[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
22 ธันวาคม 2567 16:22:23 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: เกร็ดธรรมะ พระกรรมฐาน  (อ่าน 3749 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออนไลน์ ออนไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5799


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 29 กันยายน 2562 19:23:13 »



.  เกร็ดธรรมะ พระกรรมฐาน  .



พระอาจารย์มั่นโปรดมลินทนาคราช

ปี พ.ศ. ๒๔๘๐ หน้าแล้ง องค์ท่านหลวงปู่มั่นพาลูกศิษย์ฝึกเที่ยววิเวกแถบป่าเขาเขตอำเภอพร้าว อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ครั้งนั้นมีพระเณรและตาผ้าขาวติดตามองค์ท่านหลวงปู่มั่นเที่ยววิเวกสี่สิบกว่าองค์ หลวงปู่ชอบท่านเป็นหนึ่งในจำนวนสี่สิบกว่าองค์ที่ติดตามองค์ท่านหลวงปู่มั่นไปเที่ยววิเวก เพื่อนสหมิกของท่านที่ติดตามองค์ท่านหลวงปู่มั่นไปเที่ยววิเวก มี หลวงปู่พรหม จิรปุญโญ หลวงปู่ขาว อนาลโย หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ ฯลฯ

หลวงปู่ชอบท่านเล่าให้ฟัง องค์ท่านหลวงปู่มั่นพาลูกศิษย์ออกเที่ยววิเวกครั้งนี้ คือครั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมี ลูกศิษย์พระเณรและฆราวาสติดตามองค์ท่านออกจากเมืองพร้าวครั้งแรกสี่สิบกว่าองค์ ระหว่างทางมีพระเณรกรรมฐานเข้ามาสมทบกับคณะขององค์ท่านอีกนับจำนวนร่วมแปดสิบองค์ จนองค์ท่านหลวงปู่มั่นจัดกองคาราวานกรรมฐานขึ้นสามกองเพื่อไม่อยากให้ชาวบ้านลำบากในการดูแลพระเณรในเรื่องภัตตาหารและที่พัก

ตอนออกจากเมืองพร้าวหลวงปู่ชอบท่านร่วมติดตามมากับองค์หลวงปู่มั่น พอมีพระเณรตามมาสมทบกับคณะขององค์ท่านเพิ่มมากขึ้น หลวงปู่มั่นท่านจัดให้หลวงปู่ชอบ หลวงปู่ตื้อ หลวงปู่แหวน หลวงปู่เกตุ เป็นกองหน้าออกสำรวจเส้นทางเที่ยววิเวก ที่หลวงปู่มั่นท่านให้ออกเดินล่วงหน้า เพราะองค์ท่านทั้งสื่ หลวงปู่ชอบ หลวงปู่ตื้อ หลวงปู่แหวน หลวงปู่เกตุ เป็นพระกรรมฐานกองทัพธรรมผู้ไม่หวั่นต่อความลำบาก

องค์ท่านหลวงปู่มั่นพาลูกศิษย์ที่ติดตามเดินทางมาถึงบึงแห่งหนึ่งระหว่างเส้นทางอำเภอพร้าวมาอำเภอเชียงดาว องค์ท่านหลวงปู่มั่นบอกให้คณะลูกศิษย์ที่ติดตามหยุดพักทางด้านทิศเหนือของบึงแห่งนี้ ท่านให้พระเณรเลือกที่พักตามอัธยาศัยความเหมาะสมของตนเอง หลวงปู่ชอบท่านเลือกต้นแหนเป็นที่แขวนกลด หลังจากจัดแจงที่พักของตนเองเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านเข้าไปดูบริขารและที่พักขององค์ท่านหลวงปู่มั่นว่าหลวงปู่ตื้อท่านจัดการเรียบร้อยแล้วหรือยัง หลวงปู่ชอบท่านช่วยหลวงปู่ตื้อจัดแต่งที่พักให้องค์ท่านหลวงปู่มั่นจนเสร็จเรียบร้อย

องค์ท่านหลวงปู่มั่นบอกหลวงปู่ชอบกับหลวงปู่ตื้อว่า “ท่านชอบ ท่านตื้อ ให้พวกท่านไปบอกหมู่คณะพระเณรทุกองค์ อย่าพากันบริโภคน้ำทางทิศเหนือของบึงแห่งนี้เป็นอันขาด ถ้าจะใช้น้ำ ให้พากันไปใช้น้ำทางด้านทิศใต้ของบึงเท่านั้น น้ำทางด้านทิศเหนือของบึงมันมีพิษ ถ้าใครไปอาบกินจะป่วยไข้ได้”

“ที่บึงแห่งนี้มีพญานาคแอบมาแผ่พังพานพ่นพิษคลุมน้ำในบึงนี้ไว้ครึ่งหนึ่ง ให้ท่านชอบ ท่านตื้อ ไปบอกหมู่คณะทุกองค์ อยู่ที่นี่อย่าพากันประมาทนิ่งนอนใจเป็นอันขาด ถ้าประมาทแล้วจะเป็นอันตรายต่อร่างกายและชีวิตของตนเองได้ ให้พวกท่านไปบอกพระเณรให้พากันอยู่อย่างสงบ เหมาะสมตามสมณะวิสัยผู้ประพฤติตนในธรรมวินัย ให้พระเณรเราพากันแผ่เมตตาให้กับผู้ที่เขาเป็นเจ้าหนองจอมบึงแห่งนี้ให้มากๆ”

ท่านชอบกับท่านตื้อเป็นหูเป็นตามือเท้าให้เราด้วย ท่านชอบคอยเป็นหูในตาในเฝ้าระวังพฤติกรรมความคิดของพญานาคตนนี้ช่วยเราด้วย ท่านตื้อคอยกำกับพระเณรอย่าให้ประพฤตินอกลู่นอกทาง พญานาคตนนี้มานะทิฐิมันแรงไม่ธรรมดา เราพิจารณาดูแล้ว ถ้าเราวางเฉย ไม่โปรดกำราบมานะทิฐิพญานาคตนนี้ ต่อไปข้างหน้าพญานาคตนนี้จะสร้างบาปกรรมกับมนุษย์และสัตว์อื่นให้เดือดร้อน มันจะเป็นกรรมหนักที่จะทำให้เขาตกนรกอบายภูมิได้ เรามีวาสนาเคยสงเคราะห์กันกับพญานาคตนนี้มาก่อน ชาติสุดท้ายแล้วที่เราจะได้โปรดสงเคราะห์เขา”

หลวงปู่ชอบท่านเรียนถามองค์ท่านหลวงปู่มั่นว่า “พญานาคแผ่พังพานพ่นพิษใส่น้ำในบึงเขาทำแบบนี้เพื่อต้องการอะไร”

องค์ท่านหลวงปู่มั่นว่า “พญานาคเจ้าบึงแห่งนี้เขาไม่ต้องการให้พวกเรามาพักอยู่ที่นี่ เขาเกรงว่าพวกเราจะมาข่มเหงแย่งชิงสถานที่แห่งนี้ไปจากเขา เขาจึงแสดงฤทธิ์เดชพ่นพิษใส่น้ำในบึง ถ้าพวกเราใช้น้ำในบึงจะเจ็บไข้ได้ป่วย แล้วพากันหนีจากที่นี่ เพราะโทสจริตจิตเขาจึงคิดไปในทางบาป”

เมื่อทราบเหตุของเรื่องแล้ว หลวงปู่ชอบ กับ หลวงปู่ตื้อ ท่านจึงนำความที่องค์ท่านหลวงปู่มั่นสั่งกำชับไปแจ้งแก่หมู่คณะให้รับทราบโดยทั่วกัน เรื่องใดที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์มั่นท่านไม่สั่ง อย่าพากันฝืนทำเป็นเด็ดขาด เพราะจะเกิดอันตรายจากพิษภัยของพญานาคตนนี้ได้ เมื่อทราบเรื่องแล้วพระเณรทุกรูปต่างพากันสำรวมในจริยวัตรของตน

