[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
22 ธันวาคม 2567 17:21:25 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: เหตุที่ทำให้สัตว์โลกเวียนว่ายตายเกิดกันอยู่ - พอจ.สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวราราม  (อ่าน 1733 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Maintenence
ผู้ดูแลระบบ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 1117


[• บำรุงรักษา •]

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 84.0.4147.125 Chrome 84.0.4147.125


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 20 สิงหาคม 2563 15:06:18 »




เหตุที่ทำให้สัตว์โลกเวียนว่ายตายเกิดกันอยู่

สิ่งที่จะบ่งบอกให้เรารู้ว่าจิตใจตอนนี้ของเราตอนนี้บวกหรือลบ บุญมากกว่าบาป หรือบาปมากกว่าบุญ ก็ดูตอนที่เรานอนหลับนี่แหละ เวลาเราหลับแล้วเราฝันนี้ ถ้าเราฝันดีเป็นส่วนใหญ่แสดงว่าบุญนี้มากกว่าบาป ถ้าเราฝันร้ายมากกว่าฝันดีก็แสดงว่าบาปมีมากกว่าบุญ นี่คือผลของบาปของบุญที่จะตามเราไปต่อไปหลังจากที่ร่างกายนี้ไม่มีแล้ว ตายไปแล้ว ตอนที่นอนหลับนี้ก็เป็นเหมือนตายชั่วคราว เราก็จะได้เห็นอนาคตของเรา ดูหนังตัวอย่างของอนาคตของพวกเรา ว่าถ้าเวลาเราตายไปแล้วเราจะไปสวรรค์หรือไปอบายกัน ถ้าเรานอนหลับแล้วฝันดี เราก็สบายใจได้ว่าตายแล้วไปสวรรค์ จะไปท่องเที่ยวอยู่ในโลกทิพย์ที่มีแต่ความสุข ถ้าเราฝันร้ายเวลาตายไปนี่ เราจะไปท่องอยู่ในโลกทิพย์ที่มีแต่เหตุการณ์ที่น่าเกลียดน่ากลัว เหตุการณ์ที่ทุกข์ทรมานต่างๆ นี่เป็นผลของบุญของบาปที่เราทำกันในขณะที่เรามีชีวิตอยู่ อันนี้เป็นสิ่งที่เราสามารถพิสูจน์ได้รู้ได้ ทุกคนรู้เวลาเรานอนหลับ เวลาเราฝัน ว่าวันไหนเราฝันดีบ้าง วันไหนเราฝันไม่ดีบ้าง

อันนี้เป็นผลของบุญของบาปที่เราได้ทำไว้กัน และเป็นเพียงหนังตัวอย่างเท่านั้น หนังจริงนี่จะรอตอนที่ร่างกายตายไปแล้ว ทีนี้จะเป็นฝันยาวเลย ตอนที่เรานอนหลับนี้เป็นฝันแค่ ๗ – ๘ ชั่วโมง แล้วเราก็ต้องตื่นขึ้นมา แต่เวลาตายนี้มันไม่รู้กี่สิบปีกี่ร้อยปีกว่าจะตื่นขึ้นมาใหม่ ตื่นขึ้นมาใหม่ก็คือตอนที่เรากลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่นั่นเอง พอเราคลอดออกจากท้องแม่มา ก็เหมือนเราตื่นขึ้นมาจากความฝัน ช่วงระยะก่อนที่เราเกิดนี้ เราอยู่ในโลกของความฝันกัน ฝันดีบ้าง ฝันไม่ดีบ้าง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะฝันตลอดเวลานะ อาจจะมีพักเป็นช่วงๆ ไป เหมือนกับภาพยนตร์ฉายแล้วบางทีเขาก็มีการพักบ้างแล้วก็ฉายรอบใหม่ต่อไป ฝันของเราก็เป็นอย่างนั้น ฝันบ้างแล้วก็หยุดบ้าง พักบ้างแล้วเดี๋ยวก็ฝันใหม่บ้าง เป็นอย่างนี้ไปตามอำนาจของบุญของบาป นี่คือภพชาติของพวกเรา พวกเราส่วนใหญ่นี้จะอยู่ในกามภพกัน กามภพนอกจากภพของมนุษย์ ของสัตว์เดรัจฉานแล้วก็มีภพ ถ้าในอบายก็มีภพของเปรต ของอสูรกาย และภพของนรก นี่เป็นที่ไปของผู้ที่ทำบาปกัน

