[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
22 ธันวาคม 2567 18:55:05 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: พระกษิติครรภโพธิสัตว์ คือใคร ?  (อ่าน 1705 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7866


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 99.0.4844.51 Chrome 99.0.4844.51


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 08 มีนาคม 2565 16:17:51 »



พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ อ่านว่า พฺระ-กะ-สิ-ติ-คัน-โพ-ทิ-สัด
(สันสกฤต: क्षितिगर्भ; Kṣitigarbha กฺษิติครฺภ)



เป็นพระโพธิสัตว์ ซึ่งเป็นที่นับถือในศาสนาพุทธนิกายมหายานในภูมิภาคเอเชียตะวันออก มักมีรูปลักษณ์เป็นพระภิกษุมหายาน
นามของพระโพธิสัตว์องค์นี้อาจแปลได้ว่า "ขุมทรัพย์แห่งแผ่นดิน" ("Earth Treasury"), คลังแห่งแผ่นดิน ("Earth Store"),
"บ่อเกิดแห่งแผ่นดิน"( "Earth Matrix"), หรือ "ครรภ์แห่งแผ่นดิน" ("Earth Womb")

พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ได้รับมอบหมายจากพระศากยมุนีพุทธเจ้าให้เป็นผู้แสดงธรรมโปรดสัตว์ในกามภูมิ 6 ในช่วง
ที่พระองค์ปรินิพพานไปแล้วและพระศรีอริยเมตไตรยยังไม่ได้ลงมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระกษิติครรภมีปณิธานสำคัญ
ในการช่วยสัตวโลกทั้งหมดให้พ้นจากนรกภูมิ " หากนรกยังไม่ว่างจากสัตว์นรกก็จะยังไม่ขอตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า "
ด้วยเหตุดังกล่าว พระองค์จึงถือว่าเป็นพระโพธิสัตว์แห่งสัตว์ผู้ทุกข์ยากในอบายภูมิ มีนรกทั้งปวง เป็นต้น
เช่นเดียวกับการเป็นผู้คุ้มครองเด็กทั้งหลาย และเทพอุปถัมภ์ของเด็กที่เสียชีวิตและทารกที่ตายจากการแท้งในวัฒนธรรมญี่ปุ่น

รูปลักษณ์ของพระโพธิสัตว์องค์นี้ ปกติมักทำเป็นรูปพระภิกษุมหายาน มีรัศมีเปล่งรอบพระเศียรซึ่งปลงพระเกศาแล้ว
หัตถ์หนึ่งทรงจับไม้เท้าซึ่งใช้เปิดประตูนรก อีกหัตถ์หนึ่งทรงถือแก้วจินดามณี (แก้วสารพัดนึก) เพื่อประทานแสงสว่าง
ท่ามกลางความมืด

สำหรับในประเทศไทยเอง หลวงจีนวิศวภัทร มณีปัทมเกตุ สือกว่างตู้ ชาวไทยผู้ออกบวชที่ภูเขาจิ่วหัวซาน
สาธารณรัฐประชาชนจีน ผู้ก่อตั้งมูลนิธิพุทธจักษุวิชชาลัย อารามวัตรมหายาน (大乘禪寺:佛眼弘法基金會:地藏道場)
พุทธมณฑลสาย 6 ได้สร้างวัดหรือธรรมสถาน เพื่ออุทิศแด่องค์พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์โดยเฉพาะ โดยสร้างองค์พระกษิติครรภ์
ด้วยหินแกรนิตแกะสลักสูงรวมฐาน 13.99 เมตร และพระกษิติครรภ์ 6 ปาง ที่มีคติมาจากปุณฑริกสมาธิสูตร (蓮華三昩經)
ที่ว่าพระกษิติครรภ์นิรมาณกายไปโปรดสัตว์ทั้ง 6 ภูมิ พร้อมพญายมราชทั้ง 10 ซึ่งในสูตรฝ่ายมหายานกล่าวว่า
เป็นพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์องค์สำคัญ 10 พระองค์ นิรมาณกายมาโปรดสัตว์ และปฏิมากรรมหินแกะสลักนายนิรยบาล
เป็นหินแกะสลักสูงใหญ่กว่าคนอีกรวมทั้งสิ้น 25 องค์โดยช่างฝีมือจากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน
ตามคติของพุทธมหายานแบบจีน และเผยแพร่กษิติครรภโพธิสัตว์มูลปณิธานสูตร (地藏本願經)
และ กษิติครรภ์โพธิสัตว์ทศจักรสูตร (地藏十輪經) ซึ่งเป็นพระสูตรสำคัญของพระกษิติครรภ์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นกษิติครรภมณฑล
ที่มีอยู่ไม่กี่แห่งในโลก





Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7866


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 99.0.4844.51 Chrome 99.0.4844.51


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 08 มีนาคม 2565 16:24:01 »

หนึ่งในสี่สุดยอดพระโพธิสัตว์


(ขอบคุณภาพประกอบจาก Bkkparttime)

พระกษิติครรภมหาโพธิสัตว์เป็นหนึ่งในพระโพธิสัตว์ 4 พระองค์ ซึ่งเป็นที่นับถืออย่างยิ่งในศาสนาพุทธมหายาน
แถบเอเชียตะวันออก ร่วมกับพระสมันตภัทรโพธิสัตว์ พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ และพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์

จิตรกรรมฝาผนังสมัยก่อนราชวงศ์ถังของจีนที่ถ้ำผาม่อเกาและถ้ำผาหลงเหมิน ได้แสดงภาพของพระกษิติครรภมหาโพธิสัตว์
ไว้ตามความนิยมในลักษณะดั้งเดิมของพระโพธิสัตว์ หลังสมัยราชวงศ์ถัง รูปลักษณ์ของพระองค์ได้แพร่หลายมากขึ้น
ในลักษณะของพระภิกษุมหายานถือไม้เท้า หรือคฑาขักขระ หรือไม้ค้ำในการธุดงค์ของพระมหายานและลูกประคำ

พระนามเต็มของพระองค์ในภาษาจีนคือ "ต้าหยวนตี้จั้งผู่ซ่า" (จีนตัวย่อ: 大願地藏菩萨; จีนตัวเต็ม: 大願地藏菩薩;)
ซึ่งแปลว่า มหาปณิธานกษิติครรภโพธิสัตว์ นามดังกล่าวนี้แสดงถึงปณิธานของพระองค์ซึ่งปรากฏอยู่ในพระสูตรมหายานต่าง ๆ ระบุว่า
จะทรงรับภาระในการสั่งสอนสรรพสัตว์ทั้งปวงที่ในอยู่ในกามภูมิทั้งหกในโลก อันได้แก่ สัตว์นรก, เปรต, อสูร, เดรัจฉาน, มนุษย์ และเทพ
(หมายความถึงสวรรค์ฉกามาพจรทั้ง 6 ชั้น) ตลอดยุคระหว่างศาสนาของพระโคตมพุทธเจ้าและพระศรีอริยเมตไตรย
ด้วยบทบาทที่สำคัญดังกล่าว ศาลาหรือวิหารซึ่งอุทิศแด่พระโพธิสัตว์พระองค์นี้จึงมักปรากฏอยู่เป็นศูนย์กลางของวัดพุทธมหายานฝ่ายตะวันออก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายในศาลาอนุสรณ์สถานหรือสุสานต่าง ๆ ซึ่งมนุษย์และหมู่สัตว์ไม่อาจหนีพ้นได้ ซึ่งบางอารามก็ประดิษฐานพระกษิติครรภ์
อยู่ภายในโบสถ์ หรือวิหาร เคียงคู่กับพระศากยมุนีพุทธเจ้า และพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ก็มี ด้วยคติที่ว่า พระอริยเจ้าทั้ง 3 องค์นี้
คือพระผู้เป็นประธานโปรดสัตว์ในสหาโลกธาตุ หรือในจักรวาลนี้



บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7866


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 99.0.4844.51 Chrome 99.0.4844.51


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 08 มีนาคม 2565 16:29:43 »



กำเนิดของพระกษิติครรภมหาโพธิสัตว์มีการกล่าวถึงเป็น 2 นัย นัยหนึ่งกล่าวว่าชาติกำเนิดเดิมของพระองค์เป็นธิดาพราหมณ์
อีกนัยหนึ่งเล่าเป็นเชิงตำนานว่าในสมัยราชวงศ์ถัง พระองค์ได้นิรมานกายเกิดเป็นราชกุมารแห่งอาณาจักรซิลลา
ซึ่งภายหลังได้ออกผนวชเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนา



ธิดาพราหมณ์

เรื่องราวของพระกษิติครรภโพธิสัตว์ปรากฏครั้งแรกในพระสูตรมหายานชื่อ "กษิติครรภโพธิสัตวมูลปณิธานสูตร"
หนึ่งในพระสูตรมหายานอันเป็นที่นิยมนับถือมากที่สุด พระสูตรนี้กล่าวว่าพระโคตมพุทธเจ้าครั้งยังเป็นพระโพธิสัตว์
ตรัสเล่าก่อนจะจุติจากสวรรค์ชั้นดุสิตของพระองค์มาสู่ครรภ์ของพระนางสิริมหามายา แต่นักปราชญ์ส่วนมากเชื่อว่า
ถูกรวบรวมขึ้นในประเทศจีน เนื้อความของพระสูตรกล่าวถึงการบำเพ็ญกตัญญุตาธรรมของพระกษิติครรภโพธิสัตว์
เมื่อครั้งเสวยพระชาติเป็นมนุษย์ ซึ่งนำไปสู่การตั้งมหาปณิธานเพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ทั้งมวล

