ก่อนตายนึกถึงพระพุทธเจ้าตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก
“..เมื่อ วันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๓๑ พูดถึงคนไปสวรรค์ คือตายจากความเป็นมนุษย์แล้วไปเกิดบนสวรรค์โดยไม่ต้องผ่านสำนักพระยายมราช เพราะการไปสวรรค์จริงๆ ถึงแม้ว่ากำลังใจจะไม่เข้มข้น หรือว่าทำบุญมาไม่มากนักก็ตาม จะเป็นการทำบุญชั่วจับพลัดจับผลูนิดหน่อยประเดี๋ยวเดียว หรือชั่วขณะหนึ่งแต่ว่ามีความตั้งใจจริงและยิ่งกว่านั้นการตั้งใจเพื่อทำบุญ อาจจะไม่ตรงนัก อาจตั้งใจเพื่อประโยชน์อย่างอื่นแต่บังเอิญไปตรงจุดของบุญเข้าอย่างนี้บุญก็ บันดาลให้คนนั้นไปสวรรค์ได้ โดยไม่ต้องผ่านสำนักพระยายมราช ไม่ต้องมีการสอบสวน ดังตัวอย่าง
ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร
ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรท่าน เกิดในตระกูลที่นับถือศาสนาพราหมณ์ พราหมณ์นั้นแบ่งเป็น ๒ พวกคือ พวกที่นับถือศาสนาพราหมณ์โดยตรง ไม่ยอมเคารพนับถือพระพุทธศาสนา กับพราหมณ์ที่มีเหตุมีผลยอมรับนับถือเห็นว่าองค์สมเด็จพระทศพลทรงสอนตรงตาม ความเป็นจริง แต่ตระกูลพราหมณ์ของท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรเป็นตระกูลที่ไม่ยอมรับนับถือพระ พุทธเจ้า บิดาของท่านอยู่ในฐานะคหบดี เป็นคนรวยมากและเป็นคณาจารย์ใหญ่ของพราหมณ์ ท่านมีลูกชายคนเดียว คือ ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร สมัยเป็นมนุษย์ท่านชื่ออะไรก็ไม่ทราบแต่สมัยที่เป็นเทวดาท่านมีต่างหู เกลี้ยง จึงได้นามว่า “มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร”
ต่อมาท่าน ป่วย ท่านพ่อแสนจะขี้เหนียว จะซื้อยาหรือจะหาหมอมารักษาให้ลูกชายก็สามารถทำได้เพราะเป็นคหบดีมีทรัพย์ นับเป็นสิบโกฏิ แต่ท่านไม่ทำเนื่องจากเสียดายสตางค์ที่มีอยู่ กลับไปถามหมอว่า “ลูกชายฉันเป็นโรคผิวเหลือง จะรักษาด้วยยาอะไรดี” หมอ ก็บอกยากลางบ้านแบบธรรมดาๆ เมื่อได้ตำรายากลางบ้านมาแล้วก็นำมาให้ลูกชายกิน ก็ไม่หายไข้ ทรุดลงตามลำดับ เมื่อลูกชายไข้ทรุดมาก ท่านก็มีความรู้สึกว่า เวลานี้ลูกชายนอนอยู่ในห้องสวยๆ ข้างในมีทรัพย์สินมาก มีเครื่องประดับประดามาก ถ้าบังเอิญญาติของเรารู้ข่าวว่าลูกชายของเราป่วย ก็จะพากันมาเยี่ยม และคนที่มาเยี่ยมนั้นถ้ามาเห็นของที่ชอบใจแล้วเกิดขอ ถ้าไม่ให้ก็จะเป็นการขัดใจกัน ทางที่ดีเพื่อเป็นการหลบเรื่องนี้ จึงเอาลูกชายมานอนที่ระเบียงบ้าน ซึ่งไม่มีทรัพย์สินอะไรเป็นเครื่องประดับ