ส่วนที่ไปของผู้ที่ทำบุญก็เรียกว่าภพของพวกเทวดา พวกเทวดานี้ก็มีแบ่งเป็นชั้นๆ มี ๖ ชั้นด้วยกัน ๑.ชั้นจาตุม ชั้นอะไรต่างๆ ดุสิต จำไม่ค่อยได้ มีอยู่ ๖ ชั้นด้วยกัน มีระดับของความสุขต่างกันไปตามกำลังของบุญที่ทำไว้ ทำบุญน้อยก็จะได้ระดับต่ำ ทำบุญมากก็จะได้ระดับสูง ทำบุญมากก็ได้สุขมาก ทำบุญน้อยก็ได้สุขน้อย แต่ไม่ว่าจะไปอยู่ในภพใดก็ตามมันก็จะหมดลงสิ้นสุดลงเมื่อบุญหรือบาปที่ส่งไปหมดกำลัง ส่งไปเกิดในอบายในนรก พอบาปหมดกำลังก็จะกลับมารอมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ ส่งไปเกิดในสวรรค์ไปเป็นเทพเป็นอะไร พอบุญที่ส่งไปหมดกำลังก็จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ กลับมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อมาเสพรูปเสียงกลิ่นรสกันใหม่ และการหารูปเสียงกลิ่นรสก็อาจจะต้องทำบาปบ้างไม่ทำบาปบ้าง และถ้ามีรูปเสียงกลิ่นรสมากก็อาจจะทำบุญแบ่งให้คนอื่นเขาบ้าง เราก็ยังจะกลับมาเกิดใหม่ กลับมาเสพรูปเสียงกลิ่นรสกันใหม่ แล้วก็กลับมาทำบุญทำบาปกันใหม่ แล้วพอร่างกายนี้ตายไป เราก็กลับไปรับผลบุญกันใหม่ รับผลบาปกันใหม่ มันก็จะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ตราบใดถ้าไม่มีคำสั่งคำสอนของพระพุทธเจ้ามาสอนมาบอกให้เรายุติการเวียนว่ายตายเกิด เราก็จะเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในกามภพเป็นส่วนใหญ่ ส่วนอีก ๒ ภพนี้ที่เรียกว่า รูปภพ กับ อรูปภพ นี้เป็นภพของผู้ที่มีรูปฌานกับอรูปฌาน ผู้ที่นั่งสมาธิได้เช่นพวกนักบวชทั้งหลาย

นักบวชนี้เขาไม่เสพกามกัน เขาถือศีล ๘ กัน ศีล ๘ นี้ห้ามไม่ให้เสพกาม ไม่ให้ร่วมหลับนอนกับใครทั้งหมด ไม่ให้หาความสุขจากการดื่มการรับประทานอาหารมากเกินไป ไม่ให้หาความสุขจากมหรสพบันเทิงต่างๆ ไม่ให้หาความสุขจากการหลับนอนมากเกินไป พวกนี้เขาก็จะมาหาความสุขจากการนั่งสมาธิ เจริญสติพุทโธพุทโธ หรือดูลมหายใจเข้าออก ถ้าสติมีต่อเนื่องสติก็จะพาจิตเข้าสู่ฌานขั้นต่างๆ ฌานนี้ก็มีแบ่งไว้ ๒ ระดับ ระดับละ ๔ ขั้นด้วยกัน รูปฌานก็มี ๔ ขั้น อรูปฌานก็มี ๔ ขั้น รูปฌานนี้หยาบกว่าอรูปฌาน มีความสุขน้อยกว่าอรูปฌาน การจะเข้าสู่ฌานขั้นต่างๆเหล่านี้ได้ก็อยู่ที่กำลังของสติ ถ้าสติมีกำลังมากก็จะสามารถส่งจิตให้เข้าไปสู่ฌานที่สงบได้มากขึ้นไปตามลำดับ รูปฌานก็มี ๔ ขั้น อรูปฌานก็มี ๔ ขั้น ผู้ที่ได้ฌานเหล่านี้เมื่อตายไปก็จะไปเกิดในรูปภพกับอรูปภพ รูปภพนี้เราเรียกว่าพวกรูปพรหม พรหมที่มีรูป ส่วนอรูปภพนี้เป็นพรหมที่ไม่มีรูป เรียกว่าอรูปพรหม พวกนี้ก็จะไม่มาเกิดในกามภพ ยกเว้นเวลาที่กำลังของฌานเสื่อมหมดลง ไปเกิดในรูปภพ ไปเป็นรูปพรหม ไปเกิดในอรูปภพ ไปเป็นอรูปพรหม

