22 ธันวาคม 2567 21:21:53
ยินดีต้อนรับคุณ,
บุคคลทั่วไป
กรุณา
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
1 ชั่วโมง
1 วัน
1 สัปดาห์
1 เดือน
ตลอดกาล
เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
หน้าแรก
เวบบอร์ด
ช่วยเหลือ
ห้องเกม
ปฏิทิน
Tags
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
ห้องสนทนา
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!
[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
สุขใจในธรรม
จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
.:::
บทที่ 2 ธรรมเทศนาดุจกระแสเลือด ( โลหิตสูตร )
:::.
หน้า:
1
2
1
[
2
]
ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน
หัวข้อ: บทที่ 2 ธรรมเทศนาดุจกระแสเลือด ( โลหิตสูตร ) (อ่าน 22622 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
Re: บทที่ 2 ธรรมเทศนาดุจกระแสเลือด ( โลหิตสูตร )
«
ตอบ #20 เมื่อ:
23 กรกฎาคม 2553 06:05:44 »
การศึกษาข้างนอกมากเกินไป ทำให้ลืมการศึกษาภายใน
ถ้าท่านต้องการพบมรรคจริง ๆ อย่ายึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด ๆ เมื่อใดท่านถึงที่สุดแห่งกรรม ( สิ้นกรรม ) จงดำรงรักษาความรู้สึกตัวทั่วพร้อมของท่านไว้
อาสวะใด ๆ ที่ยังเหลืออยู่ก็ค่อย ๆ หมดไป
ความเข้าใจธรรมะจะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ ท่านไม่ต้องสร้างความพยายามใด ๆ แต่ความหลงใหลคลั่งไคล้ 33* ไม่ได้ทำให้เข้าใจ ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน
ถ้าพยายามที่จะรู้ธรรมะ ก็เป็นสิ่งที่ยากที่จะรู้ขึ้นไปอีกต่อไป พวกเขาก็จะได้แต่จดจำเอาความรู้ของพวกนักปราชญ์เท่านั้น
( จำธรรมะ
ไม่ใช่รู้
ธรรมะ )
ตลอดเวลาอันยาวนานที่พวกเขาอ้างพระพุทธเจ้า และสาธยาย พระสูตร ( ติดคัมภีร์ ) เขาก็ยังใบ้บอดต่อธรรมชาติอันเป็นทิพย์ของตนเอง และ
ไม่อาจพ้นไปจากวัฏฏสงสาร
ได้เลย
พระพุทธเจ้าคล้ายเป็นคนขี้เกียจ เพราะพระองค์ไม่ได้วิ่งตามลาภสักการะและโลกธรรมทั้งหลาย
ที่สุดแล้วโลกธรรมมันมีอะไรดีเล่า ?
บุคคลที่ยังไม่เห็นตนเอง ได้แต่คิดและอ่านแต่พระสูตร อ้อนวอนแต่พระพุทธเจ้า จะศึกษายาวนานเพียงใด ปฏิบัติจริงจังทั้งเช้าจรดเย็น จนไม่หลับไม่นอน หรือได้ความรู้ทางธรรมมามากมายก็ตาม ก็ยังชื่อว่าลบหลู่ดูหมิ่นพระธรรมอยู่
พระพุทธเจ้าทั้งในอดีตและอนาคต ทรงกล่าวถึงการเห็นธรรมชาติของท่านเท่านั้น ( การเห็นตนเอง ) การปฏิบัติทุกอย่างยังไม่แน่นอน เว้นแต่ว่าเขาได้เห็นตนเอง คนที่อ้างว่าได้บรรลุธรรมอันเลิศ 34* สำเร็จหมดแล้วเป็นคนมุสา
