[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
21 ธันวาคม 2567 23:37:59 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ เรื่องที่ เรื่องที่ ๓๙ เจติยราชชาดก : พระเจ้าเจติยราช  (อ่าน 1047 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5797


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 05 พฤศจิกายน 2563 20:50:13 »




พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ เรื่องที่ ๓๙ เจติยราชชาดก
พระเจ้าเจติยราช

          ในอดีตกาลยังมีพระราชาองค์หนึ่ง พระนามว่า พระเจ้าปริจจรราช ครองราชสมบัติอยู่ในโสตถิยนคร  ในแควนเจติ หรือเจติยรัฐ เพราะเหตุที่ทรงครองแคว้นเจติยรัฐ จึงมีผู้เรียกอีกพระนามหนึ่งว่า พระเจ้าเจติยราช
          พระเจ้าอุปริจรราช ทรงเป็นผู้แสดงฤทธิ์ได้ ๔ อย่าง คือ
          ๑. เหาะได้
          ๒. มีเทพบุตรถือพระขรรค์รักษาอยู่ทั้ง ๔ ทิศ
          ๓. พระวรกายมีกลิ่นจันทน์หอมฟุ้ง
          ๔. พระโอษฐ์มีกลิ่นดอกบัวหอมขจรขจายออกมา
          พระองค์มีพราหมณ์แก่ชื่อ กปิละ เป็นปุโรหิต
          กปิละดำรงตำแหน่งปุโรหิตมาแต่สมัยพระราชบิดาของพระเจ้าอุปริจรราช จนกระทั่งถึงสมัยของพระเจ้าอุปริจรราช
          ปุโรหิตแก่นี้มีน้องชายชื่อ โกรกลัมพกะ ซึ่งสมัยเด็กๆ เคยศึกษาเล่าเรียนมาด้วยกันกับพระเจ้าอุปริจรราช ทั้งสองคุ้นเคยรักใคร่กันมาก
          ตอนนั้นพระเจ้าอุปริจรราชยังทรงเป็นพระกุมาร ได้เคยให้สัญญากับโกรกลัมพกะไว้ว่า ถ้าพระองค์ได้ขึ้นครองราชสมบัติ ก็จะแต่งให้เขาเป็นปุโรหิต แต่ตอนนี้พระกุมารขึ้นครองราชย์แล้ว ยังไม่อาจแต่งตั้งพระสหายได้ เพราะกปิลปุโรหิตพี่ชายของพระสหายยังดำรงตำแหน่งอยู่ จะหาสาเหตุถอดถอนออกก็ไม่มีความผิดอะไร จึงทรงรู้สึกอึดอัดพระทัยมาก
          ปุโรหิตกปิละสังเกตเห็นพระราชามีอาการอึดอัดพระทัย ก็คิดว่าอาจเป็นเพราะพี่เราเป็นคนแก่ ทำอะไรไม่ทันคนหนุ่ม ถ้ากระไรเราออกบวชเสียดีกว่าแล้วให้คนวัยเดียวกับพระราชามาทำแทน คิดดังนั้นแล้วก็กราบทูลลาไปบวช แล้วทูลขอให้ทรงแต่งตั้งบุตรชายของตนดำรงตำแหน่งปุโรหิตแทน
          ครั้นออกบวชแล้ว ฤๅษีกปิละก็อาศัยอยู่ภายในพระราชอุทยานนั่นเอง ไม่ได้ไปอยู่ไหนไกล โดยมีลูกชายมีคอยดูแลอยู่เป็นประจำ
          นายโกรกลัมพะโกรธมากที่พี่ชายบวชแล้วยังทูลขอให้พระราชาแต่งตั้งลูกชายเป็นปุโรหิตแทนที่จะให้แต่งตั้งตน จึงเข้าวังทูลทวงตำแหน่งกะพระราชา
