หวังหยู่ ในวัยหนุ่ม
ฮุ่ยอิงหง ยุคยังสาวใส
ดอนนี เยน ในวัยเด็กน้อย ที่เล่นเป็นจอมยุทธ์มาตั้งแต่เด็ก ๆ
เช่นเดียวกับ ปีเตอร์ ชาน
โลกแห่ง “จอมยุทธ์” เป็นดินแดนแห่งความสง่างาม เล่าเรื่องของวีรกรรมความกล้าหาญของชนชั้นวีรบุรุษ…. แต่สิ่งเหล่านั้นกลับปรากฏอย่างเบาบางใน Wuxia ผลงานใหม่ของ “ปีเตอร์ ชาน” กับนักแสดงแอ็กชั่นหมายเลข 1 ของวงการ “เจินจื่อตัน” ที่เล่าเรื่องราวด้านที่เต็มไปด้วยความสมจริงสมจัง, มืดมิด แห่งโลกจอมยุทธ์
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นจากเหตุฆ่ากันตายขึ้นในหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างไกลไปจากความเจริญของเมืองใหญ่ กับเหตุซึ่งผู้ร้ายที่ทางการต้องการตัวสองคน เสียชีวิตด้วยน้ำมือของ
“หลิวจินซี” (ดอนนี่ เยน) ชายหนุ่มไร้ชื่อคนหนึ่ง
หลิวจินซี ช่างทำกระดาษท่าทางธรรมดา ๆ ชายที่ใช้ชีวิตอย่างปกติสุขกับครอบครัวที่ประกอบไปด้วยภรรยาสาว
“ยู” (ทังเวย) และลูกชายทั้งสองคน เป็นที่รู้จักของทุกคนในฐานะคนต่างถิ่น ผู้ตั้งใจทำมาหากิน เป็นที่น่านับถือคนหนึ่ง และไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น
หลังวีรกรรมที่เกิดขึ้น หลิวจินซี ได้รับการยกย่อง เป็นวีรบุรุษท้องถิ่นของชาวบ้านทุกคน แต่ในทางตรงกันข้ามมันกลับนำความยุ่งยากมาให้กับเขาด้วย เมื่อทางการส่งได้ นักสืบยอดฝีมือ
“ซูไป๋จิ่ว” (ทาเคชิ คาเนชิโร่) มาสืบสวนคลี่คลายคดีดังกล่าว ซึ่งยอดนักสืบได้เริ่มระแคะระคายถึงความผิดปกติในเหตุการณ์การสังหารคนร้าย ของช่างทำกระดาษที่เกิดขึ้น ว่าไม่น่าจะเกิดจาก “ความโชคดี” อย่างที่เจ้าตัวกล่าวอ้าง แต่การเสียชีวิตของผู้ร้ายตัวอันตรายทั้งสองคน อาจเป็นการลงมือของยอดฝีมือผู้เร้นกายอยู่ในบริเวณนี้ต่างหาก
… ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เพราะช่างทำกระดาษผู้ไม่มีที่มาที่ไปชัดเจนคนนี้ แท้จริงแล้วคือ
“ถังหลง” อดีตรองหัวหน้าแห่งกลุ่มนักฆ่า
“72 อสูร” ที่หายตัวไปจากวงการเมื่อ 10 ปีก่อน และร่องรอยการปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้งของเขาที่ ซูไป๋จิ่ว เป็นผู้ค้นพบ ก็ทำให้ความวุ่นวายได้ก่อตัวเกิดขึ้นในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้
ขวดเก่า, เหล้าใหม่ – ร้อนแรงเสียดคอกว่าเดิม ด้วยเรื่องราวทั้งหมด Wuxia ไม่ได้มีเนื้อเรื่องที่แปลกใหม่อะไร หนังเล่าชุดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนับร้อยนับพันครั้ง ในประวัติศาสตร์ของนิยายและหนังกำลังภายใน ที่ว่าด้วยการถอนตัวจากยุทธจักรของยอดฝีมือ หากแต่
