[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
22 ธันวาคม 2567 20:23:10 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: มหาปัญญา  (อ่าน 1809 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7866


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 5.0.375.99 Chrome 5.0.375.99


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 21 กรกฎาคม 2553 22:36:10 »

[ บทความนี้เดิมทีเคยโพสท์ไว้ในบอร์ดเก่า โดย อ.ฐิตา ขอขอบคุณมา ณ. ที่นี้ด้วย ]




มหาปัญญา



ไม่ว่ามนุษย์ถือกำเนิดมาจากฐานะแตกต่างกันอย่างไร ต่างก็มีปัญญาเท่าเทียมกัน แต่เวลาเปล่งอานุภาพกลับต่างกัน ที่เป็นดังนี้เพราะมีกิเลสบดบังจึงทำให้ดูเหมือนปัญญาแตกต่างกันดังนั้นบางคนจึงได้ชื่อว่า "ฉลาด" แต่บางคน "โง่เขลา" คนธรรมดาสามารถใช้ปัญญาแยกแยะ "ดีชั่ว" ออกจากกันได้แต่กลับติดตรึงอยู่กับ "ความดี" หรือบางคนติดอยู่กับ "ความชั่ว" ปัญญาจึงมิอาจเปล่งประกายอานุภาพออกมาได้อย่างเต็มที่

พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจึงกล่าวว่า "มหาปรัชญาปารมิตาเป็นปัญญาอันใหญ่หลวงซึ่งเป็นของสูงสุดใหญ่ยิ่ง อยู่ในสภาวะที่ ไม่หยุด ไม่ไป และไม่มา" ปัญญาอันใหญ่ยิ่งนี้เมื่อเริ่มต้นคิด ไม่ว่าอานุภาพนั้นดีหรือชั่วก็ "ไม่หยุด" ที่จะตัดทิ้งไปเสีย เพราะฉะนั้นจึงเป็นผู้มีสติอยู่ในสภาวะเดิมที่ "ไม่ไป" และจึงไม่จำเป็นต้อง "มา" ถ้าเปรียบเทียบกับ "ปัญญาธรรมดา" เมื่อเริ่มต้นคิดสิ่งใดไม่ว่าดีหรือชั่วก็ไม่เคย "หยุด" และกลับคิดไปไกลจนกว่าจะรู้สึกตัว จึงสามารถดึงกลับมาอยู่ในสภาวะเดิม เพราะฉะนั้นมีคนเป็นจำนวนมากต้องตกไปสู่อบายภูมิเพราะไม่มี "สติ" ปล่อยให้ปัญญาความคิดพาตัวกระทำความชั่วจนกิเลสพอกหนาแน่นบดบังปัญญาเดิมแท้ที่ไม่อยู่ในภาวะดีหรือชั่ว

ความมีสติหยุดนิ่งพร้อมสำแดงศักยภาพตลอดเวลาที่มีผัสสะเข้ามากระทบ ปัญญานั้นสามารถแยกแยะได้ตลอด แต่อำนาจของปัญญาอันสูงสุดหรือที่เรียกว่า "มหาปัญญา" ย่อมมีอนุภาพยิ่งใหญ่ที่สามารถตัด "ความดี" หรือ "ความชั่ว ทิ้งไปได้ทันที เพราะเหตุนี้เองพระธรรมาจารย์ฮุ่ย- เหนิงจึงยืนยันว่า พระพุทธเจ้าในอดีต ปัจจุบันและอนาคต ล้วนแต่ใช้ "มหาปรัชญาปารมิตา" ทำให้บรรลุถึงความเป็นพระพุทธเจ้า ปัญญาอันสูงสุดเช่นนี้จึงสามารถตัดอุปาทาน ซึ่งยึด "ขันธ์ห้า" อันได้แก่ "รูป" เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ" ทิ้งไปได้ เมื่อขจัดความผูกพันกับขันธ์ได้เช่นนี้ภาวะเดิมแท้ของธรรมญาณจึงเปล่งประกายออกมา โลภะจึงกลายเป็น ศีล โทสะจึงกลายเป็น สมาธิ โมหะจึงกลายเป็น ปัญญา

