22 ธันวาคม 2567 08:24:35
ยินดีต้อนรับคุณ,
บุคคลทั่วไป
กรุณา
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
1 ชั่วโมง
1 วัน
1 สัปดาห์
1 เดือน
ตลอดกาล
เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
หน้าแรก
เวบบอร์ด
ช่วยเหลือ
ห้องเกม
ปฏิทิน
Tags
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
ห้องสนทนา
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!
[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
สุขใจในธรรม
พุทธพยากรณ์ - คำทำนาย - ตำนาน
คำทำนายภัยพิบัติที่จะเกิด
.:::
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เห็น วันโลกาวินาศ
:::.
หน้า: [
1
]
ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน
หัวข้อ: สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เห็น วันโลกาวินาศ (อ่าน 4421 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์
เพศ:
United Kingdom
กระทู้: 7866
• Big Bear •
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เห็น วันโลกาวินาศ
«
เมื่อ:
11 มิถุนายน 2553 02:58:47 »
Tweet
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เห็นวันโลกาวินาศ
ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่จะได้นำมาให้อ่านต่อไปนี้ ได้มาจากหนังสือเรื่อง
“ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เห็นวันโลกาวินาศ ”
ซึ่งท่านผู้ใช้นามปากกาว่า “ศุภนิมิต” ได้เรียบเรียงจากต้นฉบับที่เป็นภาษาจีนอีกทีหนึ่ง สาระของเรื่องได้ถ่ายทอดจากการรับรู้ของเด็กหญิงผู้วิเศษชื่อ “เทียนไฉ” ที่ประเทศมาเลเซียโดยการประทับทรงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และจากการถอดจิตขึ้นไปสู่โลกเบื้องบนไปรู้ไปเห็นมาหลายครั้งหลายหนของเธอดังนี้
เจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้า: วันที่ฟ้าดินมืดมิด
1.
ก่อนหน้า “ เจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้า ”
วันฟ้าดินมืดมิดสองสามวัน บรรยาการของโลกดูสงบเงียบไปทั่ว เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ความเงียบสงัดก่อนพายุฝนจะกระหน่ำมักเป็นความเงียบที่น่ากลัวเสมอ แล้วทันใดนั้นท้องฟ้าก็เปลี่ยนจากสีฟ้าสว่างเป็นแดงฉานและกลายเป็นสีเทาขาว จนกระทั่งมืดมิดลง ลมมหาประลัยทำลายสิ่งปลูกสร้าง คน และ สัตว์ทั้งหมดให้กลายเป็นจุณมหาจุณในพริบตา
2.
โลกทั้งโลกตกอยู่ในความืดมิด จนมองไม่เห็นสิ่งใดเลย
ไม่มีแสงสว่างจากดวงไฟใดๆ ทั้งสิ้น พลังงานไฟฟ้าจากเครื่องมือวิทยาศาสตร์ทุกอย่างใช้การไม่ได้ผล ต่อจากนั้นก็เกิดพายุและลมฝน เสียงฟ้าร้องและสายฟ้าฟาดไม่ขาดสาย ห่าฝนเมฆสีแดงจะเทลงมาจากฟากฟ้า โลกจะตกอยู่ในความมืดมิดของรัตติกาล นานถึงสี่สิบเก้าวัน
3.
มีเพียงโคมไฟสามดวงในพุทธสถานเท่านั้นที่ให้แสงสว่างได้
รอบนอกสถานธรรม ได้ถูกห่อหุ้มปกป้องด้วยรัศมีสีม่วงโดยทั่ว เมื่อนั้นคนที่บำเพ็ญโดยแท้จริง และคนดีที่ยังไม่ได้รับการถ่ายทอดวิถีธรรม ก็จะได้รับการดลใจ ชักนำให้เข้ามาหลบภัยในพุทธสถาน ในที่นั้น หากมีธรรมอธิการผู้อาวุโส (เฉียนเหยิน) หรืออาจารย์ผู้ถ่ายทอดธรรมอยู่ด้วยก็อาจจะช่วยชี้ธรรมให้คนเหล่านั้น คนที่มีกุศลบารมีสูงก็จะรู้แจ้งในทันที และนั่นอาจจะเป็นแสงอาทิตย์ลำสุดท้ายที่จะโปรดสัตว์ในธรรมกาลยุคขาวก็ว่าได้ คนที่ไม่เคยร่วมบุญกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์ใดมาก่อนเลย เกรงว่าจะต้องตายด้วยภัยพิบัติทันทีเลยทีเดียว ถึงแม้จะรอดพ้นไปได้แต่วิถีอนุตตรธรรมก็สิ้นสุดวาระการถ่ายทอดเสียแล้ว
4.