          พระราชาทรงรับปากจะแต่งตั้งให้เขาเป็นใหญ่ด้วยการโกหกสร้างหลักฐานเท็จว่ากปิละเป็นน้องชายของโกรกลัมพกะ
          เรื่องนี้พระราชาจะกระทำในวันที่เจ็ด
          ระหว่างนั้นข่าวคราวเรื่องดังกล่าวได้แพร่หลายไปสู่ประชาชน ลูกชายพระฤๅษีนำความไปบอกพระฤๅษีอย่างรีบด่วน แต่พระฤๅษีบอกลูกชายว่า เจ้าไม่ต้องวิตก พระราชาทำไม่สำเร็จหรอก
          ในวันที่เจ็ด ที่พระลานหลวงได้มีผู้คนมาประชุมกันอย่างล้นหลามเพื่อจะดูว่าพระราชาจะทรงโกหกอย่างไร การโกหกเป็นบาป พระราชาจะกล้าโกหกจริงหรือ
          เมื่อได้เวลา พระราชาก็เสด็จมานั่งอยู่กลางอากาศในขณะพระฤๅษีกปิละก็เหาะมานั่งอยู่กลางอากาศ ตรงข้ามกับพระราชา
          ครั้นมาถึงแล้ว พระฤๅษีกปิละได้ทูลถามพระราชา  พระองค์จะตรัสมุสา ทำเด็กให้เป็นผู้ใหญ่ แล้วพระราชทานยศศักดิ์ให้แก่ผู้นั้นหรือ
          พระราชาตรัสว่าจะทรงทำอย่างนั้นจริงๆ
          พระฤๅษีไม่อยากให้พระองค์ทำบาป จึงตรัสเตือนสติว่า
          “การโกหกเป็นบาปหนัก เป็นสิ่งกำจัดความดี ทำให้ไปเกิดในอบายภูมิ  เมื่อพระราชาตรัสมุสา ตรัสคำไม่เป็นธรรมอันไม่ถูกต้องชื่อว่าทำลายธรรม ทำลายธรรมแล้วก็เป็นการทำลายตนโดยแท้  ผู้ไม่ทำลายธรรมอันถูกตรงธรรมก็ไม่ทำลายเขาแม้สักหน่อยหนึ่ง พระองค์ก็อย่าทำลายธรรมที่ถูกต้องเลย อย่าตรัสมุสาเลย”
          เพื่อจะทูลเตือนถึงผลบาปที่จะตามมาจากการโกหก ฤๅษีจึงทูลต่อไปว่า
          “ถ้าพระองค์ตรัสโกหก ฤทธิ์ของพระองค์ก็จะเสื่อมไป ถ้าพระองค์ตรัสคำสัตย์ พระองค์จะทรงเป็นมหาราชผู้ทรงธรรม ประทับอยู่ในพระราชวังอย่างเป็นสุข”
          พอสดับเช่นนั้นก็ทรงกลัวอยู่เหมือนกัน แต่นายโกรกลัมพะคอยทูลปลอบโยนว่า ไม่ต้องกลัวที่เป็นคำขู่ของฤๅษี
          พระราชาจึงตัดสินพระทัยประกาศออกมาว่า
          “พระฤๅษีเป็นน้องชาย ส่วนนายโกรกลัมพะเป็นพี่ชาย ขอให้ประชาชนจงรับรู้ไว้”
          พอจบคำมุสาครั้งที่ ๑ เทพบุตรทั้ง ๔ พี่ชายคุ้มครองป้องกัน ก็กล่าวตำหนิติเตียน แล้วก็ทอดทิ้งไปไม่คุ้มครองป้องกันเหมือนแต่ก่อน
          พระโอษฐ์ที่เคยมีกลิ่นหอมของพระองค์ ก็กลายมีกลิ่นเหม็น แล้วทันใดนั้นเองพระองค์ก็ร่วงจากอากาศสู่พื้นดิน
          เป็นอันว่า ฤทธิ์ทั้งสี่ของพระองค์ ได้เสื่อมสลายไปภายในเวลาอันรวดเร็ว แม้จะทรงทดลองเหาะขึ้นก็เหาะไม่ได้เสียแล้ว
          พระฤๅษีเห็นพระราชาแล้วรู้สึกสงสารมาก จึงกล่าวทูลด้วยเมตตาว่า
