[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
22 ธันวาคม 2567 20:54:42 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: บทกวีเซนของเรียวกัน ( Ryokan’s Zen Monk-Poet of Japan )  (อ่าน 1215 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5162


ระบบปฏิบัติการ:
Linux Linux
เวบเบราเซอร์:
Chrome 90.0.4430.210 Chrome 90.0.4430.210


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 23 มกราคม 2566 19:53:48 »



บทกวีเซนของเรียวกัน … “รอยรำลึกที่ผ่านเลย”

เรียวกันเป็นพระเซนชาวญี่ปุ่น เกิดเมื่อ พ. ศ. 2301 และมรณภาพ พ.ศ. 2374 สถานที่เกิดของเรียวกันคือหมู่บ้านเล็กๆ ที่ อิสึโมซากิ ในเขตจังหวัดเอชิโกะ สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ฝั่งทะเลด้านตะวันตกของเกาะญี่ปุ่น ปัจจุบันอยู่เขตอำเภอ นิอิงาตะ

เรียวกันบวชเป็นพระเซนนิกายโซโตะ เมื่ออายุได้ยี่สิบปี เมื่อแรกบวชได้ท่องเที่ยวหาประสบการณ์ และ ศึกษาหาพระธรรมไปตามที่ต่างๆ ในบั้นปลายชีวิต ท่านผู้นี้ได้ปลูกกระท่อมเล็กๆ อยู่บนภูเขาไกล้ๆ บ้านเกิด และใช้ชีวิตสมถะสันโดษอยู่ที่นั่นตราบสิ้นชีวิต

เรียวกันเขียนบทกวีไว้มากมาย บทกวีเหล่านี้ได้รับการยกย่องจากคนรุ่นหลังว่าสะท้อนความคิดแบบคนบ้านนอกญี่ปุ่นได้ดีเยี่ยม บทกวีหนึ่งของเรียวกัน ถูกนำไปอ่านโดยยาสึนาริ คาวาตะ ในวันเข้ารับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม ปี พ.ศ. 2511

ว่าจะ จัดใหม่ ใส่ภาพด้วย บทละภาพ http://www.tairomdham.net/index.php?topic=2325.0

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5162


ระบบปฏิบัติการ:
Linux Linux
เวบเบราเซอร์:
Chrome 90.0.4430.210 Chrome 90.0.4430.210


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 23 มกราคม 2566 19:54:52 »



ภาคที่หนึ่ง : บทร้อยกรองแห่งฤดูใบไม้ผลิ


1

ชาวบ้านพูดกันว่า
ฤดูใบไม้ผลิมาเยือนแล้ว
ท้องฟ้ายามนี้
คลาคล่ำด้วยริ้วหมอก
บนภูเขาปราศจากดอกไม้
มีเพียงหิมะสีขาว
ปกคลุมขุนเขา


2
 
ค่ำวันนี้ฉันเคลิ้มหลับไป
เพราะความเหนื่อยอ่อน
ฉับพลันก็ต้องสะดุ้งตื่น
เมื่อผิวกายสัมผัสความเย็นเยือก
จากละอองหิมะ
ที่โปรยปรายลงมายามเย็นย่ำ
ห่านป่าฝูงหนึ่ง
บินร้องผ่านกระท่อมฉันไป
พวกมันคงกำลังโบกถลา
หวนคืนรวงรัง
ด้วยความเมื่อยล้า
เช่นเดียวกับคน

3

ฉันเหม่อมองบนหน้าผา
ท่ามกลางป่าสนและต้นโอ๊ค
สายตาเพ่งมองความงดงาม
ของธรรมชาติแห่งฤดูใบไม้ผลิ
รอบกายของฉันคือแพรหมอก
พริ้วแผ่วระรวยริน
เรี่ยกระจายตามสายลมอ่อน

4

เช้าฤดูใบไม้ผลิ
ฉันเดินออกจากกระท่อม
ออกหาเก็บผัก
พลันหูก็ได้ยิน
เสียงไก่ป่าขันขับ
เป็นลำนำเสนาะหู
แล้วช่วงหนึ่งของความนึกคิด
จินตนาการของฉัน
ก็ล่องลอยกลับไปหา
อดีตเก่าที่ผ่านมา
อันสลักตรึงตราเป็นดังรอยรำลึก
ในความทรงจำ

5

ลมฤดูใบไม้ผลิ
แผ่วผ่านมาอ้อยอิ่ง
ต้นพลัมออกดอกเป็นทิวสะพรั่ง
ยามลมแผ่วรำเพยพัด
กลีบดอกน้อยนั้น
จะพริ้วผวา
ร่วงผล็อยจากต้น
ลีลาที่ดอกพลัมนั้นร่วงหล่น
ดูประสานกลมกลืน
ดังจะสอดทำนองรับ
บทเพลงที่แผ่วหวาน
ของนกอุกูอิสุตัวน้อยบนกิ่งไม้นั้น

6
 
สองชีวิต
สงบนิ่งอยู่ในสวน
ชีวิตหนึ่งคือต้นพลัม
ที่กำลังตกดอกบานสะพรั่ง
ส่วนอีกชีวิตหนึ่ง
คือพระชรา
ผู้ผ่านความยาวนานของชีวิต
มาด้วยความเหนื่อยหนัก

7

กระแสแห่งวันเวลา
ผ่านผันไปดุจความฝัน
ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว
ความฝันนั้นก็ล่องลอย
ลับหายไป
ในความว่างเปล่า

