[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
26 มิถุนายน 2567 06:30:00 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: "วัฒนธรรมแห่งความเมตตา" บทสัมภาษณ์พิเศษองค์ทะไลลามะ  (อ่าน 1529 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5114


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 15 มิถุนายน 2553 21:22:02 »


 
บทสัมภาษณ์พิเศษองค์ทะไลลามะ โดย Miri Heatherwick แปลจากนิตยสาร Resurgence ฉบับเดือนมิถุนายน 2000 เรื่อง"วัฒนธรรมแห่งความเมตตา" เป็นการพูดถึงหลักอหิงสาที่ชาวธิเบตใช้เป็นยุทธวิธีการต่อสู้เรียกร้องเอกราชของตน

 
โลกของการพึ่งพาอาศัยกัน เป็นโลกซึ่งไม่มีว่างสำหรับความรุนแรง (In a mutually interdependent world, violence has no place)
สัมภาษณ์ โดย : Miri Heatherwick

 
ท่านได้ตรัสว่า ในศตวรรษที่ 20 มีผู้คนต้องประสบกับความทุกข์ยากมากขึ้นเนื่องมาจากความรุนแรงยิ่งกว่าที่เคยเป็นมาก่อน แต่ท่านยืนยันว่า ความรุนแรงเป็นสิ่งที่ทวนกระแสธรรมชาติของมนุษย์. คุณจะเชื่อได้อย่างไร ในเมื่อพยานหลักฐานต่างๆดูเหมือนว่าจะเป็นไปในลักษณะที่ตรงกันข้าม ?
 
ในระดับเบื้องต้นหรือพื้นฐานของชีวิตธรรมชาติของมนุษย์ ต้องขึ้นอยู่กับความรัก. ความก้าวร้าวเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติมนุษย์ แต่ไม่ใช่ส่วนที่มีอิทธิพลแต่อย่างใด. สิทธิที่มีมาตั้งแต่เกิดของชีวิตทารกทั้งหลาย คือความรู้สึกทราบซึ้งในความรักของคนอื่น และขานรับต่อความรู้สึกอ่อนโยนอันนั้น แม้ว่าความเฉลียวฉลาดจะไม่ได้ถูกพัฒนาขึ้นมา, ทารกน้อยๆก็สามารถมีชีวิตอยู่รอดได้โดยไม่ต้องมีสติปัญญา แต่หากว่าปราศจากความรักทารกจะไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้.
 
ตามความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ เมื่อมารดาตั้งครรภ์ขึ้น ทารกจะเจริญเติบโตในครรภ์ของมารดา, ความรู้สึกสงบ สันติในใจของผู้เป็นแม่ ความรัก และความเมตตาของเธอเป็นเงื่อนไขที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับทารกที่อยู่ในครรภ์. ความโกรธและความเกลียด จะสร้างความปั่นป่วนในจิตใจของผู้เป็นแม่ และมันเป็นเรื่องที่เลวร้ายสำหรับทารกที่อยู่ในครรภ์ด้วย.
ในทำนองเดียวกัน ช่วงระหว่างไม่กี่สัปดาห์แรกหลังการถือกำเนิดขึ้นมาของทารก การสัมผัสทางกายด้วยความรักกับทารกเป็นเงื่อนไขที่สำคัญมากสำหรับพัฒนาการอันเหมาะสมต่อสมองของทารก. ในเรื่องเกี่ยวกับส่วนสูงของร่างกาย ก็ต้องการความรักของมนุษย์. อารมณ์ความรู้สึกต่างๆทางด้านบวกของมนุษย์ อย่างเช่น ความรัก, ความเมตากรุณา ไปด้วยกันอย่างดีกับพัฒนาการทางกายภาพของเรา. แต่จิตใจที่ปั่นป่วนร้อนรนจะไม่ไปด้วยกันกับการดำรงอยู่ที่ดี. ทารกเกือบจะเหมือนกันกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆ – ไม่มีสติปัญญา, ไม่มีอุดมคติ, ไม่มีศรัทธาในศาสนา, ไม่มีสิ่งใดเลยเว้นแต่ความรู้สึกซาบซึ้งในความเอาใจใส่ของผู้เป็นมารดา และสามารถที่จะขานรับต่อสิ่งเหล่านั้นได้อย่างไม่ต้องสงสัยและเป็นไปได้ด้วยดี.
 
ทุกคนทราบว่า ทารกหรือเด็กๆซึ่งได้รับความรักจากพ่อแม่จะมีจิตใจและสติปัญญาที่แข็งแรงสมบูรณ์. อันนี้ย่อมส่งผลให้การศึกษาของพวกเขาดีขึ้นมาก. เมื่อเด็กคนนั้นโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ก็จะมีความรู้สึกไวและอ่อนไหวต่อความเจ็บปวดหรือความทุกข์ยากของคนอื่น และพบว่ามันง่ายมากที่จะพัฒนาไปสู่ความรู้สึกอันหนึ่งของการเป็นห่วงเป็นใยคนอื่น.
 
สิ่งดีๆที่เป็นเรื่องทางบวกมาจากความรักความเมตตา จากความรู้สึกอันหนึ่งของการเอาใจใส่และความรัก. คุณจะเป็นคนที่มีสุขภาพอนามัยที่ดีและมีจิตใจที่เป็นสุข. อันนี้เนื่องมาจากครอบครัวที่มีความสุขและชุมชนที่มีความสุข. เด็กที่ขาดเสียซึ่งความรัก จะเป็นเด็กที่ขี้อายและจิตใจไม่เป็นสุข. พัฒนาการทางร่างกายของพวกเขาก็จะได้รับผลกระทบด้วย. เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ พวกเขาจะพบว่ามันยากมากที่จะแสดงออกซึ่งความรักให้กับคนอื่นๆ. ในท้ายที่สุด อันนี้สามารถจะมีอิทธิพลส่งไปถึงสังคมโดยรวมได้. พื้นฐานธรรมชาติของมนุษย์มีความเชื่อมโยงกันบางอย่างกับความเป็นสัตว์สังคม ซึ่งต้องอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม, คล้ายๆกับผึ้ง. การดำรงชีวิตอยู่ประเภทนี้เรียกร้องต้องการความรู้สึกอันหนึ่งของชุมชน ความรู้สึกรับผิดชอบ ความรู้สึกที่จะทำงานร่วมกัน และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน. อันนี้เป็นธรรมชาติ.
 