พระกษิติครรภโพธิสัตว์ทรงถือกำเนิดเป็นบุตรีในสกุลพราหมณ์ครอบครัวหนึ่ง บิดาชื่อ "ชีรชิณณพราหมณ์" มารดาชื่อ
"ยัฏฐีลีพราหมณี" บิดาได้ถึงแก่กรรมก่อนมารดา จึงทำให้อาศัยอยู่กับมารดาตลอดมา พระองค์ซึ่งเสวยพระชาติเป็นพราหมณี
เป็นผู้มีความละอายและเกรงกลัวต่อบาป เป็นคนใจดีมีเมตตา อยู่ในศีลในธรรม ส่วนมารดานั้นกลับประพฤติตรงข้ามกับบุตรี
ไม่นับถือพระรัตนตรัย ไม่เชื่อเรื่องกรรมและนรกสวรรค์ แม้ว่าพราหมณีบุตรีจะชักชวนหรือโน้มน้าวจิตใจอย่างไร
เพราะนางยัฏฐีลีพราหมณีมีมิจฉาทิฐิรุนแรง

ต่อมานางยัฏฐีลีพราหมณีได้ถึงแก่กรรมลงแล้วไปตกนรกอเวจี นางพราหมณีบุตรีรู้แน่ว่ามารดาคงไม่ไปสู่สุคติ
นางอยากช่วยเหลือมารดา จึงได้ขายมีค่าทั้งหมดที่มี นำเงินทั้งหมดไปซื้อดอกไม้ธูปเทียน และเครื่องสักการบูชาต่าง ๆ
ไปสักการบูชาตามวัดวาอารามต่าง ๆ และนำไปบริจาคทานแก่คนยากจน และสัตว์ที่อดอยากหิวโหย เพื่อเป็นการอุทิศบุญกุศล
ให้แก่มารดาที่ล่วงลับไปแล้ว นอกจากนี้นางพราหมณีบุตรี ยังเป็นผู้ถือศีล บำเพ็ญเพียรภาวนา บุญกุศลได้ดลบันดาล
ให้วิญญาณของนางออกจากร่างไปสู่ยังมหาสมุทรน้ำเดิอด และมีอสูรกายตัวใหญ่น่ากลัวกำลังไล่จับมนุษย์ที่ลอยคออยู่ในน้ำ
จำนวนมากมายนับไม่ถ้วน เพื่อฉีกกินเป็นอาหาร น่ากลัวมากจนนางไม่กล้าหันไปมองด้วยความกลัวและสงสารมนุษย์เหล่านั้น
เทพอสูรบอกนางว่ายัฏฐีลีพราหมณี ได้เคยตกลงมาในดินแดนนรกภูมินี้ แต่เนื่องจากนางได้รับบุญกุศลอันนางบำเพ็ญกุศลมาให้
จึงพ้นจากแดนนรกไปสู่สุคติแล้ว พร้อมกับยกมือพนมพร้อมกับก้มลงแล้วจากไป เมื่อนางได้ทราบดังนั้น นางจึงมีความยินดี
และหมดห่วงในตัวมารดา แต่นางกลับเกิดความสงสารบรรดามนุษย์ที่ตกนรกและได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัสเหล่านั้น
จึงเกิดความเมตตาอันแรงกล้าที่จะช่วยเหลือสรรพสัตว์ในนรกเหล่านั้น นางพราหมณีบุตรีจึงอธิษฐานต่อหน้าพระพุทธรูป
ขอถือศีลภาวนา บำเพ็ญทานบารมี เพื่อโปรดสรรพสัตว์ในนรกอเวจีตลอดจนถึงอนาคต ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง
อย่าได้เบื่อหน่ายต่อการบำเพ็ญกุศลกรรมดังกล่าว ด้วยเหตุที่ทรงบำเพ็ญบารมีเช่นนี้ เมื่อนางถึงแก่กรรม ได้กลับชาติมาเกิดเป็นบุรุษ
และบำเพ็ญเพียรสร้างบารมี จนสำเร็จมรรคผลกลายเป็นพระโพธิสัตว์พระนามว่าพระกษิติครรภมหาโพธิสัตว์





