[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
22 ธันวาคม 2567 20:35:00 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: the life will beautiful the social will good  (อ่าน 6128 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
sometime
บุคคลทั่วไป
« เมื่อ: 24 มีนาคม 2553 13:43:04 »

http://img408.imageshack.us/img408/9523/imge0007.jpg
the life will beautiful the social will good

<table class="maeva" cellpadding="0" cellspacing="0" border="0" style="width: 800px" id="sae1"> <tr><td style="width: 800px; height: 576px" colspan="2" id="saeva1"><script type="text/javascript"><!-- // --><![CDATA[ var oldLoad = window.onload; window.onload = function() { if (typeof(oldLoad) == "function") oldLoad(); if (typeof(aevacopy) == "function") aevacopy(); } // ]]></script><embed type="application/x-mplayer2" src="http://www.fungdham.com/download/song/allhits/23.wma" width="800px" height="576px" wmode="transparent" quality="high" allowFullScreen="true" allowScriptAccess="never" ShowControls="True" autostart="false" autoplay="false" /></td></tr> <tr><td class="aeva_t"><a href="http://www.fungdham.com/download/song/allhits/23.wma" target="_blank" class="aeva_link bbc_link new_win">http://www.fungdham.com/download/song/allhits/23.wma</a></td><td class="aeva_q" id="aqc1"></td></tr></table>


.....................................อาหารของดวงใจ..............................



ความอิ่มเอิบ ด้วยอารมณ์ ทางรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส นั้น เป็นอาหารของฝ่ายโลก ความอิ่มเอิบด้วยปีติและปราโมช อันเกิดจาก
ความที่ใจสงบจากอารมณ์ เป็นอาหารของฝ่ายธรรมอุดมคติของชีวิต คือ ความถึงที่สุด แห่งอารยธรรม ทั้งฝ่ายโลก และฝ่ายธรรม เพราะฉะนั้น
ชีวิตย่อมต้องการอาหาร ทั้งฝ่ายโลกและฝ่ายธรรมถ้ามีเพียงอย่างเดียว ชีวิตนั้น ก็มีความเป็นมนุษย์เพียงครึ่งเดียวหรือซีกเดียว
เราหาความสำราญ ให้แก่กายของเรา ได้ไม่สู้ยากนักแต่การหาความสำราญให้แก่ใจ นั้นยากเหลือเกินความสำราญกายเห็นได้ง่ายรู้จักง่ายตรงกันข้ามกับ ความสำราญทางใจ แต่ไม่มีใครเชื่อเช่นนี้กี่คนนักเพราะเขาเชื่อว่าไม่มีความสำราญอย่างอื่นที่ไหนอีกนอกจากความสำราญทางกายและเมื่อ กายสำราญแล้วใจก็สำราญเอง คนพวกนี้ไม่ฟังธรรมหรือ ศึกษาธรรม และ ไม่ไหว้พระสงฆ์ซึ่งเป็น นิมิต อันหนึ่งของธรรม
ความสำราญทางกาย หรือฝ่ายโลกนั้น ต้อง ดื่ม หรือ ต้อง กิน อยู่เสมอ จึงจะสำราญ แต่ที่แท้ มันเป็นเพียงการระงับหรือกลบเกลื่อนความหิวไว้ทุกชั่วคราวที่หิวเท่านั้นส่วนความสำราญฝ่ายใจ หรือ ฝ่ายธรรมนั้น ไม่ต้องดื่ม ไม่ต้องกิน ก็สำราญอยู่เองเพราะมันไม่มีความหิว ไม่ต้องดื่มกิน เพื่อแก้หิว ที่กล่าวนี้ ผู้ที่นิยม ความสำราญทางกาย อย่างเดียว อาจฟังไม่เข้าใจก็ได้ แต่อย่าเพ่อ เบื่อหน่าย ขอให้ทนอ่าน สืบไปอีกหน่อย


http://docs.google.com/Doc?docid=0AX1y5QwvS7WaZGR6YmZucjhfMGZzcnBjY2R0&hl=en

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24 มีนาคม 2553 16:35:11 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #1 เมื่อ: 24 มีนาคม 2553 14:06:10 »

http://img408.imageshack.us/img408/9523/imge0007.jpg
the life will beautiful the social will good