ความก้าวร้าวก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติมนุษย์ด้วย แต่มันไม่ใช่ส่วนที่มีอิทธิพลสำคัญแต่อย่างใด. อหิงสา หรือการไม่ใช้ความรุนแรงได้รับการกล่าวว่าเป็นความรู้สึกของความเมตตา และความรู้สึกของการเป็นห่วงเป็นใย. ความเมตตาไม่ใช่ความรู้สึกอันหนึ่งของความสงสาร. ความเมตตาเป็นความรู้สึกที่แท้จริงอันหนึ่งของความรับผิดชอบและเคารพต่อสรรพชีวิต. ด้วยเหตุนี้ อารมณ์ความรู้สึกเกี่ยวกับความรักและความเมตตาเอาใจใส่จึงเป็นรากฐานเกี่ยวกับการอยู่รอดของมนุษย์. ด้วยเหตุดังนั้น อหิงสาหรือการไม่ใช้ความรุนแรงจึงไปด้วยกันอย่างดีกับธรรมชาติพื้นฐานของมนุษย์.
 
ในความสัมพันธ์ทางสังคมของเรา เรื่องของความรุนแรงมีผลทางด้านลบ. ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากว่าเราพัฒนาความไม่ลงรอยกันขึ้นมา ถ้าข้าพเจ้าใช้กำปั้นต่อยคุณหรือคุณใช้กำปั้นทุบข้าพเจ้า การกระทำเช่นนี้จะมีฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ชนะและอีกฝ่ายหนึ่งจะเป็นผู้แพ้. แต่คุณมีเพื่อนของคุณและญาติๆของคุณ. คนเหล่านี้พร้อมที่จะแก้แค้นให้. มาถึงตรงนี้ เนื่องจากการกระทำของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องเตรียมตัวที่จะเผชิญหน้ากับคนอีกสิบคน. ด้วยเหตุดังนั้น ในระดับของการปฏิบัติ ถ้าหากว่าคุณใช้ความรุนแรง ในช่วงเวลาสั้นๆคุณอาจได้รับชัยชนะคนอื่นๆ แต่ในระยะยาวมันจะมีผลในทางลบตามมา.
 
มองไปที่ประวัติศาสตร์ของสงครามโลกครั้งที่หนึ่งดูซิ หลังจากที่ทหารเยอรมันต้องพ่ายแพ้สงคราม พวกเขาก็ได้พักรบ. แต่ในช่วงเวลาดังกล่าว เมล็ดพันธุ์ดังกล่าวของสงครามโลกครั้งที่สองได้รับการบ่มเพาะขึ้นมา. ภายในดวงจิตของประชาชนชาวเยอรมันมัน เป็นความรู้สึกที่ว่า “เราเป็นผู้พ่ายแพ้ และเราจะต้องไม่ลืมความพ่ายแพ้อันนี้.
 
โลกในทุกวันนี้เป็นโลกที่มีความเชื่อมโยงกันและกันและเป็นโลกที่ต้องพึ่งพาอาศัยกัน. ไม่เพียงแต่ประเทศหนึ่งต้องพึ่งพาอาศัยประเทศอื่นๆเท่านั้น แต่ทวีปต่างๆก็ต้องพึ่งพาอาศัยทวีปอื่นๆด้วย. ปัญหาใหม่ๆ อย่างเช่นปัญหาทางนิเวศวิทยาเป็นปัญหาทั้งโลก. ทั้งนี้เพราะเราต่างพึ่งพาอาศัยกันและกันอย่างมาก แนวความคิดเกี่ยวกับฉัน, เรา, ของเรา, และของคุณ, พวกเขา, ของพวกเขา, ไม่มีหรือไม่เป็นประโยชน์อีกต่อไปแล้ว. การทำลายเพื่อนบ้านของคุณก็คือการทำลายตัวคุณเองด้วย. ปัจจุบันนี้โลกทั้งโลกมันเป็นเหมือนกับเรือนร่างเดียวกัน.
 
ความคิดเกี่ยวกับสงคราม มันเกิดขึ้นมาจากแนวความคิดที่ว่า มันยังคงมีเส้นที่ชัดเจนเส้นหนึ่งที่แบ่งแยกระหว่าง”พวกเขา”และ”พวกเรา”. ฝ่ายหนึ่งชนะ, ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งพ่ายแพ้. แต่โลกซึ่งต้องพึ่งพาอาศัยกันและกันนั้น เรื่องเช่นนี้มันเป็นไปไม่ได้. ทุกวันนี้ ผลประโยชน์ของพวกเขาก็คือผลประโยชน์ของพวกคุณ. ด้วยเหตุนี้ คุณจึงไม่สามารถที่จะมองข้ามหรือไม่เอาใจใส่ผลประโยชน์ของคนอื่นๆได้. คุณจะต้องรักษาผลประโยชน์ของคนอื่นเอาไว้ในใจ ขณะที่คุณพยายามที่จะแก้ปัญหาของคุณเอง. ในข้อเท็จจริง โดยปราศจากความร่วมมือของคนอื่น คุณจะไม่สามารถแก้ปัญหาได้. ภายใต้สถานการณ์เหล่านั้น จะไม่มีที่ว่างสำหรับความรุนแรง. ในระดับปรัชญาและในระดับปฏิบัติการ ทั้งสองระดับนี้ การไม่ใช้ความรุนแรงหรืออหิงสาเป็นเพียงทางเลือกเดียวเท่านั้น. ความรุนแรงไม่มีคุณค่ายืนยงยาวนานอีกต่อไปแล้ว.
 