หลวงปู่ชอบท่านสังเกตดูพระเณรองค์ใดที่มีภูมิธรรม ท่านจะสำรวมนิ่งเฉย ท่านองค์ใดที่ยังไม่มีหลักจิตหักใจเป็นของตนเอง จะแสดงอาการหวาดกลัวออกมาให้เห็น ท่านว่าสถานที่ภายนอกอึมครึมดิบเถื่อนน่าเกรงขาม องค์ท่านหลวงปู่มั่นจะให้พระเณรไปสรงน้ำพร้อมกับองค์ท่าน ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาองค์ท่านจะช่วยดูแลแก้ไขได้ทันที

หลวงปู่ชอบเล่าว่า “อันตรายจากสิ่งลึกลับไม่ธรรมดา ครั้งนี้แหละที่เราเห็นอาจารย์ใหญ่ท่านออกโรงใช้ฤทธิ์ปกป้องลูกศิษย์ของท่าน พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นท่านรู้ว่าอะไรสำคัญ อะไรไม่สำคัญ ตอนนั้นเราก็คาดเดาใจของท่านไม่ได้ ท่านสั่งให้ทำอะไร เราก็ทำตามที่ท่านบอก ความรู้ของท่านอาจารย์มั่นเป็นหนึ่งไม่มีสอง ความรู้ของท่านอาจารย์ใหญ่ลึกซึ้งละเอียดลออมาก ถ้าท่านว่ามายังไง มันจะเป็นไปตามคำที่ท่านว่ามา”

อาจารย์ตื้อมาชวนเราไปหาอาจารย์ใหญ่ อาจารย์ตื้อท่านจะทรมานมานะทิฐิพญานาคตนนี้ เราไม่เห็นด้วยกับอาจารย์ตื้อ เราบอกว่า “ท่านตื้ออยู่ซื่อๆ (อยู่เฉยๆ) ให้เชื่อในบุญบารมีพ่อแม่ครูบาอาจารย์ของเรา ท่านต้องมีเหตุผลลึกซึ้งมากกว่าพวกเราอย่างแน่นอน พวกเราเป็นลูกศิษย์เทียบบุญบารมีพ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านไม่ได้ อาจารย์ตื้อท่านฟังคำเรา ท่านเลยไม่ฝืนขัด”

“ฤทธิ์พญานาคเป็นบุญฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากบุญที่ตนเองบำเพ็ญมา เป็นฤทธิ์ชั่วคราว ฤทธิ์พระอริยะเป็นฤทธาวิมุติถาวร เป็นฤทธิ์เหนือโลก กำลังฤทธิ์อิทธิวิธีมันต่างกัน พญานาคเทวดาพอสิ้นภพชาติตนเอง บุญฤทธิ์นั้นก็สิ้นไปด้วย เหมือนกับผู้ว่าราชการ พอเกษียณแล้วก็สิ้นอำนาจในการให้คุณให้โทษกับผู้อื่น ฤทธิ์วาสนาสิ้นแล้วสิ้นเลย ฤทธิ์โลกุตระถึงจะสิ้นชาติขาดขันธ์ ก็ยังเหลือปาฏิหาริย์ทิ้งไว้ให้โลกได้รู้เห็น”

เรากับอาจารย์ตื้อสรงน้ำอาจารย์ใหญ่อยู่ริมบึง ความคิดของอาจารย์ตื้อไปกระทบจิตของท่านอาจารย์ใหญ่ ท่านอาจารย์ใหญ่บอกอาจารย์ตื้อว่า

“ท่านตื้อ ถ้าเราจะให้ท่านกำราบพญานาคตนนี้ก็ได้ วาสนาของท่านทำได้แค่ข่มฤทธิ์ปราบเขาแค่ชั่วคราวเท่านั้น การใช้กำลังข่มเพื่อเอาชนะบุคคลนั้นมันไม่ถาวร ถึงท่านจะปราบเขาได้ด้วยฤทธิ์ แต่ท่านโปรดเขาด้วยธรรมไม่ได้ วาสนาท่านกับเขาไม่ได้สงเคราะห์กันมาในทางโปรด เรารู้ว่าเราจะทำอย่างไรกับพญานาคตนนี้ เรื่องนี้เราจะจัดการเอง”

องค์ท่านหลวงปู่มั่นแจงเรื่องวาสนาสงเคราะห์ให้หลวงปู่ตื้อฟัง หลวงปู่ตื้อท่านก็สิ้นสงสัย หลวงปู่ชอบท่านว่า เป็นครั้งแรกที่เราได้เห็นพญานาคพ่นพิษใส่น้ำ พิษของพญานาคไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ ท่านว่าพิษที่เกิดด้วยฤทธิ์ของพญานาคเป็นเหมือนเปลวเพลิงที่ลุกไหม้เหนือผิวน้ำ ไม่ต่างอะไรกันกับเปลวไฟที่ลุกไหม้เหนือเชื้อน้ำมัน ท่านสังเกตดูสัตว์ที่อาศัยอยู่รอบๆ บริเวณบึงแห่งนี้ สัตว์ต่างๆ จะไม่ลงกินน้ำในบึงนี้เลย โดยเฉพาะพวกลิง มันจะไม่กินน้ำในบึง เวลาพวกมันเข้าไปใกล้บึงจะมีอาการตื่นกลัวอย่างผิดปรกติ บางตัวถึงกับร้องเจี๊ยกๆ ขี้แตกเยี่ยวราด ออกมาให้เห็น เหมือนกับพวกมันกลัวสิ่งลึกลับที่ซ่อนอยู่ใต้น้ำบึงแห่งนี้

พญานาคมานะทิฐิเฝ้าดูองค์ท่านหลวงปู่มั่นและพระเณรด้วยความขุ่นข้องหมองใจที่เห็นพระเณรมาอยู่ในเขตที่ตนเองเป็นเจ้าของ หลวงปู่ชอบท่านกำหนดดูจิตของพญานาคตนนี้อยู่เนืองๆ พญานาคตนนี้มีไฟโทสะเผาใจตนเองอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่กล้าที่จะเข้าใกล้หรือทำอันตรายองค์ท่านหลวงปู่มั่นและพระเณร เนื่องจากเกรงกลัวในอำนาจบารมีธรรมขององค์ท่านหลวปู่มั่น ได้แต่แสดงฤทธิ์เดชพ่นพิษใส่น้ำเพื่อเบียดเบียนพระเณรในทางอ้อมเท่านั้น

องค์ท่านหลวงปู่มั่นทำเหมือนไม่ใส่ใจพญานาคตนนี้ องค์ท่านทำเหมือนไม่ทราบว่าที่บึงแห่งนี้มีพญานาคมาพ่นพิษเอาไว้ ที่จริงแล้วองค์ท่านทราบด้วยญาณวิถีทุกขณะจิตที่พญานาคตนนี้กำลังคิดทำอะไรอยู่ องค์ท่านพาพระเณรสวดมนต์ขันธปริตรสูตร หรือที่รู้จักกันในบทสวดมนต์วิรูปักเข ซึ่งเป็นบทสวดมนต์แผ่เมตตาและเจริญไมตรีเป็นมิตรกับพญานาคทุกตระกูลหมู่เหล่า ตลอดจนสัตว์อสรพิษทั้งหลาย

กระแสเมตตาที่องค์ท่านหลวงปู่มั่นและพระเณรแผ่ออกทำให้พญานาคเจ้าทิฐิมีจิตใจชุ่มเย็นอ่อนโยนลง มานะทิฐิที่ตนเองเคยถือครองก็พลอยอ่อนโยนไปตามกระแสของเมตตาธรรมที่องค์ท่านและพระเณรแผ่เมตตาให้ แต่ยังคงลวดลายเสียดายทิฐิที่ตนเองเป็นใหญ่ในสถานที่คอยจับจ้องมองผิดคิดตำหนิองค์ท่านหลวงปู่มั่น และพระเณรตามนิสัยอันธพาลที่ตนเองเคยได้รับการบ่มเพาะมาจากกิเลสผู้เป็นพ่อแม่ทางทุกขธรรม