พวกที่นิยม ความสำราญกาย ในทางโลก กล่าวว่า ใจอยู่ในกาย แต่พวกนิยม ความสำราญใจ ในทางธรรม กล่าวว่า กายอยู่ในใจ พวกแรก รู้จักโลก เพียงซีกเดียว พวกหลัง อยู่ในโลกนานพอ จนรู้จักโลกดี ทั้งสองซีกแล้ว ขณะเมื่อ พวกที่ชอบสำราญกาย กำลังปรนเปรอ ให้เหยื่อแก่ความหิว ของเขา อย่างเต็มที่นั้น พวกที่ชอบสำราญใจ กำลังเอาชนะ ความหิว ของเขาได้ ด้วยการบังคับ อินทรีย์ จนมันดับสนิท สงบอยู่ภายใต้อำนาจ ของเขาเอง พวกแรก เข้าใจเอา คุณภาพ ของการให้ สิ่งสนองความอยาก แก่ความหิว ของเขาว่า เป็นความสำราญ พวกหลัง เอาคุณภาพของ การที่ยิ่งไม่ต้องให้ สิ่งสนอง ความอยาก เท่าใดยิ่งดี ว่าเป็นความสำราญ พวกหนึ่ง ยิ่งแพ้ตัณหา มากเท่าใดยิ่งดี อีกพวกหนึ่ง ยิ่งชนะมาก เท่าใด ยิ่งดี !
พวกที่ชอบสำราญกาย ย่อมจะ แพ้ตัณหา อยู่เองแล้ว โดยไม่รู้สึกตัว ทำเอง และ ชักชวน ลูกหลาน ให้หา ความสำราญกาย อย่างเดียว เพราะไม่รู้จักสิ่งอื่น นอกจากนั้น ครั้นได้ เครื่องสำราญกายมา ใจก็ไม่สงบสุข เพราะ มันยังอยาก ของแปลก ของใหม่ อยู่เสมอไป ได้เพียงความสำราญ ชั่วแล่น เหมือนกินข้าว มื้อหนึ่ง ก็สงบหิว ไปได้ชั่วมื้อหนึ่ง เมื่อความหม่นหมองใจ เกิดขึ้น ก็คิดเอาว่า ตนเป็นคนมีกรรม หรือ โชคร้าย ไม่เหมือนคนอื่นเขา เมื่อต้องเจ็บป่วย ตามธรรมดา ของสังขาร ก็น้อยใจ โชคของตัว อย่างหาที่เปรียบมิได้ ยิ่งเมื่อแสวงหาโชค โดยทางใด ก็ไม่ได้เสียเลยแล้ว ก็เลยเห็นไปว่า ในโลกนี้ ไม่มี ความยุติธรรม มีแต่ความดุร้าย คนชนิดนี้ ในที่สุด ก็มอบตัว ให้แก่ ธรรมชาติฝ่ายต่ำ ประกอบกรรม ชนิดที่โลก ไม่พึงปรารถนา ต่อสู้ สิ่งที่เรียกว่า โชคชะตาไป แม้อย่างดีที่สุด คนพวกนี้ จะทำได้ ก็เพียง แต่ เป็นผู้ทน ระทมทุกข์ อยู่ด้วย การแช่งด่า โชคชะตา ของตัวเอง เท่านั้น ในสโมสร หรือสมาคม ของพวกที่แสวง ความสำราญทางกาย ซึ่งกำลังร่าเริง กันอยู่นั้น พวกเทพยดา ย่อมรู้ดีว่า เป็นการเล่นละคร ย้อมสีหน้า ก็มี หลงทำไป ทั้งที่ตัวเอง หลอกตัวเอง ให้เห็นว่า เก๋ ว่าสุข ก็มาก บางคนต้องร้องไห้ และหัวเราะ สลับกันทุก ๆ วัน วันละ หลายครั้ง จิตใจฟูขึ้น แล้วเหี่ยวห่อลง ขึ้น ๆ ลง ๆ ตามที่กระเป๋าพองขึ้น หรือยุบลง หรือ ตามแต่ จะได้เหยื่อ ที่ถูกปาก และไม่ถูกปาก ถูก - ใจ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24 มีนาคม 2553 15:13:10 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #2 เมื่อ: 24 มีนาคม 2553 14:08:24 »

http://img408.imageshack.us/img408/9523/imge0007.jpg
the life will beautiful the social will good


ของพวกนี้ยังเหลืออยู่นิดเดียวเสมอเท่าที่เขารู้สึกจึงทำให้ ขาเข้าใจว่า ใจอยู่ในกาย คือ แล้วแต่กาย หรือ สำคัญอยู่ที่กายเพราะต้องต่อเมื่อ เขาได้รับ ความสำราญกาย เต็มที่แล้ว ต่างหาก ใจของพวกเขา จึงเป็น อย่างที่เขาเรียกว่า สุข แม้คนพวกนี้จะพูดว่า ความสำราญใจ ! ความสำราญใจ ! ! อยู่บ้าง ก็เป็นเพียง การหลงเอา ความสำราญฝ่ายกาย ขึ้นมาแทน เท่านั้น จะสำราญใจ ได้อย่างไร ในเมื่อใจ ถูกทำให้พองขึ้น ยุบลง เสมอ ความพองขึ้น หรือยุบลง ก็ตาม ย่อมเป็นสิ่งทรมานใจ ให้เหน็ดเหนื่อย เท่ากัน เพียงแต่เป็น รูปร่างที่ต่างกัน เท่านั้น ลาภ ยศ สรรเสริญ และความเพลิดเพลิน ทำให้พองเบ่ง เสื่อมลาภ เสื่อมยศ ถูกสบประมาท และหาความ เพลิดเพลิน มิได้ ทำให้ยุบเหี่ยว แต่ทั้งสองอย่าง ทำความหวั่นไหว โยกโคลง ให้เท่ากัน อย่างเด็ดขาด เมื่อเขาได้ สมใจอยาก เขาก็ได้ ความหวั่นไหว เมื่อไม่ได้ ก็ได้ความหวั่นไหว เมื่อมืดมน หนักเข้า ก็แน่ใจลงเสียว่า ความอร่อย หรือ ขณะที่อร่อย นั่นแหละเป็น  พระนิพพาน ของชีวิต แต่เมื่อคิดดู เราพอจะเห็นได้ว่า นั่นยังไม่ได้ ถอยห่าง ออกมาจาก กองทุกข์ แม้แต่นิดเดียว, มันเป็นเพียง ความสำคัญผิด เท่านั้น และ เป็นความสำคัญผิด ที่จะมัดตรึง ตัวเอง ให้ติดจม อยู่กับ บ่อโคลน นั่นตลอดเวลา
เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็จะเห็นได้สืบไปว่า การสำราญทางฝ่ายโลก หรือจะเรียก อีกอย่างหนึ่งว่า ฝ่ายกาย หรือวัตถุ นั้น คืออะไร และเมื่อได้ หมกมุ่นมัว แต่แสวงอาหาร ให้กาย ท่าเดียว แล้วจะเป็นอย่างไร หรือ อีกอย่างหนึ่งว่า ถ้ารู้จักความสุข เฉพาะในด้านนี้ ด้านเดียว แล้ว ก็จะรู้จักโลกเพียงซีกเดียว อย่างไร และยิ่งกว่านั้น คนที่รู้จักโลก เพียงซีกหนึ่งเช่นนี้ หาอาจทำ อารมณ์เหล่านี้ ให้เป็น เครื่องอำนวยความสะดวก หรือ ความเพลิน แก่เขาได้ เช่นเดียวกับ ผู้ที่เข้าใจโลกดี ทั้งสองซีกไม่  เพราะ ต้องตกเป็นทาส ของความมัวเมา รื้อไม่สร่าง บูชามันให้เป็น สิ่งสูงสุด กว่าสิ่งใดอยู่เสมอ
ส่วนผู้ที่รู้จักโลก ดีแล้วนั้น ย่อมบูชา ความสำราญทางธรรม หรือ
ฝ่ายใจอันแท้จริง เป็นส่วนสำคัญ และถือเอาส่วนกายหรือวัตถุ เป็นเพียง เครื่องอำนวยความสะดวก ในฐานเป็นคนใช้ สำหรับรับใช้ ในการแสวงหา ความสำราญ ทางฝ่ายจิต เท่านั้น พวกนี้จึงมีอุดมคติว่า กายอยู่ใน...............................................
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24 มีนาคม 2553 15:15:14 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #3 เมื่อ: 24 มีนาคม 2553 14:12:34 »

http://img408.imageshack.us/img408/9523/imge0007.jpg
the life will beautiful the social will good