ส่งเสริมให้ญาติธรรมทั้งหลาย สร้างพุทธสถานกันให้มาก ๆ
แม้จะมีไว้เพียงเพื่อตนเองจะได้กราบไหว้เช้าเย็นก็ยังดี เพื่อให้ทุกบ้านเป็นสถานแห่งพุทธ สมดังพุทธปณิธานโดยเร็ว เมื่อถึง “วันสุดท้ายฯ” พุทธสถานจะได้เป็นที่หลบภัยของสาธารณชนให้มาก ๆ เพราะพุทธสถานจะเป็นเสมือน “เมืองในม่านเมฆ” สำหรับผู้ใฝ่ธรรม
5.
สภาพโลกภายนอกของพุทธสถาน
คือ ภูเขาถล่ม แผ่นดินแยก เจ้ากรรมนายเวรของคนทั้งหลายที่เป็นหนี้ติดค้างกันมาถึงหกหมื่นปีมาแล้ว จะลุกฮือกันออกมาเอาชีวิต วิญญาณทวงหนี้กัน แม้ผู้คนจะพ้นจากมหันตภัย แต่ก็อาจต้องตายด้วยเจ้ากรรมนายเวร สภาพนั้นจึงเป็นมหาโหด มหาวิปโยค เสียงร่ำไห้กู่ร้องครวญคราง เสียงผีสาง เทพพรหม ระงมก้องไปทั่วเป็นที่น่าเวทนายิ่งนัก
6.
เหล่าภูตสางนางไม้ในป่าเขาในบาดาล เหล่าพญามารอสูรทั้งหลายก็จะแปลงกายเป็นพระศรีอาริย์ เป็นพระอวโลกิเตศวรโพธิ์สัตว์กวนอิม เป็นพระอาจารย์จี้กง หรือพระอริยเจ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย สำแดงอิทธิปาฎิหาริย์ เรียกลมเรียกฝนเสกหว่านเมล็ดถั่วให้กลายเป็นกองทัพ ฯลฯ จะอวดอ้างศักดานุภาพว่าจะสามารถพาผู้คนให้พ้นจากลมมหาประลัย มุ่งคืนไปยังสุทธาวาสเบื้องบนได้
สิ่งเหล่านี้มีมาเพื่อหลอกล่อผู้ปฎิบัติธรรมโดยเฉพาะ เมื่อถึงเวลานั้น ให้เราทั้งหลายจงตั้งมั่นอยู่ในศรัทธาจิตอย่างเช่นเดิม
อย่าได้โลภ หลงตามไปเป็นอันขาด พอขยับใจไขว้เขวแม้เพียงขณะจิตหลงติดตามไป บุญกุศลที่สร้างมาก็จะหมดไป ดังคำที่ว่า
“ ใกล้จะบรรลุธรรมยามเที่ยง แต่มาเพลี่ยงพล้ำเสียก่อนเมื่อตอนสาย ”
จะขึ้นหรือลงจึงอยู่ที่หัวเลี้ยวหัวต่อตรงนี้ ที่แอบอ้างว่าเป็นพระบรรพธรรมาจารย์ มาเก็บงานธรรมอยู่ในขณะนี้นั้น เป็นเพียงมารเล็ก ๆ เท่านั้น ไม่น่าแปลก
ต่อเมื่อวันที่มหันตภัยเกิดขึ้นแล้วนั่นแหละจะน่ากลัว เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงพระองค์ต่างมุ่งอยู่แต่งาน ช่วยคนให้พ้นจากภัยพิบัติไม่มีเวลาจะมาแสดงอิทธิปาฎิหาริย์ล่อใจใครให้กราบไหว้ได้เช่นนั้น
พระพุทธะตรัสไว้ว่า
“ แรงแห่งมารหาญกล้ากว่าพุทธะ ”
พระอาจารย์จี้กงก็กล่าวว่า
“ พระอาจารย์ปลอมมีอิทธิปาฎิหาริย์แกร่งกล้ากว่า พระอาจารย์จริงเสียอีก หวังว่าหญิงชายทั้งหลายจะได้ร่วมกันบำเพ็ญธรรม อย่าลืม อย่าลืม คนที่บำเพ็ญด้วยความจริงใจ เมื่อถึงเวลานั้นหากจะสงบใจพิจารณาด้วยปัญญา ก็จะเห็นแจ้งว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์จริงหรือปลอม”
จะเห็นใบหน้าสีเขียวเขี้ยวโง้งของปีศาจในร่างของพุทธะได้โดยไม่ต้องเทียบเคียง
7.