องค์ท่านหลวงปู่มั่นพิจารณาเห็นทิฐิมานะของพญานาคตนนี้อ่อนลงพอที่จะโปรดได้ด้วยธรรมแล้ว องค์ท่านจึงบอกให้พญานาคนี้เผยตัวออกมาก พญานาคเจ้าทิฐิแปลกใจที่หลวงปู่มั่นท่านรู้ว่าตนเองซุ่มดูองค์ท่านอยู่ ตนเป็นกายทิพย์แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีมนุษย์ผู้ใดรู้ว่าตนเองอาศัยอยู่ในบาดาลวิมานบึงแห่งนี้ พญานาคเจ้าทิฐิจึงเกิดอาการกลัวเกรงในอำนาจธรรมฤทธิ์ขององค์ท่านหลวงปู่มั่น ยอมแสดงตัวตนออกมาพบองค์ท่านโดยนิรมิตกายภาพเป็นมานพหนุ่มวัยคนอายุราวสามสิบปี

องค์ท่านหลวงปู่มั่นถามพญานาค เจ้ามีชื่อว่าอะไร พญานาคตนนี้ตอบองค์ท่านว่า ข้าพเจ้าชื่อ “มลินทนาคราช” องค์ท่านถาม ใช่เจ้าหรือไม่ที่มาแผ่พังพานพ่นพิษใส่น้ำในบึงแห่งนี้ พญานาคมลินทะยอมรับว่าเขาเป็นผู้พ่นพิษใส่น้ำในบึงแห่งนี้ องค์ท่านถามว่าเพราะเหตุใดเจ้าจึงต้องทำเช่นนี้ เขาตอบว่า เพราะพวกท่านเข้ามาในเขตหวงห้ามของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเกรงว่าพวกท่านจะพากันมาข่มเหงแย่งชิงเอาสถานที่แห่งนี้ไปจากข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงคายพิษพ่นใส่น้ำเพื่อขับไล่พวกท่านในทางอ้อมเพื่อให้พวกท่านหนีไปจากที่นี่

องค์ท่านหลวงปู่มั่นจึงเทศนาแสดงธรรมอบรมพญานาค “มลินทะ” ผู้หลงผิดให้สำนึกในบาป

“สิ่งที่เจ้าได้กระทำลงไปนั้นมันไม่เกิดประโยชน์อะไรในทางดีงามแก่ตัวของเจ้าเลย การเบียดเบียนผู้อื่นให้ได้รับความเดือดร้อนทั้งกายใจนั้น มันเป็นการสร้างบาปกรรมให้กับตนเองเสียเปล่า ตนเองก็ใช่ว่าจะได้ดีมีงามอะไรในการกระทำแบบนี้ หนำซ้ำกลับทำให้ตนเองนั้นตกต่ำ เพราะบาปกรรมที่ตนเองได้กระทำลงไป การที่เจ้ามาเบียดเบียนสมณสงฆ์องค์เณรผู้มีศีลธรรมนั้นมันเป็นบาปกรรมที่หนัก สิ้นชาติขาดภพจากนี้ไปแล้วตัวเจ้าก็จะตกนรกหมกไหม้ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดกับเขาง่ายๆ เพราะผลจากบาปกรรมที่ตนเองได้เบียดเบียนสมณะสงฆ์องค์เณรผู้ทรงศีลธรรม”

“ขึ้นชื่อว่าอบายภูมิ เป็นภูมิที่ไม่เคยให้ความสุขกับสัตว์โลกหน้าไหนเลย ผู้ที่อยู่ในภูมินี้จะหาความสุขแม้เพียงเสี้ยวเวลาก็หาไม่เจอ มีแต่ระงมจมทุกข์อยู่อย่างนั้นจนกว่าจะสิ้นเวรสิ้นกรรม จะพ้นได้เมื่อไหร่ขึ้นอยู่กับกรรมหนักเบาที่สัตว์โลกผู้นั้นสร้างมันขึ้นมา”

“อัตภาพภพภูมินาคาปัจจุบันของเจ้าก็สูงส่งกว่าสัตว์นรกทั้งหลายอยู่แล้ว “แก้วทิพย์” คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่ทำให้จิตใจของตนเองเป็นสุขนั้นมีอยู่แล้ว ทำไมเจ้าจึงดิ้นรนขนเอา “แก้วทุกข์” คือบาปกรรมเข้ามาเป็นฟืนไฟสุมใจของตนเองให้ทุกข์ทั่วมัวหมอง”

“พระสงฆ์เณรที่ท่านมาพักที่นี่ ท่านก็มิได้มีจิตคิดมุ่งร้ายหมายจะมาทำร้ายทำลายเจ้า พระเณรแต่ละองค์ที่มาพักอยู่ในสถานที่แห่งนี้ ต่างพากันมาปฏิบัติธรรมเพื่อหวังพ้นทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีพระเณรองค์ใดหรือแม้แต่อาตมาก็ไม่ได้คิดจะมาเบียดเบียนทำให้เจ้าเกิดความลำบากยากใจ พวกเรามาที่นี่เพื่อปฏิบัติธรรมและสงเคราะห์สัตว์โลกทั้งหลาย ให้ได้รับความสุขโดยถ้วนหน้า เจ้าก็เป็นผู้หนึ่งที่อาตมาและพระสงฆ์องค์เณรพากันเดินทางมาโปรดด้วยความเมตตาธรรม”

“เป็นวาสนาของเจ้าแค่ไหนที่มีพระสงฆ์สมณะท่านเดินทางไปโปรดตนเองจนถึงที่ถึงถิ่น แทนที่เจ้าจะรับเอาวาสนาอันดีงามนี้มาเป็นมงคลประดับจิตใจตนเอง กลับจะมาทำลายโอกาสอันดีงามของตนเองไปเสีย เจ้าไม่มีจิตคิดละอายใจในบาปกรรมที่ตนเองได้กระทำลงไปบ้างหรือ ขอให้พิจารณาดูในสิ่งที่ตนเองทำลงไปนั้นว่าดีหรือไม่ดี อย่าเอาสติปัญญาของกิเลสมาเป็นผู้ชี้แนะแนวทางให้กับตนเอง เพราะกิเลสมันไม่เคยอบรมสั่งสอนสัตว์โลกตัวไหนให้ได้รับความจริญผาสุกในธรรม ให้เอาสติปัญญาของธรรมมาเป็นผู้นำทางให้กับจิตใจ เจ้าก็จะรู้เองว่าสิ่งที่ตนเองทำไปนั้นมันถูกหรือผิด”

มลินทนาคราชลงใจในธรรมที่องค์ท่านหลวงปู่มั่นแสดง สำนึกผิดคิดละอายใจในบาปกรรมที่ตนเองได้กระทำลงไป กราบขอขมาองค์ท่านหลวงปู่มั่นด้วยความเกรงในผลกรรมที่ตนเองได้กระทำกับองค์ท่าน และพระสงฆ์องค์เณร พญานาคมลินทะรับปากองค์ท่านหลวงปู่มั่นจะกู้คืนถอนพิษออกจากบึงน้ำเพื่อประโยชน์สุขของพระเณรและสรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่อาศัยบริโภคน้ำในบึงหนองแห่งนี้