ต่อมาอาการ ป่วยทรุดหนักขึ้นทุกวัน แม้แต่แขนขาก็ยกไม่ขึ้น ท่านพ่อก็ไม่ยอมทำยาอย่างดีมารักษาโรคให้ เมื่อความตายปรากฏชัด แต่ทว่าท่านมัฏฐกุณฑลีก็ยังไม่อยากจะตาย จึงไม่มีความรู้สึกว่าเวลานี้จะต้องตาย คิดในใจแต่เพียงว่าเราต้องหายจากโรคนี้ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ปมาโท มัจจุโน ปทัง”แปลว่า “ความประมาทเป็นทางแห่งความตาย”ความ จริงอาการตายปรากฏชัดแต่ท่านยังไม่คิดว่าจะตาย จะหันไปหาพ่อแม่ก็หมดทางที่ท่านทั้งสองจะช่วยเหลือ เพราะท่านไม่สนใจท่านสนใจแต่ทรัพย์สินที่มีอยู่ ในที่สุดทุกขเวทนาเครียดมาก จึงมีความรู้สึกว่าชาวบ้านเขาลือกันว่า “สมเด็จ พระสมณโคดมท่านเป็นพระใจดีมาก มีเมตตาสูง พระองค์สงเคราะห์ไม่ว่าใคร เวลานี้เราป่วยหนักอยากจะให้พระองค์มารักษา เราจะได้หายจากโรค”
ให้พิจารณา ความรู้สึกของท่านมัฏฐกุณฑลีว่า ไม่ได้มีความรู้สึกยอมรับนับถือพระพุทธเจ้าในด้านของความดีอย่างอื่น แต่ท่านมีความรู้สึกแต่เพียงว่าพระพุทธเจ้ามีความเมตตาไม่เลือกบุคคล และใจของท่านเวลานั้นก็นึกอยากจะให้พระองค์มาช่วยรักษาโรคเท่านั้น อาศัยที่เจตนาตั้งใจยอมรับนับถือพระพุทธเจ้าเพื่อให้เป็นหมอรักษาโรค ความจริงถ้าดูกันจริงๆ แล้วมันไม่ตรงกับบุญนัก ถ้าตรงกับบุญก็ต้องยอมรับนับถือในความดีและปฏิบัติตามคำสั่งสอนของท่านแต่ นี่ท่านไม่ได้คิดอย่างนั้น ท่านต้องการเพียงให้มาช่วยรักษาโรคให้หายเท่านั้น
นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อนตาย
แต่ พระพุทธเจ้าก็มีพระมหากรุณาธิคุณ ในตอนเช้าทรงเสด็จมาบิณฑบาตกับพระอานนท์ ผ่านบ้านพราหมณ์ บ้านนั้นเขาไม่ยอมใส่บาตร และไม่ยอมยกมือไหว้เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จผ่านไป เวลานั้นท่านมัฏฐกุณฑลีนอนตะแคงหันหน้าเข้าหาฝา เห็นแสงสว่างประกายพุ่งมาเข้าตาของท่าน ก็สะดุดใจกลับตัวเหลียวไปเห็นองค์สมเด็จพระบรมศาสดากับพระอานนท์กำลังเดิน บิณฑบาต ท่านจับภาพพระพุทธเจ้าขณะเดินบิณฑบาตกับภาพพระอานนท์ กับแสงที่ปรากฏกับตาของท่าน นึกถึงพระพุทธเจ้า ขอพระองค์จงสงเคราะห์ให้ข้าพเจ้าหายจากโรคเดี๋ยวนี้เถิด ขณะที่ท่านนึกอยู่อย่างนั้น แทนที่จะหายจากโรคกลับหายจากความเป็นคน นั่นก็คือ ตายจากความเป็นคนเวลานั้น ก็ไม่ผ่านสำนักของท่านพระยายมราช เพราะนึกถึงพระพุทธเจ้าอยู่ จึงตรงไปสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ได้วิมานทองคำสูงใหญ่มาก แล้วท่านก็เป็นเทวดาอยู่ในวิมานนั้น มีต่างหูเกลี้ยงจึงมีนามว่า “มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร”มีนางฟ้าหนึ่งพันเป็นบริวาร