          “มหาบพิตร! ขอพระองค์อย่าตกพระทัย เพียงพระองค์ตรัสคำสัตย์ไม่ตรัสมุสา ก็จะทรงเป็นพระราชามีฤทธิ์อยู่ต่อไป ประทับอยู่ในพระราชวังอย่างมีความสุขเหมือนเดิม
          แม้พระฤๅษีจะทูลดังนั้น แต่พระราชาก็กลับเชื่อโกรกลัมพะ ที่คอยเป็นกำลังใจอยู่ข้างๆ ที่คอยสอนไม่ให้หลงเชื่อพระฤๅษี พระองค์ยังตรัสเหมือนเดิมว่า 
          “พระฤๅษีเป็นน้องชายโกรกลัมพะเป็นพี่ชาย ครั้นตรัสมุสาครั้งที่สอง พระวรกายของพระราชาก็จมลงสู่พื้นดินแยกออกเป็นช่องถึงพระชงฆ์ (แข้ง)
          พระฤๅษีเห็นดังนั้นก็เกรงว่าพระราชาจะถูกแผ่นดินสูบ จึงทูลเตือนสติว่า “พระองค์ก็ทรงทราบความจริงอยู่แล้ว ไฉนจึงตรัสมุสาเสียเล่า พระองค์อย่าได้ตรัสมุสาอีกเลย หาไม่แล้วจะถูกแผ่นดินสูบลึงลงไปกว่านี้”
          แม้จะถูกแผ่นดินสูบไปจนถึงหน้าแข้งแล้ว พระราชาก็ยังไม่เชื่อพระฤๅษี กลับหันไปสบตากับโกรกลัมพะ แล้วตรัสมุสาเหมือนเดิมว่าพระฤๅษีท่านนั่นแหละเป็นน้องชาย โกรกลัมพะเป็นพี่ชายของท่าน
          พอสิ้นคำโกหกครั้งที่ ๓ แผ่นดินก็สูบพระราชาไปจนถึงเข่า พระฤๅษีรีบกราบทูลว่า “ทั้งๆ ที่พระองค์ทรงทราบความจริงว่าเป็นอย่างไร แต่กลับตรัสคำเท็จเสียนี่ ลังขังของพระราชา (ลิ้น) ของพระองค์จะแตกเป็นสองแฉกเช่นลิ้นงู ขอพระองค์อย่าตรัสมุสาอีกเลย”
          พระราชายังไม่รู้สำนึกพระองค์ ยังตรัสโกหกเป็นครั้งที่ ๔ ว่า “ไม่ว่าจะอย่างไรท่านก็ยังเป็นน้องชาย ส่วนโกรกลัมพะเป็นพี่ชายเหมือนเดิม”
          ขณะนั้นแผ่นดินได้สูบพระราชาไปถึงบั้นเอว
          พระฤๅษีทูลว่า “ผลร้ายของการกล่าวมุสาคำเท็จทั้งๆ ที่รู้อยู่ พระองค์จะกลายเป็นคนไม่น่าเชื่อถือ เป็นเหมือนปลาที่ไม่มีลิ้น พระองค์หยุดกล่าวมุสาเถิด”
          พระราชายังตรัสมุสาเป็นครั้งที่ ๕ ว่า “ท่านเป็นน้องชาย โกรกลัมพะเป็นพี่ชาย”
          คำโกหกครั้งที่ ๕ แผ่นดินก็สูบพระราชาไปจนถึงท้อง
          พระฤๅษีรีบทูลว่า “พระองค์ตรัสคำโกหกทั้งที่รู้อยู่ ผลกรรมที่ตามมา พระองค์จะมีแต่พระธิดา ไม่มีพระโอรส ขอพระองค์ทรงทราบไว้”
          แม้แผ่นดินจะสูบมาถึงขั้นนี้แล้ว พระราชายังไม่ทรงรู้สึกพระองค์สักน้อยนิด กลับตรัสโกหกเหมือนเดิมเป็นครั้งที่หก
          พอสิ้นคำโกหกครั้งที่ ๖ แผ่นดินก็สูบพระราชาไปถึงหน้าอก
พระฤๅษีรีบกล่าวว่า “พระองค์เลิกตรัสคำเท็จเถิด โปรดตรัสแต่คำสัตย์อย่างเดียว จะได้พ้นภัยทั้งปวง พระราชาที่ตรัสมุสาจะไม่มีพระโอรส ถ้ามีอยู่แล้วก็จะพากันหนีไปหมด”