ก่อนที่พญานาคมลินทะจะลาองค์ท่านหลวงปู่มั่นกลับวิมานเมืองของเขา องค์ท่านขอให้พญานาคมลินทะแสดงร่องรอยไว้ให้พระเณรผู้ตานอกใส ตาในมัว ได้เห็นในฤทธานุภาพของพญานาคเพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่า ภพภูมินี้มีอยู่จริงตามที่พระพุทธเจ้าท่านได้ทรงตรัสไว้ มลินทนาคราชจึงแสดงฤทธิ์ทิ้งร่องรอยขนาดเท่าต้นตาล เป็นทางยาวกว่าร้อยเมตร จากที่พักขององค์ท่านหลวงปู่มั่นผ่านทุ่งหญ้าไปทางทิศเหนือของบึงน้ำ ต้นหญ้าที่พญานาคมลินทะผ่านไปจะไหม้เกรียมเฉาตายเป็นสายทางไม่ต่างอะไรกับเอาไฟมาเผาหรือเอายาฆ่าหญ้ามาฉีดพ่น

วันต่อมาองค์หลวงปู่มั่นบอกพระเณรว่า เมื่อคืนพญานาคที่เขาอาศัยอยู่ในบึงแห่งนี้ขึ้นมาหาองค์ท่าน เขาถอนพิษในน้ำออกแล้ว จากนี้ไปให้พระเณรเราใช้น้ำในบึงแห่งนี้ได้ตามปรกติ ก่อนกลับเขาทิ้งรอยไว้ให้ดู ใครไม่เคยเห็นฤทธิ์รอยของพญานาคก็ไปดูซะ พระเณรจึงพากันไปดูรอยฤทธิ์ของพญานาคที่ทิ้งไว้เป็นหลักฐานเพื่อยืนยันความรู้ขององค์ท่าน

หลวงปู่ชอบท่านสังเกตรอยฤทธิ์ของพญานาคที่ทิ้งไว้ สัตว์เดรัจฉานต่างๆ หรือแม้แต่กระทั่งมดแมง เมื่อผ่านเห็นรอยนี้แล้ว จะไม่มีตัวไหนกล้าเดินข้ามผ่าน จะพากันหลีกเว้นเสียไปทางอื่น ท่านสังเกตพฤติกรรมของสัตว์ เขาจะมีสัญชาติญาณหลบลี้ภัยได้ลึกล้ำกว่ามนุษย์เรา ท่านจึงไม่แปลกใจเลยว่าเวลามีเหตุเภทภัยทางธรรมชาติ หมู่แมลงและสรรพสัตว์เขาจะมีสัญชาตญาณลี้ภัยได้ดีกว่ามนุษย์ เพราะมนุษย์เราถือครองมานะว่าตนเองเหนือกว่าสัตว์อื่น จึงทำให้มนุษย์เราเกิดความประมาทชะล่าใจ พอเกิดเหตุเภทภัยมนุษย์เราจึงตายกันเป็นเบือ เพราะความประมาทมัวเมา


#ที่มา ประวัติท่านพระอาจารย์ตื้อ อจลธมฺโม มูลนิธิพระสงบ มนสฺสนฺโต

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 กันยายน 2562 19:25:03 โดย Kimleng » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออนไลน์ ออนไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5799


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 30 กันยายน 2562 18:16:47 »



ภาพจาก i.ytimg.com

โยมแม่ในอดีตชาติเกิดเป็นเขียดมาเตือนท่าน

ท่านพระอาจารย์สอน ชีวสุทโธ ได้เมตตาเล่าเรื่อง โยมแม่อีกท่านหนึ่งในอดีตชาติของท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง ตายไปเกิดเป็นเขียด มาเตือนท่านให้เร่งภาวนา อย่าประมาท ไว้ดังนี้

ท่าน (พระอาจารย์สิงห์ทอง) ลงไปเทศน์อบรมพวกคุณหมออมรา พวกคุณหมอเพ็ญศรีที่บ้านแม่ชีเมื่อก่อน ตอนอยู่วัดป่าแก้วชุมพล อาตมา (ท่านพระอาจารย์สอน) ได้ถือย่าม ถืออะไรติดตามลงไปด้วย ท่านว่า ท่านไม่มีอะไรจะตอบแทนคุณหมออมราที่ช่วยดูแลโยมแม่ให้ท่าน ท่านก็เลยบอกว่า “เอ้า! จะเล่าเรื่องที่บำเพ็ญให้ฟัง แล้วก็อนุโมทนาเอาบุญ” ว่างั้น ท่านบอก บอกให้คุณหมออมราว่า “อาจารย์ไม่มีอะไรให้นะ ที่มาดูแลโยมแม่นี่” ท่านก็บอกว่า “สมัยอาจารย์ไปภาวนาที่ห้วยทราย” ท่านพูด อาตมาได้ยิน เพราะว่าถือย่ามด้วยและลงไปกับท่านกลางคืนนะ ท่านไปอบรมพวกโยมที่มาจากกรุงเทพฯ อาตมาได้ฟัง ได้ยินได้ฟัง

ท่านบอกว่า “อาจารย์ไปภาวนาอยู่ที่ป่าช้า ที่ห้วยทราย โยมแม่ในอดีตชาติของอาจารย์เคยเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็มี” ท่านว่า “วันหนึ่งขณะไปเดินจงกรมอยู่ที่ป่าช้า ฝนตกพรำๆ นะ เดินจงกรมไป-มา พอเดินเสร็จแล้วก็มานั่งพัก พอมานั่งพักแล้วได้ยินเสียง ตรงนั้นมันมีบ่อน้ำอยู่ใกล้ๆ แล้วก็เสียงมันก็ขึ้นมาว่า “ลูกเอ๊ย! ลูกได้มาบวช ได้มาปฏิบัติ พยายามทำความเพียรให้เต็มที่นะ อย่าประมาท ดูแม่สิเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานอยู่นี่นะ เร่งปฏิบัติเข้า อย่าให้เป็นเหมือนอย่างแม่” ท่านมองไป เห็นเขียดตัวหนึ่ง มันกำลังร้องแล้วก็ทำปากแม็บๆ แล้วท่านก็พูดบอกว่า “เราน่ะอย่าไปนึกนะว่า เราวิเศษ เราเคยเป็นลูกเขียดมา ดูซิ”

แล้วทีนี้ท่านก็จะให้เราสำนึกว่า ไอ้การที่เรามาเป็นพระ หรือเป็นอะไรเนี่ย เราเคยเป็นแม้กระทั่งลูกเขียดเล็กๆ ขึ้นมา ถ้าเราไม่เร่งปฏิบัติ แล้วเราไม่ทำให้ดี เราไปเป็นหนี้ชาวบ้านที่เขาเอาปัจจัยไทยทานมาให้เรานะ เราอาจจะกลับไปเป็นเขียด หรือไปเป็นอะไรอีกก็ได้

ท่านเลยสลดใจเลย “โอ๊ย! แม่เราเกิดมาเป็นสัตว์เดรัจฉาน” พูดให้คุณหมอพวกนั้นฟัง ภพชาตินี่มันสามารถเปลี่ยนแปลงได้ อย่าไปนึกนะเราเป็นคน เราจะต้องเป็นคนเสมอ ท่านว่าให้เร่งภาวนา ท่านก็เลยบอกว่า มันได้ความสังเวชสลดใจว่า โอ้โห้! เนอะ แล้วถ้าเป็นเราเนี่ยยังมาเถลไถล หรือว่าทำๆ เล่นๆ น่ะมันก็ไม่ไหว

โยมแม่ในชาติไหนก็ไม่รู้ มาปรากฏให้เห็นในป่าช้า เคยเป็นแม่ มันหลายภพหลายชาติ เพราะว่าการเวียนว่ายตายเกิดมันนานมาก ท่านพูดให้พวกคุณหมออนุโมทนาด้วยการบำเพ็ญเพียรของท่านไง คือมันสลับซับซ้อนมาก การเกิดการตายของสัตว์นะ ท่านก็เลยพูดให้พวกนั้นอนุโมทนาเขาจะได้บุญ เพราะท่านไม่มีอะไรจะไปตอบแทนเขา เพราะว่าคุณหมออมราท่านดูแลโยมแม่ของท่าน ท่านป่วย แล้วคุณหมออมราได้ดูแลมา


• พระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร •
#ที่มา ประวัติท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร มูลนิธิพระสงบ มนสฺสนฺโต



