.วันเสาร์ที่ ๒๒ ตุลาคม เวลาเช้า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนนครสวรรค์ฯ และหมอฝรั่ง ๓ คน ขึ้นไปเฝ้าตรวจพระอาการ ข้าพเจ้าก็ขึ้นไปด้วยตามเคย เมื่อกลับลงมาเห็นกิริยาท่าทางของหมอและเจ้านายไม่สู้ดี ได้ความว่าพระอาการหนักมาก พระบังคลเบา ที่คาดว่าจะมีก็ไม่มี พิษของพระบังคลเบาซึมไปตามเส้นพระโลหิตทั่วพระองค์ จึงทำให้เป็นพิษเซื่องซึมบรรทมหลับอยู่เสมอ หมอตั้งพระโอสถถวายเร่งให้มีพระบังคลเบาแรงขึ้นทุกที
พวกหมอฝรั่งประชุมกันเขียนรายงานพระอาการ ยื่นต่อเจ้านาย เสนาบดีว่าพระอาการมากเหลือกำลังของหมอที่จะถวายการรักษาแล้ว สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนพิษณุโลกประชานาถ และพระบรมวงศานุวงศ์เสด็จมาแต่เช้าได้ทอดพระเนตรรายงานพระอาการที่หมอทำไว้ ทรงปรึกษาหารือเห็นพร้อมกันว่าควรให้พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์ มาเฝ้าตรวจพระอาการดูด้วย ข้าพเจ้าจึงให้นายฉัน หุ้มแพร (ทิตย์ ณ สงขลา) รีบเอารถยนต์ไปรับมาทันที พระองค์เจ้าสายฯ ขึ้นไปเฝ้าตรวจพระอาการ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวน้ำพระเนตรไหลแต่ไม่ตรัสว่าอะไร พระองค์เจ้าสายฯ กลับลงมายืนยันว่าพระอาการยังไม่เป็นไร เชื่อว่าที่บรรทมหลับเซื่องซึมอยู่นั้นเป็นด้วยฤทธิ์พระโอสถต่าง ๆ พอฤทธิ์พระโอสถหมดแล้วก็คงจะทรงสบายขึ้น เพราะพระชีพจรก็ยังเต้นเป็นปกติดี พระองค์เจ้าสายฯ กลับไปนำพระโอสถมาตั้งถวายแก้ทางพระศอแห้ง ขึ้นไปเฝ้าตรวจพระอาการอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ทรงตรัสทักว่า “หมอมาหรือ” ได้เท่านั้น แล้วก็ไม่ได้รับสั่งอะไรอีกต่อไป
พระอาการตั้งแต่เช้าไปจนเย็นไม่มีพระบังคลหนักและเบาเลย พระหฤทัยอ่อนลงมาก ยังบรรทมหลับเซื่องซึมอยู่เสมอ เวลาย่ำค่ำสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนนครสวรรค์ฯ และหมอฝรั่งขึ้นไปเฝ้าตรวจพระอาการ ข้าพเจ้าได้ขึ้นไปด้วยและเห็นหายพระทัยดังยาว ๆ และหายพระทัยทางพระโอษฐ์พ่นแรง ๆ จนเห็นพระมัสสุไหวได้แต่ไกล สังเกตดูพระเนตรไม่จับใครเสียแล้ว ลืมพระเนตรคว้างอยู่อย่างนั้นเอง แต่พระกรรณยังได้ยิน สมเด็จพระบรมราชินีนาถกราบทูลว่าเสวยน้ำ ยังทรงพยักพระพักตร์รับได้และกราบทูลว่าพระโอสถแก้พระศอแห้งของพระองค์เจ้าสายฯ ก็ยังรับสั่งว่า “ฮือ” แล้วยกพระหัตถ์ขวาและซ้ายที่สั่นขึ้นเช็ดน้ำพระเนตรคล้ายทางพระกรรแสง พระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี พระราชเทวี ซับเช็ดพระเนตรด้วยผ้าซับพระพักตร์ชุบน้ำถวาย หมอฉีดพระโอสถถวายช่วยบำรุงพระหฤทัยให้แรงขึ้น
ตั้งแต่เวลานี้ต่อไป หมอฝรั่งนั่งประจำคอยจับพระชีพจรตรวจพระอาการผลัดเปลี่ยนกันประจำอยู่ที่พระองค์ การหายพระทัยค่อยเบาลง ๆ ทุกที พระอาการกระวนกระวายอย่างหนึ่งอย่างใดไม่มีเลย คงบรรทมหลับอยู่เสมอ เจ้านายจะขึ้นไปเฝ้าอีกครั้ง ก็พอหมอรีบลงมาทูลว่าเสด็จสวรรคตเสียแล้วด้วยพระอาการสงบเมื่อเวลา ๒ ยาม ๔๕ นาที