วันที่ทรมานที่สุด
จะมีสองช่วงคือ
ช่วงที่หนึ่ง วันที่ 24, 25, 26, ของช่วง “เจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าวัน” เพราช่วงนั้นอาหารที่สะสมไว้จะหมด คนที่กินเจจะยังอดทนต่อความหนาวเหน็บ ส่วนคนที่กินเนื้อสัตว์จะทรมานมาก ช่วงที่สอง ช่วงนี้จะอยู่ระหว่างวันที่ 50 ถึง 70 เพราะสรรพสิ่งทั้งหลายจะถูกเคลือบด้วยพิษของกัมมันตภาพรังสีซากศพเกลื่อนกลาด คนเคราะห์ดีที่ยังมีชีวิตอยู่จะยังต้องทำหน้าที่ฝังศพ คนที่กินเจจะมีกำลังอยู่ได้ ส่วนคนที่กินเนื้อสัตว์จะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร ดังนั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย จึงได้ประทานพระโอวาทคำเตือนไว้นานมาแล้วว่า
“ หลังจากมหันตภัยกวาดล้างโลกนี้กลายสภาพเป็นตมไปแล้ว จะเหลือแต่พระอรหันต์เดินดินไม่กินเนื้อสัตว์ ”
เป็นคำเตือนที่ชัดเจนแน่นอนที่สุดทีเดียว
8.
หลังการกวาดล้างแล้ว ก็จะเป็นการสร้างบ้านเมืองใหม่
มนุษย์จะเริ่มเบิกดิถี ด้วยอารยธรรมใหม่ นั่นคือมีคุณธรรมและมีคุณสัมพันธ์ระหว่างกัน เพื่อจดจำบทเรียนที่ได้รับจากภัยพิบัติ ปรัชญาความคิดของท่านบรมครูขงจื้อและเมิ่งจื้อ จะเป็นที่เทิดทูนศรัทธาทั่วโลก ความจริงใจรักใคร่ช่วยเหลื่อซึ่งกันและกัน จะเป็นปฎิญญาที่ทุกคนรักษาไว้ร่วมกัน
9.