พระอาจารย์สิงห์ทอง นั่งสมาธิแล้วตัวลอย

ท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร วัดป่าแก้วชุมพล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร ได้เล่าเรื่องท่านนั่งสมาธิแล้วตัวลอยให้ ท่านพระอาจารย์บุญมา คัมภีรธัมโม ฟังเมื่อครั้งพบกันที่วัดพระธาตุฝุ่น อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร ท่านเล่าว่า

ท่านเคยได้ยินว่า ท่านพระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล นั่งภาวนาที่ระเบียงกุฏิ (คงจะเป็นเวลากลางวัน) ท่านรู้สึกว่าตัวท่านลอยขึ้น ท่านเลยเอะใจ ถอนจิตออกโดยไม่ได้ระวัง จึงตกลงก้นกระแทกกับพื้น ท่านไม่แน่ใจว่าตัวท่านลอย จึงเอาวัตถุไปเสียบไว้ที่หญ้ามุงหลังคาแล้วจึงนั่งภาวนาอีก ปรากฏว่าตัวลอยขึ้นไปอีก จึงหยิบวัตถุชิ้นที่เสียบไว้ที่หลังคา แต่คราวนี้ไม่เป็นไรก้นไม่กระแทกพื้น เพราะท่านประคองจิตไว้ ค่อยๆ ถอนจิตออกจนถึงพื้นกุฏิ

ท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง ตามปกติท่านมีนิสัยจะไม่ยอมเชื่ออะไรง่ายๆ จึงเกิดความสงสัยและได้ทดลองปฏิบัติดู ปรากฏว่า ตัวท่านลอยได้จริงๆ ท่านจึงเชื่อเรื่องท่านอาจารย์เสาร์นั่งสมาธิตัวลอยอย่างสนิทใจ โดยครั้งหนึ่งท่านนั่งสมาธิภายในมุ้งกลด (เข้าใจว่าคงเป็นเวลากลางคืน) พอจิตท่านสงบและตัวท่านลอยขึ้นจนศรีษะท่านชนกลด ลอยสูงได้ประมาณครึ่งเมตรท่านเองเกิดความแปลกใจในขณะนั้นว่า ตัวท่านท่าจะลอยขึ้นจากพื้นแน่ๆ เลยลืมตาขึ้นดูตัวเอง ขณะนั้นจิตท่านถอนออกจากสมาธิพอดี เพราะพะวักพะวงกับเรื่องตัวลอย ท่านเลยตกลงมาก้นกระแทกกับพื้นอย่างแรง

ในคราวต่อไปเวลาท่านนั่งสมาธิ พอรู้สึกว่า ตัวท่านลอยจากพื้น ท่านพยายามทำสติให้อยู่ในองค์ของสมาธิแล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้นดูตัวเอง ก็เห็นประจักษ์ตาว่า ตัวท่านลอยขึ้นจริงๆ ท่านได้ควบคุมสติและคอยประคองใจให้อยู่ในองค์สมาธิ จึงมิได้ตกลงสู่พื้นเหมือนคราวแรก

ท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง ท่านทดลองดู ๓ ครั้ง ท่านจึงมั่นใจว่าตัวท่านลอยได้จริงๆ คิดว่าสมัยก่อน (ครั้งพุทธกาล) องค์ที่ชำนาญคงเหาะได้ ดังเช่น พระมหาโมคคัลลานะเถระ และพระปิณโฑลภารทวาชเถระ ผู้ที่ท่านชำนาญในเรื่องนี้ ท่านเหาะได้จริงๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05 มิถุนายน 2563 19:38:47 โดย Kimleng » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออนไลน์ ออนไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5799


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 04 ตุลาคม 2562 11:39:28 »



คนสองคนทำบุญด้วยเงินจำนวนไม่เท่ากัน จะได้บุญเท่ากันหรือไม่ ถ้าเขาได้รับความสุขใจเหมือนกัน

คนที่ทำบุญด้วยกัน จะมีเงินมากเงินน้อย ถ้าคนมีมากนั้นเขาทำ แต่เขาเฉยๆ เขาไม่ได้คิดถึงบุญอะไร ส่วนคนที่มีเงินน้อยเขาทำ เขาปลื้มใจของเขา เขาจะมีความสุขมากกว่า ตรงที่ทำจิตใจให้มีความสุข มันได้บุญมากกว่า เหมือนกับคนที่มีเงินแล้วเขาโยนๆ ให้ เฉยๆ ไม่เคารพกองบุญของตัวเอง

เหตุฉะนั้น การทำบุญต้องพร้อม มีศรัทธา มีเจตนาที่ดี ทำจิตใจให้มีความสุขอิ่มเอิบในบุญในกุศล เคารพกองบุญของตนเองด้วย บุญนั้นก็จะได้มาก พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้อย่างนี้ เมื่อคนที่จนเขาทำอย่างนั้น ในชาติต่อไป พลังของความสุข พลังของบุญก็มีมากขึ้นกว่าปกติ ก็คือความสุขนั่นเอง เพราะว่าบุญคือความสุขใจ และท่านยังแบ่งไว้ ๓ อย่าง

๑.ทาสทาน ของกินที่จะทิ้งเข้าป่าแล้ว จึงเอาไปให้คนอื่น เป็นของต่ำ

๒.สหายทาน มีอะไรในบ้านเรา หรืออยู่ในหอพักของเรา เพื่อนไปหาก็ให้กินอันนี้แหละ มีแค่นี้แหละ เราก็กินอันนี้ เพื่อนก็กินอันนี้ เรียกว่าสหายทาน มันได้บุญขึ้นตามลำดับ

๓.สามีทาน คือของที่เราซื้อมายังไม่ได้กิน ให้เพื่อนกินก่อน เราค่อยกินทีหลัง อันนั้นเป็นยอดทาน ของนั้นเป็นของไม่แพง แต่เป็นยอดของทาน เพราะเราให้เพื่อนกินก่อน เครื่องนุ่งห่มก็เหมือนกัน สมมุติว่าได้ผ้ามาไม้หนึ่ง จะเอาไปทำบุญกับพระ หรือว่าจะให้เพื่อนไปตัดเสื้อตัดกางเกงก่อน แล้วเราค่อยเอาผ้าที่เหลือมาตัดทีหลัง ตัดชุดที่เท่ากัน แต่เราเสียสละให้ก่อน อันนี้เป็นยอดความดีในการบริจาคทาน

ถ้าเป็นเพื่อนกัน คนทำมากทำน้อย ถ้าบอกบุญด้วยกัน จะได้เท่ากันนะ เหมือนที่นั่งอยู่หมดทุกคนนี้ คนหนึ่งทำบุญสาธุพร้อมกัน อนุโมทนา เอาคนล่ะห้าสิบสตางค์แล้วมารวมๆ กันอนุโมทนาได้ด้วยกัน ก็จะได้บุญเท่ากัน

แต่บางคนเขาบอกว่าทำมากได้มาก ไม่อธิบายเรื่องความพอใจหรือไม่พอใจ อย่างให้มากๆ แต่ให้ส่งเดชอย่างนี้ หรือว่าโยนให้เลย ไม่เคารพกองบุญของตน บุญจะไม่ได้มาก เพราะไม่เคารพในกองบุญของตนเอง

.
#ที่มา ถาม-ตอบ ปัญหาธรรมะ
พระอาจารย์เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป


นรกสวรรค์

สวรรค์และนรกนั้นมีจริงๆ แต่เราจะไม่เชื่อเพราะเรายังปฏิบัติไม่ถึง ถ้าเราสามารถปฏิบัติทางด้านจิตใจจนเห็นชัดในเรื่องอย่างนี้ เขาจะมีมิติของเขาอยู่ในสวรรค์ เขาจะลอยอยู่ในชั้นอากาศเป็นชั้นๆ อยู่ ส่วนนรกนั้นเขาก็จะมี หลุมอยู่ในเมืองนั้น ซึ่งในแต่ละหลุมๆ นั้นจะไม่มีเครื่องนุ่งเครื่องห่มเลย เปลือยกายหมด อย่างศีล ๕ มี ๕ ข้อ ก็มี ๕ หลุมแน่นอน คนก็กองพะเนินเทินทึกอยู่ในนั่นแหละ แต่ก่อนเราไม่เชื่อ พอนั่งสมาธิเห็น เชื่อได้ด้วยตนเอง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เลย