ดังนั้น ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้ การสนทนากับฝ่ายตรงข้ามหรือปรปักษ์เป็นวิธีการที่เป็นจริงมากที่สุด และเป็นหนทางซึ่งนำไปสู่ความก้าวหน้า.
ถ้าหากว่าการสนทนาหรือการพูดคุยกันเป็นทางเลือกของท่านต่อการมีสงคราม, ท่านก็ไม่ได้แสดงให้เห็นว่ามันประสบความสำเร็จมากนัก. อะไรคือสิ่งที่ธิเบตได้มาในความพยายามต่างๆของท่านในการเจรจากับจีน ?
ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยที่ว่า หลักอหิงสา หรือการไม่ใช้ความรุนแรงของข้าพเจ้าไม่ประสบความสำเร็จที่เป็นจริงแต่อย่างใด. ใช่ ด้านหนึ่ง ความพยายามที่จะบรรลุถึงการแก้ปัญหาที่แท้จริงต่อการรุกรานของชาวจีนในธิเบตโดยผ่านการพูดคุยกับรัฐบาลจีน จนกระทั่งปัจจุบันนี้มันยังล้มเหลวอยู่. แต่ ในอีกด้านหนึ่งนั้น เนื่องจากวิธีการอหิงสาของข้าพเจ้า วิญญานแห่งการประนีประนอมของข้าพเจ้า และไม่ลืมเรื่องผลประโยชน์ของจีน ได้มีการสนับสนุนอย่างมากมายจากชุมชนชาวจีน จากบรรดานักวิชาการปัญญาชนของจีน และนักคิดต่างๆเป็นจำนวนมาก. ชาวจีนเกือบทุกคนผู้ซึ่งรู้ถึงวิธีการของข้าพเจ้า และรู้ถึงสถานการณ์ที่แท้จริงของธิเบต ต่างก็มีความเห็นสอดคล้องและสนับสนุนจุดยืนของข้าพเจ้า
 
ถ้าหากว่าธิเบตดำเนินรอยตามความรุนแรงมากกว่านี้ ชาวจีนในธิเบตก็จะบาดเจ็บล้มตายเป็นพวกแรก; ชาวจีนเหล่านี้จะตกเป็นเหยื่อหรือเป้าหมายกลุ่มแรกเลยทีเดียว. หากเป็นเช่นนั้น ญาติๆของเขา เพื่อนของเขา สมาชิกในครอบครัวของเขาก็จะเจ็บปวดทุกข์ทรมาน. ชาวธิเบตจะเล็งเป้าไปที่คนจีนทุกคน. ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น, มันจะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากสำหรับชาวจีนทุกๆคนที่จะให้การสนับสนุนข้าพเจ้า – แม้ว่าชาวจีนบางคนอาจทราบว่า ชาวธิเบต ที่จริงแล้ว ต้องทุกข์ทรมานมากเพียงใด. ดังนั้น ชาวจีนหรือพลเมืองจีนทุกคนก็จะต่อต้านข้าพเจ้า; อันนี้จะเป็นสถานการณ์ซึ่งยุ่งยากมากสำหรับพวกเรา.
ด้วยเหตุนี้ โลกกว้างจึงหันมาให้การสนับสนุนประเด็นปัญหาของชาวธิเบต เพราะพวกเราดำเนินรอยตามหลักการแห่งอหิงสาอย่างจริงใจ. ดังนั้น วิธีการที่ไม่ใช้ความรุนแรงจึงได้รับการสนับสนุนเป็นจำนวนมากและบรรลุถึงผลลัพธ์ในทางบวก. พัฒนาการอันนี้ในระยะยาวแล้ว จะส่งผลสะเทือนในทางบวกอย่างมาก.
 
ปัจจัยที่สำคัญมากอีกอันหนึ่ง: ไม่ว่าเราจะชื่นชอบหรือไม่ก็ตาม เราจะต้องดำรงอยู่เคียงข้างกันกับชาวจีน ดังนั้น เพื่อที่จะดำรงอยู่อย่างมีความสุข สันติและสงบ และในจิตวิญญานของเพื่อนบ้านที่ดี ข้าพเจ้าเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นว่า ขณะที่เรากำลังดำเนินไปบนการต่อสู้เพื่ออิสรภาพอยู่นี้ เราจะต้องดำเนินรอยตามหนทางแห่งอหิงสธรรม.
 
ท่านไม่คิดหรือว่า ความศรัทธาของท่านต่อการสนับสนุนในทางการเมืองจากชุมชนนานาชาติมันยังไม่เกิดขึ้น เนื่องจากผลประโยชน์ทางธุรกิจและเงินตรามักจะมาก่อนเรื่องของศีลธรรมเสมอ
 
ถ้าเช่นนั้นขอถามคุณว่า ถ้าหากว่าพวกเราใช้วิธีการที่รุนแรงต่างๆ คุณแน่ใจไหมว่ารัฐบาลต่างๆเป็นจำนวนมากจะมาช่วยเรา ? ไม่เลย ข้าพเจ้าไม่คิดว่าเป็นเช่นนั้น สถานการณ์จะเลวร้ายลงไปอีก. อันนี้ไม่ใช่เป็นคำถามเกี่ยวกับความรุนแรงหรือการไม่ใช้ความรุนแรง. ธิเบตเป็นประเทศที่เล็กมาก ไม่มีน้ำมัน ไม่มีเงิน ไม่เหมือนกับประเทศคูเวต, ซึ่งเป็นประเทศเล็กๆแต่มีน้ำมันเป็นจำนวนมาก. ด้วยเหตุนี้ กรณีของธิเบตจึงอ่อนแอมากต่อสายตาของโลกภายนอก. ธิเบตไม่มีความดึงดูดใจทางด้านเศรษฐกิจ. ธิเบตมีความร่ำรวยในเรื่องทรัพยากรทางธรรมชาติ แต่อันนี้ต้องใช้เทคโนโลยีเป็นจำนวนมากและต้องใช้การลงทุนสูงมาก. ดังนั้น มันจึงไม่มีผลประโยชน์ในธิเบตสำหรับโลกส่วนใหญ่.
 