พระศรีอาริยเมตไตรย จะเสด็จสู่โลกมนุษย์อีกครั้งหนึ่งในศุภวาระนี้
จะทรงเปิดเผยให้เห็นฉากสำคัญอันศักดิ์สิทธิ์ ของพระอรหันต์แห่งธรรมกาลยุคขาวนี้ จะทรงประทานอริยฐานะตามลำดับมรรคผลบุญกุศล จากนี้โลกแห่งสันติสุขเยี่ยงสมัยพระเจ้า “เหย่าซุ่น” หรือโลกพระศรีอาริย์ก็ได้เบิกวิถี ณ บัดนี้
ภาพเมื่อโลกถูกระเบิดนิวเคลียร์ทำลาย
ในหนังสือ “ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เห็นวันโลกาวินาส ”
ศุภนิมิตถอดความไว้ว่า:- เมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2531 เวลา 17.10 น. เด็กหญิง “เทียนไฉ” ถอดจิตออกจากร่างติดตามพระอรหันต์จี้กงขึ้นไปเหนือเมฆ มองดูภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในภายหน้าสภาพอันน่าเวทนาเมื่อเวลาระเบิดนิวเคลียร์ระเบิดขึ้น มีดังนี้
ระเบิดนิวเคลียร์ลูกหนึ่ง ได้ยิงไปตกลงยังเมือง ๆ หนึ่ง
หัวระเบิดได้ระเบิดขึ้นกลางอากาศเกิดเปลวไฟและแสงสว่างอันแรงกล้า แล้วทันใดนั้นมันก็ทำลายสิ่งปลูกสร้างที่มีอยู่ทั้งหมดชั่วพริบตา พร้อมกับเสียงดังกัมปนาทและแรงสะเทือนอย่างรุนแรงจากระเบิด ความกดอากาศเปลี่ยนแปลงทันที คนและสัตว์ทั้งหลายบาดเจ็บและล้มตายลงนับจำนวนไม่ถ้วน ทุกหนทุกแห่งเห็นแต่ภาพน่าอนาถ กลุ่มควันที่เหมือนเมฆสีดำรูปดอกเห็ด ขยายตัวขึ้นสู่ท้องฟ้าสีดำมืด และมีกลิ่นเหม็นอย่างร้ายกาจ อากาศในขณะนั้นให้ความรู้สึกอึดอัด เหมือนกำลังจะขาดใจตาย บริเวณที่ได้รับความเสียหายกว้างไกลออกไปถึงร้อยกว่ากิโลเมตร
ส่วนกัมมันตภาพรังสีนั้น ครอบคลุมไปไกลถึงหลายร้อยกิโลเมตร คนที่ไม่ตายด้วยไฟและแสงหรือจากแรงระเบิด ก็วิ่งพล่านกระเจิดกระเจิงไป เสียงเรียกพ่อ เรียกแม่ กรีดร้องก้องฟ้า เป็นที่น่าเวทนา หาที่เปรียบไม่ได้เลย ทันใดนั้นเมฆบนท้องฟ้าก็เคลื่อนไหวม้วนตัวอย่างรวดเร็ว ท้องฟ้าเปลี่ยนจากสีแดงเรื่อ ๆ เป็นสีแดงคล้ำแล้วกลับกลายเป็นสีเทาขาว แล้วในทันใดก็เปลี่ยนเป็นสีเทาดำ และดำมืด
ถึงตอนนั้นแม้จะชูมือขึ้นตรงหน้า ก็มองไม่เห็นนิ้วมือทั้งห้าได้
คนที่ยืนอยู่ต่อหน้ากัน ก็มองไม่เห็นกัน พระอาจารย์จี้กงตรัสไว้ว่านั่นคือ
“ เจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าวัน ”
อันยาวนานที่รัตติกาลมาสู่โลก เวลาอันน่าสะพรึงกลัวกำลังเริ่มแล้ว ณ บัดนี้
วันที่ 30 มกราคม เวลาเช้า 9.00 น. อันเป็นเวลาฝึกสมาธิ ดรุณีน้อยเอี้ยนอี๋ (เทียนไฉ) ก็ได้ถอดจิตติดตามพระอาจารย์จี้กง ไปดูสถานที่เกิดเหตุมหันตภัยต่อไปดังนี้:-
ขณะนั้น
ลมมหา