........ใจ คือแล้วแต่ใจ กายเป็นของนิดเดียว และอาศัยใจ ซึ่งมีอำนาจเด็ดขาด และ คุณภาพสูงสุด อยู่ทุก ๆประการ และทุก ๆเวลา แสวงหาอาหาร ให้ดวงใจดีกว่า !
ความเจริญ งอกงาม ของดวงใจ นั้น ยังไปได้ไกล อีกมากมายนัก คือกว่าจะถึง พระนิพพาน เมื่อไร นั่นแหละ จึงจะหมด ขีดของทางไป แล้วมีอุดมสันติสุข อยู่ตลอด อนันตกาล ส่วนความเจริญทางกายนั้น ไม่มีทางไปอีกต่อไป สูงสุดอยู่ได้เพียงแค่ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และ อารมณ์ทางใจ บางอย่าง เช่น ยศศักดิ์ เท่านั้นแต่ไม่มีใครเคยทำให้เกินความอิ่มความพอใจในเรื่องนี้เลยแม้ในอดีต ในปัจจุบัน และ อนาคต เพราะว่า การแสวงหาทางฝ่ายนี้ ต้องการ ความไม่รู้จักพอ นั่นเอง เป็นเชื้อเพลิงอันสำคัญแห่งความสำราญ ถ้าพอเสียเมื่อใด ก็หมดสนุก ! ใครจะขวนขวายอย่างไร ก็ไม่อาจได้ผลสูงไปกว่า การสยบซบซึมอยู่ ท่ามกลางกองเพลิง แห่งความถูกปลุกเร้าของตัณหา ซึ่งเมื่อใดม่อยหรี่ลง ก็จะต้องหาเชื้อเพลิงเพิ่มให้ใหม่อีก และไม่มีเวลาพอ เช่นเดียวกับ ไฟธรรมดา กับ เชื้อเพลิงธรรมดา เหมือนกัน เพราะฉะนั้น การแสวงหา อาหารทางฝ่ายใจ เพื่อดวงใจ จึงเป็นสิ่งที่มีค่า น่าทำกว่า เป็นศิลปะกว่า เป็นอุดมคติที่สูงกว่า ทำยาก หรือ น่าสรรเสริญกว่า, หอมหวนกว่า เยือกเย็นกว่า ฯลฯ กว่า โดยทุก ๆ ปริยาย
การแสวงความสำราญ ทางฝ่ายกาย เป็นต้นเหตุแห่งสงคราม, การแสดงความสำราญ ฝ่ายจิต เป็นต้นเหตุ แห่งสันติภาพ. ถ้าชาวโลก ยังบูชาลัทธิวัตถุนิยม มัวแสวงแต่ ความสำราญทางกาย อย่างเดียว อยู่เพียงใด ก็ไม่มีหวังในสันติภาพ แม้จะเปิด สภาสันนิบาตชาติ ขึ้นอีกสัก 10 สันนิบาต ก็ตาม นักวัตถุนิยม เห็นกายเป็นใหญ่ ย่อมเสียสละ ได้ทุกอย่าง เพื่อให้กาย หรือโลกของตน อิ่มหมีพีมัน ส่วนนักจิตนิยม เห็นแก่จิตเป็นใหญ่ ย่อมเสียสละได้ ทุกอย่างเหมือนกัน เพื่อแลกเอา ความสงบ เยือกเย็น ของจิต. ผู้แสวงความสำราญ ทางกาย นั้น การแสวง ของเขา จำเป็นอยู่เอง ที่จะต้องกระทบ กับผู้อื่น เพราะความสำราญกาย นี้ เป็นของเนื่องด้วยผู้อื่น หรือ สิ่งอื่น ที่แวดล้อม อยู่โดยรอบ เมื่อความเห็นแก่ตัว มีอยู่ ก็ต้องมีการ กระทบกัน เป็นธรรมดา การสงครามก็คือ การปะทะ ของคนหลายคน ที่ต่างฝ่ายต่าง มีความเห็นแก่ตัว เพื่อความสำราญทางกายนั่นเองสงครามโลก ซึ่งเป็นเพียง ความเห็นแก่ตัว ของคนหลายชาติ รวมกัน ก็ไม่ต่างอะไรกันอีก ส่วนการแสวงหา ความสุขทางฝ่ายจิตนั้น จะไม่กระทบกระทั่ง ใครเลย แม้แต่น้อย เพราะเหตุว่า มีอะไรๆ ให้แสวง อยู่ในตน ผู้เดียว เสร็จ ไม่ต้องเนื่องด้วยผู้อื่น การสงคราม ไม่สามารถ เกิดจาก ผู้แสวงสุขทางจิต ! เช่นเดียวกับ ที่ไฟ ไม่สามารถ เกิดจาก ความเย็น.......................................................................
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24 มีนาคม 2553 15:18:33 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #4 เมื่อ: 24 มีนาคม 2553 14:15:32 »

http://img408.imageshack.us/img408/9523/imge0007.jpg
the life will beautiful the social will good