ในทางตรงข้าม ประเทศจีนเป็นประเทศใหญ่ มันเป็นตลาดใหญ่ ทั้งทางด้านการเมืองและการทหาร จีนเป็นประเทศที่สำคัญมากประเทศหนึ่ง. การชี้ขาดหรือตัดสินจากเงื่อนไขปัจจัยต่างๆเหล่านี้ ข้าพเจ้าคิดว่าการสนับสนุนที่เราได้รับในทุกวันนี้ ที่จริงแล้ว เป็นเรื่องซึ่งน่าทึ่งมากเลยทีเดียว.
 
ในปี 1959, 60 และ 65 ประเด็นปัญหาของธิเบตได้รับการนำเข้าไปสู่องค์การสหประชาชาติ. ในช่วงเวลานั้น ประเทศต่างๆมากมายให้การสนับสนุนต่อธิเบต แต่การสนับสนุนอันนั้นมิได้เป็นไปอย่างแท้จริง. ประเทศต่างๆทางตะวันตกกลุ่มหนึ่งมีนโยบายเกี่ยวกับการต่อต้านคอมมิวนิสม. พวกเขาได้จัดการยักย้ายประเด็นปัญหาของชาวธิเบต ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของแผนการณ์ในการต่อต้านคอมมิวนิสม. ในทศวรรษที่ 70, 80, และ 90 การสนับสนุนที่เราได้รับ ส่วนใหญ่มาจากสาธารณชนและสื่อต่างๆ. การสนับสนุนดังกล่าวได้รับการสะท้อนในรัฐสภาต่างๆอย่างหลากหลายในประเทศประชาธิปไตย เช่นเดียวกันกับในรัฐสภาสหรัฐและรัฐสภายุโรปต่างๆและ ในท้ายที่สุด ในรัฐบาลประเทศต่างๆด้วย. ถึงแม้ว่าจะเป็นการทำไปด้วยความฝืนใจ ไม่มีความสมัครใจ และไม่รู้สึกรู้สาเท่าไรนักก็ตาม แต่พวกเขาก็เจตนามากขึ้นที่จะแสดงให้เห็นว่า พวกเขาได้ให้ความเอาใจใส่ต่อเรื่องของธิเบต
 
และเมื่อเร็วๆนี้ หลายๆประเทศมากได้แสดงให้เห็นถึงความเอาใจใส่และความเห็นอกเห็นใจของพวกเขาออกมา แต่อันที่จริง พวกเขาต้องการที่จะช่วยเหลือในระดับปฏิบัติการที่เป็นจริงอันหนึ่งเท่านั้น. ด้วยเหตุดังกล่าว ในช่วงขณะนี้ ความช่วยเหลือเฉพาะหน้าก็คือกระตุ้นสนับสนุนการเจรจาต่อรองที่มีความหมายต่างๆกับรัฐบาลจีน. ในหมู่พวกเรา การแต่งตั้งผู้ประสานงานพิเศษคนหนึ่งสำหรับธิเบตเป็นเครื่องบ่งชี้อันหนึ่งว่า พวกเราต้องการกระทำบางสิ่งบางอย่างในเชิงปฏิบัติการและเชิงสร้างสรรค์. ชาวจีนบางคนก็ได้แสดงออกถึงความเข้าใจอย่างซาบซึ้งเกี่ยวกับวิธีการประนีประนอมและไกล่เกลี่ยอันนี้. พวกเขาเชื่อว่า ธิเบตมีสิทธิอันชอบธรรมที่จะเป็นอิสรภาพ. ข้าพเจ้ารู้สึกว่าการสนับสนุนอันนี้ที่เกิดขึ้นมาก็เพราะ เราดำเนินรอยตามหลักอหิงสธรรม. ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงเชื่อว่าวิธีการอหิงสาของข้าพเจ้าซึ่งยาวนานมากว่า 20 ปีหลังนี้ ได้พัฒนาคำประกาศอันหนึ่งซึ่งเป็นพื้นฐานของสันติภาพ.
 
ท่านได้วางอนาคตเกี่ยวกับประเทศของท่านเอาไว้ไหม บนความเป็นไปได้อันคลุมเครือที่ว่า จีนจะเป็นประชาธิปไตย ?
 
จีนที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น จะทำให้มันง่ายขึ้นมากที่จะติดต่อด้วยกับประเด็นปัญหาของธิเบต. แต่นั่นมิได้หมายความว่า เพียงจีนที่เป็นประชาธิปไตยเท่านั้นที่จะช่วยในเรื่องปัญหาของธิเบตได้; ไม่เลย ข้าพเจ้าคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ แม้กระทั่งบรรดาผู้ปกครองของจีนในปัจจุบัน สามารถที่จะช่วยในเรื่องปัญหาของธิเบต. ข้าพเจ้ารู้สึกว่าถ้ารัฐบาลจีนได้วิเคราะห์อย่างระมัดระวังโดยปราศจากความกลัว ความสงสัยคลางแคลงใจ หรือความรู้สึกไม่ปลอดภัย ก็สามารถที่จะบรรลุถึงความมั่นคงที่แท้จริงและตกลงกันได้กับเราโดยผ่านการพูดคุยที่มีความหมาย. ตราบเท่าที่ธิเบตยังได้รับความเป็นห่วงเป็นใย ความมั่นคงและเอกภาพอันผิวเผินมากๆ ซึ่งได้มาด้วยการใช้กำลังจะไม่มีความมั่นคงหรือยืนยง. อันนี้ไม่ใช่ความมั่นคงที่แท้จริง. ในทันทีที่กำลังอำนาจของพวกเขาน้อยลง ความไม่มั่นคงก็จะมาเยือน. ความมั่นคงที่แท้และความเป็นเอกภาพจะต้องมาจากหัวใจมิใช่ได้มาจากความกลัว.
 
