[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
21 ธันวาคม 2567 19:52:35 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: “ใต้ร่มโพธิญาณ” – หนังสือประวัติ หลวงพ่อชา พระป่าผู้ให้แสงสว่างแก่ชาวโลก  (อ่าน 2060 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5162


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 50.0.2661.272 Chrome 50.0.2661.272


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 03 กันยายน 2559 13:11:46 »




คลิกดาวน์โหลด “ใต้ร่มโพธิญาณ”

"กิ่งก้านโพธิญาณ" และ "ธรรมปรากฏ"
สู่เมธาธรรม : พระราชสุเมธาจารย์
ครูบาจารย์ชา

“บุญญฤทธิ์ พระโพธิญาณเถร”

"อุปลมณี" หนังสือ ชีวประวัติ - ศีลาจารวัตร ของหลวงปู่ชา


สวัสดีครับ


ตอนที่ไปนอนเฝ้าไข้แม่ที่เข้าโรงพยาบาลช่วงปีใหม่นี้ ผมได้อ่านหนังสือ “ใต้ร่มโพธิญาณ” ซึ่งเป็นประวัติหลวงพ่อชา ทำให้เกิดความศรัทธาซาบซึ้งประทับใจในประวัติของท่านมาก และทำให้เห็นชัดเลยว่า คำสอนของหลวงพ่อล้วนมาจากประสบการณ์จริงที่ท่านประสบ เป็นธรรมะแท้ที่ไม่ได้มาจากการท่องจำตามตำรา  แต่มาจากการรู้แจ้งเห็นจริงประจักษ์ชัด และหลวงพ่อก็นำมาสอนด้วยความเมตตา  ประวัติของหลวงพ่อชาจึงเป็นธรรมะอันยิ่งไม่แพ้คำสอนของท่าน

ผมเคยอ่านและฟังประวัติของหลวงพ่อชามาบ้างแล้ว  แต่งวดนี้ได้พักยาวในโรงพยาบาล จึงได้มีโอกาสอ่านหนังสือ ใต้ร่มโพธิญาณ จบเล่ม ตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้าย ทุกตัวอักษร อ่านช้า ๆ ไม่ตกหล่นแม้แต่ตัวเดียว

คลิกดาวน์โหลด “ใต้ร่มโพธิญาณ”

เมื่ออ่านแล้ว ผมอดไม่ได้ที่จะเกิดความคิดเห็นส่วนตัว ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าจะเหมือนหรือต่างจากท่านอื่น ข้างล่างนี้ครับ

          ♥-ในฐานะที่ผมเป็นคนเชื่อในกฎแห่งกรรมอันศักดิ์สิทธิ์เด็ดขาด และเชื่อในเรื่องการตามให้ผลของกรรมเมื่อตายแล้วเกิดใหม่ ผมเชื่อว่าหลวงพ่อชาเมื่อชาติที่แล้วนั้น การบำเพ็ญบารมีธรรมของท่านต้องเกือบเต็มอยู่แล้ว  เมื่อเกิดมาในชาตินี้ ท่านจึงเป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ที่สมบูรณ์ด้วยขันติ วิริยะ ปัญญา เมตตา กรุณา และบารมี อย่างเต็มเปี่ยม

          ♥-ผมพยายามอ่านอย่างกลั่นกรองว่า ใครเป็นอาจารย์ของหลวงพ่อชาบ้าง และก็อ่านเจอว่า ท่านได้ฟังธรรมจากหลวงปู่มั่น 3 วัน(เมื่อ พ.ศ.2490), อยู่กับหลวงปู่กินรี ประมาณ 1 ปี (เมื่อ พ.ศ.2490-91), และได้รับคำแนะนำในการบำเพ็ญเพียรจากอาจารย์วัง (เมื่อ พ.ศ.2492) และเมื่อดูข้อมูลตามนี้ จะพูดว่าท่านเป็นลูกศิษย์ของท่านเหล่านี้ก็ไม่น่าจะตรงซะทีเดียวนัก คือมีลักษณะว่าหลวงพ่อชาท่านได้รับคำชี้แนะที่ช่วยให้การบำเพ็ญธรรมของท่านมีความชัดเจน สามารถดำเนินไปได้รวดเร็วขึ้น แต่ท่านไม่ได้มีลักษณะเป็นลูกศิษย์อย่างเป็นกิจจะลักษณะของท่านทั้งสามนี้

