[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
24 พฤศจิกายน 2567 00:10:01 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: กันไว้ดีกว่าแก้ จะได้ไม่ต้องแย่ ถ้าดื่มแล้วขับ  (อ่าน 2710 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
That's way
นักโพสท์ระดับ 9
****

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

United States United States

กระทู้: 601


สัตว์เลี้ยงลูกด้วยเงิน

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 22.0.1229.79 Chrome 22.0.1229.79


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 03 ตุลาคม 2555 12:27:47 »

กันไว้ดีกว่าแก้ จะได้ไม่ต้องแย่ ถ้าดื่มแล้วขับ



เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ข่าวของนักร้องสาวชื่อดังดื่มแล้วขับ จนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกตรวจวัดปริมาณเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่นักร้องสาวก็บ่ายเบี่ยงและประวิงเวลาการตรวจ จนผ่านไปประมาณ 2 ชั่วโมงจึงยินยอมให้เจ้าหน้าที่ตรวจ พร้อมขอดื่มน้ำ 3 ขวดและขอพักสักครู่ บางคนอาจสงสัยว่า การพักก่อนจะตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์นั้นมีความเกี่ยวพันกันหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ นพ.ทักษพล ธรรมรังสี ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) อธิบายให้ฟังว่า การประวิงเวลา หรือดื่มน้ำไม่ได้ช่วยให้ปริมาณแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดลดลง แต่ร่างกายจะกำจัดแอลกอฮอล์จากกระแสเลือดในอัตราคงที่ประมาณชั่วโมงละ 15 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ผ่านกระบวนการทำงานของตับสำหรับคนปกติ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ที่ผ่านมาก็มีความเชื่ออยู่หลากหลายเกี่ยวกับการกินกาแฟ โยเกิร์ตก่อนถูกตรวจวัดแอลกอฮอล์จะช่วยลดปริมาณได้ ซึ่งถือเป็นความเชื่อที่ผิด

"มีชุดความเชื่อดั้งเดิม คือเคี้ยวหมากฝรั่งก็ไม่ได้ช่วย เพียงแต่ลดกลิ่นเฉยๆ เพราะการตรวจแอลกอฮอล์ในเลือดเป็นการตรวจแอลกอฮอล์ที่อยู่ในเลือดผ่านเส้นเลือดฝอยที่อยู่ในปอดออกมา มันไม่เกี่ยวกับกลิ่น และคนเชื่อว่าดื่มน้ำ กาแฟเยอะๆ หรือโยเกิร์ต ก็ไม่ได้ช่วยอีก เพราะขณะที่แอลกอฮอล์เข้าสู่กระแสเลือดแล้วมันก็คือการกำจัดออกในอัตราที่คงที่ ถ้าคนปกติตับไม่มีปัญหาก็จะกำจัดได้ประมาณชั่วโมงละ 15 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์"นพ.ทักษพลกล่าว

สำหรับตัวเลขปริมาณการตรวจวัดที่ไม่เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์นั้น นพ.ทักษพล บอกว่า จากข้อมูลงานวิจัยในต่างประเทศระบุว่า ปริมาณแอลกอฮอล์ที่ 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ความเสี่ยงในการขับขี่จะเพิ่มเป็น 2 เท่า แต่ก็ไม่ได้หมายความต่ำกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์จะปลอดภัย ที่ปลอดภัยคือ 0 นั่นคือไม่ดื่มเลยดีกว่า

"ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ถือเป็นความเสี่ยงของนักขับโดยเฉพาะนักขับหน้าใหม่จะเสี่ยงมากขึ้น 2 เท่า อย่างไรก็ตามที่ระดับต่ำกว่า 50 หรือแค่ประมาณ 10 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ก็จะเริ่มส่งผลให้ผู้ดื่มมีอาการแปรปรวนในการควบคุมการขับขี่แล้ว แต่ผลอาจยังไม่ชัดมากเท่าไหร่ คือการมองเห็นระยะไกล 500 เมตรเทียบกับ 300 เมตร โดยคนปกติจะวัดระยะได้ แต่คนเมาจะเห็นภาพเป็น 2 มิติในระยะไกล จริงๆ การดื่มแล้วขับ ผลกระทบไม่ได้เกิดจากคนที่ดื่มอย่างเดียว คนที่ไม่ดื่มด้วยก็มีโอกาสได้รับอันตราย ดังนั้นจึงไม่มีการดื่มที่ปลอดภัย ไม่ใช่ว่าดื่มเล็กๆ น้อย ไม่เป็นไร เป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง"นพ.ทักษพลย้ำ