ความหมายอันแท้จริงกล่าวได้ว่า ภาวะเดิมแท้ของธรรมญาณมีความสำรวมเป็น "ศีล สมาธิ ปัญญา" พร้อมมูลอยู่แล้ว พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวว่า ตามวิธีปฏิบัติของพระองค์นั้น ปัญญาดวงเดียวเท่านั้นสามารถสร้างความรอบรู้ถึงแปดหมื่นสี่พันวิถีเท่ากับจำนวนกิเลสที่ต้องใช้ปัญญาดับไป พระพุทธองค์ตรัสแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์จึงเริ่มต้นจาก "มหาปัญญาอันสูงสุด" ทั้งสิ้น ซึ่งมีอยู่แล้วครบถ้วนในธรรมญาณ

โดยไม่อาจแยกปัญญาออกจากธรรมญาณได้เลย ผู้ใดเข้าถึงหลักธรรมปฏิบัติเช่นนี้จึงไม่มีอาการของความคิดเฉื่อยชาหรือท้อแท้ เพราะสภาวะแห่งธรรมญาณที่เป็นอิสระหรือไม่ติอยู่ในอารมณ์อันทำให้จิตทะเยอทะยานจึงเป็นการปล่อยให้ "ตถตา" อันเป็นธรรมญาณทำหน้าที่โดยการใช้ปัญญาพิจารณาความเป็นจริงของสิ่งทั้งปวงไม่ตกอยู่ในภาวะผลักดันหรือแม้แต่ดึงดูดสรรพสิ่งภาวะเช่นนี้จึงเป็นการรู้แจ้งแทงตลอดถึงธรรมญาณและบรรลุเป็นพระพุทธได้ พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวว่า การเข้าถึงสภาวะเช่นนี้ต้องเจริญด้วยปัญญาและศึกษาวัชรัจเฉทิกสูตรอันเป็นสูตรที่เปรียบประดุจดังเพชร สำหรับตัดกิเลสทั้งปวงและทำให้รู้แจ้งแทงตลอดใน "ธรรมญาณ"

ผลดี แห่งการศึกษาพระสูตรนี้มีมากมายนัก และผู้ศึกษาพระสูตรนี้ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้อย่างลึกซึ้งก็คือผู้ที่มีปัญญาแก่กล้าและสามารถเข้าใจความหมายอันลึกซึ้งได้ แต่สำหรับผู้ที่มีปัญญาน้อย เมื่อได้ฟังพระสูตรนี้ก็จักเกิดความสงสัยและไม่เชื่อถือข้อความในพระสูตรนี้ ท่านได้เปรียบเอาไว้อย่างน่าสนใจว่า เสมือนหนึ่งฝนตกหนักในชมพูทวีป นครเมือง และหมู่บ้านย่อมไหลเลื่อนไปตามกระแสน้ำ เช่นเดียวกับใบอินผลัม แต่ถ้าฝนนี้ตกหนักในมหาสมุทรก็เหมือนกับไม่ได้รับผลกระเทือนแต่ประการใดเลย

