว ตถาคตย่อมหยั่งรู้ในพวกเขาด้วยญาณทัศนะ แล้วพวกเขาแต่คนล้วนจะได้รับกุศลผลบุญอันหาประมาณมิได้........................คัดลอกจากหนังสือ วัชรเฉทิกปรัชญาปรามิตาสูตร เรียบเรียงโดย ชยธมฺโม ภิกขุ..........
.........................จบ วัชรเฉทิกปัชญาปรามิตตาสูตรตอนที่ 5...........................
................ตอนที่ 3 และ 4 อยู่นี่..................
http://www.sookjai.com/index.php?topic=817.0http://www.sookjai.com/index.php?topic=1036.msg3258#msg3258