การแสวงหาอาหาร ทางฝ่ายกาย ง่ายหรือตื้น และ เป็น ต้นเหตุ แห่งสงคราม การแสวงหาอาหาร ของดวงใจ ยาก และ ลึก และ เป็นต้นเหตุ ของสันติภาพ ดังกล่าวมาแล้ว. แต่มนุษย์ในโลกนี้ ส่วนมาก ปล่อยตน ไปตามสัญชาตญาณ หรือ ธรรมดาฝ่ายต่ำ มากเกินไป จึงเท่าที่เราเห็นกัน จึงมีแต่ ผู้ถือลัทธิวัตถุนิยม ยิ่งนานเข้าเท่าใด วิธีการแสวงหา อาหารของดวงใจ ก็ยิ่งลบเลือน หายไปจาก ความทรงจำ และ ความเอาใจใส่ ของมนุษย์ มากขึ้น เพียงนั้น ในที่สุด ก็ไม่มีอะไรเหลือ อยู่ใน มันสมอง ของมนุษย์ นอกจาก ความเห็นแก่ตัว และนั่นคือ สมัยที่ ไฟประลัยกัลป์ จะล้างโลก
ข้าพเจ้าอยากจะกล่าวว่า ผู้แสวงหาสุขทางใจ มีอยู่เพียงกี่คน ก็ตาม ก็เป็นเหมือน ลูกตุ้ม ที่ถ่วงโลกไว้ มิให้หมุนไป ถึงยุค ไฟประลัยกัลป์ เร็วเกินไปเพียงนั้น
เรายอมรับว่า เป็นลูกตุ้มจริง แต่ว่า เป็นลูกตุ้ม ที่ถ่วง ไม่ให้ พวกท่าน วิ่งเข้าไปสู่กองไฟ เร็วเกินไป ถ้าพวกข้าพเจ้า จะพลอยเป็น อย่างท่าน ไปด้วย เชื่อแน่ว่า โลกคงจะแตกดับ เร็วกว่า ที่พวกข้าพเจ้า จะแยกเป็นอยู่ เช่นนี้" นเป็นคำ ซึ่ง พวกแสวงสุข ทางฝ่ายจิต ควรจะพูดได้ โดยชอบธรรม !พระพุทธองค์ ทรงเป็น นายกแห่ง สมาคม ผู้แสวงสุขทางใจ เพียงพระองค์เดียว และ สมัยเดียว ก็ชื่อว่าเป็น โลกนาถ ที่พึ่งของโลก หลายสมัย เพราะว่า อิทธิพล แห่งธรรม ที่พระองค์ ทรงเปิดเผยขึ้นนั้น ได้ถ่วงให้โลก ที่กำลังหมุนไปหา ความแตกดับ หมุนไปช้าเข้า มากกว่ามากนัก เมื่อหมุนไปช้า เช่นนี้ คนทั้งโลก แม้ที่สุด แต่ คนที่ไม่เคย ได้ยินชื่อ ของพระองค์ ก็พลอยมีส่วน ได้รับความสุข ด้วย แต่เมื่อโลก ละทิ้ง การแสวงหา อาหารทางใจ มารับเอา อาหารทางกาย มากขึ้น เช่นนี้ พระพุทธองค์ ก็ช่วยไม่ได้ เพราะ โลกเป็นฝ่าย ที่ทิ้ง พระพุทธองค์
พทธบริษัททุกคน ยังภักดีต่อ การแสวงหาความสุขทางใจ กันอยู่ นับว่า ตระกูลของพระองค์ ยังไม่ขาดทายาท เสียทีเดียว และจะยังเป็น เหมือน ลูกตุ้มน้อยๆ ที่เหลืออยู่ เพื่อตัวเอง และ โลก ด้วย ทั้งขณะที่ พวกอื่น เขาอาจกำลัง เกลียด พวกนี้อยู่
พุทธบริษัท คงต้องถือว่า กายอยู่ในใจ, อาหารทางใจ สำคัญกว่า อาหารทางกาย และยังคงต้องภักดี ต่อลัทธิ แสวงสุขทางใจ อยู่เสมอ. การเป็นพุทธบริษัท แต่ปากนั้น ไม่ทำให้เป็น พุทธบริษัท ได้เลย พุทธบริษัทที่แท้ เป็นนักนิยมวัตถุ หรือ ถือลัทธิหลงชาติ ไปไม่ได้ พุทธบริษัทที่ขวาง ๆ รี ๆ นั่นยิ่งจะร้ายไปกว่า ผู้ที่มิได้เป็นพุทธบริษัท เมื่อเกิด มิคสัญญี  พุทธบริษัท ที่แท้จริง เท่านั้น ที่จะเป็นผู้เหลืออยู่ แม้นี้ก็เป็น อานิสงส์ แห่งการนิยม อาหารของดวงใจ
เมื่อได้พร่ำ กล่าวถึง ความดี ของ อาหารทางดวงใจ มามากแล้ว กระทั่ง ในแง่การเมือง เป็นที่สุด จึงต่อไปนี้ จะได้กล่าวถึง ลักษณะของ อาหารทางใจ โดยตรงบ้าง ให้ควรกัน
คำสองคำซึ่งใคร ๆ ก็เคยได้ยินมีอยู่ว่า โลก ธรรม โลก กับธรรม จะเป็น อันเดียวกัน ไม่ได้ โดยที่โลกเป็นฝ่ายนิยมวัตถุ, ธรรมเป็นฝ่ายนิยม ความเป็นอิสระ เหนือวัตถุ และ ความเป็นอิสระ เหนือวัตถุ นี่เอง คือ อาหารของดวงใจ กายต้องการอาหาร ทางฝ่ายโลก ใจต้องการอาหาร ฝ่ายธรรมผู้ที่เห็นว่า ใจเป็นใหญ่ จนถึงกับเป็น ที่อิงอาศัยของกาย ย่อมแสวงหาอาหาร ให้กายเพียงเพื่อสักว่า ให้มันเป็นอยู่ได้ (ยาปนมัตต์) เท่านั้น นอกนั้นใช้แสวง เพื่อใจอย่างเดียว......................................................
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24 มีนาคม 2553 15:20:17 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #5 เมื่อ: 24 มีนาคม 2553 14:17:23 »

http://img408.imageshack.us/img408/9523/imge0007.jpg
the life will beautiful the social will good