          ♥-เมื่ออ่านประวัติการปฏิบัติธรรมของหลวงพ่อชาไปเรื่อย ๆ ทีละบรรทัด ก็จะเห็นได้ชัดว่า ชีวิตพระป่าและพระธุดงค์ที่หลวงพ่อชาปฏิบัติมาหลายปี เป็นชีวิตที่ลำบากสุด ๆ ในด้านปัจจัยสี่  หลายต่อหลายครั้งที่ท่านผ่านโรคร้ายมาได้แบบเอาชีวิตแทบไม่รอด จึงทำให้ชวนคิดว่า ธรรมะจากการฝึกกายฝึกจิตในป่า จะเอามาใช้กับคนเมืองได้หรือ? แต่ผู้ที่ศึกษาและปฏิบัติธรรมตามคำสอนของหลวงพ่อชาทุกท่านย่อมสามารถเป็นพยานได้ว่า ธรรมะที่ท่านสอนนั้นเป็นสากล เป็นอกาลิโก ปฏิบัติได้ไม่จำกัดกาล แต่หลวงพ่อชาสามารถสอนโดยใช้ถ้อยคำภาษาที่ทำให้คำสอนของพระพุทธเจ้านั้นเป็นอกาลิโกแบบปฏิบัติได้ ในขณะที่พระหลายท่านทำไม่ได้ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะไม่รู้ธรรม หรือรู้ธรรมแต่สอนไม่เป็น หรือสอนเป็นแต่สอนอย่างผิดธรรม

          ♥-จากการอ่านประวัติของหลวงพ่อชา ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะนึกย้อนไปมองประวัติศาสตร์ของประเทศไทยว่า เราก็เป็นเมืองพุทธมากว่า 800 ปีแล้วตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย และพระภิกษุสงฆ์ที่เป็นพระสุปฏิบัติที่ทรงศีลบรรลุธรรม ก็น่าจะมีอยู่คู่สังคมไทยมาทุกยุคทุกสมัย แต่โชคร้ายด้วยข้อจำกัดของเทคโนโลยีหรือเพราะอะไรก็แล้วแต่ ทำให้เราไม่มีบันทึกคำเทศน์คำสอนของพระตั้งแต่อดีตหลงเหลืออยู่เลย  ส่วนที่เป็นวรรณคดีทางพุทธศาสนาที่แต่งโดยคนชั้นสูงก็ไม่น่าจะนับเป็นบันทึกธรรมของพระของมวลชนได้ ผมกำลังนึกว่า  ผมเองนี้โชคดีที่เกิดมาในยุคที่เทคโนโลยีสามารถช่วยบันทึกทั้งเสียงและข้อธรรมของพระผู้รู้ธรรม เช่น หลวงพ่อชา และท่านอาจารย์พุทธทาสไว้ให้อยู่คงทนแบบไม่ผิดเพี้ยน  จึงอดไม่ได้ที่จะอธิษฐานจิตตามประสาปุถุชนว่า ถ้าผมตายไปและเกิดใหม่ในปี พ.ศ.2600 ถ้าเกิดมาเป็นคนไทยขอให้ผมได้มีสัมมาทิฏฐิ  แสวงหาและพบธรรมะของหลวงพ่อชาและท่านอาจารย์พุทธทาสเช่นในชาตินี้อีก แต่ถ้าไปเกิดเป็นคนชาติอื่น ขอให้ผมสามารถอ่านธรรมะของท่านที่แปลเป็นภาษาอังกฤษได้เข้าใจ เพราะผมเข้าใจว่าภาษาอังกฤษยังจะเป็นภาษาที่ชาวโลกส่วนใหญ่ยังใช้อยู่ยาวไปจนถึงชาติหน้าที่ผมเกิดใหม่