“ปีเตอร์ ชาน” ได้นำพล็อต และองค์ประกอบแห่งหนังกำลังภายใน ซึ่งเป็นที่คุ้นชินกันมานาน มาขยายขอบเขต อธิบายถึงรายละเอียดต่าง ๆ อย่างเป็นเหตุเป็นผล ชนิดที่ว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ประการแรกหนังแสดงออกถึงความพยายามอย่างยิ่งยวด ในการอธิบายความถึงเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ของสิ่งที่เรียกกันว่า
“วิชากำลังภายใน” ที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ทั้งฉายภาพไปถึงอวัยวะภายใน ที่ถูกทำลายด้วยวิชาที่เรียกว่า “การสกัดจุด” หรือการควบคุมพลังในร่างกาย ในการเคลื่อนไหวฝืนกฎแรงโน้มถ่วงในแบบ “วิชาตัวเบา” ด้วย
นอกจากวิทยายุทธ์อันเต็มไปด้วยความสมเหตุสมผลแล้ว Wuxia ยังโดดเด่นกับการวาดภาพของโลก “ยุทธ์จักร” ที่ตามท้องเรื่องอยู่ในยุคสมัยของราชวงศ์ชิง ได้อย่างสมจริงสมจัง ให้รายละเอียดไปถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในยุคนั้นอย่างน่าเชื่อถือ จนเหมือนเรื่องราวในหนังเป็นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในเสี้ยวหนึ่งแห่งประวัติศาสตร์
แม้แต่กลุ่มองค์กรมือสังหาร “72 อสูร” ที่ปรากฏอยู่ในเรื่อง ก็ถูกให้รายละเอียดอย่างน่าเชื่อถือ ว่าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขที่เหลือของชาว
"ทังกุต" (หรือ
"ซีเซี่ย") อดีตชนชาติที่ครอบครองดินแดนทางแถบตะวันตก ที่เคยรุ่งเรืองอยู่ในช่วงปี ค.ศ. 1038 ก่อนที่จะถูก กองทัพ มองโกล เข้าตีจนแตกในปี 200 ปีต่อมา ขณะที่ใน Wuxia มีท้องเรื่องที่เกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์ชิง แสดงว่าในฐานะชาวทังกุตที่หลงเหลืออยู่ พวก 72 อสูร คงต้องอยู่อย่างกล้ำกลืนฝืนทนมาร่วมหลายร้อยปีแล้ว … เป็นรายละเอียดที่แม้จะไม่ได้สลักสำคัญอะไรมาก แต่ก็ถือว่าสร้างน้ำหนักให้กับเรื่องราวได้ไม่น้อยเลย
โดยรวมแล้วโลกแห่ง “ยุทธจักร” ของ Wuxia มีภาพที่แตกต่างจากงานที่เคยมีมาโดยสิ้นเชิง กลุ่มผู้เยี่ยมยุทธ์ไม่ได้ดูสง่างามยิ่งใหญ่ แต่ถูกนำเสนอในฐานะกลุ่มชนชั้นที่ดูไม่ปกติธรรมดา เป็นตัวอันตราย จนบางรายแทบจะเข้าขั้นวิปลาส เป็นกลุ่มบุคคลที่ใช้ชีวิตอย่างแปลกแยกจากสังคม คลุกคลีอยู่กับกลิ่นคาวเลือด ดูเหมือนไม่ใช่เป็นวิถีชีวิตที่น่าอภิรมย์เอาเสียเลย
คารวะหนังกำลังภายในยุคเก่า Wuxia มีหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญคือผู้กำกับ
ปีเตอร์ ชาน และพระเอกที่ควบตำแหน่งผู้ออกแบบคิวบู๊ไปในตัวอย่าง
ดอนนี เยน ซึ่งทั้งสองออกปากว่าตัวเองเป็นแฟนพันธ์แท้หนังกำลังภายในยุคเก่าของ