อันความเป็น อิสระเหนือวัตถุ นั้นเห็นได้ยาก ตรงที่ตามธรรมดา ก็ไม่มีใครนึกว่า ตนได้ตกเป็นทาสของวัตถุ แต่อย่างใดใคร ๆ ก็กำลังหาวัตถุ มากินมาใช้ มาประดับ เกียรติยศ ของตน และบำเรอ คนที่ตนรัก ทำให้เห็นไปว่า นั่นเป็น นาย มีอิสระเหนือวัตถุ พอแล้ว เช่น มีเงินจะใช้มัน เมื่อไรก็ได้ ส่วน ความหม่นหมองใจ ที่เกิดขึ้น มากมาย หลายประการ หามีใครคิดไม่ว่า นั่นเป็น อิทธิพลของวัตถุ ที่มันครอบงำ ย่ำยีเล่น ตามพอใจ ของมัน ดวงใจ ได้เสีย ความสงบเย็น ที่ควรจะได้ ไปจนหมด ก็เพราะ ความโง่เง่า ของตัวเอง ที่ไปหลง บูชาวัตถุ จนกลายเป็น ของมีพิษสง ขึ้นมา ดวงใจที่แท้จริง ก็ไม่อาจฟักตัว เจริญงอกงาม ขึ้นมา เพราะ ขาดการบำรุง ด้วยอาหาร โดยที่เจ้าของ ไม่เคยคิดว่า มันต้องการอาหาร เป็นพิเศษ ยิ่งกว่ากาย สัญชาตญาณ ทั้งหลาย ชวนกันขึ้น นั่งบัลลังก์ บัญชาการเต็มที่ ออกคำสั่ง ทับถมดวงใจ ที่แท้จริง หรือธรรมชาติฝ่ายสูง ที่เป็นชั้นปรมัตถธรรม จนไม่ปรากฏ สาละวนแต่ แสวงหาอาหาร ตามอำนาจฝ่ายต่ำ หรือที่เรียก ในที่นี้ว่า กาย โวหารธรรม เมื่อใจขาดอาหาร แม้แต่ที่เป็นเบื้องต้น เช่นนี้แล้ว ก็ไม่งอกงาม พอที่จะแจ่มใส ส่องแสงให้ผู้นั้นมองเห็นและถืออุดมคติ แห่งความสุขทางใจได้ ชีวิตก็เป็นของมืดมน ต้องร้องไห้ ทั้งที่ ไม่รู้เห็นว่า มีอะไรมาทำเอาเมื่อเด็ก ๆ ที่เกิดมาในโลก ไม่อาจสำนึก ในปริยายนี้ ได้ด้วยตนเอง เช่นนี้แล้ว การศึกษาธรรมเท่านั้น ที่จะช่วยได้ในเบื้องต้น การศึกษาธรรม ทางฝ่ายหลักวิชา จึงเป็น อาหารของดวงใจ ในขั้นแรก และขั้นกลาง ก็คือ การย่อยหลักวิชา ๆ นั้น ออกด้วย มันสมอง ของตนเอง ได้ความรู้ ความแจ่มแจ้ง ความโปร่งใส เยือกเย็น อะไรมา นั่นเป็น อาหารชั้นปลาย ส่งเสริมกัน สืบไปให้เจริญ จนสามารถ ทำพระนิพพานให้ปรากฏ จึงจะนับว่าถึงที่สุด
ปริยัติธรรม หรือ ธรรมในส่วนหลักวิชานั้น ช่วยได้โดยเป็น เครื่องสะกิดใจ ให้รู้สึก ในเบื้องต้นว่า เรามีกายสองซีก คือ ซีกรูปกาย และธรรมกาย รูปกาย เจริญได้เอง ด้วยการมี บิดามารดา เป็นแดนเกิด เติบโตขึ้น ด้วยข้าวปลา อาหาร ส่วนธรรมกายนั้น มี กาย วาจา ใจ ที่สุจริตผ่องใส เป็นที่ตั้ง ที่ปรากฏ, มีผลของ ความสุจริต เป็นอาหาร ที่จะบำรุง ให้เติบโต สืบไป และทำให้เรา รู้สึกสืบไป เป็นลำดับว่า ถ้าบำรุงแต่รูปกาย อย่างเดียว มันก็จะอ้วนดี แต่ซีกเดียว อีกซีกหนึ่ง ซึ่งเป็นซีกใน จะเหี่ยวแห้งอยู่ ผลที่ได้ ก็คือ ร่างกายที่สมบูรณ์ แต่ใจเต็มไปด้วย ความหม่นหมอง เมื่อยังเด็ก ความหม่นหมอง มิปรากฏนัก ก็เพราะยังเป็น ผู้ที่ผู้อื่นเลี้ยงดูให้ และ กายก็ยัง มิได้ขยายตัวเต็มที่ จนสามารถ ทำความรู้สึกได้สุดขีด ทุกๆ อินทรีย์ คือเต็มที่ ทั้งทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ครั้นเมื่อ กายเจริญเต็มที่เข้า ความหม่นหมอง ก็เกิดมากขึ้น เพราะยิ่งขาดดุลยภาพ ของความที่ รูปกาย และ ธรรมกาย จะต้องมี ความเจริญคู่เคียง สม่ำเสมอกันไป จึงความหม่นหมอง จะไม่อาจเกิด นั่นเอง สรุปความว่า ปริยัติธรรม ช่วยให้เราทราบว่า เราจะต้องประพฤติธรรม เช่นนั้นเช่นนี้ เพื่อธรรมกายของเรา มิฉะนั้น เราตายด้านไปซีกหนึ่ง เมื่อเรารู้ ปริยัติธรรม พอสมควรแล้ว เราก็ได้ อาหารของดวงใจ ในส่วนหลักวิชา และ ภาคพื้น ของการปฏิบัติ สัมมาทิฎฐิ หรือ รุ่งอรุณ ได้ปรากฏแก่เราแล้ว เป็นแรกเริ่ม........................
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24 มีนาคม 2553 15:23:24 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #6 เมื่อ: 24 มีนาคม 2553 14:19:52 »

http://img408.imageshack.us/img408/9523/imge0007.jpg
the life will beautiful the social will good