           ท่านอาจจะคิดว่า ผมนี่คิดมากเกินไปจนใกล้เพี้ยน แต่ผมว่านี่ไม่ใช่การคิดมากหรอกครับ มันคือการวางแผนระยะยาว  ตอนที่ผมเข้าโรงพยาบาลเฝ้าแม่ที่ป่วย แม่บอกว่าถ้าแม่ตายก็จะไม่ได้เจอกันอีก ผมบอกแม่ว่า เรื่องนี้มันขึ้นอยู่กับการอธิษฐานจิตเหมือนกันนะครับ  ถ้าเราตั้งจิตอธิษฐานว่า ขอให้บุญกุศลที่เราทำไว้อวยพรให้เราได้เกิดมาเป็นแม่ลูกกันอีก ชาติหน้าเราก็น่าจะมีโอกาสเกิดมาเป็นแม่ลูกกันอีกครั้ง ในทำนองเดียวกัน  ถ้าผมอธิษฐานจิตว่า เมื่อผมตายไปขอให้ชาติหน้าได้เกิดมาพบคำสอนที่บริสุทธิ์ที่ผมประจักษ์ด้วยตัวเองแล้วในชาตินี้ คือคำสอนของหลวงพ่อชาและท่านอาจารย์พุทธทาส ผมก็น่าจะมีสิทธิ์ที่จะอธิษฐานขอเช่นนี้

           เวลานี้ผมชักจะแก่แล้ว และเจอ 2 สิ่งที่ใหม่มากเมื่อเปรียบเทียบกับหลายสิบปีสมัยก่อน  คือ

(1) สมัยนี้เทคโนโลยีสมัยใหม่สามารถผลิตสิ่งที่ภาษาเศรษฐศาสตร์เรียกว่า “สินค้า” และ “บริการ” ออกมามากมาย จนทำให้คนทั้งรุ่นใหม่และรุ่นเก่าติดกับถอนตัวออกมาจากสินค้าและบริการเหล่านี้ได้ยาก และมันก็น่าเห็นใจที่คนมากมายติดยึดสิ่งเหล่านี้เนื่องจากมันยั่วยวน และคนจำนวนมากก็เดือดร้อนเพราะความยั่วยวนเหล่านี้

(2) ทุกวันนี้พระภิกษุชาวพุทธที่สั่งสอนและประพฤติธรรมะอย่างผิดและชั่วมีมาก จนคนแยกไม่ออกว่าผิด-ถูก, ชั่ว-ดี ต่างกันอย่างไร และมันก็น่าเห็นใจที่คนแยกไม่ออก เพราะผู้ใหญ่/ผู้นำและระบบที่ควรจะสอนให้สังคม-เศรษฐกิจ-การเมือง มีสัมมาทิฏฐิ กลับยกมิจฉาทิฏฐิเป็น model หรือ idol ผู้คนจึงเกิดมาและตกเป็นเหยื่ออย่างมีความสุขระยะสั้นแต่มีความทุกข์ระยะยาว เพราะงับเหยื่อ กินเหยื่อ และติดเบ็ด

           ทุกวันนี้ตอนผมทำบุญ ผมจะอธิษฐานว่า ขอให้ผมเกิดมาและมีศรัทธาในสัมมาทิฏฐิ เพราะผมเชื่อว่า ภายในปี พ.ศ.  2600 ที่ผมเกิดใหม่(หากผมเกิดในห้วงเวลานั้น) โลกจะเจริญด้วยเทคโนโลยีมากกว่านี้ และมิจฉาทิฏฐิในโลกก็จะยิ่งหนักข้อมากกว่านี้ ผมจึงกลัวนัก เพราะการเกิดมาและถูกสังคมเสี้ยมสอนให้มีศรัทธาในมิจฉาทิฏฐิ ต้องถือว่าตกนรก 

          ♥ -ในประวัติของหลวงพ่อชา มีส่วนหนึ่งที่น่าสนใจมาก คือการต่อสู้กับกามราคะ ทั้งตอนที่เป็นฆราวาสยังไม่ได้บวชและบวชแล้ว ตอนที่เป็นฆราวาสนั้นก็ถูกเมียเพื่อนให้ท่าทอดสะพานให้แต่ท่านไม่เดิน

             ส่วนตอนที่บวชปฏิบัติธรรมนั้นท่านลูกราคะกลุ้มรุมหนัก ไม่ว่าจะเดินจงกรม นั่งสมาธิ หรืออิริยาบถใดก็ตาม ปรากฏว่า มีอวัยวะเพศของผู้หญิง ลอยปรากฏเต็มไปหมด เกิดความรู้สึกรุนแรง เดินจงกรมก็ไม่ได้เพราะ องค์กำเนิด ถูกผ้าเข้า ก็มีอาการไหวตัว ต้องให้เขา ทำที่จงกรมในป่าทึบ เพื่อเดินเฉพาะในเวลาค่ำมืด และเวลาเดิน ต้องถลกสบงพันเอวไว้  การต่อสู้กับกามราคะ เป็นไปอย่างทรหดอดทน   ขับเคี่ยวกันอยู่นาน ถึง 10 วัน  ความรู้สึก และ นิมิตเหล่านั้น จึงสงบและหายขาดไป