พอกำลังของสติของฌานเสื่อมลง ก็จะลงกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ เพื่อที่จะมาปฏิบัติธรรมใหม่ มาฝึกสมาธิใหม่ การปฏิบัติในระดับต่างๆเหล่านี้ยังไม่สามารถส่งจิตให้ออกจากการเวียนว่ายตายเกิดได้ ทำบุญทำทานก็ไม่สามารถหลุดออกจากการเวียนว่ายตายเกิดได้ รักษาศีลไม่ทำบาปก็ไม่สามารถส่งให้ออกไปจากการเวียนว่ายตายเกิดได้ ฝึกสมาธิก็ไม่สามารถที่จะทำให้ออกจากการเวียนว่ายตายเกิดได้ มีธรรมอีกระดับหนึ่งเท่านั้นที่จะทำให้ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิด ธรรมระดับนี้ต้องรอให้มีพระพุทธเจ้ามาค้นพบที่เรียกว่าปัญญาหรือวิปัสสนา คือโลกุตตรธรรม ธรรมที่จะพาให้สัตว์โลกที่เวียนว่ายตายเกิดในไตรภพนี้สามารถหลุดออกจากไตรภพนี้ได้ ต้องมีโลกุตตรธรรม คือธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ ธรรมที่ทรงตรัสรู้ก็คืออริยสัจ ๔ และไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เพราะพระองค์ทรงได้ค้นพบว่า การมาเกิดนี้ การมาเกิดและมีความทุกข์จากการมาเกิดแก่เจ็บตายนี้ เกิดจากการมีความอยากเสพกามนี้เอง กามตัณหา หรือความอยากเสพรูปฌานเรียกว่าภวตัณหา และความอยากเสพอรูปฌานเรียกว่าวิภวตัณหา ที่มีอยู่ในใจของผู้ที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่

ผู้ที่ต้องการที่จะออกจากการเวียนว่ายตายเกิดนี้ต้องละความอยากทั้ง ๓ นี้ ถ้าละความอยากเสพกามได้ก็ไม่ต้องกลับมาเกิดในกามภพ จะไม่ต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเดรัจฉานเป็นเปรตเป็นอสูรกายเป็นนรกเป็นเทวดา แต่ยังไปติดอยู่ที่รูปภพกับอรูปภพอยู่ เพราะยังไม่ได้ละความอยากเสพรูปฌานและอรูปฌาน ถ้าละการเสพรูปฌานได้ก็ไม่ต้องไปเกิดในรูปภพ ถ้าละการเสพความอยากเสพอรูปฌานได้ ก็ไม่ต้องไปเกิดทั้ง ๓ ภพเลย ตัวที่พาให้ดวงวิญญาณของสัตว์โลกทั้งหลายนี้ รวมทั้งของพวกเราทุกคนนี้ยังมาเกิดในไตรภพอยู่ ก็เพราะความอยากทั้ง ๓ นี้คือความจริงที่พระพุทธเจ้าได้ทรงค้นพบทรงตรัสรู้ ทรงรู้ว่าภพชาติของการเวียนว่ายตายเกิดในไตรภพนี้ เกิดจากความอยาก ๓ ประการ กามตัณหา ความอยากเสพกาม เสพรูปเสียงกลิ่นรส ภวตัณหา ความอยากเสพความสงบของรูปฌาน วิภวตัณหา ความอยากเสพความสงบของอรูปฌาน เพราะเป็นความสุข ทั้ง ๓ อย่างนี้เป็นความสุข หยาบละเอียดต่างกัน กามสุขนี้หยาบกว่าความสุขของรูปฌาน ความสุขของรูปฌานก็หยาบกว่าความสุขของอรูปฌาน ความสุขของอรูปฌานนี้เป็นความสุขที่สูงสุดของไตรภพ แต่ยังเป็นความสุขที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน คือยังเป็นไตรลักษณ์อยู่ อยู่ภายใต้กฎของไตรลักษณ์ ไม่ว่าจะได้เสพอรูปฌานนานเท่าไหร่ก็ตาม ในที่สุดมันก็จะต้องมีวันสิ้นสุดลง เพราะกำลังที่ส่งไปมันจะหมดลง เหมือนน้ำมันนี่ ไม่ว่าจะเติมเต็มถังหรือครึ่งถังก็ตาม มันก็จะต้องหมด หมดช้าหมดเร็วเท่านั้นเอง ถ้าเติมน้อยมันก็จะหมดเร็ว ถ้าเติมมากมันก็จะหมดช้า