ในบรรดาพระสาวกองค์สำคัญที่สุด 10 องค์ของพระศากยมุนี 35* พระอานนท์ 36* เป็นสาวกผู้เลิศในการเรียนรู้ แต่ท่านก็ไม่รู้จักพระพุทธเจ้า
( ตามความเป็นจริง ) ท่านเป็นผู้ศึกษาและจดจำ
ทุกอย่างได้เท่านั้น
พระอรหันต์ทั้งหลาย 37* ก็ไม่รู้จักพระพุทธเจ้าทั้งหมด ที่ท่านรู้จัก คือ การปฏิบัติเพื่อการรู้แจ้งให้มากเท่านั้น และท่านก็
ถูกดักไว้ด้วยเหตุผล
สภาพเช่นนั้นเป็นกรรมของปุถุชน ไม่อาจหลีกเลี่ยงการเกิด และการตายได้ คนที่ทำตรงกันข้ามกับสิ่งที่เขาตั้งใจ คนเช่นนั้นชื่อว่ากล่าวตู่พระพุทธเจ้า
การฆ่ามิจฉาทิฏฐิไม่มีความผิด
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
Re: บทที่ 2 ธรรมเทศนาดุจกระแสเลือด ( โลหิตสูตร )
«
ตอบ #21 เมื่อ:
23 กรกฎาคม 2553 06:08:15 »
เชิงอรรถ
33* ในระหว่างเหล่าสาวกทั้งหลาย ทั้งชาวพุทธและต่างนิกาย ส่วนมากได้รับการตำหนิติเตียนว่าเป็นเหมือนคนบ้า เป็นผู้ที่หลงใหลในการบำเพ็ญทุกรกิริยา และการทรมานตนให้ลำบาก หรือเป็นผู้ทำตามตัวหนังสือโดยไม่เข้าใจธรรมชาติที่แท้นั้นเอง
34* หมายถึง อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ อันเป็นเป้าหมายสูงสุดของพระโพธิสัตว์ ให้ดูความเป็นมาใน ระตะนะสูตร
35* ศากยะ เป็นราชวงศ์ของพระพุทธเจ้า มุนี คือนักบวชโคตมะ เป็นนามแห่งตระกูลของพระองค์ และมีพระนามเดิมว่า สิทธัตถะ ส่วนกาลเวลานั้นมีกล่าวไว้หลากหลาย แต่ที่ยอมรับโดยทั่วไปนั้นคือ ก่อนคริสตศักราช 557– 487 หรือในราว ๆ นั้น
36* พระอานนท์ เป็นพระญาติของพระศากยมุนี ซึ่งเกิดในคืนวันที่พระพุทธองค์ทรงได้ตรัสรู้ และ 25 ปี ต่อมา ท่านก็ได้บวชในพุทธศาสนาและได้ทำหน้าที่เป็นผู้อุปัฏฐาก หลังจากที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ท่านได้รับหน้าที่เป็นผู้สาธยายคำสอนของพระพุทธเจ้า ( วิสัชชนาพระสูตร ) ในคราวที่ทำปฐมสังคายนาด้วย
37* พระอรหันต์ คือ
บุคคลที่เป็นอิสระจากการเกิดใหม่
เป็นเป้าหมายสูงสุดของสาวกฝ่ายหินยานหรือยานเล็ก ในขณะที่พระอรหันต์เป็นผู้ไกลจากกิเลส เขาก็เป็น
ผู้ไกลจากความกรุณา
ที่จะให้กับผู้อื่นไปด้วย เขาไม่เข้าใจว่าความตายล้วนเป็นธรรมชาติ
ที่เสมอกันของสรรพสิ่ง
และนั่นคือไม่มีพุทธะอื่นอีกแล้ว นอกจากพุทธะของคนทุกคน
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
Re: บทที่ 2 ธรรมเทศนาดุจกระแสเลือด ( โลหิตสูตร )
«
ตอบ #22 เมื่อ:
23 กรกฎาคม 2553 06:09:50 »
คนตาบอดย่อมไม่รู้จักคนตาบอด