ท่ามกลางบรรดาผู้นำสุดยอดของคอมมิวนิสม, มีอยู่ 2 กลุ่ม: กลุ่มที่หนึ่งมองว่าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้วิธีการปราบปราม. ส่วนอีกกลุ่มได้มองถึงความเป็นไปได้อีกอันหนึ่ง. นี่ไม่ใช่เพียงวันนี้เท่านั้น. หลายปีที่ผ่านมาเราได้เห็นถึงความคิดเห็นทั้งสองกลุ่มนี้. จีนพบว่ามันเป็นการเสี่ยงเกินไปที่จะเผชิญหน้ากับความเป็นจริงเกี่ยวกับธิเบต. แต่จากทัศนคติและข้อคิดเห็นเกี่ยวกับผลประโยชน์ในระยะยาว ธรรมชาติที่ระเบิดออกมาอันนั้น มันจะไม่เป็นการดีทั้งต่อจีนเองและต่อธิเบตด้วย. ชาวจีนที่มีเหตุผลทุกคนต่างตระหนักในเรื่องนี้.
ท่านได้ขานรับอย่างไร ต่อการเพิ่มจำนวนมากขึ้นของชนชาวธิเบตซึ่งไม่เห็นด้วยกับนโยบายของท่านเกี่ยวกับหลักการไม่ใช้ความรุนแรง และกำลังใคร่ครวญถึงวิธีการที่ก้าวร้าวรุนแรงอย่างจริงจัง ?
 
แน่นอน พวกเขามีสิทธิอันชอบธรรมที่จะเรียกร้องอิสรภาพอย่างเต็มที่ในปัจจุบัน. เนื่องจากประสบการณ์ของพวกเขา ในช่วงระหว่าง 40 ปีหลังมานี้เกี่ยวกับความทุกข์ทรมานและการทำลายล้าง ชาวธิเบตเป็นจำนวนมากได้สูญเสียศรัทธาของพวกเขาที่มีต่อชาวจีนไปอย่างสมบูรณ์. พวกเขาต้องการแบ่งแยกเด็ดขาดจากจีน. ข้าพเจ้าเข้าใจในเหตุผลต่างๆของพวกเขา แต่ข้าพเจ้ามีความเชื่อมมั่นอย่างเต็มที่ว่า โลกทั้งมวลคือครอบครัวมนุษย์ครอบครัวเดียวกัน. ธิเบตในเชิงประวัติศาสตร์มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดมากกับอินเดียและกับจีน. ธิเบตเป็นประเทศที่เรียกว่า landlocked country (ประเทศซึ่งไม่มีทางออกทะเล ถูกล้อมรอบด้วยแผ่นดิน) และล้าหลังในเชิงวัตถุ; พวกเราต้องการความพยายามอย่างมากสำหรับการพัฒนาทางด้านวัตถุ. ทรัพยากรต่างๆทางธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ แต่เราต้องการความเชี่ยวชาญมาก. พวกเราต้องการพัฒนาเรื่องการสื่อสาร. ในท้ายที่สุด, ขอบเขตพรมแดนประเทศไม่ใช่สิ่งสำคัญ. สิ่งซึ่งเป็นสาระคือเรื่องของสิทธิประชาธิปไตยและเสรีภาพ ที่จะปฏิบัติตามวัฒนธรรมและศาสนาของพวกเรา.
 
ลึกเข้าไปในจิตใจของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเห็นว่า เขตแดนต่างๆไม่ใช่พื้นฐานเบื้องต้นที่สำคัญอะไรเลย. แต่ผู้คนทั้งหลายต่างพิจารณาว่า เขตแดนต่างๆเป็นเรื่องที่สำคัญมาก; แม้แต่เพียงไม่กี่นิ้วของดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาก็สำคัญ. ข้าพเจ้ารู้สึกว่ามันไม่ใช่สาระ. พวกเราควรจะทำอะไรๆต่อกันอย่างมากมายที่ข้ามพ้นไปจากเขตแดนต่างๆอันนั้น. สันติภาพเป็นเรื่องซึ่งสำคัญกว่า. ผู้คนควรที่จะมีชีวิตที่มีความสุข มีชุมชนที่สันติสุข. ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงเชื่อว่าชาวธิเบตและชาวจีน อันที่จริงแล้ว สามารถที่จะอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุขได้.
 
 
การอนุรักษ์วัฒนธรรมของชาวธิเบตและพุทธศาสนาของธิเบตเป็นสิ่งซึ่งสำคัญอย่างยิ่ง สำหรับชีวิตมนุษย์ที่มีความหมาย ความถูกต้องของท่าทีหรือทัศนคติทางใจต่อตัวของตัวเอง ต่อเพื่อนบ้านของเราและต่อสภาพแวดล้อมเป็นสิ่งซึ่งสำคัญมาก. ในวัฒนธรรมพุทธศาสนาของชาวธิเบต ข้าพเจ้าเห็นถึงศักยภาพที่จะทำให้เกิดความถูกต้องชอบธรรมเกี่ยวกับท่าทีหรือทัศนคติซึ่งมีต่อตัวของตัวเองและคนอื่นๆ เราปรารถนาให้ชาวจีนยินยอมให้เราได้ถือปฏิบัติในวิถีชีวิตแห่งพุทธธรรมของเราอย่างอิสระ.
 
 
ถ้าหากว่าการปฏิวัติของจีนได้พัฒนาสังคมอย่างมีความหมายอย่างแท้จริง เป็นสังคมที่มีความสุข, ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น แน่นอน ก็จะไม่มีความต้องการสำหรับทางเลือกอื่นๆ. แต่ข้าพเจ้าคิดว่า จีนขาดศรัทธาอันนั้นไปแล้ว มันแตกสลายไปแล้ว ทุกวันนี้ มันเกือบจะมีพุทธศาสนานิกายใหม่ๆเกือบร้อยล้านนิกายในประเทศจีน และจำนวนของชาวคริสเตียนในท่ามกลางหมู่ชาวจีนก็เพิ่มขึ้นด้วย. ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ? ก็เพราะว่า มันยังคงมีบางสิ่งบางอย่างขาดหายไปอยู่.
 