นักศึกษาฝ่ายมหายานเมื่อได้สดับพระสูตรนี้ใจของเขาจะสว่างโพลงและทราบได้ด้วยปัญญาตนเองว่าปัญญานั้นมีอยู่ในธรรมญาณแล้วและเชื่อว่าตนเองไม่ต้องอาศัยพระไตรปิฎกก็สามารถใช้ปัญญาให้เป็นประโยชน์โดยข้ามพ้นฝั่งแห่งวัฏสงสารได้ด้วยการเจริญวิปัสสนาภาวนาเป็นนิจนั่นเอง วิปัสสนาภาวนา มีความหมายถึง การใช้ปัญญาตัดกิเลสได้เสมอไป เช่นตัวอย่างแม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยว คุณสมบัติส่วนตัวอ่านหนังสือไม่ออกแต่ได้รับรู้พุทธจิตธรรมญาณของตน วันหนึ่งมีแม่บ้านคนหนึ่งมาซื้อก๋วยเตี๋ยว 1 กิโลกรัม แต่ขอแถมถั่วงอก 2 กำมือ เต้าหู้ 2 ชิ้น และต้นหอม 10 ต้น สิ่งแรกที่แม่ค้าคิดคือ แม่บ้านคนนี้โลภมาก แต่ตนเองเพราะรู้พุทธจิตธรรมญาณ ความคิดที่ตามมาคือ ถ้าไม่แถมให้แม่บ้านเราเองก็โลภเช่นกัน อยากขายน้อยๆ ได้เงินมากๆ แม่ค้าจึงใช้วิปัสสนาญาณตัดโลภของตนเองทิ้งไปจากการแถมให้ตามที่แม่บ้านขอและกระทำเช่นนี้ถึง 10 ครั้ง จนในที่สุด แม่บ้านจึงเกิดความละอายขอจ่ายเงินในครั้งที่ 11 อันเป็นผลของการตัดกิเลสความโลภของตนเองได้ด้วย

พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวว่า ปัญญาที่มีอยู่ในธรรมญาณของคนเราเปรียบได้ดังฝน ซึ่งความชุ่มชื่นย่อมทำความสดชื่นให้แก่สิ่งมีชีวิตทุกๆ สิ่ง รวมทั้งต้นไม้พืชพันธุ์ธัญญาหาร ตลอดถึงสรรพสัตว์ ดังนั้นเมื่อแม่น้ำและลำธารไหลไปถึงทะเล น้ำฝนที่มันพาไปอันผสมเป็นอันเดียวกันกับน้ำในมหาสมุทร แต่ถ้าฝนตกลงมาห่าใหญ่ ต้นไม้ที่รากหยั่งไม่ถึงพอย่อมถูกน้ำพัดซัดถอนรากลอยไปตามน้ำและสูญหายไป ในที่สุดไม่มีอะไรเหลือ จึงเปรียบได้กับคนปัญญาทึบเข้าใจอะไรได้ยาก พอได้ฟังคำสอนของชั้น "บรรลุฉับพลัน" ที่แท้จริง แม้ปัญญาของบุคคลประเภทนี้จักเป็นประเภทเดียวกับพวกปัญญาไว แต่เขาก็ไม่อาจทำตนให้ตรัสรู้ได้ในขณะที่ฟังธรรมะนั้น

ที่เป็นดังนี้เพราะเขาถูกครอบงำด้วยคววามคิดผิดเห็นผิดซึ่งลงรากลึกเสียแล้ว พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงเปรียบเทียบว่า เหมือนหนึ่งดวงอาทิตย์ถูกบดบังด้วยเมฆไม่สามารถส่องแสงของตนออกมาได้จนกว่าจะมีลมมาพัดพาเมฆหมอกนั้นออกไป แสงสว่างของดวงอาทิตย์จึงปรากฏฉันใดก็ฉันนั้น ผู้บำเพ็ญจึงไม่อาจแบ่งแยกดูถูกผู้โง่เขลา มีแต่เมตตา หาทางขจัดเมฆหมอกแห่งกิเลสของเขาออกไปเท่านั้นเอง
 



 :) http://www.baanjomyut.com/pratripidok/wenglang/17.html



อนุโมทนาสาธุค่ะ

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
คำค้น: มหา มหาปัญญา ฉลาด โง่เขลา โง่ ความดี ความชั่ว 
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.353 วินาที กับ 31 คำสั่ง

Google visited last this page 30 พฤศจิกายน 2567 15:12:02