พระสูตรกล่าวว่า “พวกที่เป็นอิจฉันติกะ 38 (มิจฉาทิฏฐิ) ไม่สามารถทำให้เกิดความเชื่อเลื่อมใสได้ ดังนั้นการฆ่ามิจฉาทิฏฐิจึงไม่ผิด ยกเว้นคนมีศรัทธาถูกต้อง ย่อมเข้าถึงพุทธภาวะได้”
เมื่อท่านเห็นธรรมชาติของตนเองแล้ว ก็ไม่ควรเที่ยววิพากษ์วิจารณ์ความดีของผู้อื่น การหลอกลวงตัวเองไม่ได้ทำให้ท่านก้าวหน้าเลย ความดีและความชั่วเป็นสภาพที่แตกต่างกัน
เหตุและผลเป็นสภาวะที่ชัดเจนแจ่มแจ้ง สวรรค์และนรกเป็นสิ่งที่ปรากฏเฉพาะหน้า
ของท่านเอง
แต่คนโง่เขลาเบาปัญญา ไม่มีศรัทธาย่อมตกไปสู่นรกอเวจีอันมืดมิด ไม่อาจรู้พุทธภาวะนี้ได้ สิ่งที่เข้ามาบดบังความเชื่อเลื่อมใสของเขา
ก็คือ กรรมอันหนักหน่วง
ของเขานั้นเอง พวกเขาเหมือนคนตาบอดที่ไม่เชื่อว่าจะมีแสงสว่างเช่นนั้น หากท่านอธิบายเรื่องแสงสว่างให้เขาฟัง เขาก็ยังไม่เชื่อ เพราะพวกเขาเป็นคนตาบอด พวกเขาจะสามารถแยกแสงสว่างได้อย่างไร
สำหรับคนโง่
ที่ยึดถือความจริงในทางผิด
ย่อมตกอยู่ในภพภูมิชั้นต่ำ 39* อันได้แก่พวกที่มีชีวิตยากจนและเป็นทุกข์ พวกเขาไม่อาจมีชีวิตหรือไม่อาจตายได้ และในสถานที่เป็นทุกข์ทรมานเช่นนั้น
ถ้าท่านถามเขา เขาก็จะบอกว่าเขามีความสุขเหมือนเทวดา ปุถุชนทุกคนเขาคิดว่าเขาเกิดมาดีแล้ว เพราะความไม่รู้จักชีวิต เขาจึงมีกรรมอันหนักหน่วง คนโง่เช่นนั้นไม่อาจสร้างความเชื่อในพุทธภาวะได้และไม่สามารถพบอิสรภาพอันแท้จริงได้เลย*
( * ความสุขของปุถุชน ก็เหมือน
ความสุขของหนอนที่อยู่ในส้วม มีกินมีใช้ทุกอย่าง แต่เป็นความสุขที่ไม่ประเสริฐ
…. ผู้แปลไทย)
บุคคลที่เห็นจิตของตนเองเป็นพุทธะแล้ว ไม่จำเป็นต้องโกนผมห่มผ้าเหลืองก็ได้ 40* อุบาสกก็เป็นพุทธะได้เช่นกัน เว้นแต่คนที่ไม่เห็นตนเอง ( ตามความเป็นจริง ) แล้วไปโกนผมห่มผ้าเหลือง นับเป็นความหลงใหลคลั่งไคล้ธรรมดา ๆ นั่นเอง แต่อุบาสกที่แต่งงานแล้ว
ยังไม่เลิกจากกาม
พวกเขาจะเป็นพุทธะอย่างไร?
ฉันพูดถึงการเห็นตนเองเท่านั้น ไม่ได้พูดถึงเรื่องกาม ก็เป็นธรรมดาเพราะท่านยังไม่เห็นตนเองเมื่อใดท่านเห็นตนเอง ก็เห็นว่ากามเป็นเพียงนามรูปขั้นต่ำ แล้วท่านก็จะเบื่อหน่ายไปเอง*
( * เหมือนเด็ก ที่ชอบเล่นของสกปรก เมื่อเขาโตขึ้นก็ย่อมเลิกเล่นไปเอง มนุษย์เมื่อจิตยังต่ำย่อมหมกมุ่นในกาม เมื่อพัฒนาจิตสูงขึ้นก็เบื่อหน่ายไปเอง… ผู้แปลไทย)
เชิงอรรถ
38* คือชีวิตอีกแบบหนึ่ง ที่เกี่ยวข้องมัวเมาในกามสุขอันวิเศษ ซึ่งความเชื่อในทางพุทธศาสนาถือว่าเป็นเรื่องยุ่งยากและไกลตัว พวกเขาละเมิดข้อห้าม ( ศีล ) และไม่ยอมรับผิดหรือรับโทษที่จะตามมา ในคัมภีร์จีน นิพพานสูตรตอนแรกกล่าวปฏิเสธว่า อิจฉันติกะ มีธรรมชาติแห่งพุทธะ โดยอ้างว่าศีลของชาวพุทธนั้นต่อต้านการฆ่าเป็นเจตนาที่จะป้องกันการฆ่าผู้ที่มีความสามารถเข้าถึงพุทธภาวะได้ การฆ่าอิจฉันติกะนั้นจึงไม่น่าตำหนิ นี้เป็นเพียงทัศนะในหลักทฤษฎี อย่างไรก็ตาม การแปลความหมายในพระนิพพานสูตรตอนหลัง ๆ มา ก็ได้แก้ไขข้อความตอนนี้ใหม่ โดยกล่าวว่า แท้จริงแล้ว อิจฉันติกะ มีธรรมชาติแห่งพุทธะอยู่