ปฏิบัติธรรม หรือ ธรรมคือตัวการปฏิบัตินั้น เป็นการทรมานอินทรีย์ (sense) เพื่อเอาชนะอินทรีย์ ชนะได้เท่าใด ความเยือกเย็น พร้อมทั้ง ความรู้แจ้ง ก็เกิดขึ้น เท่านั้น ความเยือกเย็น เกิดจาก ความที่ อินทรีย์ สงบรำงับลง ความเห็นแจ้ง ความจริงในตัวเอง ปรากฏเพราะ ไม่ถูกม่าน แห่งความ กลัดกลุ้ม ของอินทรีย์ ปิดบังไว้ เช่นแต่ก่อน วิธีเอาชนะ อินทรีย์ ตามหลัก แห่งพุทธศาสนา ได้แก่ การบังคับตัวเอง ให้งดเว้นจากสิ่งชั่ว, บังคับตัวเอง ให้ทำ แต่สิ่งที่ดี เข้าแทน และต่อจากนั้น พยายามหาวิธี ชำระจิต ให้เป็นอิสระ จากความหม่นหมอง ทั้งที่เปิดเผย เห็นได้ง่ายๆ และที่นอนนิ่ง เงียบๆ อยู่ในสันดาน อันเป็นเหมือน เชื้อ ที่ก่อเกิด ของอย่างแรก หรือ กล่าวอีกอย่างหนึ่ง ได้แก่ การบังคับกาย และ วาจา ให้อยู่ในอำนาจ เรียกว่า ศีล บังคับจิต ให้อยู่ในอำนาจ เรียกว่า สมาธิ และใช้จิตที่อยู่ในอำนาจแล้ว คือ ค้นหาความจริง ที่ยาก ที่ลึก จนปรากฏ แจ่มแจ้ง เรียกว่า ปัญญา การบังคับหรือ ควบคุมอินทรีย์ เช่นนี้ ทำให้ดวงใจ ได้รับ ความสะบักสะบอม น้อยลง วัตถุ หรือ อารมณ์ ทั้งหลาย มีพิษสง น้อยเข้า หรือ หมดไป เพราะ ค่าที่เรา สามารถบังคับ ตัวเอง ไว้ในภาวะ ที่จะ ไม่หลงใหลไป ตามทั้งใน ทางชอบ และ ทางชัง เมื่อใจเรา
ได้รับความ พักผ่อน อย่างผาสุก เนื่องจาก การบังคับอินทรีย์ ของเรา เช่นนี้แล้ว
เราก็ได้ อาหารของดวงใจในส่วนของการปฏิบัติ อันจะเป็น อุปกรณ์ให้ได้รับ อาหารชั้นสูงสุด สืบไป
ปฏิเวธธรรม หรือ ธรรมในส่วน การรู้แจ้ง แทงตลอดในสิ่งที่เคยหลงใหล ไม่รู้เท่าทันมาก่อน เป็นความรู้ ชนิดที่จะ ตัดราก ความหม่นหมอง ของดวงใจเสีย โดยประการทั้งปวง เช่น ความสงสัย ความเข้าใจผิด หลงรัก หลงชัง ฟุ้งซ่าน ฯลฯ เสียแล้ว ทำความแจ่มแจ้งใจ โปร่งใจ เยือกเย็นใจ ให้เกิดขึ้นแทน นี้เป็นผล ที่ปรากฏแก่ใจ สมจริง ตามที่เรียนรู้ ทางหลักวิชา โดยปริยัติ ซึ่งเป็นเพียง การรู้อย่างคาดคะเน ด้วยเหตุผล ล่วงหน้าไปก่อน การแทงตลอดนี้ หมายถึง การแทงตลอด ม่านอวิชชา คือ ความโง่หลง ซึ่งเป็นของเฉพาะตัว อย่างยิ่ง. น่าอัศจรรย์มาก ที่คนบ้าคลั่ง อาจรักษาโรค ของตนเอง ด้วยการฟัง วิธีรักษา มาจากผู้อื่น แล้วรักษาตัวเอง พิจารณาตัวเอง ไปเรื่อยๆ อย่างค่อยเป็น ค่อยไป จนหายได้ ในที่สุด! ช่างไม้ หรือ นักยันตรกรรม ที่ติดขัด ในปัญหาขัดข้อง บางอย่าง ในหน้าที่การงานของตน อาจผ่านปัญหานั้นๆ ไปได้ โดยการ พยายาม คิดค้น
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24 มีนาคม 2553 15:25:15 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #7 เมื่อ: 24 มีนาคม 2553 14:23:44 »

http://img408.imageshack.us/img408/9523/imge0007.jpg
the life will beautiful the social will good