ประลัย โหมมาทั้งสี่ทิศพร้อมกันตึกใหญ่ ๆ ที่ยังมิได้พังทลายทั้งหมด ท่ามกลางแรงระเบิดและแสงไฟโชติช่วงได้พังคลืนลงมาทั้งหมด เสียงดังสนั่นหวั่นไหว แม้แต่ต้นไม้ขนาดสิบคนโอบรอบ ก็ถอนรากถอนโคน ล้มระเนระนาด ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในสายตาล้วนเป็นสภาพที่น่าเวทนายิ่งนัก แล้วเธอก็ได้เห็นหมู่บ้านใหม่แห่งหนึ่ง ตรงกลางเป็นพุทธสถาน บ้านเรือนที่อยู่ในรัศมีโดยรอบหลายร้อยเมตร ถูกห่อหุ้มด้วยแสงสีม่วงเรืองรอง ผู้คนที่อยู่ในพุทธสถานและภายใต้การห่อหุ้มของแสงสีม่วงพ้นภัยโดยทั่วกัน ส่วนที่อยู่ห่างไกลออกไปแต่เป็นคนที่มีจิตใจดี ดูเหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะดลใจให้เขาวิ่งเข้ามาหลบภัยในพุทธสถานด้วย
โลกภายนอกมืดมิดไปทั่ว ไม่มีแสงสว่างจากไฟฟ้าหรือดวงไฟจากสิ่งใดเลย
สายฟ้าแลบพร้อมกับฟ้าคะนอง หยดน้ำสีแดง ๆ เหมือนสายฝน แต่มิใช่ โกรกลงมาจากฟ้าแต่ละหยดมีน้ำหนักเหมือนเศษแก้ว กลิ่นเหม็นเอียนจัด เหมือนยาพิษร้ายแรง มันทะลุผ่านอิฐ หิน ปูน เหล็กกล้าและทุกอย่างแต่ที่น่าอัศจรรย์คือ เมื่อมันหยดลงมาบนรัศมีครอบที่เป็นสีม่วง มันจะสลายตัวหายไปจนหมดสิ้น ในตำหนักพระมีพระพุทธประทีป 3 ดวง บนแท่นบูชาสาดส่องประกายไฟอยู่สว่างไสว
ไม่นานต่อมาเธอก็ได้เห็นพื้นดินแยกออกเป็นร่องลึกใหญ่ทั่วไป
ผีนรกทั้งหลายกรูกันออกมาจากรอยแยกเหล่านั้น ทุกคนดูกระเหี้ยนกระหือรือ พอเห็นศัตรูคู่อาฆาตลูกหนี้ในชาติก่อนของเขาก็ฉุดกระชากตัวลงไป ในร่องลึกใต้ดินโดยทันทีโดยไม่มีการพูดจาต่อรองใด ๆ เป็นภาวะที่ผีคร่ำครวญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ร่ำร้องโดยแท้สยองขวัญยิ่งนัก พระอาจารย์จี้กงบอกหนูเอี้ยนอี่ว่า นั่นคือการหักล้างบัญชีครั้งใหญ่ ในรอบหกหมื่นปีที่ผ่านมา
ทันใดนั้น เธอก็เห็นสถานที่แห่งหนึ่ง
ถูกห่อหุ้มด้วยแสงสีม่วงเหมือนกัน แผ่รัศมีรอบวงค่อนข้างมัวหมองเหมือนถ้ำ และเหมือนบ้านเก่า ภายในบริเวณไม่มีแท่นที่บูชาพระ มุมหนึ่งในบริเวณนั้นมีไหวางเรียงอยู่หลายใบ ไหทุกใบมีฟองเหมือนน้ำและเหมือนน้ำมันผุดขึ้นจนล้นออกมา ฟองเหล่านั้นมีสีแดงเรื่อ ๆ ให้ความรู้สึกที่ไม่สบายใจเลย บนผนังบ้านติดยันต์เต็มไปหมด ดูอึมครึมน่ากลัว พระอาจารย์จี้กงบอกว่า ที่นั่นเป็นเมืองในม่านเมฆจอมปลอม เป็นถ้ำมารที่ปีศาจมารร้ายจำแลงไว้ล่อใจคนโลภหลงให้เข้าไปติดกับ ไม่นานนักเธอก็เห็นพระศรีอาริย์ปลอมลอยลงมาจากฟากฟ้า หัวเราะร่าร้องเรียกผู้บำเพ็ญอนุตตรธรรมและคนทั้งหลาย ที่ยังไม่ทันได้ไปหลบภัยในพุทธสถานที่แท้จริงว่า ให้ติดตามเรามา เจ้าจะหลบเลี่ยงภัยพิบัติได้ อีกทั้งแสดงอิทธิปาฎิหาริย์ให้แสงสีม่วงห่อหุ้มพวกคน ให้พ้นจากการทำลายของฝนพิษได้
เท่านั้นยังไม่พอ