39* ได้แก่ ภูมิของสัตว์เดรัจฉาน เปรต และสัตว์นรก
40* เมื่อพระศากยมุนีเสด็จออกจากพระราชวังของพระบิดา ในยามราตรี เพื่อเสาะแสวงหาความหลุดพ้นนั้น พระองค์ได้ตัดพระเกศาที่ยาวปกไหล่ ด้วยพระขรรค์เสีย พระเกศาที่เหลืออยู่ก็กลายเป็นรูปทักษิณวัฏฏ์ ( หมุนเป็นวงกลมไปทางขวามือเหมือนก้นหอย ) โดยไม่ต้องตัดอีกต่อไป ต่อมาเหล่าพระสาวกของพระองค์ ก็ได้เริ่มปลงผมของพวกเขาเพื่อให้ดูต่างออกไปจากนิกายอื่น ๆ ในยุคนั้น
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
Re: บทที่ 2 ธรรมเทศนาดุจกระแสเลือด ( โลหิตสูตร )
«
ตอบ #23 เมื่อ:
23 กรกฎาคม 2553 06:11:24 »
เพราะตัณหาเกิด ทุกข์ก็เกิด เมื่อตัณหาดับ ทุกข์ก็ดับ
กามจะสิ้นสุดตามความพอใจของท่าน ( เมื่อท่านพอใจจะเลิก ) แม้ว่า
ราคานุสัยบางอย่างยังเหลืออยู่
มันก็ไม่เป็นอันตรายแก่ท่าน
เพราะธรรมชาติจิตของท่านมีความบริสุทธิ์เป็นพื้นฐาน
แม้จะยังอาศัย รูปธาตุ 4 อยู่ก็ตาม
ธรรมชาติของท่านก็ยังมีความบริสุทธิ์อยู่
ธรรมกาย ( กายจริง ) เป็นภาวะบริสุทธิ์
โดยพื้นฐาน
มันไม่ถูกทำให้
เศร้าหมอง
ได้ง่าย กายดั้งเดิมของท่าน
สะอาดบริสุทธิ์มาแต่เดิม
ธรรมกายของท่าน
ไม่มีความรู้สึกทะยานอยาก ไม่มีความหิวกระหาย , ไม่อุ่นหรือเย็น , ไม่เจ็บไม่ป่วย , ไม่รักไม่ชัง , ไม่สุขไม่ทุกข์ , ไม่ดีไม่ชั่ว , ไม่สั้นไม่ยาว , ไม่อ่อนไม่แข็ง จริง ๆ แล้วไม่มีอะไรเลย
เพราะเรายึดติดรูปกายนี้เท่านั้น
จึงทำให้ทุกสิ่งมี
คือมีหิวกระหาย มีอุ่นมีเย็น มีเจ็บมีป่วยปรากฏขึ้น*
( *เมื่อ
มีอุปาทาน ธรรมชาติ
เป็นของคู่
ก็มี
… ผู้แปลไทย)
เมื่อใดท่านไม่ยึดมั่นถือมั่น ปล่อยให้ทุกสิ่งเป็นไปตามหน้าที่ของมัน ท่านก็จะพ้นจากความเกิด และความตาย ท่านจะเปลี่ยนแปลงไปทุกอย่าง ( จิตเปลี่ยน )
ท่านจะเป็นนายของจิต
41* คือมีกำลังใจ ซึ่งไม่มีอะไรจะมาขัดขวางได้ ท่านจะพบกับ
ความสงบสุข
ทุกหนทุกแห่ง
ถ้าท่านยังสงสัยเรื่องนี้อยู่ ท่านก็ยังไม่เห็นตนเองอย่างแท้จริง ท่านไม่ต้องทำอะไรเลยจะดีกว่า เพราะถ้าท่านทำลงไป ท่านก็
ไม่อาจหลีกเลี่ยงการเวียนว่ายตายเกิด
ได้
เมื่อใดท่านเห็นธรรมในตนเอง ท่านก็เป็นพุทธะได้คนหนึ่ง แม้ท่านจะเป็นพ่อค้าเนื้อก็ตาม แต่คนค้าเนื้อสร้างกรรมโดยการฆ่าสัตว์เขาจะเป็นพุทธะได้อย่างไร ?