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ พระเจ้าลูกยาเธอ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ และพระเจ้าน้องยาเธอ พร้อมกันเสด็จขึ้นไปเฝ้ากราบถวายบังคมด้วยความเศร้าโศกอาลัย ทรงพระกรรแสงคร่ำครวญสะอึกสะอื้นทั่วกัน ข้าพเจ้าก็อยู่ที่นั้นด้วย กราบถวายบังคมมีความเศร้าโศกอาลัยแสนสาหัส ร่ำร้องไห้มิได้หยุดหย่อนเลย
ในที่พระบรรทมและตามเฉลียงเต็มไปด้วยฝ่ายในและฝ่ายหน้า ร้องไห้คร่ำครวญอยู่ระงมเซ็งแซ่และทุ่มทอดกายทั่วไป ประดุจต้นไม้ใหญ่ที่ถูกลงพายุใหญ่พัดต้นและกิ่งก้านหักล้มราบไปฉันใด บรรดาฝ่ายในและฝ่ายหน้าทั้งหมดล้มกลิ้งเป็นลมไปตามกันฉันนั้น ด้วยความเศร้าโศกาดูรเป็นอย่างล้นเหลือที่จะรำพรรณให้สิ้นสุดได้
ข้าพเจ้าต้องวิ่งลงไปตามหมอขึ้นไปแก้ท่านที่ประชวรพระวาโยกันเป็นการใหญ่ และต้องเชิญเสด็จสมเด็จพระบรมราชินีนาถขึ้นพระเก้าอี้หามกลับไปส่งที่พระตำหนักสวนสี่ฤดู เพราะทรงประชวรพระวาโยและทรงชักกระตุกด้วย เจ้านายพระองค์อื่นและเจ้าจอมมารดาที่เป็นลมก็มีผู้ช่วยพากันไปส่งตำหนักที่อยู่กันเรื่อย ๆ ไป ส่วนสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี ซึ่งประชวรพระวาโยบรรทมอยู่ที่เก้าอี้ปลายพระแท่นนั้น ก็ต้องใช้เก้าอี้หามเชิญเสด็จไปยังพระตำหนักของพระองค์ท่าน
เวลานั้นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมพระภาณุพันธุวงศ์วรเดช ทูลเชิญเสด็จสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ให้เสด็จกลับลงไปชั้นล่างประทับห้องแป๊ะเต๋ง พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ เสนาบดีผู้ใหญ่ องคมนตรี และข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยซึ่งทรงพระกรรแสงและร้องไห้กันเสียงระงมเซ็งแซ่ทั่วไปทั้งพระที่นั่ง
สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมพระภานุพันธุวงศ์วรเดช ทรงคุกพระชงฆ์ลงกราบถวายบังคมสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ อัญเชิญเสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระเจ้าแผ่นดิน สืบสนองพระองค์สมเด็จพระชนกาธิราชต่อไปทันที พระบรมวงศานุวงศ์ เสนาบดี ข้าราชการผู้ใหญ่ ผู้น้อย ก็กราบถวายบังคมทั่วกัน สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ทรงเรียกประชุมพร้อมกันในเวลานั้นเพื่อหารือที่จะจัดการสรงน้ำพระบรมศพและเชิญไปประดิษฐาน ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทในพระบรมมหาราชวังในวันพรุ่งนี้ และออกประกาศข่าวการสวรรคตและอื่น ๆ