8

ณ เชิงเขายาฮิโกะ
เด็กชาวบ้าน
วิ่งเล่นสนุกสนาน
กลางดงดอกไม้


9

ฉันมัวเก็บดอกไวโอเล็ต
ที่ขึ้นตามริมทาง
เพลินเสียจนลืมบาตรทิ้งไว้
อา เจ้าบาตรน้อยของฉัน
ป่านนี้เจ้าคงโดดเดี่ยว
เพราะถูกเจ้าของทอดทิ้ง

10

เอาอีกแล้ว
ฉันลืมบาตรอีกแล้ว
ใครที่เดินผ่านไปมา
กรุณาอย่าหยิบมันไป
ฉันต้องขออภัยเจ้าอีกครั้ง
เจ้าบาตรน้อยของฉัน


11

ฤดูใบไม้ผลิเริ่มแล้ว
ทุ่งกว้างและพฤกษ์ไพร
ถูกแต่งแต้มด้วยสีสันนานา
บางแห่งก็เขียว
บางตอนก็เหลือง
งดงามยิ่งนัก
มาเยี่ยมฉันบ้างสิท่านทั้งหลาย
แล้วท่านจะได้ยล
ความวิจิตรแลลาน
ของป่าฤดูใบไม้ผลิ

12

นกฤดูใบไม้ผลิ
โบยบินกลับสู่รวงรัง
คราเย็นย่ำ
บนพุ่มพฤกษ์หนาทึบ
แว่วเสียงสกุณาเจื้อยแจ้ว
ล่องลอยตามสายลมอ่อน
อา สุขจริงหนอสนธยากาลนี้
ขอเหล้าสาเกให้ฉัน
อีกซักถ้วยซิเพื่อนเอ๋ย


13
 
ค่ำคืนนี้
ดวงเดือนสีเงิน
สะท้อนประกายแวววับ
ดังเกล็ดแก้วบนดอกพลัม
ทั้งดอกไม้และดวงเดือน
ช่างงดงาม
ประสานรับกันและกัน
ฉันเดินพลาง
สายตาทอดมองภาพธรรมชาติ
อันสวยสดตระการตาข้างทางไปพลาง
จวบราตรีกาลย่างสู่วันใหม่
จึงมาถึงกระท่อมพัก

14

ขุนเขาสูงเสียดเมฆ
ยามนี้ปกคลุมด้วยหมอกหนานัก
และป่าเชอรี่พราวดอกแดงสด
มองสิท่าน
มองดูความมหัศจรรย์
อันเกิดจากธรรมชาตินั้น

15

ชีวิตหนอชีวิต
ทำอย่างไรจึงจะลืม
ความงดงามของเจ้าได้
ฤดูใบไม้ผลิเยี่ยมผ่านมาเยือนแล้ว
ดอกเชอรี่บนภูเขาบานสะพรั่ง
รอรับการมาเยือนของลมฤดูใบไม้ผลิ
อา นี่แหละหนอความงดงาม
ของสิ่งที่เรียกว่าชีวิต


16
 
ทุกเช้าของวันใหม่
ฉันจะเข้าไปในหมู่บ้าน
เพื่อบิณฑบาต
เช้าฤดูใบไม้ผลินี้ก็เช่นกัน
ฉันเดินออกจากกระท่อม
พร้อมบาตรน้อยในมือ
เดินออกมาได้หน่อยหนึ่ง
สายตาก็ปราดไปเห็น
ดอกไวโอเล็ตสีม่วงขึ้นอยู่เรียงราย
ริมทางเดิน
เพลินเก็บดอกไวโอเล็ต
จนลืมเรื่องบิณฑบาต
มารู้สึกตัวอีกที
ตายล่ะ ตะวันสายโด่งแล้ว

17

ฤดูใบไม้ผลิปีนี้
วันวานช่างผ่านผันไปรวดเร็วนัก
ณ ป่าไม้ใต้ศาลเจ้าแห่งนั้น
ฉันกับเด็ก ๆ วิ่งเล่น
กลางแสงอันอบอุ่นแห่งดวงตะวัน

18

ชีวิตของฉันนี้
ผูกพันอยู้กับของสองสิ่ง
คือเหล้าสาเกหนึ่ง
กับดอกไม้บานอีกหนึ่ง
ชีวิตในวันนี้
มีเหล้าสาเกกับมวลปุบผาเป็นเพื่อน
วันพรุ่งนี้
ทุกอย่างยังเช่นเดิม

19

ท่ามกลางปุยหมอกสลัวราง
และรัศมีอบอุ่นของดวงตะวัน
แห่งฤดูใบไม้ผลิ
ฉันกับเด็ก ๆ ในหมู่บ้าน
เริงเล่นกลางทุ่งหญ้า
ทั้งฉันและเด็ก
ไม่มีใครต้องการ
ให้วันเวลาอันสนุกสนานนั้น
ค่ำมืดลงเลย


20

วันนี้ฉันตั้งใจ
จะเข้าไปชมดอกพีชบาน
ที่ในหมู่บ้าน
แต่เมื่อผ่านมาทางแม่น้ำ
ก็ได้พบเห็นดอกไม้ป่า
บานสะพรั่งริมลำธาร
เป็่นอันว่าวันนี้ทั้งวัน
ฉันไปไม่ถึงหมู่บ้าน
เพราะมัวแต่เฝ้าชม
ดอกไม้บานอยู่ฝั่งแม่น้ำนั้น

21

ในบาตรของฉัน
ดอกไม้ป่าที่เก็บมา
คลุกเคล้าผสมผสาน
เข้าเป็นหนึ่งเดียว
กับองค์พุทธะ
ผู้เป็นจอมแห่งไตรโลก