ยังมาตะโกนเรียกผู้บำเพ็ญธรรมที่หลบภัยอยู่ในตำหนักพระ ภายใต้ครอบแสงสีม่วงให้ตามไป จะได้ยกระดับและมอบหมายตำแหน่งงานธรรมชั้นสูงให้ ใครก็ตามที่หลงเชื่อตามไปในครั้งนี้ ก็จะไม่มีวันได้ผุดได้เกิดอีกต่อไป โดยแท้จริงแล้ว คนที่เข้าพุทธสถานแล้ว ภัยพิบัติมิอาจเข้ามาทำลายได้เลย เมื่อถึงเวลานั้นคนที่บำเพ็ญธรรมจงพึงระวังตัวให้รอบคอบทีเดียว
วันที่ 3 กุมภาพันธ์ เวลาบ่ายสองโมงโดยประมาณ
พระอาจารย์จี้กงพาหนูน้อยเอี้ยนอี๋ไปดูเหตุการณ์วันมหาวิปโยคต่อไป:- [COLOR=darkslateblue]แม้จะผ่านช่วงสี่สิบเก้าวันอันยาวนานและน่าสะพรึงกลัวไปได้แล้วก็ตาม แต่โลกก็ยังตกอยู่ในความมืดมิด ต่อมาจึงค่อย ๆ สว่างขึ้นทีละน้อย เห็นศพเกลื่อนกลาดกองพะเนิน มีแต่หัวขาด แขนขาด ขาขาด หรือตัวขาดเป็นท่อน จนแทบไม่มีศพเต็มร่างเลยโลหิตสีดำคล้ำนองไหลมารวมกัน จนเหมือนแม่น้ำเลือดกลิ่นเหม็นคาวคละคลุ้งไปทั่วจนอยากอาเจียน พูดได้ว่ามันคือนรกในเมืองมนุษย์จริง
วันที่ห้าสิบถึงเจ็ดสิบ
คนที่ไม่ได้ถือศีลกินเจมาก่อน ยากที่จะผ่านพ้นช่วงนี้ไปได้ เพราะทุกหนแห่งในโลกล้วนอาบไปด้วยพิษของกัมมันตภาพรังสี พืชพันธุ์ธัญญาหารไม่มีอะไรเหลือเลย ผู้ที่ทนต่อความอดอยากไม่ได้ ผู้ที่กินเจเฉพาะวันหรือไม่ได้กินเจ แต่โชคดีที่รอดพ้นสี่สิบเก้าคืนมาได้ ภายในร่างกายของเขายังมีสิ่งสกปรกหลงเหลืออยู่ อีกทั้งอารมณ์โหดจะเกิดขึ้น พวกคนเหล่านั้นจะฉีกเนื้อกระต่าย แกะ วัว ควาย หรือม้ากินดิบ ๆ ได้ แต่ไม่นานต่อมาเขาก็จะต้องตายเพราะสารพิษ พระอาจารย์จี้กงได้โปรดเมตตาบอกว่า มีแต่คนที่กินเจเท่านั้นที่จะอยู่รอดจากความอดอยาก หลังจากภัยพิบัติใหญ่แล้วจริง ๆ
วันที่ 5 กุมภาพันธ์ เวลาเที่ยง พระอาจารย์จี้กงได้โปรดนำหนูเอี้ยนอี๋ไปดูเหตุการณ์วันมหาวิปโยคต่อไป:-
ขณะนั้นท้องฟ้าสว่างแล้ว ทุกสิ่งบนพื้นโลกมีแต่ซากที่ถูกทำลายล้าง แผ่นดินที่แยกออกปิดเข้าหากันแล้ว เหลือแต่รอยแยกเป็นทาง ๆ แม่น้ำเลือดที่ไหลนองก็แห้งลงและซึมลงไปในดิน ทุกอย่างที่เห็นมีแต่สิ่งที่น่าสะอิดสะเอียน น่าสมเพชเวทนา และน่าอนาถใจ คนถือศีลกินเจทั้งหลาย เริ่มจะลงมือเก็บฝังหรือเผาซากศพกันอย่างเป็นงานเป็นการ เมื่อหิวกระหายก็เพียงแต่ใช้นิ้วจุ่มน้ำทิพย์ที่บูชาแตะลงที่ปลายลิ้น แล้วคนเหล่านั้นก็ประทังชีวิตอยู่กันต่อไปได้อย่างไม่เดือดร้อน คนที่ยังไม่เคยกินเจตลอดเสมอมา จะไม่กล้าเดินออกไปนอกตำหนักพระเลยแม้สักก้าวเดียว
วันที่ 8 กุมภาพันธ์ เวลาเที่ยง หนูน้อยเอี้ยนอี๋ก็ติดตามพระอาจารย์จี้กงไปดูเหตุการณ์วันมหาวิปโยค ฉากสุดท้ายต่อไป
:-
ขณะนั้น