หลังจากลูก ชายตาย ปรากฏว่าตอนเช้าๆ ท่านพ่อไปที่หลุมฝังศพของลูก ไปยืนพรรณนาขอให้ลูกชายกลับมาเกิดใหม่ เพราะเป็นลูกคนเดียว ต่อไปจะไม่มีใครรับมรดกเป็นผู้ปกครองทรัพย์สมบัติ ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรเห็นท่านพ่อไปยืนพรรณนาให้กลับมาเกิดเป็นลูกใหม่ ก็มีความรู้สึกในใจว่า “ท่านพ่อของเราเป็นคนพาล” คำว่า “พาล”แปลว่า “โง่”เป็น คนพาลคือเป็นคนโง่ เวลาเรามีชีวิตอยู่ก็แสนจะขี้เหนียว มีเท่าไรเก็บหมด ไม่ค่อยจะกินจะใช้ เวลาเราป่วยไข้ไม่สบาย ค่ายาค่าหมอเป็นของไม่มากนัก ก็ไม่ยอมเสียสละเงินเพื่อรักษาเรา ปล่อยให้เราต้องนอนทนทุกขเวทนา ให้กินยากลางบ้านซึ่งไม่ถูกกับโรค ในที่สุดเราก็ต้องตาย
แต่ด้วย อาศัยสมเด็จพระสมณโคดมทรงสงเคราะห์เราขณะที่เสด็จไปทรงบิณฑบาตแผ่แสงให้ปลา กดชัด จึงได้มีความยอมรับนับถือขอให้พระองค์ทรงช่วยให้หายจากโรค แต่อาการของร่างกายมันเกินวิสัยที่จะทรงอยู่ ด้วยบุญเพียงเล็กน้อยเท่านี้ก็สามารถทำให้เราเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาว ดึงสเทวโลก มีวิมานทองคำเป็นที่อยู่ มีเครื่องประดับเป็นทิพย์มีร่างกายเป็นทิพย์ มีความเป็นอยู่อย่างเป็นทิพย์ มีความสุขมาก มีนางฟ้าหนึ่งพันเป็นบริวาร แต่ท่านพ่อของเราจมปรักอยู่กับความโง่ เราต้องไปทำให้ท่านพ่อเป็นสัมมาทิฐิ คือมีความเห็นถูกคลายจากความโง่ ให้มีความรู้สึกเคารพยอมรับนับถือในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เมื่อท่าน คิดอย่างนี้แล้ว จึงแปลงลงมาเป็นคนเหมือนรูปร่างเดิม เห็นท่านพ่อยืนร้องไห้อยู่ปากหลุมศพ ท่านจึงมายืนร้องไห้บ้างใกล้ๆ ท่านพ่อ พอท่านพ่อเห็นก็คิดว่าชายผู้นี้เหมือนลูกชายเราถ้าได้ไว้เป็นลูกจะดีมาก จึงเข้าไปใกล้ถามว่า “เธอร้องไห้ทำไม” ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรก็ถามว่า “คุณลุงร้องไห้ทำไม” ท่านพ่อก็ตอบว่า “ฉัน ร้องไห้คิดถึงลูกชายของฉัน ลูกชายของฉันกำลังเป็นหนุ่มแน่น เป็นคนน่ารัก เป็นคนดีมาก แต่ทว่าเธอต้องมาตาย ซึ่งอายุยังน้อย ฉันมีลูกคนเดียวไม่มีใครปกครองทรัพย์สิน ถ้าลูกของฉันอยู่ก็จะมีโอกาสได้ปกครองทรัพย์สิน แต่ถ้าลูกของฉันกลับมาได้ ฉันก็จะให้ปกครองทรัพย์สินใหม่ ถ้าเธอไม่รังเกียจเป็นลูกบุญธรรมของฉัน ฉันก็จะให้ปกครองทรัพย์สินแทนลูกชายของฉัน “ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ได้ฟังดังนั้นก็นึกในใจว่า “พ่อ ของเราเมื่อเรามีชีวิตอยู่ ไม่ยอมซื้อยาแพง ไม่ยอมหาหมอมารักษา ขี้เหนียวที่สุด แต่เวลานี้กลับเห็นเราซึ่งเป็นคนอื่น จะมอบทรัพย์สมบัติให้บุคคลนั้น” ท่านพ่อได้ถามท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรว่า “เธอร้องไห้ทำไม” ท่านจึงตอบว่า “ฉันร้องไห้เพราะว่าฉันมีรถทองคำอยู่คันหนึ่งสวยมาก