ทีนี้สวรรค์ก็เหมือนกัน อาตมาขึ้นไปคุยกับเขาอยู่ที่ปราสาทต่างๆ ทีแรกเขาสร้างวิหารหลังเล็กๆ อยู่ในวัดนี้ วิหารนี้ก็ไปปรากฏอยู่ในสวรรค์ เมื่อเขาตายไปก็ไปอยู่ในปราสาทนั้น อาตมาไปยืนคุยกับเขามาแล้ว จึงมีความเชื่อมั่นว่าสวรรค์เป็นอย่างนี้เอง สวรรค์ชั้นอื่นๆ ก็ชั้นของใครของมันอยู่ในบรรยากาศของโลกนี้แหละ มีสัก ๕๐๐ ขั้นก็จะได้ เพราะฟ้านี้ไม่รู้สูงเท่าไร เครื่องบินจะบินข้ามหรือบินลอดเขาไปก็แล้วแต่ ไม่เห็นเขา เมืองสวรรค์นี้เป็นของทิพย์ เหมือนเราสร้างกุฏิวิหารศาลาไว้อย่างนี้ พอเราอยากจะไปอเมริกาหรือไปอยู่ที่ว่างที่อื่น เมื่อนึกอย่างนี้ พอเราไป ปราสาทจะไปปรากฏคอยอยู่เลย พอเราคิดว่าที่นี่ไม่ต้องที่จะอยู่แล้วแหละมันจะหายแว้บไปเลย มันก็จะไปตั้งอยู่ในที่ ที่เราจะไป มันเป็นของทิพย์ ทีนี้ใครทำบุญอะไร จะเป็นน้ำส้ม น้ำหวาน อาหาร การกินต่างๆ เพียงนึกอยากจะกิน มันจะอิ่มเหมือนกับเราได้กินสิ่งนั้น แต่ไม่ได้กิน เขาเรียกบุญทิพย์ ถ้าไม่ได้ถวายน้ำส้มไว้แล้วเกิดอยากกิน มันก็หิวอยู่อย่างนั้นแหละ ไม่ได้อิ่มเหมือนกินน้ำส้ม นี้มันเป็นอย่างนี้ มันเป็นเมืองทิพย์ กินบุญทิพย์ ของอย่างนี้มีแน่นอน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์

พระถ้าเขาไม่เห็นเขาก็ไม่เชื่อเหมือนกัน บวชมาก่อนอาตมาตั้ง ๒๐ ปี เขาก็เชื่อว่าไม่มีเพราะเขาไม่เห็น พอไปถามหลวงปู่แหวน หลวงปู่ตื้อ หลวงปู่ดุลย์ หลวงปู่ขาว ท่านว่ามี ดูหลวงปู่พรหมที่เป็นอาจารย์ของอาตมา ขึ้นไปคุยอยู่เมืองสวรรค์ตอนที่ภาวนานั่งอยู่ที่กุฏิ แต่จิตไม่เห็น หลวงปู่มั่นขึ้นไปตรวจเมืองสวรรค์ก็เห็นกำลังคุยกับเทวดาอยู่เมืองสวรรค์ ท่านเลยตามไปด่าอยู่ที่นั่น ว่าไปติดสวรรค์ ไปคุยกับเทวดาเขาอยู่ทำไมที่นี่ อันนี้หลวงปู่แหวนท่านเล่าให้ฟัง

คนในเมืองสวรรค์ ผู้หญิงนั้นจะมีแต่หัวหน้าที่สวยกว่าเพื่อนนิดเดียว นอกนั้น ๒-๓ ร้อยคนสวยเท่ากันหมดเลย ไม่มีใครจะสวยมากกว่ากันเลย มีอายุ ๑๖ ปีเต็มเหมือนกันหมด เทพบุตรหรือผู้ชายก็เหมือนกัน สวยๆ เท่ากันหมด แล้วจะใส่ชุดเดียวกันหมด ผมก็แบบเดียวกันหมด จะผูกโบหรือเหน็บดอกไม้เหมือนกันหมด อย่างเดียวกันเลย เหมือนช่างฟ้อนเมืองเชียงใหม่ ใส่เสื้อแขนกระบอกยาวปิดมิดชิดเรียบร้อยหมดทุกคน

ส่วนนรกนั้น ถ้าเป็นนรกตัวปาณาฯ นี้ ก็เหมือนคนลอยแหวกว่ายอยู่ในน้ำ น้ำที่สกปรกเปื้อนไปด้วยเลือด และจะตีกันอยู่ตลอดเวลา ฆ่ากันอยู่ตลอด แล้วก็มีอาวุธต่างๆ มาทิ่มแทงกัน ฆ่ากัน ข้ออทินนาทา นี้ก็ผูกจองจำกัน ข้อกาเมฯ นี้ก็ไม่รู้ผู้หญิงหรือผู้ชายแหวกว่ายอยู่ในน้ำ แต่ตีกันด้วยหมัด ไม่มีอาวุธ เมื่อจมลงไป คนนี้ผุดขึ้นมาตี ขึ้นมาตี ตีกันอยู่อย่างนั้น เขาก็เรียกให้อาตมาช่วย อาตมาลอยอยู่สูงประมาณ ๒ เมตร ดูเขาอยู่ในอ่างนรก ทั้งผู้หญิงผู้ชายไม่มีเครื่องนุ่งห่ม อาตมาจึงถามเขาว่าผิดกันอย่างไรๆ ผิดผัวเมียกันอย่างไรๆ แต่บังเอิญไปเห็นคนที่เพิ่งตายไปจากมนุษย์ ผู้ชายคนเดียว ผู้หญิง ๔ คน นั่งคุกเข่าเปลือยตัวเรียงกันอยู่

ที่นรกจะมี สวส. หรือผู้ที่สอบสวน มาสอบสวนว่าอย่างไร อยู่ที่ไหน มีดินสอยาวๆ พอพวกนี้ตอบออกมา คนที่สอบสวนก็จะมีสมุดสีเขียวเปิดออกมา ซึ่งจะจดบันทึกประวัติของการทำชั่ว ต่อมาจ่ายมบาลก็จะทำการตัดสิน ว่าต้องลงนรกกำหนดเท่านั้นเท่านี้ เหมือนกับผู้พิพากษาศาล พอตัดสินเสร็จแล้วก็จะมีอีก ๒ คนเข้าไป เขาจะเอาตีนยันให้ตกลงไปในหลุมนรกเลย ไม่ได้กระโดดลงไปเอง เมื่อตกลงไปแล้ว หมู่ที่อยู่ในหลุมนรกนั้นก็จะรุมตีเลย ใครที่โผล่หัวขึ้นมาก็ถูกตี โผล่ขึ้นมาก็ถูกตี ตอนที่มุดลงไปนั้น ต้องใช้เวลาตั้งหมื่นปีที่จะโผล่มาอีกครั้ง แต่ว่าไม่ตาย ทีนี้พวกมุสาวาท คนที่โกหกเก่ง ก็จะถูกดึงปาก พร้อมทั้งมีหนอนเจาะอยู่ในปาก คนที่ขี้เหล้าก็จะต่อยมวยกันอยู่อย่างนั้น ใครปีนขึ้นมาได้ก็จะถูกตีตกลงไปในน้ำ ก็จะไปตีกันอยู่ในน้ำอีก เหนื่อยแล้วก็นั่ง นั่งแล้วก็ตีกันเป็นอย่างนี้อยู่ตลอดไป