หาเอาเอง หรือ ถามท่านผู้รู้ แล้วมา แก้ไขไปเอง เมื่อพบเงื่อนถูก ผ่านไปได้ ก็ได้รับความสุขใจ ผู้ที่รู้ว่า ตนกำลังติดขัด ในปัญหาชีวิต คือ ความที่ชีวิต ถูกกดถ่วง ด้วยความ หม่นหมอง อยู่เสมอ ตั้งแต่ ชนิดที่ หยาบที่สุด จนถึง ที่ละเอียดที่สุด ก็ฉันนั้น คือเมื่อได้คิดค้น ไปเองบ้าง ไต่ถามท่าน ผู้รู้ มาคิดค้น ไปบ้าง จนได้รับความแจ่มแจ้ง เบาโปร่ง ปรากฏกับใจเอง ก็เป็นสุข นักศิลปินที่แท้จริง เขาหาความสุข จากความพอใจ ตัวเอง ในการที่ ทำสิ่งที่ยากๆ ได้สำเร็จ มิใช่เพราะ พอใจในเงิน หรือ รางวัลที่จะได้รับ ซึ่งเป็นวิสัย ของ นักการค้า ในที่นี้จะ เห็นได้ว่า ความสุขที่เกิดจากความพอใจ หรือ ความรู้แจ้งนั้น เป็นอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งนักการค้า หรือ ผู้นิยมวัตถุ จะเห็นเป็นความสุข ไปไม่ได้เลย ผลอันนี้คือ อาหารของดวงใจ ในส่วนปฏิเวธ ซึ่งเมื่อ แทงตลอด ถึงที่สุด ไม่มีอะไรเหลือจริง ๆ ก็คือ การพบกันเข้ากับ พระนิพพาน และ การแทงตลอด ที่ถึงขีด ระยะหนึ่ง ๆ ข้างต้น ๆ นั้น คือ มรรคผล ขั้นหนึ่งๆ ตามหลัก ที่ท่านกำหนดไว้เมื่อได้ อาหารทางใจ เป็นลำดับมา จนลุถึง พระนิพพาน เช่นนี้แล้ว ต่อจากนั้น ก็เป็น ใจที่มีรสของ พระนิพพาน เป็นอาหาร ศานติเป็น รสของพระนิพพาน ! และ ใจมีศานตินั้น เป็นอาหาร ! ! ศานติ ในที่นี้ หมายถึง ความเยือกเย็น ของพระนิพพาน หรือ สภาพอันหนึ่ง ซึ่งเป็นสภาพแห่ง ความว่างโปร่ง เป็นอิสระเหนือสิ่งทั้งหลาย เหนือรูปธรรม นามธรรม เหนือกฎแห่งรูปธรรม และ นามธรรม ทั้งหมด และเป็นสิ่งที่ ใครจะบัญญัติกฎเกณฑ์อะไร ให้ไม่ได้เลย
เมื่อเราอาบน้ำเราได้รับความเย็นของน้ำ หรือ เพราะน้ำ เมื่อใจลุถึง พระนิพพาน มันย่อมเยือกเย็น เพราะ ความเย็นของ พระนิพพานนั่นเอง ความเยือกเย็นอันนี้เป็นยอดอาหารชั้นพิเศษ ของดวงใจก็ความหม่นหมองต่าง ๆ ของดวงใจนั้นถูกสลัดทิ้งเสียหมดแล้ว ตั้งแต่ได้รับ อาหารขั้นปฏิเวธขั้นสูงมาบัดนี้ ได้รับความเยือกเย็น ของพระนิพพาน เข้าอีก จึงเป็นการยาก ที่จะกล่าว ให้เป็นที่เข้าใจ กันอย่างทั่วไปว่า รสชาติอันนี้ ในขณะนี้ จะเป็นอย่างไร ท่านจึงกล่าวว่า เป็นสิ่งที่ แม้แต่ อยากพูด ให้ฟัง ก็ไม่รู้ว่า จะพูดอย่างไร (Subjective) อย่าว่าแต่ รสชาติ ของพระนิพพานเลย แม้เพียงแต่รสของวิเวก หรือ สมาธิขั้นต้น ๆ ก็เป็นของยากที่จะอธิบายว่า มีรสชาติเป็นอย่างไรเสียแล้ว เพราะเป็นรสที่ต้องจัดเป็นรสแปลกใหม่อีกรสหนึ่งจากบรรดารส ที่คนธรรมดา เราเคยรู้รสกันมาในวงแห่ง โลกิยารมณ์ ความจริง ตามธรรมดา สิ่งที่เรียกกันว่า รส นั้น...........
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24 มีนาคม 2553 15:28:00 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #8 เมื่อ: 24 มีนาคม 2553 14:26:47 »

http://img408.imageshack.us/img408/9523/imge0007.jpg
the life will beautiful the social will good


เป็นของอธิบายยากมาก บางอย่าง ไม่มีทาง จะเทียบเคียง เสียเลย เช่น นาย ก. ไม่เคยกิน ของหวาน เลย นาย ข. ก็ไม่อาจที่จะ อธิบายให้ นาย ก. ทราบได้ว่า รสหวานนั้น เป็นอย่างไร จะว่า ตรงกันข้ามกับ ขม กับ เค็ม กับเปรี้ยว หรือ อะไรทุกอย่าง นาย ก. ก็ไม่อาจทายได้ว่า รสหวาน นนเป็นอย่างไร แม้ นาย ข. จะคิดค้นหา คำใดมาพูด ก็ไม่ได้ คงได้แต่ว่า หวาน ๆ อยู่อย่างเดิม นั่นเอง นี่คือ ความเป็น ปัจจัตตัง และ ความเป็น ของอธิบายให้ชัด ไม่ได้ ของรส ส่วนรสของ พระนิพพาน ก็ทำนองเดียวกัน เป็นแต่ ยิ่งยากขึ้นไป กว่านั้น อีกหลายเท่านัก แม้ในทาง ที่จะให้เปรียบเทียบ หรือ คาดคะเน ก็เมื่อ นาย ก. ไม่ควรจะดื้อเถียง นาย ข. ว่า รสหวานไม่มีในโลก  และ ทางที่ดีที่สุด นาย ก. ควรใช้ความพยายาม จนหาน้ำตาล มาชิมดูได้ ด้วยตน ก็จะรู้ว่า หวานเป็นอย่างไร ฉันใด ผู้ที่ยังไม่ถึงนิพพาน ก็ไม่ควรปฏิเสธ รสของนิพพาน. แต่ควร ตะเกียกตะกาย จนได้ชิมรสของพระนิพพาน ด้วยตนเองฉันนั้น
ก่อนแต่จะจบเรื่องนี้ อยากจะเล่านิทาน ฟังกันเล่น สักหน่อยหนึ่ง เต่าตัวหนึ่ง เป็นสหาย กับ ปลาตัวหนึ่ง วันหนึ่งได้พบกัน ปลาถามว่า "สหายเอ๋ย ท่านไปที่ไหนเสียเป็นนาน?"
ไปเที่ยวบนบกมา เต่าตอบ "บกเป็นอย่างไร?" ปลาถาม "อ๋อ บกงดงามมาก มีอะไรสวย ๆ แปลก ๆ ลมพัดเย็นสบาย มีอาหารดีเยอะ มีเสียงแปลกๆ ซงเราไม่เคยได้ยิน ในที่นี้เลย" "ฉันไม่เข้าใจเลย สหายเอ๋ย บกนั้น อ่อนละมุน ให้ศรีษะของเราแหวกว่าย ไปได้สะดวกเช่นนี้หรือ?"ไม่ใช่" "บกไหลเอ่อไปได้ตามร่อง เช่นนี้หรือ?" "ไม่ใช่" "บกเย็นชุ่ม ซึมซาบ เอิบอาบ เช่นนี้หรือ?" "ไม่ใช่" "บกเป็นละลอก ริ้ว ๆ เมื่อถูกลมพัดหรือ?" "ไม่ใช่"
แม้ปลาจะตั้งคำถามมาอย่างไร คำตอบก็มีแต่ "ไม่ใช่" ทั้งนั้น ในที่สุด ปลาก็หมดศรัทธา ประณามเต่าว่า "สหายเอ๋ย ท่านโกหกเสียแล้ว เอาสิ่งที่ ไม่มีจริง เป็นจริง มากล่าว" แต่เต่าก็ ไม่รู้ที่จะตอบ สหายของตน อย่างไรดี ในที่สุด ก็ได้แต่ ค่อยคลาน กลับขึ้นบกอีก เต่าได้เที่ยว ไปบนบก อีกใหม่, บนบก ซึ่งสหายของเขา ไม่เคยนึก และ ไม่ยอมเชื่อว่ามี! เต่าได้เที่ยวไปวันแล้ว วันเล่า ๆ บนบก ซึ่ง สหายของเขา หาว่า เขาโกหก !  !  !
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24 มีนาคม 2553 15:28:53 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #9 เมื่อ: 24 มีนาคม 2553 14:33:57 »

http://img408.imageshack.us/img408/9523/imge0007.jpg
the life will beautiful the social will good