ฉันพูดถึง
การเห็นธรรมชาติในตนเอง
ไม่ได้พูดถึงการสร้างกรรม ถ้าไม่ยึดติดกับสิ่งที่เราทำ กรรมก็ไม่ติดตามเรา แม้ตลอดกัปอันหาเบื้องต้นและที่สุดไม่ได้ มันเป็นเพราะเราไม่เห็นตนเองเท่านั้น จึงทำให้เราต้องไปสิ้นสุดกันที่ขุมนรก
เชิงอรรถ
41* พุทธศาสนิกชนพึงสำเหนียกถึงพลังหรืออำนาจวิเศษ 6 ประการ คือความสามารถในการเห็นรูปทั้งปวง ความสามารถในการฟังเสียงทั้งปวง ความสามารถในการดมกลิ่นทั้งปวง ความสามารถในการรับรู้ความคิดเห็นของผู้อื่น ความสามารถในการระลึกรู้อดีตของตนและผู้อื่น ความสามารถในการที่จะอยู่ที่ไหนทำอะไรอย่างตั้งอกตั้งใจ และความสามารถในการที่จะรู้จักความสิ้นสุดลงแห่งการเวียนว่ายตายเกิด* ( *หมายถึง ญาณทั้ง 3 ที่ทำให้ได้ตรัสรู้นั่นเอง.... ผู้แปลไทย )
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
Re: บทที่ 2 ธรรมเทศนาดุจกระแสเลือด ( โลหิตสูตร )
«
ตอบ #24 เมื่อ:
23 กรกฎาคม 2553 06:13:23 »
บทที่ 2 ธรรมเทศนาดุจกระแสเลือด ( โลหิตสูตร )
การถ่ายทอดธรรม คือการถ่ายทอดจิตสู่จิต
ตราบใดที่คนยังสร้างกรรมอยู่ เขาก็ต้องวกวนไปสู่การเวียนว่ายตายเกิดอยู่ร่ำไป เมื่อใดคนได้รู้ประจักษ์แจ้งในธรรมชาติของตนเอง เขาก็หยุดสร้างกรรม ถ้าเขาไม่เห็นธรรมชาติของตนเอง
ก็อ้อนวอนพระพุทธเจ้าเรื่อยไป
ซึ่งไม่อาจ
ปลดเปลื้องตนเองออกจากกรรม
ได้เลย แม้ว่าเขาจะเป็นคนขายเนื้อก็ตาม แต่
เมื่อใดเขาประจักษ์แจ้งในตนเอง ความสงสัยทั้งปวง ก็หมดไป
แม้กรรมของการค้าเนื้อก็ไม่มีผลแก่คนขายเนื้อนั้น
ในอินเดียมีสังฆปรินายกถึง 27 องค์ 42* ที่ทำหน้าที่ถ่ายทอดรอยประทับจิตหรือพุทธจิต 43* ฉันมาสู่ประเทศจีน ด้วยเหตุผลเพียงประการเดียว คือ การถ่ายทอดการรู้ธรรมแบบฉับพลัน ( อึดใจเดียว ) ของมหายาน 44* ( คำกล่าวของท่านโพธิธรรม )
“ จิตนี้คือพุทธะ ฉันไม่ได้พูดถึงการถือศีล, การให้ทาน หรือการเคร่งครัดแบบฤาษี เช่น การลุยน้ำลุยไฟ เหยียบมีดเหยียบหนาม รับประทานวันละมื้อ หรือไม่นอนเลย
การบำเพ็ญเหล่านี้เป็นความคลั่งไคล้ เป็นคำสอนที่สร้างภาพพจน์ชั่วคราวไม่ยั่งยืน
เมื่อใดท่านรู้จักและเข้าใจการเคลื่อนไหวของตนเอง รู้จักธรรมชาติแห่งการตื่นตัวอย่างปาฏิหาริย์ จิตของท่านก็จะเป็นเช่นเดียวกับจิตของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์”
พระพุทธเจ้าทั้งในอดีตและอนาคต ล้วนแต่กล่าวถึง การถ่ายทอดเรื่องจิต พระองค์ไม่ได้สอนเรื่องอื่นเลย ถ้าผู้ใดเข้าใจคำสอนนี้ได้ แม้เขาจะไม่รู้หนังสือเลย เขาก็เป็นพุทธะได้คนหนึ่ง แต่ถ้าท่านไม่เห็นตนเองไม่เห็นธรรมชาติแห่งการตื่นตัวอย่างปาฏิหาริย์ของตนเอง ท่านก็จะไม่พบพระพุทธเจ้า แม้ท่านจะปฏิบัติกรรมฐานไปจนทำลายตัวเองให้เป็นผุยผงก็ตาม 45*