ทั้งการเก็บฝังและเก็บเผาซากศพจะแล้วเสร็จไปส่วนเสียส่วนใหญ่ แสงสีม่วงนอกจากจะปกป้องรอบ ๆ อาณาบริเวณพุทธสถานแล้ว ยังรวมทั้งต้นไม้ใบหญ้า และสิ่งปลูกสร้างในวงรอบรัศมีอีกด้วย ส่วนรอบนอกนั้นราพณาสูรไม่เหลืออะไรเลย ความเจริญทางวิทยาศาสตร์ทั้งหมดถูกทำลายหมดสิ้น และใช้การอะไรไม่ได้อีกเลย
จากนั้นฟ้าดินก็ค่อย ๆ กลับคืนสู่สภาวะของธรรมชาติตามปรกติ
ตะวัน เดือน ออกมาส่องแสงเช่นเดิม มีลม มีฝน แม่น้ำลำคลองก็เต็มไปด้วยน้ำใสไหลล่อง ผู้คนเริ่มสร้างบ้านเรือนเป็นที่พักอาศัยหลบฝน และเริ่มงานทำไร่ไถนากันอย่างขะมักเขม้น เช้าก็ออกไปทำนา เย็นก็กลับมาบ้าน ชีวิตแม้จะไม่ว่างทางแรงกายแต่ก็มั่นคงเป็นสุขใจ ผู้คนต่างอยู่ร่วมกันด้วยอัธยาศัยไมตรี ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่มีการวิวาทบาดหมาง แย่งชิง โลกทั้งโลกเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังของชีวิต และเป็นระเบียบแบบแผนอันดีงามเหมือนโลกใหม่โดยแท้.
(แหล่งที่มา หนังสือพระศรีอาริย์เจ้าโลก รวบรวมโดย รหัสญาณ สำนักพิมพ์ ลานอโศก เพรส กรุ๊ป ISBN:9748346285)
บันทึกการเข้า
B l a c k B e a r
: T h e D i a r y
wondermay
บุคคลทั่วไป
Re: สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เห็น วันโลกาวินาศ
«
ตอบ #1 เมื่อ:
12 มีนาคม 2554 12:50:37 »
ครั้งหนึ่งเคยอ่านหนังสือที่ชื่อว่า ท่องขุมนรก
ซึ่งบุคคลที่ำเป็นผู้นำพาวิญญานดังกล่าวไปรู้จักกับการลงโทษต่างๆใน นรก และความเป็นไปบนสวรรค์ ก็คือพระจี้กง
อื่มมมมมมมมมมม
ทำไมถึงเป็นองค์เดียวที่่พาไป ท่านมีหน้าที่อะไรกันนแน่
บันทึกการเข้า
คำค้น:
สิ่งศักดิ์สิทธิ์
วันโลกาวินาศ
โลกแตก
หน้า: [
1
]
ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
กระโดดไป:
เลือกหัวข้อ:
-----------------------------
จากใจถึงใจ
-----------------------------
=> หน้าบ้าน สุขใจ
===> สุขใจ ป่าวประกาศ (ข้อความจากทีมงาน)
===> สุขใจ เสนอแนะ (ข้อความจากสมาชิก)
===> สุขใจ ให้ละเลง (มุมทดสอบบอร์ด)
-----------------------------
สุขใจในธรรม
-----------------------------
=> พุทธประวัติ - ประวัติพระสาวก
===> พุทธประวัติ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
===> ประวิติพระอรหันต์ พระสาวก ในสมัยพุทธกาล
===> ประวัติพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ในยุคปัจจุบัน
===> นิทาน - ชาดก
=====> ชาดก พระเจ้า 500 ชาติ
=> ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
===> ธรรมะจากพระอาจารย์
===> เกร็ดครูบาอาจารย์
=> ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4
=> สมถภาวนา - อภิญญาจิต
=> จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