นิทานเรื่องนี้ จะอาจเป็น เครื่องรองรับ ความเป็นปัจจัตตัง และ การพูดบรรยาย ไม่ได้ ของศานติ- อาหารของดวงใจ ชั้นพิเศษ ชั้นยอดสุดได้บ้างกระมัง น้ำ กับ บก ต่อติดกันอยู่ ห่างกัน เพียงชั่วเส้นริมน้ำ เส้นเล็ก ๆ ที่ริมสระเท่านั้น แต่ปลาก็ไม่อาจรู้ หรือ แม้แต่ คาดคะเนว่า บกเป็นอย่างไร ได้เลย พระพุทธองค์ตรัสว่า โลก คือ โอกะ หรือ โอฆะ แปลว่า น้ำ ทั้งสองศัพท์ สัตว์โลก ก็คือ ผู้ที่จม อยู่ในโลก หรือ น้ำ นั่นเอง พระนิพพาน เป็นฝั่งเกาะ ที่รอดพ้น แต่น้อยคนนัก ที่จะว่าย ออกไปถึงเกาะ ดุจพวกนก ที่ติดบ่วงแล้ว น้อยตัวนักที่จะหลุดไปได้ ไม่ต้องตกเป็นเหยื่อ ของนายพราน ฉันใด ก็ฉันนั้นผู้ที่ตกโลก หรือ จมโลก ก็คือ ผู้ที่รู้จักแต่โลก หรือ กามคุณ ซึ่งเรียก ในที่นี้ว่า อาหารของฝ่ายกาย หรือ โลกิยะนั่นเอง เมื่อรู้จัก แต่อย่างเดียว ก็ไม่ หรือ มักจะไม่เชื่อว่า บก หรือ โลกุตตระ มีอยู่ ณ. ที่ใดอีก เช่นเดียวกับปลา ก็บัดนี้ การที่จะเดินทางไปสู่บกนั้น ผู้เดินต้องกิน อาหารของดวงใจ ดังที่กล่าวมาแล้ว การที่ ไม่ค่อย มีใครสนใจ ในเรื่องอาหารของดวงใจ ก็เพราะ ไม่เคยคิด ที่จะเดินทางไปสู่ "บก"นั่นเอง !
อาหารของดวงใจ มีหลายชั้นนัก เพราะฉะนั้น ย่อมจะมีผู้แสวง และ เสพได้ในชั้นต่างๆ บางชั้น เป็นธรรมดา เรารู้ในข้อนี้ได้ ก็โดยที่ จะเห็นได้ว่า คนบางคน หาได้ตกโลก เต็มที่ เหมือนกับ บางคนไม่ เช่นเดียวกับ ถ้าเราจะมองดู ภาพสมมติ สักภาพหนึ่ง เป็น ภาพแห่ง ริมฝั่งทะเล เราเห็นคนบางพวก ตกน้ำ จมมิดอยู่ บางพวก ชูศีรษะ ร่อนขึ้นเหนือน้ำ ได้มองดูรอบๆ สังเกตหา ฝั่งบกอยู่ บางพวก มองเห็นฝั่งแล้ว บางพวก กำลังว่ายมุ่งเข้าฝั่ง บางพวก ใกล้ฝั่ง เข้ามามากแล้ว บางพวก ถึงที่ตื้น ยืนถึง เดินตะคุ่ม ๆ เข้ามาแล้ว บางพวก เดินท่อง เพียงแค่เข่า เข้ามาแล้ว บางพวก นั่งพักอย่างสบาย หรือ เที่ยวไป อย่างอิสระบนบก ! เราจะเป็นพวกไหน ย่อมไม่มีใครรู้ได้ เท่าตัวเราเอง !! เป็นของน่าคิด
ท้ายที่สุดนี้หวังว่า ตลอดเวลา ที่มนุษย์ยังคงได้รับรส ของพระพุทธวจนะ อยู่เพียงใด คงจะมีสักพวกหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ พวกบริโภค อาหารของฝ่ายกาย อย่างสมบูรณ์อยู่แล้ว ซึ่งจะเกิดความรู้สึกอึดอัด ในความซ้ำซาก และหมด "ทางไปในฝ่ายสูง" ของโลกิยาหาร หรือ ลัทธิวัตถุนิยม (Materialism) แล้วเกิดความสนใจ ในคุณภาพอันสูงสุด ของ โลกุตตราหาร หยิบเอา ลัทธิมโนนิยม (Spiritualism) ขึ้นมาพิจารณาดูบ้าง ด้วยกิริยาอันเคารพ และแยบคายเพราะยังมีทางไปอีกสูงมากในนาม
แห่ง พุทธทาส ข้าพเจ้าขอแสดงความยินดี ที่จะรู้จักท่าน และขอแสดงความนับถืออย่างสูงต่อท่านล่วงหน้า..................................




.....................................................THE END.......................................


................................the life will beautiful the social will good............................


.................................พระธรรมโกศาจารย์ พุทธทาส อินทปัญโญ..............................
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24 มีนาคม 2553 15:32:48 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #10 เมื่อ: 26 มีนาคม 2553 12:25:33 »




อนุโมทนาสาธุรรมค่ะ
บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.362 วินาที กับ 31 คำสั่ง

Google visited last this page 20 ธันวาคม 2567 02:51:06