 
สิ่งที่มาก่อนและอยู่บนสุดของข้าพเจ้าก็คือ การอนุรักษ์วัฒนธรรมพุทธศาสนาแบบธิเบตเอาไว้, ไม่จำเป็นเพียงแค่พุทธศาสนาในตัวมันเองเท่านั้น แต่หมายรวมถึงวัฒนธรรมพุทธศาสนาเอาไว้ด้วย. และการเก็บรักษาวัฒนธรรมพุทธศาสนาเอาไว้สามารถบรรลุผลสำเร็จเช่นนั้นได้โดยไม่ต้องมีความเป็นอิสระอย่างสมบูรณ์จากจีน, โดยไม่จำต้องแบ่งแยกอย่างเด็ดขาด. ถ้าหากว่าพวกเรายังคงต้องร่วมกับอีกประเทศหนึ่งซึ่งเป็นประเทศใหญ่, อย่างประเทศจีน เราอาจได้รับประโยชน์บางอย่างต่อพัฒนาการทางด้านวัตถุ และจะได้รับการเอาใจใส่
 
 
ในช่วงขณะที่มีการทำลายเกี่ยวกับวัฒนธรรมพุทธศาสนาในธิเบต วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า มีเหตุการณ์ต่างเกิดขึ้นมากมาย ดังนั้นในประเด็นดังกล่าว เวลากำลังถูกทอดทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์: พวกเราไม่สามารถทนรออยู่ได้. อันตรายอันนี้มันช่างน่าตกใจจริงๆ.
 
 
ข้าพเจ้าเข้าใจอย่างเต็มที่ถึงความรู้สึกเกี่ยวกับภาวะที่ล่อแหลมของคนเหล่านั้น ซึ่งให้การสนับสนุนการต่อสู้ด้วยอาวุธในธิเบต. ขอให้เรามาคิดถึงเรื่องของความรุนแรงกันดู. ก่อนอื่นใดทั้งหมด เรามีปืนเพียงไม่กี่กระบอก, มีระเบิดอยู่เพียงไม่กี่ลูก. ดังนั้น พวกเราจึงต้องการอาวุธต่างๆเป็นจำนวนมากมาย. และจากที่ใดล่ะซึ่งพวกเราจะได้อาวุธและยุทธภัณฑ์เหล่านั้นมา ? ใช่…เรามีเงินอยู่บ้าง และเราสามารถซื้อหาอาวุธมาได้จากตลาดนานาชาติ. แต่เมื่อเราได้อาวุธเหล่านั้นมาแล้ว เราจะส่งมันไปยังประเทศธิเบตอย่างไร ? โดยผ่านอินเดียก็เป็นไปไม่ได้. โดยผ่านเนปาล, ก็เป็นไปไม่ได้อีก. การติดต่อกับอัฟกานิสถานก็มีภูมิประเทศซึ่งเต็มไปด้วยก้อนหิน แล้วก็ต้องใช้เวลาหลายเดือนมากกว่าจะไปถึงธิเบต.
 
 
และถ้าหากว่า อาวุธเป็นจำนวนมากมายมหาศาลไปถึงธิเบต, ประชาชนธิเบตเพียงไม่กี่หมื่นคนเริ่มจะเริ่มระดมโจมตี. คนจีนก็จะไม่นิ่งเฉยเหมือนกับเป็ด; พวกเขาก็จะใช้วิธีการอันรุนแรงตอบโต้เราด้วย. ดังนั้น หากว่าเรามีทหารธิเบต 1 แสนคน, ข้าพเจ้าคิดว่า อย่างน้อยที่สุด ทหาร 2-3 หมื่นคน หรืออาจจะ 4 หมื่นคนต้องถูกฆ่าตาย. สำหรับเราแล้ว หากชาวธิเบต 4 หมื่นคนต้องบาดเจ็บล้มตาย นั่นจะเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่มาก. แต่สำหรับชาวจีนแล้ว คนจำนวนหนึ่ง 1 แสนคนถือว่าน้อยมาก. ถ้าหากว่าคนจีน 1 แสนคนได้ถูกกำจัดทิ้งไปวันนี้ สัปดาห์หน้าคน 2 แสนคนก็จะมาแทนที่พวกที่ถูกขจัดไปอย่างไม่ยากเย็นอะไร. แต่ถ้าเป็นคนของธิเบต 1 แสนคนถูกฆ่า มันจะไม่มีการทดแทนขึ้นมาแต่อย่างใด มันคือการฆ่าตัวตาย. ด้วยเหตุนี้ สิ่งซึ่งยกตัวอย่างขึ้นมาเป็นคำตอบของข้าพเจ้าต่อชนชาวธิเบตเหล่านั้น ผู้ซึ่งชอบใช้ความรุนแรง. การตัดสินจากพัฒนาการเมื่อไม่นานมานี้, ดูเหมือนว่าอำนาจท้องถิ่นของจีนได้เชื้อเชิญความไม่สงบและความรุนแรงเข้ามาในธิเบต. พวกเขาสามารถจัดการมันได้อย่างง่ายดายและอย่างมีประสิทธิภาพ.
 
 
ตัวอย่างที่ชัดเจนอันหนึ่ง. นั่นคือ ในรุ่งอรุณของวันที่ 17 มีนาคม ค.ศ.1959 มีการยิงปืนใหญ่เข้ามาในกรุง Lhasa. ทุกๆคนเห็นว่ามันมาจากฝั่งของประเทศจีน. แต่แถลงการณ์ในกรุงปักกิ่งของจีนกลับประกาศว่า ชาวธิเบตได้เริ่มเปิดการยิงปืนใหญ่เข้ามาตกในกองทหารรักษาการของจีน ต่อจากนั้น รัฐบาลจีนจึงให้มีการตอบโต้อย่างเต็มที่. ในช่วงทศวรรษที่ 80 ทหารจีนคนหนึ่งผู้ซึ่งมีส่วนร่วมอยู่ในเหตุการณ์ปี ค.ศ.1959 ได้เขียนเอาไว้ในหนังสือเล่มเล็กๆเล่มหนึ่งว่า ทหารจีนได้เปิดฉากการยิงเข้าไปยังธิเบตก่อน.
 