“ชอว์บราเดอร์” กันมาตั้งแต่เด็ก และต้องการใช้ผลงานเรื่องนี้ เพื่อเป็นการสดุดีหนังรุ่นพ่อเหล่านั้น
นอกจากเนื้อหาที่หยิบเอาเนื้อเรื่อง “ตามแบบฉบับ” หนังกำลังภายในที่สุด มาตีความใหม่แล้ว ปีเตอร์ ชาน ยังหยิบเอาบางเสี้ยว หรือเกร็ดจากหนังกำลังภายในที่เรียกกันว่า ยิ่งใหญ่ตลอดการที่สุดเรื่องหนึ่งอย่าง
“เดชไอ้ด้วน” มาใส่ในงานชิ้นนี้ด้วย ซึ่งตอนแรกเคยมีข่าวว่า Wuxia จะเป็นการ “รีเมก” เดชไอ้ด้วน ด้วยซ้ำไป แต่สุดท้ายเป็นแค่องค์ประกอบบางอย่างเท่านั้นเอง
เสี้ยวสำคัญของ “เดชไอ้ด้วน” ที่ปรากฏอยู่ใน Wuxia ก็คือนักแสดงรุ่นใหญ่นาม
“หวังหยู่” ที่ได้หวนคืนจอครั้งแรกในรอบกว่า 10 ปี มารับบทเป็นประมุขแห่งกลุ่มมือสังหารสุดโหด แม้เป็นตัวละครที่ปรากฏแค่ช่วงท้าย ๆ ของเรื่อง แต่ก็โดดเด่นเป็นที่จดจำไม่แพ้ใคร
อาจจะเรียกได้ว่า หวังหยู่ เป็นดาราแอ็กชั่นแห่งโลกหนังกำลังภายในฮ่องกงคนแรก ที่แจ้งเกิดขึ้นมาในปี 1965 เรียกว่ามาก่อน
“บรูซ ลี” เสียด้วยซ้ำ แม้เทคนิคลีลาพะบู๊ของเขาจะไม่ได้สูงส่งอะไรมากนัก แต่ “มาด” จอมยุทธ์ของหวังหยู่ก็ถือว่าไม่แพ้ใคร
ด้วยภาพลักษณ์ภายนอกในวัย 68 ปีเต็ม หวังหยู่ อาจจะแทบไม่เหลือร่องรอยเดิมในสมัยที่เขาเคยโด่งดังเมื่อร่วม 40 – 50 ปีก่อน แต่นักแสดงรุ่นใหญ่รายนี้ยังไว้ลายเสือ ให้การแสดงอย่างยอดเยี่ยมน่าเกรงขาม ในการสวมบทบาทเป็นหัวหน้าของพวก 72 อสูร ที่สร้างความกดดันน่าหวาดวิตกทุกครั้งไป เมื่อเขาปรากฏขึ้นมาบนจอหนัง
นอกจาก หวังหยู่ แล้ว Wuxia ยังมี
“ฮุ่ยอิงหง” มารับบทเป็นนักฆ่าหญิงสุดโหดสังกัด 72 อสูร ผู้ออกปากรับหน้าไปตาม ถังหลง ในคราบ หลิวจินซี ให้กลับคืนสู่ถิ่นเดิม ถ้าใครมีอายุประมาณ 30 – 35 ไปขึ้นไป ก็อาจจะพอจดจำ ฮุ่ยอิงหง คนนี้ได้นะครับ เธอคืออดีตราชินีนักบู๊คนสุดท้ายของชอว์บราเดอร์ เป็นดาราหญิงที่เล่นฉากบู๊ได้เข้าท่าเข้าทาง พอ ๆ กับรูปโฉมที่หนุ่ม ๆ (ในยุคนั้น) หลงเสน่ห์ไปตาม ๆ กัน
สำหรับบทนักฆ่าผู้มีมีดสั้นเป็นอาวุธของ ฮุ่ยอิงหง ในหนังเรื่องนี้ เป็นบทที่ไม่ได้มีรายละเอียดอะไรมากนัก เข้าใจว่าเราไม่ทราบกระทั่งชื่อเธอ รู้แต่เพียงว่าหญิงโหดคนนี้อาจจะมีความสัมพันธ์บางอย่างกับตัวละครของ ดอนนี เยน แต่ก็เป็นเพียงการคาดเดากันเอาเท่านั้น … ด้วยทั้งข้อมูลที่จำกัด และเวลาบนจอที่ไม่ได้มากมายนัก แต่ตัวละครหญิงนักฆ่ากลับเป็นที่จดจำมากเหลือเกิน เป็นตัวละครที่ผสมระหว่างความร้ายกาจ, น่าระพรึง และน่าเห็นอกเห็นใจไปพร้อม ๆ กัน