ภิกษุจากซิลลา

อีกตำนานหนึ่งกล่าวว่า พระกษิติครรภมหาโพธิสัตว์ได้ปรากฏตัวขึ้นในประเทศจีนสมัยโบราณ และเลือกโพธิมัณฑะ (ที่ตรัสรู้)
ที่ภูเขาจิ่วหัวซัน ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ทางพุทธศาสนาในประเทศจีน

ในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออก รัชกาลจักรพรรดิฮั่นหมิง ศาสนาพุทธซึ่งกำลังรุ่งเรืองและจะเจริญอย่างถึงที่สุดในสมัยราชวงศ์ถัง
ได้แพร่หลายไปสู่ดินแดนเกาหลี ในยุคนั้นพระสงฆ์และบัณฑิตทั้งปวงจากเกาหลีจะศึกษาพุทธศาสนา
โดยการเดินทางไปศึกษาที่จีนเป็นหลัก หนึ่งในจำนวนผู้แสวงบุญเหล่านั้นเป็นอดีตมกุฎราชกุมารแห่งซินลอก๊ก (อาณาจักรซิลลา)
ผู้มีนามว่า "กิมเคียวกัก" (ฮันจา: 金喬覺 อ่านเป็นภาษาจีนกลางได้ว่า "Jin Qiaojue") ซึ่งได้ผนวชเป็นภิกษุในฉายา "จีจาง"
(เป็นการออกเสียงอย่างเกาหลีของคำว่า "ตี้จ้าง") วันมรณภาพดับขันธ์ของท่านคือวันที่ 30 เดือนเจ็ดจีน
ซึ่งต่อมาได้ถือเป็นวันสำหรับการสมโภชพระกษิติครรภมหาโพธิสัตว์

อุปนิสัยของพระภิกษุจีจางนั้นชอบความสงบและการบำเพ็ญสมาธิ จึงได้ออกเดินทางแสวงหาสถานที่สงบวิเวกตามป่าเขา
จนกระทั่งมาถึงภูเขาจิ่วหัวซันในเขตมณฑลอันฮุยในปัจจุบัน ท่านจึงถือเอาปากถ้ำแห่งหนึ่งใกล้ที่ราบกลางหุบเขานั้น
เป็นที่พำนักและบำเพ็ญสมณธรรม

ตามตำนานกล่าวว่า วันหนึ่งพระจีจางถูกงูกัดที่เท้าขณะที่บำเพ็ญสมาธิอยู่ แต่ท่านก็ยังนั่งนิ่งอยู่กับที่จนกระทั่งงูนั้นจากไป
ครู่ต่อมามีหญิงคนหนึ่งปรากฏกายขึ้นและได้ถวายยาถอนพิษแก่พระภิกษุองค์นั้น และบันดาลน้ำพุขึ้นถวายแทนตัวลูกของนาง
ซึ่งได้กระทำสิ่งไม่สมควรต่อท่านก่อนจะหายลับไป อีกไม่กี่ปีต่อมา บัณฑิตคนหนึ่งพร้อมด้วยมิตรสหายและครอบครัว
ได้เดินทางมาเยือนเขาจิ่วหัวซัน จึงได้พบกับพระภิกษุจีจาง ซึ่งปราศจากอาหารในบาตรและมีผมยาวเนื่องจากไม่ได้โกน
คณะของบัณฑิตนั้นจึงร่วมมือกับหมิ่นกงซึ่งเป็นคหบดีเจ้าของที่ดินในแถบนั้นสร้างวัดขึ้นถวายแก่ท่าน เมื่อหมิ่นกง
แจ้งความประสงค์จะถวายที่ดินตามแต่ท่านต้องการ พระจีจางจึงกล่าวว่าต้องการที่ดินเพียงเท่าผืนผ้ากาสาวพัสตร์
และได้โยนผ้ากาสาวพัสตร์นั้นขึ้นฟ้า ร่มเงาดำของผ้าทั้งผืนแผ่ปกคลุมทั่วภูเขาทั้งลูก หมิ่นกงจึงได้ถวายภูเขาทั้งลูก
ด้วยความศรัทธา และปวารณาตัวเป็นอุปัฏฐากของพระจีจางนับตั้งแต่นั้น ต่อมาบุตรชายคนหนึ่งของหมิ่นกง
ซึ่งศรัทธาท่านมากเช่นกันได้ขอบวชชื่อว่า "พระเต้าหมิง"

