ในสมัยพุทธกาลท่านจึงเรียนรู้ตามหลักความจริงในกายในจิต ในอารมณ์กันจริง ๆ ไม่ได้ผ่านการเรียนมากมายอะไรเลยหรือแทบไม่
เรียนเลยด้วยซ้ำท่านสอนให้เห็นสภาวะเดี๋ยวนั้น ก็รู้เดี๋ยวนั้น แก้ปัญหาในจิตได้เดี๋ยวนั้น หลุดพ้นเดี๋ยวนั้นทีเดียวสำหรับผู้มีอินทรีย์ แก่กล้า หรือขิปปาภิญญา เป็นต้นผมเข้าใจว่าสมัยนี้ผู้ที่มีอินทรีย์แก่กล้าแบบนี้ก็มีนะครับ เพียงแต่ยังไม่รู้จักตัวเองยังไม่พบธรรมที่แก้ปัญหาในจิตได้โดยตรงและ
สำคัญที่สุด คือ ไม่สนใจจะแก้กิเลสในใจครับ เหล่านี้ผมก็เอามาเตือนตัวเองด้วย และเอามาเล่าให้ฟังเฉย ๆ ครับ
ทุกวันนี้ ผมก็เหมือนเดิมตอนเดินไปห้องน้ำเมื่อกี๊เจอบางสิ่งบางอย่างที่น่าพอใจ จิตสังเกตเห็นอารมณ์พอใจเกิดขึ้นเองแล้วก็ดับไปเองที่ผิวหนังข้างนอก ไม่ได้ตั้งใจให้มันดับมันก็ดับเอง เมื่อกี๊ไปคุยเรื่องขึ้น airport link ไปสนามบินกับน้อง ๆ ก็เห็นอารมณ์ รับรู้ มีความรู้สึก ตอนนี้มาก็จบแล้ว อารมณ์ทั้งปวงเกิดขึ้นแล้วดับไป ก็แค่นั้น ไม่ได้เข้าถึงจิตนั้นเลยครับถ้าเป็นแต่ก่อน ๆ นี้ไม่ได้เลย ๆ ความทุกข์ทางใจกำเริบมากก็เหมือนเดิมชักชวนให้มาปฏิบัติธรรมกันเถิดอยากฝากข้อความสั้น ๆ ไว้ว่าอย่าสนใจอะไรมากมายกว่าสนใจจิตตัวเอง
หากจะมีใครบอกว่าของจริงนิ่งเป็นใบ้พูดไม่ได้อะไรอย่างนี้ผมก็ไม่ทราบว่าจะพูดอย่างไร เพราะพุทธองค์พระสาวกทั้งหลายมาจนถึงพุทธบริษัทรุ่นเรานี้
ก็คงต้องอาศัยการถ่ายทอดธรรมะโดยการพูดจากันหากรู้แล้วไม่พูดอะไร ๆ เลยก็ไม่รู้ว่าจะสื่อสารหรือเผยแพร่พระพุทธศาสนากันอย่างไรพูดมากก็อาจจะเป็นการติดสังขารก็ไม่รู้ว่าจะสื่อสารกันอย่างไรเอาเป็นคำกลาง ๆ แล้วกันน่ะ หลวงตามหาบัวท่านว่าพูดเสียบ้างไม่ใช่คุย..............................THE END..............................
http://forums.212cafe.com/boxser/