          ไม่ว่าพระฤๅษีจะทูลเตือนสติอย่างไร พระราชาก็ตรัสโกหกเหมือนเดิมอีกเป็นครั้งที่เจ็ด
          พอสิ้นคำโกหกแผ่นดินได้แยกออกเป็นช่องลึกลงไป มีเปลวไฟลุกโพลงขึ้นมาเผาร่างของพระราชาให้มอดไหม้หล่นหายลงไปในหลุมนรก ประชาชนที่พากันมาชุมนุมเห็นเหตุการณ์อันสยดสยองต่างพากันตกใจกลัวร้องขึ้นเป็นเสียงเดียวกันว่า “พระราชาใส่ร้ายพระฤๅษีผู้ทรงศีล ทำให้ต้องตกนรกหมกไหม้ทันตาเห็น”
          ฝ่ายพระโอรสทั้งห้าพระองค์ของพระราชา ได้ทรงเห็นเหตุการณ์นั้นด้วย ทรงตระหนกหวาดหวั่นพระทัย เข้าไปหมอบกราบพระฤๅษี ทรงอ้อนวอนขอให้พระฤๅษีเป็นที่พึ่ง
          พระฤๅษีปลอบโยน แล้วแนะนำให้พากันไปอยู่ในแผ่นดินใหม่ ทูลให้พระโอรสองค์ใหญ่เสด็จไปทางทิศตะวันออกไปสร้างเมืองอยู่ที่นั่น นครกลวงของเมืองนั้นจึงมีชื่อว่า หัตถิปุร
          แนะนำให้พระโอรสองค์ที่สองเสด็จไปทางทิศใต้ไปสร้างเหมืองใหม่อยู่ที่นั่น จึงมีเมืองหลวงชื่อ อัสสปุร
          แนะนำให้พระโอรสองค์ที่สามให้เสด็จไปทางทิศตะวันตกให้ไปสร้างเมืองอยู่ที่นั่น แล้วจึงมีเมืองหลวงชื่อ สีหปุร
          แนะนำพระโอรสองค์ที่สี่ เสด็จไปทางทิศเหนือ ให้ไปสร้างเมืองอยู่ที่นั่น แล้วจึงมีเมืองหลวงชื่อ อุตตรบัญชร
          แนะนำพระโอรสองค์ที่ห้าให้เสด็จไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ให้ไปสร้างเมืองใหม่ที่นั่น แล้วจึงมีเมืองหลวงชื่อ ทัทธปุร
          พระโอรสทั้งห้าพระองค์สร้างเมืองใหม่จนสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ทรงนำคุณธรรมว่าด้วยเรื่องความสัตย์มาประพฤติปฏิบัติตาม ไม่เอาเยี่ยงอย่างของพระบิดาที่ตรัสคำโกหก ทั้งห้าพระองค์ทรงปกครองประชาชนให้มีความสุขตลอดมา
 

ธรรมนิทานชาดกเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“การโกหกมดเท็จทำให้ชีวิตเดือดร้อน”

พุทธศาสนสุภาษิตประจำเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
อภูตวาที นิรยํ อุเปติ
คนพูดเท็จย่อมพาให้ตกนรก (๒๕/๔๖)


คัดจาก : หนังสือ พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ ฉบับสมบูรณ์ / จัดพิมพ์เพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดย สถาบันบันลือธรรม

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.386 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 20 ตุลาคม 2567 01:42:21