พระพุทธเจ้าคือธรรมกายของท่าน คือ ใจดั้งเดิมของท่าน จิตนี้ไม่มีรูปลักษณ์ ไม่มีเหตุหรือผล ไม่มีเอ็นหรือกระดูก มันเป็นเสมือนอวกาศ ไม่อาจจับต้องได้
มันไม่ใช่จิตของพวกวัตถุนิยม หรือวิญญาณนิยม นอกจากพระตถาคตแล้ว ปุถุชนหรือคนหลง
ไม่มีใครจะสามารถหยั่งรู้ความจริงอันนี้ได้
แต่จิตนี้ก็
ไม่ใช่สิ่งที่อยู่นอกกายภายนอก ในธาตุ 4 ถ้าปราศจากจิตนี้ เราก็ไม่อาจเคลื่อนไหวได้
กายที่ไม่มีความรู้สึกตัว ก็เหมือนกับต้นไม้หรือก้อนหิน กายที่ไม่มีจิตจะเคลื่อนไหวได้อย่างไร จิตนี้ชื่อว่าทำให้กายนี้เคลื่อนไหวได้
ภาษาและพฤติกรรม สัญญาและเจตนาล้วนเป็นหน้าที่ของจิต
การเคลื่อนไหวทั้งปวง ล้วนเป็นการเคลื่อนไหวของจิต การเคลื่อนไหวจึงเป็นหน้าที่ของจิต ปราศจากการเคลื่อนไหวก็ไม่มีจิต ปราศจากจิตก็ไม่มีการเคลื่อนไหว
แต่การเคลื่อนไหวไม่ใช่จิต และจิตก็ไม่ใช่การเคลื่อนไหว
*
( *
ข้อสังเกต “ หลวงพ่อเทียน น่าจะเป็น…ปรมาจารย์เซ็นในประเทศไทย ”
การเคลื่อนไหวโดยพื้นฐานไม่ใช่จิต และจิตโดยพื้นฐานก็ไม่ใช่การเคลื่อนไหว แต่การเคลื่อนไหวก็ดำรงตัวเองไม่ได้ ถ้าปราศจากจิต และจิตก็ดำรงตัวเองไม่ได้ ถ้าปราศจากการเคลื่อนไหว และไม่มีการเคลื่อนไหวที่อยู่นอกจิต การเคลื่อนไหวจึงเป็นหน้าที่ของจิต และหน้าที่ของจิตก็คือความเคลื่อนไหว
ทฤษฎีของท่านโพธิธรรมเกี่ยวกับการเคลื่อนไหว
มาตรงกับวิธีการที่ชี้นำสู่ตัวพุทธธรรม โดยวิธีการของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ ได้อย่างสอดคล้องกัน
ถึงแม้ว่าท่านจะไม่ได้กล่าวถึงการยกมือสร้างจังหวะ หรือเดินจงกรมก็ตาม และถึงแม้ว่าท่านทั้งสองจะมีชีวิตอยู่ห่างกันถึงเกือบ 2,000 ปีก็ตาม
แต่การชี้นำเข้าสู่พุทธธรรมของ
ท่านผู้รู้ทั้งสองท่าน เกือบตรงกัน
ทุกเรื่อง
ถึงแม้สำนวนภาษาดูไม่เหมือนกันก็ตาม
แต่โดยสาระแทบจะเป็นอันเดียวกัน
ดังนั้น น่าจะกล่าวได้ว่า แนวการบรรลุธรรมของท่านทั้งสองไม่ต่างกัน แต่วิธีการ การถ่ายทอดอาจต่างกันไปตามยุคตามสมัย ดังนั้น ถ้าท่านโพธิธรรมเป็นผู้ให้กำเนิดพุทธศาสนามหายานแบบเซ็นในประเทศจีน หลวงพ่อเทียนก็อาจกล่าวได้ว่า เป็นผู้ให้กำเนิดมหายานแบบเซ็นที่แท้จริงแก่ประเทศไทย ได้เช่นกัน…
ผู้แปลไทย)
เพราะฉะนั้น จิตจึงไม่ใช่ทั้งการเคลื่อนไหวหรือการทำหน้าที่ เพราะ
สาระสำคัญในหน้าที่ของจิตคือความว่าง และความว่างโดยเนื้อแท้ก็ไม่มีการเคลื่อนไหว
ความเคลื่อนไหวก็เป็นอันเดียวกันกับจิต และจิตโดยเนื้อแท้แล้วก็ไม่มีการเคลื่อนไหว
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
Re: บทที่ 2 ธรรมเทศนาดุจกระแสเลือด ( โลหิตสูตร )
«
ตอบ #25 เมื่อ:
23 กรกฎาคม 2553 06:31:50 »
เชิงอรรถ
42* พระสังฆราชองค์แรกของวงศ์เซ็นคือพระกัสสปะ พระอานันทะเป็นองค์ที่ 2 พระปรัชญาตาระเป็นองค์ที่ 27 พระโพธิธรรมเป็นองค์ที่ 28 และเป็นสังฆราชองค์ที่ 1 ในประเทศจีนด้วย