หมอทักษพลยังเชื่อว่า การบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดก็นับเป็นอีกสิ่งที่สำคัญ โดยคุณหมอยกตัวอย่างในเกาหลีใต้ ที่มีการตรวจวัดแอลกอฮอล์อย่างเคร่งครัด และการตั้งจุดตรวจก็ปิดถนนทั้งหน้าและหลัง จึงทำให้เลี่ยงได้ยาก อีกทั้งโทษการตรวจจับปรับยึดใบขับขี่ก็ทำได้อย่างดี ในเรื่องโทษของดื่มแล้วขับนั้น เกาหลีใต้มีโทษปรับจำนวนมากกว่าไทย จึงทำให้ในระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา เกาหลีใต้เป็นประเทศที่ดื่มแล้วขับลดลงเกินครึ่ง เพราะการบังคับใช้กฎหมายนั่นเอง

"อย่างเกาหลีโดนห้ามขับรถ ยึดใบอนุญาต ซึ่งในต่างประเทศการโดนยึดใบอนุญาตมีผลอย่างมาก เรียกว่าเคร่งครัด ในการบังคับใช้ของเราบางคนก็บอกว่าโทษน้อยไปนิดหนึ่ง ขณะที่เกาหลีนั้นเมาแล้วขับนั้นมีโทษปรับจำนวนมากกว่าไทย เกาหลีใต้เป็นประเทศที่ดื่มแล้วขับเกินครึ่งในช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมา เพราะการบังคับใช้กฎหมาย ใช้วิธีที่เรียกว่าปิดถนน ทั้งหน้าและหลัง ดังนั้นรถทุกคันที่อยู่ในช่วงนี้โดนบังคับตรวจ โอกาสหลบเลี่ยงตรวจก็ไม่มี ขณะที่ของเราบางครั้งจะใช้การสุ่มตรวจ โดยเฉพาะในช่วงตั้งด่านเทศกาลและถนนหลัก ทั้งๆ ที่อุบัติเหตุจริงๆ เป็นถนนสายรอง เวลาที่ตรวจตอนเทศกาลก็ไม่ใช่ว่าไม่สำคัญ แต่ไม่ควรละเลยถนนสายเล็กด้วย"คุณหมอทักษพลกล่าวปิดท้าย

จริงอย่างว่า ไม่ว่าจะวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดจะอยู่ที่ระดับเท่าไหร่ แต่ที่สำคัญคือการงดดื่มคือทางที่ดีที่สุด เพื่อลดปัญหาทุกอย่างที่จะตามมา

กันไว้ดีกว่าแก้ จะได้ไม่ต้องแย่ ถ้าดื่มแล้วขับ

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

อยากสูงต้องเขย่ง
  อยากเก่งต้องขยัน
ร้องเหมียวๆ เดี๋ยวก็มา
แมวเอ๋ยแมวเหมียว
นักโพสท์ระดับ 4
****

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 17


ง๊าว...

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 27.0.1453.116 Chrome 27.0.1453.116


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 10 กรกฎาคม 2556 01:43:19 »

การเทียบปรับของศาลที่คนรู้จักได้พบเจอแล้วมาเล่าสู่กันฟัง
พบว่ามีการปรับเป็นระดับตามปริมาณแอลกอฮอล์ที่วัดได้
ระดับปริมาณที่วัดได้น้อยก็ปรับน้อย วัดได้มากก็ปรับมาก
ถือว่าสมเหตุสมผลกันดี

 บ๊าบบาย

บันทึกการเข้า

แมวเอ๋ยแมวเหมียว รูปร่างปราดเปรียวเป็นนักหนา
ร้องเรียกเหมียวๆ เดี๋ยวก็มา เคล้าแข้งเคล้าขาน่าเอ็นดู
คำค้น: เมา เหล้า เบียร์ beer 
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.371 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 19 ตุลาคม 2567 07:40:02