ทั้งๆที่ความโหดร้ายเหล่านี้ต่อชนชาวธิเบตทำให้ชาวธิเบตต้องเจ็บปวดทุกข์ทรมาน, ท่านยังขอร้องให้พวกเขาจะต้องไม่รู้สึกโกรธ, เพียงแผ่เมตตาไปยังผู้กดขี่ทั้งหลายที่กระทำกับพวกเขา. ท่านไม่คิดหรือว่า มาตรฐานของท่านมันเป็นมาตรฐานที่สูงเกินไป ?
 
นี่ล่ะคือประเด็นสำคัญ พวกเราไม่ควรที่จะสูญเสียความเมตตาของเราไปไม่ว่าสถานการณ์ต่างๆจะเป็นเช่นไร. อันนี้ไม่ใช่แค่คำแนะนำของข้าพเจ้าเท่านั้น. พระภิกษุชาวธิเบตรูปหนึ่ง, ผู้ซึ่งข้าพเจ้ารู้จักเป็นอย่างดี, ที่วัด Namgyal ใน Potala ที่กรุง Lhasa ได้อรรถาธิบายถึงภารกิจอันสำคัญอันนี้. เขาได้ใช้เวลายาวนานถึง 17 ปี ในค่ายกักกันแรงงานของจีน และในช่วงระหว่างวันเวลาเหล่านั้น ในโอกาสซึ่งมีอยู่เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้นที่เขาต้องเผชิญหน้ากับภัยอันตรายครั้งหนึ่ง. ข้าพเจ้าถามท่านว่าเป็นอันตรายร้ายแรงประเภทไหนกันล่ะที่ท่านต้องเผชิญ; ข้าพเจ้าคิดว่ามันจะต้องเป็นอันตรายต่อชีวิตของท่าน. แต่ท่านกลับตอบว่า อันตรายของการสูญเสียความเมตจตาต่อชาวจีน. ข้าพเจ้าไม่สามารถปฏิบัติเช่นนั้นได้, ข้าพเจ้าคิด, แต่ภายใต้สถานการณ์ที่ยากลำบากนั้น จริงๆแล้ว ท่านกลับปฏิบัติการด้วยการเจริญเมตตาได้.
 
การไม่ใช้ความรุนแรงเป็นธรรมชาติอันดับที่สองต่อวัฒนธรรมพุทธศาสนาของท่าน. ในคุณค่าทางศาสนาตามขนบประเพณีตะวันตก สิ่งเหล่านี้กำลังสาบสูญไป. เราจะสามารถเป็นตัวแทนการไม่ใช้ความรุนแรงได้อย่างไร เมื่อคุณค่าทางจิตวิญญานได้กลายเป็นคนแปลกหน้ามากๆสำหรับพวกเราไปแล้ว ?
 
ในด้านหนึ่ง, ใช่ คุณค่าทางศาสนาตามขนบประเพณีได้ถูกทำให้อ่อนแอลง. แต่มันมีคุณค่าใหม่ๆที่ถือกำเนิดขึ้นมา; คุณค่าต่างๆทางนิเวศวิทยา เป็นตัวอย่าง, ข้าพเจ้าคิดว่าสิ่งเหล่านี้คือลักษณะเฉพาะต่างๆทางศาสนา มันมิได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานเกี่ยวกับศรัทธาในศาสนา, แต่มันมีฐานอยู่บนความสำคัญที่เป็นจริงเกี่ยวกับความห่วงใยในการไม่ใช้ความรุนแรงต่อสิ่งแวดล้อม. ข้าพเจ้าคิดว่าสิ่งเหล่านี้คือพัฒนาการที่เต็มไปด้วยสุขภาพอนามัยที่ดี. ในหนทางหนึ่ง อิทธิพลทางศาสนาในปัจจุบันได้ลดทอนลงมา แต่ข้าพเจ้าเชื่อว่า มนุษย์ที่ดำรงชีวิตอยู่กำลังเติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น. โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนรุ่นหนุ่มรุ่นสาว; เนื่องมาจากความเปิดกว้างของพวกเขา ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังเคลื่อนเข้าไปใกล้กับความจริงอันนั้น.
 
 
ข้าพเจ้าได้พูดกับคนฝรั่งเศสกลุ่มหนึ่ง และได้ไต่ถามพวกเขาเกี่ยวกับประเทศเยอรมันนี. ข้าพเจ้าคิดว่า เมื่อ 40 ปีล่วงมาแล้ว ในสายตาของคนฝรั่งเศส ประเทศเยอรมันนีเป็นบางสิ่งที่เลวร้ายมาก, แต่ปัจจุบันคนสองคนของสองประเทศนี้เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน. ในทำนองเดียวกัน นักฟิสิกส์ที่ยิ่งใหญ่ชาวเยอรมันคนหนึ่งบอกกับข้าพเจ้าว่า 40-50 ปีมาแล้ว เมื่อเขาได้พบกับคนฝรั่งเศส เขาพบว่ามันเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากและไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยที่จะปฏิบัติตัวอย่างไร. แต่ทุกวันนี้ สิ่งเหล่านั้นได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสมบูรณ์แล้ว นี่คือเครื่องหมายต่างๆของความเติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น. มาถึงตอนนี้ ชาวเยอรมันและชาวฝรั่งเศสได้ปฏิบัติต่อกันเหมือนดั่งกับการเป็นพี่เป็นน้องกัน.
ในการรำลึกถึงความทรงจำของท่านเมื่อวัยเยาว์ ท่านได้อธิบายว่า ท่านเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับความโกรธมากมายอย่างไร, แต่หลายปีต่อมา ท่านกล่าวว่า ท่านได้จัดการเพื่อขจัดความโกรธออกไปได้จนเกือบจะสมบูรณ์แล้ว.
แน่นอน จิตใจของมนุษย์และอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์สามารถเปลี่ยนแปลงได้ หากว่าคุณใช้ความพยายาม. ด้วยการกำหนดตัดสินใจและความอดทนคุณสามารถที่จะแปรเปลี่ยนความโกรธและลดทอนการยึดติดลงไปได้. ความเชื่อมั่นในตัวเองและความเมตตาสามารถเพิ่มขึ้นมาได้. แต่มันต้องใช้เวลาและมันไม่ง่ายนัก ข้าพเจ้าไม่ได้พูดว่าความเมตตาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะคัมภีร์ทางศาสนาของเรากล่าวเอาไว้อย่างนั้น. ความเมตตาในระดับปฏิบัติการที่เป็นจริงเป็นเรื่องที่มีประโยชน์และให้ผลดีอย่างยิ่ง.
 