22

เมื่อกระหาย
ฉันระงับความกระหายนั้น
ด้วยเหล้าสาเก
บ่ายวันนี้หลังจากดื่มแล้ว
ฉันออกจากกระท่อมมานอนเล่น
ใต้ต้นเชอรี่กลางทุ่ง
ดอกเชอรี่พริ้วระริก
กลางสายลมอ่อน
ช่วยขับกล่อมให้ฉันเคลิ้มหลับ
ครู่หนึ่งผ่านไป
โลกทั้งโลกของฉัน
ก็พลันเรื่อรางกลายเป็นความฝัน
อันงดงามแสนหวาน

23

มวลไม้ป่าข้างกระท่อมฉัน
ชวนกันตกดอกออกช่อ
รอรับแขกผู้มาเยือน
อันได้แก่ฤดูใบไม้ผลิ
ใบไม้แห้ง
ที่หลงเหลือจากฤดูใบไม้ร่วง
ยามนี้ไม่มีให้เห็นแม้ใบเดียว
ป่าทั้งป่าดาดาษด้วยดอกและใบอ่อน
ฉันเองก็รู้สึกสดชื่นบันเทิงใจ
เร่งรีบเข้าไปในหมู่บ้าน
เพื่อพบกับเด็ก ๆ

24

ใต้ต้นหลิวร่มครึ้ม
ฉันกับเพื่อน
นั่งร้องเพลงพลาง
หัวเราะพลาง
วันเวลาที่เคลื่อนคล้อยไป
ช่างเปี่ยมด้วยความสุข
อันเกิดจากมิตรภาพ
แท้จริงเชียว


25

ฉันทอดมองสายตา
ออกไปนอกหน้าต่าง
เพื่อเฝ้าดูดอกเชอรี่สีชมพู
แต่สายฝนหิมะ
ที่พรูพร่างลงมา
กลับบรรจงทาบทับม่านเกล็ดสีขาว
ลงบนดอกไม้นั้น
เหลือเพียงช่อดอกขาวบริสุทธิ์

26

มือประสานมือ
ฉันกับเด็ก ๆ ในหมู่บ้าน
เริงริ่วออกหาเก็บผัก
มาไว้เป็นอาหาร
จะมีสุขใดเล่าหนอในโลกนี้
เท่ากับการเพลินเล่น
กลางป่าไม้และขุนเขา
แห่งฤดูใบไม้ผลิ


27

วันนี้ฉันเข้าไปนั่งเล่นในสวน
ทอดอารมณ์อยู่ใต้ต้นเชอรี่
เนิ่นนานที่ฉันปล่อยความคิดนึก
ให้ล่องลอยไปกับธรรมชาติรอบกาย
กว่าจินตนาการจะย้อนกลับ
เสื้อคลุมของฉัน
ก็พราวเต็มด้วยกลีบดอกไม้
ที่ร่วงหล่นมาพร้อมสายลมโชย


28

เช้าวันนี้
ลมรุ่งแผ่วพัดมารวยริน
ดังจะกระซิบบอกว่า
ฤดูไม้ไม้ผลิผ่านผันมาอีกแล้ว
หน้ากระท่อมของฉัน
เจี๊ยวจ๊าวไปด้วยเสียงเด็ก ๆ
ที่พากันมาเยี่ยมเยียน
ทุกปีเมื่อหิมะละลาย
ฤดูหนาวกลายเป็นอบอุ่น
เด็กในหมู่บ้านจะพากันมาสนุกอยู่ที่นี่
อา ฤดูใบไม้ผลิปีนี้
เด็ก ๆ โตขึ้นเป็นกอง
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5162


ระบบปฏิบัติการ:
Linux Linux
เวบเบราเซอร์:
Chrome 90.0.4430.210 Chrome 90.0.4430.210


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: 23 มกราคม 2566 19:55:45 »



ภาคที่สอง : บทร้อยกรองแห่งคิมหันตฤดู 


1

ไกลลิบออกไปสุดสายตา
กลางทุ่งข้าวริมเชิงเขา
แว่วเสียงกบลอยมาผะแผ่ว
เป็นลำนำขับกล่อม
ทิวากาลกำลังเคลื่อนคล้อย


2

เย็นย่ำของวันฤดูร้อน
หมู่นกดุเหว่าบนภูสูง
กู่ร้องเจื้อยแจ้ว
วิเวกแว่วมากับสายลมอ่อน
เสียงแผ่วใสนั้น
ชวนใจให้ฉันรำลึก
ไปถึงเหล่ากวีในอดีต
ผู้มอบชีวิตแบะวิญญาณ
ไว้เป็นมรดกแก่คนรุ่นหลัง


3

ฤดูกาลไถหว่าน
หมุนเวียนมาอีกครา
ยามนี้หมู่ชาวนา
ต่างพากันปักดำไถคราด
เป็นกลุ่มกลางทุ่งกว้าง
ฉันเฝ้ามองพวกเขา
อยู่เงียบ ๆ ในกระท่อม
ในใจพร่ำภาวนา
ขอองค์พุทธะผู้ทรงเมตตาธิคุณ
จงช่วยปกป้องชาวนาเหล่านี้
จากความหิวโหย
และภัยพิบัติด้วยเทอญ


4

ฤดูฝนผ่านพ้นไปแล้ว
ท้องฟ้ายามนี้
จ้าแจ่มไร้หมอกเมฆ
ฉันออกจากกระท่อม
มาเดินเล่นรับลมเย็น
ที่แผ่วฉ่ำยามย่ำค่ำ
ท่ามกลางทุ่งหญ้าเขียวสด