=> เสียงธรรมเทศนา - เอกสารธรรม - วีดีโอ
===> เอกสารธรรม
===> เสียงธรรมเทศนา
=====> ธรรมะจาก สมเด็จโต
=====> ธรรมะจาก หลวงปู่มั่น
=====> เสียงบทสวดมนต์
=====> เพลงสวดมนต์
=====> เพลงเพื่อจิตสำนึก แด่บุพการี
=====> ธรรมะ มิวสิค (เพลงธรรมทั่วไป)
===> ห้อง วีดีโอ
=> เกร็ดศาสนา
=> กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ
=> ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก
=> บทสวด - คัมภีร์ คาถา - วิชา อาคม
=> พุทธวัจนะ - ภาษิตธรรม
===> พุทธวัจนะ ในธรรมบท
===> พุทธศาสนสุภาษิต
===> คำทำนายภัยพิบัติที่จะเกิด
===> รวมข่าวภัยพิบัติ ทั้งในอดีต และปัจจุบัน
===> รู้ เพื่อ รอด (การเตรียมการ)
=> ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม
===> ฐานข้อมูล มูลนิธิต่าง ๆ ในประเทศไทย (Donation Exchange Center)
-----------------------------
วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ
-----------------------------
=> วิทยาศาสตร์ - จักรวาล - การค้นพบ
===> เรื่องราว จากนอกโลก
=====> ประสบการณ์เกี่ยวกับ UFO
=====> หลักฐาน และ การพิสูจน์ยูเอฟโอ
=====> คลิปวีดีโอ ยูเอฟโอ
=> ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม
=> เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ
===> ร้อยภูติ พันวิญญาณ
=====> ประสบการณ์ ผี ๆ
=======> เรื่องเล่าในรั้วมหาลัย
=====> ประวัติ ต้นกำเนิด ตำนานผี
===> ดูดวง ทำนายทายทัก
===> ไดอะล็อก คือ ดอกอะไร - พลังไดอะล็อก (Dialogue)
===> กระบวนการ NEW AGE
=> เครื่องราง ของขลัง พุทธคุณ
-----------------------------
นั่งเล่นหลังสวน
-----------------------------
=> สุขใจ จิบกาแฟ
=> สุขใจ ร้านน้ำชา
=> สุขใจ ห้องสมุด
===> สุขใจ หนังสือแนะนำ
===> สุขใจ คลังความรู้ลวงโลก
===> สยาม ในอดีต
=> สุขใจ ใต้เงาไม้
=> สุขใจ ตลาดสด
=> สุขใจ อนามัย
=> สุขใจ ไปเที่ยว
=> สุขใจ ในครัว
===> เกร็ดความรู้ งานบ้าน งานครัว
=> สุขใจ ไปรษณีย์
=> สุขใจ สวนสนุก
===> ลานกว้าง (มุมดูคลิป)
===> เวที จำอวด (จำอวดหน้าม่าน)
===> หนังกลางแปลง (ดูหนัง รีวิวหนัง)
===> หน้าเวที (มุมฟังเพลง)
=====> เพลงไทยเดิม
===> แผงลอยริมทาง (รวมคลิปโฆษณาโดน ๆ)
คุณ
ไม่สามารถ
ตั้งกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
ตอบกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แนบไฟล์ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความได้
BBCode
เปิดใช้งาน
Smilies
เปิดใช้งาน
[img]
เปิดใช้งาน
HTML
เปิดใช้งาน
กำลังโหลด...