           และอีกอันหนึ่งท่านเล่าว่า ในช่วง 7 ปีแรกของชีวิตพระท่านยังไม่สามารถตัดความความคิดจากนางสาวจ่ายอดีตแฟนสมัยฆราวาสที่กลายเป็นเมียของเพื่อนคือนายพุฒ

           ประวัติส่วนนี้ทั้งหมดตอนจะมีการพิมพ์เป็นหนังสือ  บรรดาศิษย์อยากจะให้ไม่ต้องพิมพ์ส่วนนี้ แต่หลวงพ่อชายืนยันว่าต้องพิมพ์ลงไปด้วย ท่านต้องการให้ประวัติของท่านเป็นบทเรียนแก่พระหนุ่มรุ่นหลังเพื่อเป็นกำลังใจให้เกิดความพากเพียรในการปฏิบัติธรรมว่า หลวงพ่อชาเองก็เจอเรื่องนี้ และได้อดทนพยายามจนถึงที่สุดและเอาชนะมันได้

           อันที่จริงประวัติของหลวงพ่อชานี้ ถ้าจะรวบรวมกันอีกครั้งให้ละเอียดลออ ยังจะมีอีก 2 ส่วน คือ

           ส่วนที่ 1 เป็นเรื่องที่ผู้อื่นเล่า ไม่ว่าจะเป็นฆราวาสหรือพระลูกศิษย์ ซึ่งเคยมีประสบการณ์โดยตรงกับหลวงพ่อชา  ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า anecdote และรู้สึกว่า มีตีพิมพ์เป็นเล่มแล้วอยู่บ้าง เท่าที่ผมเจอคือ 

"กิ่งก้านโพธิญาณ" และ "ธรรมปรากฏ"
สู่เมธาธรรม : พระราชสุเมธาจารย์
ครูบาจารย์ชา

           ส่วนที่ 2 เป็นหนังสือประเภทที่ออกจะแสดงถึงความสามารถด้านการหยั่งรู้ หรือพลังจิต ออกไปในทำนองฤทธิ์หรือความศักดิ์สิทธิ์อะไรทำนองนั้น เรื่องนี้ผมเข้าใจว่า ทางพระผู้ใหญ่สายหลวงพ่อชาอาจจะไม่ค่อยสนับสนุนเพราะอาจจะทำให้คนยึดติดและห่างจากธรรม แต่ในความเห็นส่วนตัวผมว่าก็ไม่น่าเกลียดอะไร โดยหนังสือที่พิมพ์ออกมาในชื่อ “บุญญฤทธิ์ พระโพธิญาณเถร” ก็เขียนตามข้อเท็จจริง เชิญท่านลองเข้าไปอ่านได้ครับ คลิกดาวน์โหลด

           ท่านผู้อ่านครับ ชีวิตของคน ๆ หนึ่งที่เกิดมาในโลกนี้สั้นนัก คนบางคนเกิดมาเพื่อเป็นผู้ให้อย่างแท้จริง คือให้ธรรมะด้วยการพูดให้ฟัง ทำให้ดู อยู่ให้เห็น และเมื่อท่านสิ้นไปแล้ว สิ่งที่ท่านพูด ทำ แสดง ก็ยังคงปรากฏเป็นอนุสาวรีย์แห่งธรรม เป็นที่พึ่งของชาวโลก หลวงพ่อชาคือบุคคลเช่นนี้ การบูชาท่าน ปฏิบัติตามคำสอนของท่าน เผยแผ่คำสอนของท่าน ย่อมเป็นคุณต่อตัวเองและต่อโลกโดยแท้

อ่านเพิ่มเติม:

"อุปลมณี" หนังสือ ชีวประวัติ - ศีลาจารวัตร ของหลวงปู่ชา
พิพัฒน์  https://www.facebook.com/EnglishforThai

จาก http://www.e4thai.com/e4e/index.php?option=com_content&view=article&id=2344:2015-01-12-11-10-32&catid=60&Itemid=124

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.436 วินาที กับ 31 คำสั่ง

Google visited last this page วานนี้