มาสเตอร์พีซของ “ปีเตอร์ ชาน” บนจีนแผ่นดินใหญ่ ด้วยเนื้อเรื่องที่ถูกเล่าซ้ำมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ปีเตอร์ ชาน ประสบความสำเร็จในการนำกลับมาเล่าใหม่ ด้วยน้ำเสียงที่เจืออารมณ์ตลกร้าย กับเทคนิคอันหวือหวา ทั้งการตัดต่อ, ดนตรีประกอบ และที่น่าประทับใจเป็นพิเศษเห็นจะเป็น งานภาพของ
หลียิ่วฮุย และ
เจค พอลแล็ค ซึ่งเน้นเก็บรายละเอียดของฉากหลังที่เป็นหมู่บ้านอันห่างไกลความเจริญ และวิถีชีวิตของผู้คนในแถบหยุนหนาน ในดินแดนที่ดูอุดมสมบูรณ์ และเต็มไปด้วยธรรมชาติที่สวยงาม เป็นงานที่มีงานสร้างออกมาในมาตรฐานของ ปีเตอร์ ชาน และเหนือมาตรฐานหนังจีนฮ่องกงทั่วไปเช่นเดิม
ส่วนบทของ
ออร์เบรย์ แลม ก็ให้รายละเอียดตัวละครได้อย่างน่าทึ่ง เมื่อมาผสมกับการแสดงชั้นดี จึงได้ผลลัพธ์ที่น่าชื่นชม อย่างตัวละครสาวชาวบ้านของ
ทังเวย ที่ดูสมจริงสมจัง น่าเห็นอกเห็นใจ แม้จะไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรออกมาอย่างรุนแรงชัดเจนก็ตาม
และที่น่ากล่าวถึงเป็นพิเศษก็คือ
ทาเคชิ คาเนชิโร่ ที่สวมบทบาทเป็นนักสืบ “ซูไป๋จิ่ว” ชายผู้ทนทุกอยู่กับทั้งอาการบาดเจ็บภายในที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาด, การเห็นภาพหลอน และชีวิตแต่งงานที่พังพินาศไปแล้ว แต่นั่นไม่ได้นำพาปัญหามาให้เขา เท่ากับการหมกมุ่นอยู่กับงานคลี่คลายคดี เพื่อเอาตัวคนผิดมาดำเนินการทางกฎหมาย หลังจากเหตุการณ์ที่เขาเคยลังเลให้โอกาสกับคนทำผิด จนกลายเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด เป็นบ่อเกิดของหายนะให้กับชีวิตของตนเองมาแล้ว
… นับว่าจากอดีตพระเอกขวัญใจวัยรุ่น ผู้โด่งดังกับความหล่อเหลาชนิดหาตัวจับได้ยาก เส้นทางสายอาชีพการแสดงของ คาเนชิโร่ เดินทางมาได้ไกลอย่างที่ไม่มีใครคาดจริง ๆ
หลายปีที่ผ่านมา ปีเตอร์ ชาน ยืนยันความเป็นคนทำหนังประเภท
“บล็อคบาสเตอร์” ของตัวเองมาตลอด เขาสร้างงานประเภทที่มีนักแสดงชื่อดังรับบทนำ กับเนื้อเรื่องสนุกสนานน่าติดตาม และยังลงทุนมหาศาล งานสร้างยิ่งใหญ่ตระการตา แบบนี้ติด ๆ กันหลายเรื่อง Wuxia เองก็เป็นงานที่เข้าข่ายดังกล่าว แต่ในทางเดียวกัน “หนังบล็อคบาสเตอร์” ในแบบของ ปีเตอร์ ชาน นั้นไม่เคยเป็นของตลาดแบบกะดิน หรือเป็นความบันเทิงไร้รสนิยมอยู่แล้ว แต่ตรงกันข้ามมันยังคงความน่าสนใจสำหรับนักดูหนังเสมอ
หลังเข้ามาทำหนังในเมืองจีนแผ่นดินใหญ่อย่างเต็มตัว “ปีเตอร์ ชาน” มีผลงานกำกับภาพยนตร์ออกมา 3 เรื่องใน 9 ปี ซึ่งคงไม่ผิดนักหากจะบอกว่า Wuxia คืองานที่ดีที่สุดในยุคการทำหนังป้อนตลาดจีนแผ่นดินใหญ่ของเขาเลยทีเดียว