บางคนที่นั่งอยู่ในที่นี้อาจจะได้ไปเกิดสวรรค์มาแล้วหลายครั้ง แต่มันประคองไม่ได้มันก็เลยเสื่อม มันจะเสื่อมไปเสื่อมมาอยู่อย่างนี้แหละ แต่พวกที่อยู่ในนรกกับสวรรค์จะมีอายุยืนยาวมาก และมีอายุเท่าๆ กัน ผู้อยู่ในสวรรค์นั้นถ้าบุญยังไม่หมด แต่อยากลงมาเกิดในเมืองมนุษย์เพื่อทำความดีนั้น อันนี้สามารถมาได้ แต่ผู้ที่อยู่ในเมืองนรกนั้น เขามาไม่ได้ถ้ายังไม่หมดกรรมชั่วที่เขาทำไว้ ก็ต้องใช้กรรมอยู่ในนรกไปจนหมดกรรมของตนเอง

ส่วนบางคนที่ตายไปแล้วฟื้นขึ้นมาอีกนั้น ก็เหมือนกับเราไปตีสัตว์ สัตว์มันก็สลบไป แล้วมันก็ฟื้นขึ้นมา หรือเหมือนชกมวยกันหลับไปใส่เปลหามไป เดี๋ยวกลับฟื้นคืนมา กรรมเหล่านี้มาให้ผล

.
• พระอาจารย์เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป •
#ที่มา ถาม-ตอบ ปัญหาธรรมะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05 มิถุนายน 2563 19:39:30 โดย Kimleng » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออนไลน์ ออนไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5799


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 06 ตุลาคม 2562 18:41:10 »


ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ และหลวงปู่มั่นเล่าถึงโยมพ่อโยมแม่
(จากกัณฑ์เทศน์ หัวใจพระพุทธศาสนา โดยหลวงปู่ตื้อ)

แม่ของท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ พอถึงวันแปดค่ำ ก็นุ่งห่มขาว แต่วันธรรมดาก็นุ่งดำเหมือนชาวบ้าน เมื่อจะถึงแก่กรรม ได้ภาวนาอยู่ในห้อง จำศีลภาวนาอยู่ตลอดวัน ได้ยินทางหูว่า “อีนายมาเถิด”

คุณยายก็ตอบว่า “รอก่อน รอก่อน” อยู่อย่างนี้ พูดอยู่คนเดียว ฝ่ายลูกสาวสงสัย จึงให้หลานสาวไปกราบเรียนท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ก็บอกความให้หลานสาวไปหาน้องชายหล้า (น้องสุดท้อง) คือ ท่านเจ้าคุณศีลวรคุณ

เมื่อท่านเจ้าคุณศีลวรคุณได้ทราบแล้ว ก็จุดธูปเทียนไหว้พระพุทธรูป ไหว้พระธาตุ ตั้งสัจจะอธิษฐาน ขอบุญกุศลไปช่วยคุ้มครองรักษาวิญญาณของคุณแม่ เสร็จแล้วก็ออกจากวัดไป

เมื่อไปถึงแล้วก็ถามตามภาษาอีสานว่า “แม่ออกเว้าอีหยัง (พูดอะไร) เว้ากับไผ่ (พูดกับใคร) กลางคืนมาเว้าอุ่มๆ อยู่ผู้เดียว บ่แม่นแม่ออกเผอบ๊อ” (ตอนกลางคืนคุณแม่พูดกับใคร เห็นพึมพำ อยู่คนเดียว คุณแม่หลงไปไม่รู้สึกตัวใช่ไหม)
 
ส่วนแม่ก็ตอบว่า “เจ้าคุณฯ ลูกเอ๊ย แม่ออกบ่เผอดอก แม่ออกเว้ากับแม่เฒ่าใหญ่ คือ นางสุชาดา และ นางสุธรรมา จะเอาอู่มารับเอาออกแล้ว”

พอถึงเดือนสิบเอ็ด ออกหัวค่ำ คุณยายก็อาบน้ำชำระกายนุ่งขาวห่มขาว รับอาหารข้าวต้มประมาณสี่ช้อนห้าช้อน เรียบร้อยแล้วก็เข้าภาวนา ใจก็ไปสวรรค์ ขันธ์ทิ้งไว้ พอถึงวันขึ้นแปดค่ำก็เอาเศษคุณยายไปเผาก็เรียบร้อย

ส่วนโยมพ่อของท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ก็นุ่งขาวห่มขาวไปเผาศพของคุณยายด้วย พอกลับมาสามทุ่มเศษ ท่านก็สั่งว่า “ลูกหลายเอ๊ย แม่เฒ่าสูไปแล้ว กูจะไปตามแม่เฒ่าสูเน้อ”

พวกลูกหลานก็ถาม “พ่อเฒ่าจะไปที่ไหน?” ตอบว่า “กูจะไปอยู่ป่าช้า คือตายล่ะสูไปคืนนี้แหละ”

พวกลูกหลานก็ว่า “บ่แม่นพ่อเฒ่าเว้าเล่นบ่ หรือเว้าหยอกหลานสาวบ่”

พ่อเฒ่าย้ำว่า “กูบ่เคยบอกสูว่าอย่างนั้น”

พอแจ้งสว่างขึ้น ลูกหลานไปดู ก็เห็นพ่อเฒ่านั่งในภาวนาหมอบติดอยู่กับหมอน

เดือนสิบเอ็ด ออกห้าค่ำ ถ้าจะว่าตามโลก เรียกว่า ตายเอาใจไปสวรรค์ แต่ขันธ์ตัวพ่อของท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ตายวันแปดค่ำ แต่ใจไปสวรรค์

ความอันนี้ ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ท่านเป็นผู้เล่าให้อาตมาฟังเอง

มารดาของครูอาจารย์มั่น ปฏิบัติศีลแปดอยู่กับท่านอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถร นั่งก็ภาวนา นอนก็ภาวนาได้สามวันสามคืน ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถร ก็เข้าฌานช่วย ฤทธิ์ของมารดาก็กลับคืนมาได้

ท่านอาจารย์มั่น จึงถามมารดา มารดาตอบว่า “นางภิกษุณีโคตมี นางอุบลวรรณเถรีภิกษุณี นางยโสธราพิมพาภิกษุณีได้มาเยี่ยม นับตั้งแต่นี้ไปอีก ๒๐ วัน แม่ออกจะได้ละขันธ์”

พอถึงเวลานั้น พอครบวันที่ยี่สิบ แม่ออกของท่านอาจารย์ก็ทิ้งขันธ์ตามที่แม่ออกบอกกล่าวไว้จริงๆ

อันนี้เป็นเครื่องแสดงว่า แม่ออกของท่านอาจารย์ยกจิตขึ้นไปสู่สันติสุข พ้นจากทุกข์ในสงสาร

เรื่องนี้ ท่านอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถร ท่านก็เล่าให้อาตมาฟังด้วยเหมือนกัน

ในคัมภีร์พระพุทธศาสนานั้น เคยมีเรื่องเล่าไว้เป็นหลักฐาน ดังนั้น จึงขอให้พวกปราชญ์และนักธรรม นักกรรมฐาน จงยกใจของตนเองทุกๆ คน ให้เป็นพระพุทโธ ให้เป็นพระธัมโม พระสังโฆ

เมื่อใจของพระคุณเจ้าทั้งหลายได้พระพุทโธ ชั้นสุทธาวาส เกิดจากพระสังโฆ ที่สุดวิญญาณดับแล้ว ก็เข้านิพพาน

ข้าพเจ้าอาตมาภาพ พระอาจารย์ตื้อ พุทธคุณ ธัมมคุณ สังฆคุณ ขอถวายไว้เป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา แด่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทุกพระองค์


• พระอาจารย์ตื้อ อจลธมฺโม •
บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออนไลน์ ออนไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5799


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: 27 ธันวาคม 2562 13:05:12 »