5

คืนนี้ฉันนอนไม่หลับ
จิตใจครุ่นคำนึงไปต่าง ๆ นานา
แล้วท่ามกลางความเงียบสงัด
แห่งรัตติกาลวังเวงนั้น
พลันฉันก็ได้ยิน
เสียงลูกกวางกู่ร้อง
วะแว่วมาเย็นเยือก
จากสันภูมืดทะมึน


6

บรรดากิ่งไม้
ที่พอจะใช้เป็นฟืน
สำหรับฤดูใบไม้ร่วงปีนี้
ยังประดับพราวด้วยดอกไม้งาม
จะมีใครไหมหนอ
มาเยี่ยมฉันพร้อมดอกหญ้าแห้ง
ชื้นน้ำค้างกลางคืน
ฉันจะขอไว้ใช้ต่างฟืนบ้าง
ด้วยยามนี้ฉันไม่มีฟืน
เหลืออยู่เลยแม้ท่อนเดียว


7

ของกำนัล
ที่ฉันจะมอบแด่ท่าน
เป็นของขวัญแห่งไมตรี
มีไม่มากดอก
นอกจากดอกบัวน้อย
ลอยปริ่มน้ำใส
ในเหยือกเล็ก ๆ ใบนี้


8

คราที่ฉันท่องเที่ยวไป
ในดินแดนต่าง ๆ
สิ่งที่คอยปลอบประโลม
ดวงใจอันว้าเหว่
มีเพียงเสียงนกกาเหว่า
วิเวกหวานกลางป่าเขา
โลกหนอโลก
โลกที่ระงมด้วยเสียงร่ำไห้
อีกนานเท่าใดหนอ
ความเศร้าสลดและภาพอันหดหู่
จึงจะหมดหายไปจากผืนแผ่นดินนี้


9

หมู่เมฆพริ้วกระจาย
ปลิววนตามสายลมพัด
กลางป่าละเมาะข้างกระท่อมฉัน
ฝูงดุเหว่าพากันส่งเสียงร้อง
เริงร่าสนุกสนาน
อา บรรยากาศยามนี้
ช่างเปี่ยมสุขจริงหนอ
มาเยี่ยมฉันบ้างสิท่านเอ๋ย
กระท่อมซอมซ่อหลังน้อยนี้
เปิดประตูรอท่าน
อยู่ทุกครา


10

ง่วงเสียแล้วสิ
ฉันเหยียดแขนขา
เอนตัวลงบนแคร่ไม้ไผ่
ตั้งใจจะงีบสักหน่อย
จวนเจียนจะเคลิ้มหลับ
พลันหูก็ได้ยิน
เสียงกบเขียดร้องรำ
แว่วมาจากทุ่งนาข้างกระท่อม
เสียงอ๊อบ ๆ โอ๊บ ๆ นั้น
ผสานเข้ากับเสียงแผ่วไพเราะ
ของหมู่นกในดงไผ่
กลายเป็นมโหรีกล่อมขับ
ให้ฉันหลับในเวลาต่อมา


11

ที่สระน้ำเก่าแก่
ใกล้กระท่อมของฉัน
ดอกบัวน้อย ๆ
ชูก้านสล้างกลางสายน้ำใส
บนกลีบดอกที่บานขยาย
ออกรับแสงตะวันยามเช้า
จะมีหยาดน้ำค้างพราวใส
เกาะอยู่น่ารักนัก


12

สาวชาวนากลุ่มนั้น
ปักดำต้นกล้าไปพลาง
ปากก็ขับบทเพลงแห่งท้องทุ่ง
อย่างร่าเริงไปพลาง
นี่คือภาพชีวิตอันงดงงาม
ที่ฉันพบเห็น
ณ ทุ่งข้าวแห่งหนึ่ง
ไกล้เชิงเขา


13

ที่หน้ากระท่อมของฉัน
มีป่าไผ่เขียวครึ้มอยู่ป่าหนึ่ง
วันแล้ววันเล่า
ที่ฉันเฝ้ามองดูเพื่อน
ข้างบ้านเหล่านี้
ด้วยความรู้สึกอันไม่เบื่อหน่าย
ในมิตรภาพที่เรามีต่อกัน


14

ชาวนาชราหลังโกงคนนั้น
หาบน้ำไปมาตลอดวัน
เพื่อโปรยอาบความชุ่มฉ่ำ
แก่แปลงนาเพาะต้นกล้า
อันแห้งผากของแก


15

ในเสียงเสนาะหวาน
ของนกดุเหว่า
ที่กำลังเริงร้องอยู่นั้น
ฉันคลับคล้ายคลับคลา
ว่าได้ยินเสียงของเธอ
กู่เรียกหาฉัน
แต่ทุกอย่างก็เป็นเพียง
ความว่างเปล่า
ท่ามกลางหุบเขาโดดเดี่ยวนี้
ฉันจมชีวิตอยู่ในความเงียบ
เพียงลำพัง
ปล่อยวันคืนล่วงผ่านไป
กับความอ้างว้างหดหู่


16

หลิวข้างกระท่อม
ตกดอกสะพรั่งงาม
ยามลมกระโชกผ่าน
กลีบดอกสีขาวจะร่วงลงมากอง
เป็นผืนพรมบนพื้นดิน
เหมือนหิมะพราวพร่าง
บนขุนเขา

17

กระท่อมน้อยของฉัน
ซุกตัวอยู่อย่างสมถะ
ท่ามกลางอ้อมแขนของป่าไพร
รายรอบกระท่อมนี้
สรรพสิ่งล้วนสดพชื่นเบิกบาน
มองไปทิศทางใด
พบแต่แนวขจี
ของหมู่ไม้สีเขียว
และขุนเขาครึ้มหมอก
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5162