นี่คือเหตุที่ทำให้สัตว์โลก ดวงวิญญาณของพวกเราทุกคนนี้เวียนว่ายตายเกิดกันอยู่นี้ พวกเรานี้เวลาตายไปนี้อาจจะไปคนละที่ก็ได้ ถ้าพวกเราคนไหนทำบาปมากกว่าทำบุญก็จะไปเป็นเดรัจฉานบ้าง ไปเป็นเปรตบ้าง ถ้าทำบาปด้วยความหลงก็ไปเป็นเดรัจฉาน คือไม่รู้ว่าเป็นบาป เช่น พวกที่ทำมาหากินด้วยการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เขาบอกว่าต้องทำมาหากิน ต้องเลี้ยงปากเลี้ยงท้องไม่น่าจะบาป เขาก็คิดอย่างนั้น แต่มันบาปถ้าฆ่าสัตว์ตัดชีวิตแล้วมันบาป แล้วผลของการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เพื่อเลี้ยงชีพก็จะต้องไปเป็นสัตว์เดรัจฉานต่อไป ถ้าทำบาปด้วยความโลภอยากได้มากๆ ได้เท่าไหร่ก็ไม่อิ่มไม่พอ พวกนี้จะเป็นดวงวิญญาณที่หิวโหย ที่เราเรียกว่าเปรต ถ้าทำบาปด้วยความหวาดกลัว กลัวสิ่งนั้นจะมาทำร้ายเรา กลัวคนนั้นจะมาทำร้ายเรา เราก็เลยไปทำร้ายเขาก่อน พวกนี้ก็จะไปเป็นดวงวิญญาณที่มีแต่ความหวาดกลัว เรียกว่าอสูรกาย แล้วพวกที่ทำบาปด้วยความอาฆาตพยาบาทล้างแค้น ฟันต่อฟันตาต่อตานี่ พวกนี้ก็จะมีใจที่ร้อนด้วยความอาฆาตพยาบาทลุกเป็นไฟตลอดเวลา เรียกว่าไฟนรก พวกนี้ตายไปดวงวิญญาณก็จะเป็นดวงวิญญาณที่มีแต่ไฟนรกเผาผลาญจิตใจ

นี่คือที่ไปของพวกเราที่มานั่งกันอยู่ที่นี่ เราตีตั๋วชนิดไหนก็ต้องไปที่จุดหมายปลายทางนั้น ถ้าตีตั๋วไปเชียงใหม่ก็ต้องไปเชียงใหม่ ไปขึ้นเครื่องไปภูเก็ตเขาไม่ให้ไปเพราะผิดตั๋ว ต้องเปลี่ยนตั๋วใหม่ ถ้าจะไปภูเก็ตก็ต้องเปลี่ยนตั๋วใหม่ ตีตั๋วเชียงใหม่ ฉันใดเวลาร่างกายตายไป ดวงวิญญาณก็จะต้องไปตามตั๋วที่ได้ตีไว้ ถ้าทำบาปก็ไปอบาย ๔ ถ้าทำบุญก็ไปสวรรค์ ๖ ชั้นด้วยกัน ถ้านั่งสมาธิเข้าฌานได้ เข้ารูปฌานได้ก็ไปรูปภพ ไปเป็นรูปพรหม ถ้าเข้าฌานในระดับอรูปพรหมได้ ก็จะปสู่อรูปภพ ไปเป็นอรูปพรหม นี่คือที่ไปของพวกเราที่นั่งกันอยู่นี้ เพราะเราแต่ละคนทำบุญทำบาป ฝึกสมาธิมาไม่เท่ากันนั่นเอง

ธรรมะหน้ากุฏิ
วันที่ ๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๓
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

[• สุขใจ บำรุงรักษาระบบ •]
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.359 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 15 พฤศจิกายน 2567 22:32:14