พระจีจางจำพรรษาอยู่ที่วัดเขาจิ่งหัวซันจนกระทั่งอายุได้ 99 ปี ท่านจึงเรียกภิกษุทุกรูปมาชุมนุมเพื่ออำลา
และได้นั่งบำเพ็ญสมาธิอย่างสงบจนกระทั่งละสังขารในที่สุด สามปีให้หลังจากการละสังขาร สุสานของท่านได้ถูกเปิดออก
และพบว่าร่างกายของท่านไม่เน่าเปื่อย คนทั้งหลายจึงเกิดความศรัทธาว่าท่านเป็นชาติหนึ่งของพระกษิติครรภมหาโพธิสัตว์
นับแต่นั้นเป็นต้นมา

สรีระของพระจีจางที่ไม่เน่าเปื่อยยังคงถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีอยู่ที่วัดซึ่งท่านได้สร้างไว้บนเจ้าจิ่วหัวซันจนถึงทุกวันนี้





บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7866


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 99.0.4844.51 Chrome 99.0.4844.51


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 09 มีนาคม 2565 09:31:06 »




ในคติเถรวาท

ในศาสนาพุทธฝ่ายเถรวาท มีเรื่องราวที่คล้ายคลึงและเทียบกันได้กับตำนานของพระกษิติครรภโพธิสัตว์ คือเรื่องพระมาลัย
แต่ตรงจุดนี้ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าพระมาลัยไม่ใช่พระกษิติครรภ์ ซึ่งพระมาลัยนั้นเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย
ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทยและประเทศลาว

เนื้อหาของเรื่องนี้กล่าวถึงพระมาลัยซึ่งเป็นพระอรหันต์ชาวลังกา สำเร็จฤทธิ์อภิญญาญานต่างๆ จากการบำเพ็ญสมาธิ
และได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้สืบทอคความเป็นเลิศทางฤทธิ์ต่อจากพระมหาโมคคัลลานะ ผู้เป็นอัครสาวกฝ่ายซ้าย
ตำนานเล่าว่าท่านได้อาศัยฤทธิ์เดชของท่านท่องไปยังนรกเพื่อเทศนาโปรดสัตว์นรกทั้งปวงให้บรรเทาจากทุกขเวทนา
และได้รับรู้ถึงมูลเหตุและผลกรรมที่ต้องมาเสวยทุกข์เวทนาในนรกขุมต่างๆ ของสัตว์นรกเหล่านั้น นอกจากนี้ท่านยังได้ขึ้นไปยังสวรรค์
เพื่อบูชาเจดีย์พระจุฬามณีและสนทนากับเหล่าเทวดาถึงเหตุและผลแห่งบุญที่ตนได้กระทำ ก่อนจะนำสิ่งที่ได้พบเห็นทั้งหมด
มาประกาศให้ชาวโลกรับรู้และตั้งใจบำเพ็ญความดีสืบต่อไป



มนตร์

ในนิกายชินงน และนิกายย่อยอื่นๆ ของศาสนาพุทธสายวัชรยาน มนตร์ของพระกษิติครรภมหาโพธิสัตว์ปรากฏอยู่ใน คัมภีร์เล่มอื่นๆ
หลากหลายบท หนึ่งในนั้น คือ มหาไวโรจนสูตร มีใจความดังนี้ "นมะ สมนฺตพุทฺธานํ ห ห ห สุตนุ สวาหา"

ผู้นับถือศาสนาพุทธในจีน บูชาพระกษิติครรภมหาโพธิสัตว์ด้วยมนตร์ 南無地藏王菩薩 ซึ่งสำเนียงจีนกลางออกเสียงว่า
"นาโมตี้จั้งหวังผู่ซา" แต้จิ๋วออกเสียงว่า "นาโมตี่จั่งอ๊วงผ่อสัก" ส่วนในประเทศเกาหลีก็ใช้มนตร์อย่างเดียวกัน
แต่ออกเสียงว่า "นาโมจีจางโบซัล"

พระนามของพระกษิติครรภมหาโพธิสัตว์ใช้ว่า "โอม กฺษิติครฺภ โพธิสตฺตฺวาย" และยังมีมนตร์แห่งการขมาบาปว่า "โอม ปรมัลทนิ สวาหา"
ในภาษาจีนออกเสียงว่า "งัน ปอ ลา หมก เลง ทอ นิง ซอ พอ ฮอ"



บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7866


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 99.0.4844.51 Chrome 99.0.4844.51


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: 09 มีนาคม 2565 09:33:40 »

ขอบคุณที่มา : wikipedia
ขอบคุณรูปภาพ : Ldbj.com และ Bkkparttime.com
บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.265 วินาที กับ 31 คำสั่ง

Google visited last this page 19 ธันวาคม 2567 06:02:43