ระบบปฏิบัติการ:
Linux Linux
เวบเบราเซอร์:
Chrome 90.0.4430.210 Chrome 90.0.4430.210


ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: 23 มกราคม 2566 19:56:44 »



ภาคที่สาม : บทร้อยกรองแห่งฤดูใบไม้ร่วง


1

เงียบเหงา
ฉันละจากกระท่อมน้อย
มารอนแมกลางป่าพงไพร
แต่ลำพังผู้เดียว
ย่างเข้าเขตฤดูใบไม้ร่วงแล้ว
ยามนี้ต้นข้าวในทุ่งนา
ต่างโน้มรวงที่หนักหน่วง
ด้วยเมล็ดข้าวสุกแก่
โอนเอนกลางสายลมแล้ง

2

ฉันคอยจันทร์กระจ่าง
ที่จะลอยพ้นเหลี่ยมเขาขึ้นมา
เป็นโคมส่องทางขึ้นภูสูง
สองข้างที่ทอดเลื้อย
ขึ้นไปยังขุนเขาเวลานี้
รายเรียงด้วยต้นเกาลัด
ที่ผลัดใบสีเหลืองหม่น
ใบแล้วใบเล่า
ลงบนพื้นถนนขรุขระ

3

สายลมพัดหอบ
ใบไม้แห้งมากองรวม
ข้างเตาไฟ

4

ราตรีกาลแห่งฤดูใบไม้ร่วง
เย็นเยียบด้วยไอน้ำค้าง
และสายหมอก
ฉันกระชับเสื้อคลุมสีขาว
เข้าแนบกาย
ขณะเพ่งสายตาเบิ่งมอง
เดือนกระจ่าง
ทีค่อย ๆ เคลื่อนดวง
แหวกหมู่เมฆบนท้องฟ้า

5

ค่ำคืนนี้
สายลมที่แผ่วพัด
ช่างเย็นชื่นจริงหนอ
จันทร์แจ่มบนท้องฟ้าเล่า
ก็สาดส่องสวยงามนัก
มาเถิดพวกเรา
มารื่นเริงหรรษา
รับวัยชรา
ที่จะมาเยี่ยมกราย

6

ขณะที่เที่ยวเก็บฟืน
และหญ้าแห้งบนภูเขา
ฉันได้ยินเสียงเหล่าพุทธะ
จากโลกทั้งสาม
มาชุมนุมกัน
ท่ามกลางป่าเขา
อันเงียบสงบ

7

ฉันกับเด็ก ๆ
พากันเดินฝ่าละอองฝนพรำ
แห่งฤดูใบไม้ร่วง
ขึ้นไปตามทางสู่ยอดเขา
กระดุมเสื้่อคลุมฉัน
เปียกชุ่มเย็นเยืยบ
ด้วยไอฝนหนาวฉ่ำนั้น


8

ตามหนทาง
ที่รายเรียงด้วยต้นซีดาร์
อันทอดเลื้อยไปสู่ศาลเจ้าร้าง
ฉันเที่ยวเก็บใบไม้แห้ง
สำหรับใช้ต่างฟืนในกระท่อม
จวบอาทิตย์ลับทิวไม้
จึงเดินดุ่มกลับที่พัก


9

หากสนทยากาลมาถึงแล้ว
ขอท่านมาเยี่ยมเยียน
กระท่อมน้อยฉันบ้าง
ที่นี่มีเสียงแมลงร่ำระงม
คราวเย็นย่ำ
เป็นดนตรีทิพย์ขับกล่อม
มีทัศนียภาพแห่งป่าใบไม้่ร่วง
และท้องทุ่งหญ้ากว้างไพศาล
เป็นสถานที่รองรับ
แขกผู้ผ่านมาเยือน
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5162


ระบบปฏิบัติการ:
Linux Linux
เวบเบราเซอร์:
Chrome 90.0.4430.210 Chrome 90.0.4430.210


ดูรายละเอียด
« ตอบ #4 เมื่อ: 23 มกราคม 2566 19:57:20 »



ภาคที่สี่ : บทร้อยกรองแห่งเหมันตฤดู


1

ท่ามกลางสายหิมะพร่างพราย
ฉันกับกลุ่มชาวนา
นั่งดื่มเหล้าสาเกหวานฉ่ำ
ต่างคนต่างเพลินดื่ม
จนไม่รู้สึกถึงความเย็นเยียบ
ของเกล็ดหิมะที่โปรยปรายลงมา
เกาะเป็นปุยขาวโพลนที่ขนคิ้ว


2

ฉันหวนกลับมากระท่อมอีกครา
หลังจากท่องไปยังแดนไกล
เป็นเวลาแรมปี
แรกที่เท้าย่างเหยียบ
เข้าสู่เขตกระท่อมน้อย
สิ่งที่ฉันมองเห็น
คือเบญมาศหมู่หนึ่ง
ที่ยังออกดอกหลงเหลืออยู่ริมรั้ว
พวกมันคงคอยฉันกลับมา
ด้วยความหวังอันเลือนราง
กลางความผันแปรของกาลเวลา