43* รอยประทับจิต คือการเข้าสู่จิตแบบเซ็น จะมีสภาวะที่เหมือนกันทุกประการ ซึ่งสามารถทำการพิสูจน์กับของจริงได้เสมอ และเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลานานและต้องทำให้มั่นคงดุจตราประทับเลยทีเดียว
44* มหา แปลว่า ใหญ่ ยานะ แปลว่า ยานพาหนะ เป็นรูปแบบที่ทรงพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธศาสนาในเอเชียฝ่ายเหนือ เอเชียกลางและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ศัพท์ว่า หินยาน จึงถูกนำมาใช้เรียก นิกายฝ่ายเถรวาทด้วย
45*Atom* ในยุคแรก พุทธศาสนานิกายสรวัสติกวาทิน ได้กล่าวถึงเรื่องของอนุภาคปรมาณูเอาไว้ว่า ปรมาณูเป็นสิ่งที่จะรู้ได้ด้วยสมาธิเท่านั้น และอนุภาคทั้ง 7 เหล่านี้ ก่อให้เกิดปรมาณูต่าง ๆ ขึ้นมา และปรมาณูทั้ง 7 ก็ก่อให้เกิดอนูขึ้น ซึ่งจะมองเห็นได้ก็เฉพาะผู้ที่มีโพธิจักษุเท่านั้น นิกายสรวัสติกวาทิน กล่าวอ้างว่า ร่างกายของมนุษย์นั้นเกิดมาจากอนูต่าง ๆ ถึง 84,000 84,000 มักนำมาใช้กับปริมาณที่นับไม่ได้อยู่บ่อย ๆ (*
ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา , ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นธรรม
…ในพระบาลี )
จบบทที่ 2
ธรรมเทศนา
ดุจ
กระแสเลือด ( โลหิตสูตร )
P
i
c
by
: Google
ข้อมูลส่วนนี้นำมาจาก :
http://www.yimwhan.com/board/show.php?user=modx&topic=47&Cate=8
โพสต์โดย : คุณมดเอ็กซ์
http://www.tairomdham.net/index.php/topic,220.15.html
อนุโมทนาสาธุธรรม
และอนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ
บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า:
1
2
1
[
2
]
ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
กระโดดไป:
เลือกหัวข้อ:
-----------------------------
จากใจถึงใจ
-----------------------------
=> หน้าบ้าน สุขใจ
===> สุขใจ ป่าวประกาศ (ข้อความจากทีมงาน)
===> สุขใจ เสนอแนะ (ข้อความจากสมาชิก)
===> สุขใจ ให้ละเลง (มุมทดสอบบอร์ด)
-----------------------------
สุขใจในธรรม
-----------------------------
=> พุทธประวัติ - ประวัติพระสาวก
===> พุทธประวัติ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
===> ประวิติพระอรหันต์ พระสาวก ในสมัยพุทธกาล
===> ประวัติพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ในยุคปัจจุบัน
===> นิทาน - ชาดก
=====> ชาดก พระเจ้า 500 ชาติ
=> ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
===> ธรรมะจากพระอาจารย์
===> เกร็ดครูบาอาจารย์
=> ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4