ในระหว่างที่ประชุมกันอยู่นี้ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนสรรพสิทธิฯ และข้าพเจ้า พร้อมกับเจ้าหมื่นสรรพเพ็ธภักดี (เพิ่ม ไกรฤกษ์) เจ้าหมื่นเสมอใจราช (อ้น นรพัลลภ) ขึ้นไปกราบถวายบังคม แล้วได้ฉลองพระเดชพระคุณช่วยกันเชิญพระองค์เลื่อนขึ้นไปหนุนพระเขนย จัดตบแต่งพระเขนยและผ้าลาดพระที่ ทั้งจัดแต่งพระองค์ให้เรียบร้อย แล้วพระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนสรรพสิทธิฯ กับข้าพเจ้าถวายพระภูษาคลุมพระบรรทมคนละข้าง พระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี พระราชเทวีประทับเป็นประธานอยู่ด้วย ครั้นจัดเรียบร้อยปิดพระวิสูตรแล้ว กราบถวายบังคมลากลับลงไปข้างล่าง พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการผู้ใหญ่ ผู้น้อย เพิ่งเสร็จการประชุมและกลับไปเมื่อจวนสว่าง ในคืนนี้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ประทับแรมอยู่ที่ห้องพระบรรทมขาว พระที่นั่งอัมพรสถานมีตำรวจหลวงและทหารมหาดเล็กล้อมวงรักษาการตามราชประเพณีตลอดคืนวันอาทิตย์ที่ ๒๓ ตุลาคม เวลาเช้า ข้าพเจ้าได้ขึ้นไปเฝ้ากราบถวายบังคมพระบรมศพอีกครั้งหนึ่ง พร้อมด้วยเจ้าหมื่นสรรพเพ็ธภักดี เจ้าหมื่นเสมอใจราช และหลวงศักดิ์นายเวร (ม.ร.ว.ลภ อรุณวงศ์) พร้อมกันเชิญพระบรมศพจากพระแท่นที่พระบรรทมไปประทับพระแท่นสำหรับสรง แล้วรื้อพระแท่นที่พระบรรทมออก สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี ประทับเป็นประธานในการถวายน้ำสรงพระบรมศพเป็นส่วนฝ่ายใน ครั้นเสร็จแล้วจึงเชิญพระบรมศพขึ้นพระแท่นที่จัดไว้ใหม่สำหรับพระเกียรติยศเพื่อถวายน้ำสรงพระบรมศพเป็นพระราชพิธีตอนบ่าย
ในเวลานี้ ข้าพเจ้าได้กราบถวายบังคมที่พระบาทยุคลถวายน้ำหอมสรงพระบาท และซับพระบาทด้วยผ้าเช็ดหน้าไว้เป็นที่ระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและเป็นที่สักการะบูชา ได้พิศดูพระพักตร์ในเวลานี้เหมือนกำลังบรรทมหลับ พระพักตร์ยิ้มน้อย ๆ ดูสง่างามเหลือเกิน ทำให้ตื้นตันใจต้องร้องไห้ด้วยความอาลัยเศร้าทวียิ่งขึ้น มิใคร่จะจากพระบาทยุคลไปได้เลย ได้ทำหน้าที่ไปพลางร้องไห้คร่ำครวญไปพลางจนแล้วเสร็จ กราบถวายบังคมลากลับลงไปข้างล่าง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชสมภพ เมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๓๙๖ เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ พระชนมายุ ๕๘ พรรษา ดำรงสิริราชสมบัติมาไว้ ๔๓ พรรษาจดหมายเหตุบันทึกตอนทรงพระประชวรและสวรรคตเพียงนี้.อาการพระประชวรจนถึงสวรรคต ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕)
ภาพกระบวนแห่พระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวคัดลอกจากหนังสือ "เรื่อง ปกิณณกะในรัชกาลที่ ๕" จัดพิมพ์ขึ้นเป็นพิเศษ ในโอกาสครบ ๑๐๐ ปีวันสวรรคต พ.ศ. ๒๕๕๓ ซึ่งนายแพทย์นวรัต ไกรฤกษ์ เรียบเรียงขึ้นจากคำบอกเล่าของท่านผู้เป็นบิดา คือ
พระยาบุรุษรัตนราชพัลลภ ขุนนางผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่คอยถวายการรับใช้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวอย่างใกล้ชิด ตราบจนเสด็จสวรรคต