3

ดึกสงัดนี้
ฉันนั่งฟังเสียงฝนหิมะ
ตกกระทบหลังคากระท่อม
เสียงหวีดหวิวของสายลมเจือหิมะ
ฉุดดึงความรำลึกของฉัน
ให้หวนย้อนไปหาวันคืนเก่า ๆ
สมัยที่ฉันยังเป็นหนุ่ม
นี่คือความฝันเท่านั้นหรือ
ชีวิตเอ๋ยชีวิต
ช่างผ่านเลยไปดุจความฝัน
กระแสชีวิตไม่อาจหวนคืน
เช่่นเดียวกับสายน้ำ
ที่ไม่อาจย้อนไหลกลับคืนทางเดิม


4

ค่ำคืนอันหนาวเหน็บ
ผ่านผันไปอย่างเชื่องช้า
กลางดึกของคืนนี้
ฉันสะดุ้งตื่นจากแคร่นอน
เมื่อหูกระทบเสียงลูกเห็บ
ตกถูกกิ่งไผ่ริมหน้าต่าง


5

พายุหิมะกระโชกพัดมาอีกแล้ว
ขุนเขาทั้งหลาย
ล้วนขาวโพลนด้วยปุยหิมะหนาวนัก
ความเยือกเย็นแผ่คลุม
ไปทุกอณูของอากาศ
กระท่อมน้อยของฉัน
พลอยเงียบสงัดจากข่าวคราว
ของคนในหมู่บ้าน
ต่อเมื่อฤดูใบไม้ผลิหมุนเวียน
เข้ามาแทนที่เมื่อใด
เมื่อนั้นความอ้างว้างโดดเดี่ยว
ที่ฉันกำลังประสบอยู่ยามนี้
คงมลายหายไป
พร้อมสายฝนหิมะอันเย็นยะเยียบ
อย่างแน่นอน


6

ณ ขุนเขาแห่งตำบลเอชิโกะ
ฉันใช้ชีวิตสันโดษ
อยู่ในกระท่อมเล็ก ๆ หลังหนึ่ง
ฤดูนี้เป็นฤดูเหมันต์
ยอดเขาที่เสียดสล้างระปุยเมฆ
ขาวนวลด้วยพราวเกล็ดหิมะ
ธารน้ำแข็งที่ไหลเอื่อยมาเป็นทาง
ลงมาจากยอดเขา
มองเป็นสีเงินยวง
ดั่งสายสำลีพริ้วลอยละล่อง
ออกมาจากปุยเมฆขาว


7

ท่ามกลางม่านหิมะ
ที่สกาวพร่าพราย
สรรพสิ่งอันเป็นชีวิต
และลมหายใจของจักรวาล
ต่างโอบอุ้มกันและกัน
เป็นลีลาแห่งความเย็นชื่น
และสุขสงัด


8

ลมหิมะที่แผ่วพัดตอนหัวค่ำ
กลายเป็นสายฝนที่เย็นฉ่ำยามดึก
คืนนี้ฉันผวาตื่นเมื่อค่อนรุ่ง
ด้วยเสียงร้องของห่านป่า
ฉันทอดสายตาลอดหน้าต่าง
ออกไปยังเวิ้งฟ้าไกลลิบ
ฟ้าหน้าหนาวมืดทะมึนเย็นเยียบ
และอ้างว้างเหลือเกิน


9

ภายในกระท่อมวังเวง
ที่ปกคลุมด้วยหิมะเย็นยะเยือก
ฉันนอนเหม่อไม่อาจข่มตาหลับ
ความคิดนึกล่องลอย
ไปถึงวันคืนในอดีต
และความเป็นมาของชีวิต
ท่ามกลางความเงียบงัน
แห่งราตรีที่ดึกดื่นนั้น
เสียงผะแผ่วเสียงหนึ่ง
พลันแว่วมาสะกิดฉัน
ให้ตื่นจากความฝันอันล่องลอย
เสียงนั้นเป็นเสียงธารน้ำ
ที่เอื่อยไหลจากหน้าผา
ลงมากระทบโขดหิน
เป็นสำเนียงซ่านซ่าแผ่วเบา


10

วันนี้ฉันเดินทาง
ไปที่หมู่บ้านอิวามูระ
เพราะได้ยินกิติศัพท์ความงาม
ของป่าสนแห่งหมู่บ้านนี้
ระหว่างทางที่จะไปสู่หมู่บ้าน
เป็นทุ่งข้าวกว้างใหญ่
ฉันเดินฝ่าฝนหิมะอันหนาวเหน็บ
ไปเพียงลำพังเดียวดาย


11

ในคืนค่ำที่หนาวหนัก
ฉันจะนอนอยู่ข้างเตาผิง
ให้่ร่างกายได้สัมผัสไออุ่น
จากเปลวไฟนั้น
นี่คือความเป็นอยู่ง่าย ๆ
แต่ทว่าสุขสงบ
ของชีวิตสันโดษ


12

อีกวันแล้วสินะ
ที่ฉันไม่ได้เข้าไปบิณฑบาต
ที่ในหมู่บ้าน
เพราะหิมะตกหนัก
ฉันนอนเล่นในกระท่อม
ด้วยจิตใจที่แช่มชื่นเอิบอิ่ม
มองดูปุยหิมะลอยฟ้ามาอ้อยอิ่ง
ก็เพียงพอแล้ว
ที่จะทำให้ชีวิตอิ่มเต็มเปี่ยมสุข


13

ดึกสงัดคืนนี้หิมะลงหนัก
และพายุก็พัดจัดเหลือเกิน
ปุยหิมะสูงท่วมขึ้นทุกที
ขณะลมหนาวกระโชกมา
อย่างรุนแรง
เสียงหวีดหวิวของลมหิมะนั้น
ดังกลบเสียงน้ำตกจากหน้าผา
ที่เคยแว่วมาให้ได้ยิน
ในทุกคืนจนหมดสิ้น