=> สมถภาวนา - อภิญญาจิต
=> จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
=> เสียงธรรมเทศนา - เอกสารธรรม - วีดีโอ
===> เอกสารธรรม
===> เสียงธรรมเทศนา
=====> ธรรมะจาก สมเด็จโต
=====> ธรรมะจาก หลวงปู่มั่น
=====> เสียงบทสวดมนต์
=====> เพลงสวดมนต์
=====> เพลงเพื่อจิตสำนึก แด่บุพการี
=====> ธรรมะ มิวสิค (เพลงธรรมทั่วไป)
===> ห้อง วีดีโอ
=> เกร็ดศาสนา
=> กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ
=> ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก
=> บทสวด - คัมภีร์ คาถา - วิชา อาคม
=> พุทธวัจนะ - ภาษิตธรรม
===> พุทธวัจนะ ในธรรมบท
===> พุทธศาสนสุภาษิต
===> คำทำนายภัยพิบัติที่จะเกิด
===> รวมข่าวภัยพิบัติ ทั้งในอดีต และปัจจุบัน
===> รู้ เพื่อ รอด (การเตรียมการ)
=> ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม
===> ฐานข้อมูล มูลนิธิต่าง ๆ ในประเทศไทย (Donation Exchange Center)
-----------------------------
วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ
-----------------------------
=> วิทยาศาสตร์ - จักรวาล - การค้นพบ
===> เรื่องราว จากนอกโลก
=====> ประสบการณ์เกี่ยวกับ UFO
=====> หลักฐาน และ การพิสูจน์ยูเอฟโอ
=====> คลิปวีดีโอ ยูเอฟโอ
=> ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม
=> เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ
===> ร้อยภูติ พันวิญญาณ
=====> ประสบการณ์ ผี ๆ
=======> เรื่องเล่าในรั้วมหาลัย
=====> ประวัติ ต้นกำเนิด ตำนานผี
===> ดูดวง ทำนายทายทัก
===> ไดอะล็อก คือ ดอกอะไร - พลังไดอะล็อก (Dialogue)
===> กระบวนการ NEW AGE
=> เครื่องราง ของขลัง พุทธคุณ
-----------------------------
นั่งเล่นหลังสวน
-----------------------------
=> สุขใจ จิบกาแฟ
=> สุขใจ ร้านน้ำชา
=> สุขใจ ห้องสมุด
===> สุขใจ หนังสือแนะนำ
===> สุขใจ คลังความรู้ลวงโลก
===> สยาม ในอดีต
=> สุขใจ ใต้เงาไม้
=> สุขใจ ตลาดสด
=> สุขใจ อนามัย
=> สุขใจ ไปเที่ยว
=> สุขใจ ในครัว
===> เกร็ดความรู้ งานบ้าน งานครัว
=> สุขใจ ไปรษณีย์
=> สุขใจ สวนสนุก
===> ลานกว้าง (มุมดูคลิป)
===> เวที จำอวด (จำอวดหน้าม่าน)
===> หนังกลางแปลง (ดูหนัง รีวิวหนัง)
===> หน้าเวที (มุมฟังเพลง)
=====> เพลงไทยเดิม
===> แผงลอยริมทาง (รวมคลิปโฆษณาโดน ๆ)
คุณ
ไม่สามารถ
ตั้งกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
ตอบกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แนบไฟล์ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความได้
BBCode
เปิดใช้งาน
Smilies
เปิดใช้งาน
[img]
เปิดใช้งาน
HTML
เปิดใช้งาน
กำลังโหลด...