มันใช่เวลาหรือ ที่ความเมตตาของท่านจะส่งไปถึงชาวจีนที่เพิ่มความทุกข์ทรมานมากขึ้นให้กับพวกท่าน ?
 
เมื่อข้าพเจ้าเจริญเมตตาที่มีต่อพี่น้องชาวจีนของเรา มันไม่ใช่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความโหดร้ายต่างๆ แต่มันอยู่บนพื้นฐานของมนุษยธรรมของพวกเขา เมื่อคุณตั้งจิตให้มีสมาธิกับความเมตตาจากมุมดังกล่าว คุณจะเห็นว่าพวกเขาเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น พวกเขาไม่ต้องการความเจ็บปวดทุกข์ทรมานใดๆเช่นกันเหมือนกับพวกเรา; พวกเขามีสิทธิอันชอบธรรมทุกประการที่จะพิชิตและเอาชนะความทุกข์ยาก. ดังนั้น คุณจึงเห็นว่าพวกเราต่อต้านการกระทำของพวกเขา โดยปราศจากการต้องสูญเสียความเมตตาที่มีต่อบุคคลไป.
 
ท่านเคยตรัสว่า ทะไลลามะองค์ต่อไปจะทรงประสูติขึ้นมานอกอาณาเขตของธิเบต
 
ไม่ว่าสถาบันของทะไลลามะ จะดำเนินต่อไปหรือไม่ก็ตาม, นั่นเป็นเรื่องของผู้คนชาวธิเบตจะต้องตัดสิน. ถ้าหากว่าอีก 2-3 สัปดาห์ต่อไปข้าพเจ้าต้องมรณภาพลง เป็นไปได้มากที่สุดว่า ชนชาวธิเบตทั้งหลายต้องการที่จะมีองค์อวตารอีกองค์หนึ่ง. แต่ถ้าหากว่าข้าพเจ้ายังคงกล่าวอะไรต่อไปได้อีก 30-40 ปี ถ้าเป็นเช่นนั้น บางที สถานการณ์ดังกล่าวอาจกลายเป็นว่าสถาบันขององค์ทะไลลามะอาจจะไม่สอดคล้องเป็นที่ต้องการอีกต่อไปแล้ว; นั่นคือสิ่งที่เป็นไปได้มาก. แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม สถาบันทะไลลามะควรจะดำรงอยู่ต่อไปหรือไม่ นั่นไม่ใช่ความห่วงใยของข้าพเจ้า. ความเป็นห่วงเป็นใยของข้าพเจ้าคือ ประชาชาติธิเบตและวัฒนธรรมธิเบตจะต้องคงอยู่. แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าจะตัดสินอนาคตอันนั้นให้เร็วที่สุดเมื่อข้าพเจ้าได้หวนคืนกลับสู่ธิเบตด้วยระดับของการเป็นอิสระในการปกครองตนเองในบางระดับ. ข้าพเจ้าจะส่งมอบอำนาจหน้าที่ของข้าพเจ้าทั้งหมดให้กับรัฐบาลธิเบต. รัฐบาลชุดนั้นควรจะเป็นรัฐบาลที่ได้มาจากการเลือกตั้ง.
 
 
ผู้คนส่วนใหญ่ของชาวธิเบตรู้สึกว่าสถาบันขององค์ทะไลลามะควรจะต้องคงอยู่ต่อไป และการสืบทอดนั้นควรดำเนินไปตามขนบประเพณีด้วย ด้วยเหตุนี้ คำถามเกี่ยวกับทะไลลามะองค์ต่อไปจึงเกิดขึ้นมา. สมมุติว่าพวกเรายังคงอยู่

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
แกนโลกพลิก กลับขั้ว " Pole Shift " ในปี 2012 และการช่วยเหลือจาก UFO
รวมข่าวภัยพิบัติ ทั้งในอดีต และปัจจุบัน
หมีงงในพงหญ้า 1 5233 กระทู้ล่าสุด 18 ธันวาคม 2552 15:28:26
โดย AMM
"ในหลวง" ทรงขอบใจยื่นจดสิทธิบัตร"ยีนความหอมข้าวไทย"
สุขใจ ห้องสมุด
ไอย 0 2960 กระทู้ล่าสุด 30 ธันวาคม 2552 12:07:44
โดย ไอย
คำเตือน !! "เซ็กส์เสื่อม" ของแถม จาก "ออฟฟิศซินโดรม" (มนุษย์บ้างานระวังให้ดี)
สุขใจ อนามัย
หมีงงในพงหญ้า 1 4187 กระทู้ล่าสุด 13 เมษายน 2553 07:47:53
โดย PETER
หนังสั้น "ราตรีสวัสดิ์" เรียกน้ำตาอีกแล้ว (Shortfile - "GoodNight")
หนังกลางแปลง (ดูหนัง รีวิวหนัง)
Sweet Jasmine 0 2974 กระทู้ล่าสุด 29 เมษายน 2553 14:49:08
โดย Sweet Jasmine
จาก"แอตแลนติส" สู่ "อียิปต์" : พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ
ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม
หมีงงในพงหญ้า 2 9509 กระทู้ล่าสุด 10 มิถุนายน 2553 18:53:51
โดย หมีงงในพงหญ้า
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.855 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 18 มีนาคม 2567 03:28:48