14

เช้าวันนี้อากาศสดใส
ฝนหิมะที่โปรยปราย
มาตั้งแต่เมื่อคืน
หยุดไปนานแล้ว
อา ช่างเป็นโอกาสดีเหลือเกิน
ฉันจะทำอะไรดีหนอ
ออกไปตักน้ำที่บ่อหรือ
หรือว่าจะไปเก็บฟืนในป่าดี
เอ หรือจะไปหาผัก
มากินเป็นอาหารเช้า


15

ใต้เงามืดของขุนเขาสูงตระหง่าน
กระท่อมน้อยของฉันสว่างไสว
ด้วยเปลวไฟจากเตาผิง
ที่ก่อไว้ตลอดฤดูหนาว


16

ฤดูหนาวจวนจะสิ้นไปแล้ว
เตรียมตัวไว้เถิดท่านเอ๋ย
เตรียมตัวไว้สำหรับวันเวลา
ที่ท่านจะมาเยือน
กระท่อมฟางหลังเก่านี้


17

พรุ่งนี้แล้วสินะ
ที่ความหนาวเหน็บ
จะมลายหายไป
พร้อมกับการมาเยือน
ของฤดูใบไม้่ผลิอันอบอุ่น
หัวใจฉันลิงโลด
จนไม่อาจข่มตาหลับ
ขณะครุ่นคอย
อรุณรุ่งของวันใหม่
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5162


ระบบปฏิบัติการ:
Linux Linux
เวบเบราเซอร์:
Chrome 90.0.4430.210 Chrome 90.0.4430.210


ดูรายละเอียด
« ตอบ #5 เมื่อ: 23 มกราคม 2566 19:58:17 »




ภาคที่ห้า : บทร้อยกรองปกิณกะ

1

เมฆทะมึนเหนือท้องฟ้า
ถูกลมอุ้มหอบพัดพัดลอยไปหมดสิ้น
เหลือแต่แผ่นฟ้าสีน้ำเงินสดโปร่ง
ฉันถือบาตรใบน้อย
ออกจากกระท่อม
หาเที่ยวภิกขาจาร
ด้วยจิตใจที่ปลอดโปร่งเป็นสุข
นี่คือความเมตตาของสวรรค์
ที่โปรยแผ่มายังฉัน
ผ่านสายลมรำเพย
และธรรมชาติยามรุ่งอรุณ


2

ฉันกับเพื่อน
เริงเล่นกลางทุ่งกว้าง
เราขับลำนำ
อ่านบทกวี
เล่นลูกบอล
สองคนสองชีวิต
แต่หัวใจกลับแน่นสนิท
เป็นหัวใจเดียวกัน


3

ฉันนอนอิงหมอนหญ้า
อยู่เพียงลำพังในกระท่อม
ปล่อยความฝันและจินตนาการ
ให้ลอยละล่อง
ไปสู่โลกในอุดมคติ
ที่ปราศจากเสียงร่ำไห้
ของคนทุกข์
เงียบเหงา อ้างว้าง
เหลือเกินโลกมนุษย์


4

ยามที่ฉันมองดูเด็กเพลินเล่น
ด้วยอาการที่ไร้เดียงสา
พลันน้ำตาของฉัน
ก็เอ่อรินชุ่มใบหน้า
ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไม
ฉันจึงร้องไห้เมื่อเห็นภาพเช่นนั้น


5

คราที่ฉันครุ่นคำนึง
ถึงความเป็นไปของผู้คน
บนผืนแผ่นดินวิปโยคผืนนี้
ราตรีกาลดูผ่านผัน
ไปด้วยความเหนื่อยหน่าย
และมึนซึมเหลือเกิน
ฉันครุ่น ฉันคิด
แล้วหยาดน้ำตาก็ไหลริน
จนชุ่มอาบแขนเสื้อคลุม


6

ขโมยทิ้งดวงจันทร์
เอาไว้
ที่หน้าต่าง


7

จะมีใครใหมหนอ
เอื้ออาทรต่อพระชรารูปนี้
ช่วยทีเถิด
ฉันลืมไม้เท้าไว้ที่กลางทาง
ช่วยเก็บมันคืนให้ฉัน
นี่ก็ค่ำมากแล้ว
ฉันจำเป็นต้องใช้มัน
คลำทางกลับกระท่อม


8มตัว

อีกไม่กี่ปี
พระชรานามว่าเรียวกัน
จะต้องลาโลก
ไปตามกฎของความเปลี่ยนแปลง
ดังดอกไม้แห้ง
ผล็อยร่วงจากต้นยามรุ่งสาง
แต่สิ่งที่พระรูปนี้
จะยังทิ้งไว้เป็นมรดกแก่โลก
อีกตราบนานเท่านาน
คือดวงใจอันปรารถนาดี
ต่อทุกคนเสมอหน้ากัน


9

ขณะรอคอยแขกผู้จะมาเยือน
ฉันดื่มเหล้าสาเก
หมดไปสี่ห้าถ้วย
ความหอมหวานของสุรา
ทำให้ฉันเพลินดื่มจนลืมตัว
เมื่ออาคันตุกะมาถึง
ฉันกลับเมามายจนจำเขาไม่ได้
คราวหน้าเห็นฉันจะต้อง
สังวรตัวเองให้มากกว่านี้


10

หากเสื้อคลุมของฉัน
กว้างพอที่จะโอบคลุม
คนผู้ยากไร้ทั้งโลก
ฉันจะไม่รีรอเลย
ที่จะแผ่โอบเสื้อคลุมออกรับ
ความแร้นแค้นของผู้คน
ที่น่าสงสารเหล่านั้น