หลวงปู่ลี กุสลธโร

พรรษาที่ ๑๑ ปีพุทธศักราช ๒๕๐๓ จบพรหมจรรย์ พบวิมุตติสุข ที่วัดปริตตบรรพต ต.หนองงิ้ว อ.สะพุง จ.เลย

ในปีนั้นจะสร้างศาลาวัดป่าบ้านตาด องค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เกรงว่าหลวงปู่ลีจะไม่ค่อยมีเวลาในการภาวนา ดังนั้นท่านจึงไม่ให้อยูที่วัดป่าบ้านตาด โดยออกอุบายให้หลวงปู่ลีไปเร่งปฏิบัติภาวนาที่ภูหลวง จังหวัดเลย

ในที่สุด ก็เป็นผลประโยชน์ยิ่งใหญ่มหาศาลต่อพระพุทธศาสนา องค์หลวงปู่ท่านสามารถประหารกิเลสให้ขาดสะบั้นลงไปจากจิตได้อย่างสิ้นเชิง ท่านสิ้นกิเลส พรรษาที่ ๑๑ ในวันขึ้น ๑๔ เดือน ๑๐ เวลาตีสอง ดึกสงัดของคืนวันอาทิตย์ที่ ๔ กันยายน พ.ศ.๒๕๐๓ ซึ่งตรงกับวันเกิดอายุครบ ๓๘ ปีขององค์หลวงปู่พอดี ณ วัดปริตตบรรพตแห่งนี้

คืนนั้นฝนตกทั้งคืน ท่านเพลิดเพลินในการภาวนาธรรม คือ สติ สมาธิ และปัญญา หลั่งไหลเหมือนสายน้ำ จิตเต็มอิ่มในธรรม เดินจงกรมคล้ายกับว่าเท้าไม่ได้เหยียบพื้นดิน นั่งภาวนาคล้ายกับว่าตัวลอยอยู่เหนือพื้น ทำสมาธิทั้งคืนไม่นอน ไม่พักผ่อนในขณะที่จิตพิจารณาเข้าด้ายเข้าเข็มธรรมขั้นสุดท้าย ภพภูมิพญานาคราชเขาดีใจ เสียงเทวดาไชโยโห่ร้องก้องทิวเขาพนา ร่วมอนุโมทนาว่า ศิษย์พระตถาคตเจ้าได้ผ่านไปอีกองค์หนึ่งแล้ว เสียงฆ้องทิพย์ดังกระหึ่มมาเป็นระยะๆ สลับกับเสียงเทวดาไชโยแว่วมาแต่ไกล เสียงสาธุการปานว่าโลกธาตุทั้งมวลหวั่นไหว ปรากฏว่าภูเขาบริเวณนั้นขาดออกจากกัน น้ำตาร่วงอัศจรรย์เกินที่จำมาเล่าได้ คืนนั้นเสวยวิมุตติสุขสุดที่จะพรรณา

ในรุ่งเช้าซึ่งเป็นวันพระ เพ็ญ ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ศรัทธาญาติโยมทางภาคอีสานถือว่าเป็นประเพณีบุญข้าวสาก (สลากภัต) หลวงปู่ลีท่านได้เข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้านกกนอก มีอุบาสิกาสูงวัยผู้หนึ่งเป็นคนปฏิบัติธรรม และมีความรู้พิเศษจากการภาวนา มาใส่บาตรและได้กล่าวกับหลวงปู่ว่า เมื่อคืนมีเหตุการณ์อัศจรรย์ เกิดมีเสียงเทวดามาอนุโมทนาสาธุการสนั่นหวั่นไหวไปทั่งทุกทิศทุกทาง ซึ่งอุบาสิกาผู้นั้นก็ไม่ได้รู้รายละเอียดอันเป็นความอัศจรรย์เกินคำบรรยายที่เกิดขึ้นกับองค์หลวงปู่ แต่ท่านก็ไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่รับฟังไว้เฉยๆ ต่อมาภายหลังท่านได้นำเรื่อธรรมอัศจรรย์ที่ได้รู้แจ้งประจักษ์ใจไปกราบเรียนถวายแด่องค์พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

ณ วัดป่าบ้านบง อ.ภูเรือ จ.เลย องค์หลวงปู่ลี ท่านได้ไปพักภาวนาแล้วปรากฏว่าจิตรวมใหญ่ ท่านเล่าว่า อดีตชาติท่านเคยเกิดเป็นสุนัขรับใช้องค์หลวงตามาหลายภพชาติ แม้ในภพชาติที่เป็นสุนัขนั้น หลวงตาก็ได้เมตตาอบรมสั่งสอน ดัดนิสัยจนเป็นสุนัขที่มีนิสัยดี ไม่เกเร นอกจากนั้นท่านยังเคยเกิดเป็นช้างคู่บ้านคู่เมืองของพระราชา บางชาติก็เกิดเป็นช้างของชาวบ้าน ชื่อว่า คำบ่อ เจ้าของช้างชื่อพ่อส่วน เขามีลูกสาว ๒ คน ชื่ออีหวัน และอีพัน ส่วนนายควาญช้างชื่อว่า บักคำตัน ถูกเขาใช้ลากซุงเสมอ บางทีถูกเขาทรมานโดยเอาตะปูมาตอกเล็บใส่กับไม้ ท่านระลึกย้อนในภพชาติหลังๆ ของท่านมักจะเกี่ยวข้องกับองค์หลวงตาเสมอ เมื่อถอนจิตออกมาแล้วปรากฏว่าที่อุ้งมือของท่านเต็มไปด้วยน้ำตาที่ไหลออกจากความสลดสังเวชในภพในชาติต่างๆ ที่เคยเป็นมา จากนั้นก็ได้ให้โอวาทธรรมเพื่อเตือนสติพระเณรว่า ให้พากันตั้งใจเร่งภาวนานะ


• หลวงปู่ลี กุสลธโร •
วัดเกษรศิลคุณธรรมเจดีย์ (วัดภูผาแดง) ต.หนองอ้อ อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27 ธันวาคม 2562 13:08:56 โดย Kimleng » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
เรือใบ
นักโพสท์ระดับ 8
***

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 235


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 80.0.3987.132 Chrome 80.0.3987.132


ดูรายละเอียด
« ตอบ #5 เมื่อ: 17 มีนาคม 2563 20:07:45 »

สาธุ สาธุ สาธุ
บันทึกการเข้า
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออนไลน์ ออนไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5799


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #6 เมื่อ: 01 มิถุนายน 2563 15:55:56 »



อันไหนล่ะ        ของคนรวย
อันไหนล่ะ         ของคนจน
อันไหนล่ะ         ของคนที่เจ้ารัก
อันไหนล่ะ         ของคนที่รักเจ้า
อันไหนล่ะ         ของคนที่เจ้าเกลียด
อันไหนล่ะ         ของคนที่เกลียดเจ้า
อันไหนล่ะ         ของคนที่สูงส่ง
อันไหนล่ะ         ของคนที่ต่ำสุด
อันไหนล่ะ         ของคนดี
อันไหนล่ะ         ของคนชั่ว
อันไหนล่ะ         ของคนสวย
อันไหนล่ะ         ของคนหล่อ
อันไหนล่ะ         ของคนขี้เหร่
ความตาย.....ไม่.....       มีแบ่ง.....แยกเรื่องเพศ
ความตาย.....ไม่.....       มีขอบเขต.....เรื่องศาสนา
ความตาย.....ไม่.....       จำกัด.....วันเวลา
ความตาย.....ไม่.....       นำพา.....เรื่องของวัย
ความตาย.....ไม่.....       กำหนด.....เรื่องชนชั้น
ความตาย.....ไม่.....       สำคัญ.....ตายที่ไหน
ความตาย.....ไซร้....       เท่านั้น.....นิรันดร

ขอขอบคุณ ที่มา : f.ตามรอยพระอรหันต์
บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.76 วินาที กับ 31 คำสั่ง

Google visited last this page 19 ธันวาคม 2567 18:06:12