11

เธอลืมหนทางสู่กระท่อม
ของฉันเสียแล้วหรือ
ทุกวันยามเย็นย่ำ
ฉันคอยเงี่ยหูฟังเสียงของเธอมา
ด้วยจิตใจอันจดจ่อ
แต่ทุกอย่างก็เป็นเพียง
ความว่างเปล่า
ไม่มีวี่แววของเธอปรากฎ
เลยเพื่อนเอ๋ย


12

บนฟากฟ้ากว้างไกลสุดสายตา
ดวงอาทิตย์จวบจะลาลับไปแล้ว
หนทางกลับกระท่อม
ยังเหลืออีกไกลนัก
บ่าสองข้างของฉัน
หนักอึ้งด้วยสัมภาระ
สองเท้าอ่อนล้า
ขณะย่ำไปตามทางสายเปลี่ยว
เพียงผู้เดียว


13

รูป สี ชื่อและสันฐาน
เป็นเพียงสิ่งสมมุติ
ที่กล่าวเรียกกันในโลก
เมื่อเงื่อนไขแห่งวันเวลามาถึง
สิ่งเหล่านี้ย่อมแปรเปลี่ยน
สูญสลายไปไม่เหลือ


14

คราฉันครุ่นคำนึง
ถึงความทุกข์เข็ญอับจน
ของเพื่อนร่วมโลก
ความระทมเศร้าของเขาเหล่านั้น
พลันละลายเข้าเกาะกุมหัวใจ
ดังว่ามันเป็นความทุกข์
ของฉันเอง


15

ย่ำค่ำสนธยาง
ฉันกับเพื่อน
นั่งสนทนากันบนหน้าผา
ท่ามกลางทิวสนภูเขา
ที่พริ้วใบระริกเล่นลมค่ำ


16

ณ เกาะซาโดะแห่งนี้
ฉันยังวันคืนให้ผ่านล่วงไป
ด้วยการรำลึกถึงใบหน้า
อันอ่อนหวานเปี่ยมแววเมตตา
ของแม่ผู้น่าสงสาร
ที่ฉันจากมา
ทิ้งให้อ่านเผชิญชะตากรรม
ตามลำพังเป็นเวลาหลายขวบปี


17

ชีวิตคนเรา
ไม่ต่างจากสวะ
ที่ไหลลอยกระแสชล
ยามราตรี
บางคราวถูกแสงจันทร์สาดทาบ
บางครั้งก็เลื่อนไหล
เข้าไปในเงามืดของคืนแรม
แปรเปลี่ยนเวียนวน
เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง
ไม่จีรังยั่งยืน


18

ความรู้สึกส่วนลึก
ภายในใจของพระชรารูปนี้
ที่มีต่อสรรพสิ่งอันผ่านเข้ามาในชีวิต
เปรียบได้กับความอ่อนละมุน
ของสายลมแผ่ว
ที่ล่องลอยกระซาบสัมผัส
ทุกสิ่งทั้งที่ดีและเลว
ให้เกิดความฉ่ำเย็นเสมอกัน
โดยไม่ลำเอียง


19

ร่างกายสังขารของมนุษย์
ไม่กี่ปีก็ผุพังแตกดับ
ลงเป็นเถ้าธุลีดิน
สิ่งที่อันจะคงอยู่
ชั่วดินฟ้าแยกสลาย
ก็คือสัจธรรม
อันมิอาจลบล้าง
ได้ด้วยพลังแห่งความแปรเปลี่ยนใด


20

สิ่งที่เรามองเห็นข้างหน้านั่น
คือหุ่นฟางเก่า ๆ ตัวหนึ่ง
สวมหมวกปุปะ และเสื้อชาวนา
สีซีดหม่นกระรุ่งกระริ่ง
ใครเล่าหนอจะยังทราบ
ว่าในความซอมซ่อเก่าปอนนั้น
หุ่นไล่กาได้ทำหน้าที่ของมัน
อย่างเต็มเปี่ยมบริบูรณ์แล้ว
 

21

ทำไมหนอ
ท่านจึงระหกระเหิน
ไปไกลเช่นนั้น
เพียงเพราะว่าท่านต้องการ
เข้าสู่แก่นแห่งพุทธะสัจจะ
หยุดมองกลับเข้าไป
ในตัวเองบ้างเถิด
ท่ามกลางความป่วนปั่น
แห่งคลื่นลมชีวิต
ท่านจะเห็นความสงบเงียบ
ของมันด้วยตัวท่านเอง


22

ฉันเดินเลียบชายทะเล
ออกหาชมสาหร่าย
ที่ถูกคลื่นพัดหอบมา
จากแดนไกล
บางคราวเมื่อหลับอยู่
ในกระท่อม
ฉันจะฝันเห็นสาหร่ายทะเลเหล่านี้
ผุดพราวขึ้นในห้วงรำลึก


23

หลายเดือนผ่านไป
วันเวลาคลี่คลาย
กลายเป็นอดีตทับถมกัน
วันนี้ฉันย้อนรำลึก
ไปหาความทรงจำอันเลือนราง
แต่ไม่อาจไขว่คว้า
รอยรำลึกที่ผ่านเลย
มาสู่ห้วงจินตนาการอีกครั้ง
โอ อดีตของชีวิต
ช่างยาวนานและเต็มด้วย
ความหนักเหนื่อยเหลือเกิน
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.255 วินาที กับ 31 คำสั่ง

Google visited last this page 19 ธันวาคม 2567 23:15:57