แต่ยังหาล้อที่เหมาะสมไม่ได้” ท่านพ่อก็ถามว่า “เธอต้องการล้อเงินหรือล้อทอง ฉันจะจัดให้ตามความประสงค์” ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรก็คิดว่า “นี่เราเป็นคนอื่น ท่านพ่อจะให้ล้อเงินกับล้อทอง แต่เวลาที่เรามีชีวิตอยู่ไม่ยอมรักษาโรคให้ทรัพย์สมบัติก็ไม่ให้” จึงแกล้งบอกว่า “ฉันต้องการดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์มาเป็นล้อทั้งสองข้าง” ท่านพ่อก็คิดว่า “ไอ้เจ้าเด็กนี่บ้า” ก็เลยบอกว่า “เธอบ้า เพราะว่าดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์ใครจะนำมาได้” ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรจึงบอกว่า “ในเมื่อฉันต้องการดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์เป็นสิ่งที่ฉันเห็นได้ แต่ท่านต้องการลูกชายที่ท่านเห็นไม่ได้ ใครจะบ้ามากกว่ากัน”
เป็นอันว่า ท่านพ่อก็ยอมรับว่าบ้ามากกว่า ในที่สุดท่านมัฏฐกุณฑลีก็แสดงตนเป็นเทวดาประกาศให้ทราบว่าท่านคือลูกชาย เวลานี้ไปเกิดอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ท่านพ่อก็ถามว่า “ไปได้เพราะเหตุใด” ท่านก็ตอบว่า “ก่อน จะตายเห็นสมเด็จพระสมณโคดมกับพระอานนท์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านนึกถึงสมเด็จพระสมณโคดมขอให้พระองค์มาช่วยรักษาโรคให้ หาย แต่บังเอิญตายเสียก่อน เมื่อตายจากความเป็นคนก็ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีวิมานทองคำเป็นที่อยู่ มีนางฟ้าหนึ่งพันเป็นบริวาร ท่านจึงแนะนำท่านพ่อว่า “ต่อนี้ไปขอพ่อโปรดเคารพองค์สมเด็จพระบรมครู จงถวายทานในสำนักของท่าน จงรักษาศีล จงฟังเทศน์ ตายแล้วจะไปสวรรค์” แล้วท่านก็ลากลับไป
เมื่อท่านพ่อกลับไปบ้านด้วยความดีใจบอกภรรยาว่า “วันนี้ฉันจะไปนิมนต์สมเด็จพระสมณโคดมกับพระสาวกมาฉันภัตตาหารที่บ้าน ทำกับข้าวให้มาก” ครั้น เมื่อไปพบองค์สมเด็จพระจอมไตร เวลานั้นมีชาวบ้าน ๒ พวก เป็นพวกของพราหมณ์กับพวกที่นับถือพระพุทธศาสนา ต่างคนต่างตามไป พวกของพราหมณ์ก็คิดว่า “วันนี้เราจะดูอทินกบุพกพราหมณ์ คือท่านพ่อของท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ย่ำยีสมเด็จพระสมณโคดม” สำหรับบรรดาพุทธบริษัทก็คิดว่า “วันนี้ จะดูลีลาพระพุทธเจ้าทรงสอนพราหมณ์ที่เป็นมิจฉาทิฐิให้เป็นสัมมาทิฐิทั้งสอง ฝ่ายต่างก็ไปยืนรวมกันที่นั่น เมื่อไปถึงแล้วท่าน อทินกบุพกพราหมณ์ก็ยกมือไหว้องค์สมเด็จพระบรมครูแล้วกล่าวว่า “ผม อยากจะทราบว่า คนที่ไม่เคยใส่บาตรกับพระองค์ ไม่เคยฟังเทศน์ ไม่เคยรักษาศีล ไม่เคยยกมือไหว้นึกถึงชื่อพระองค์อย่างเดียว ตายแล้วไปสวรรค์มีไหม” องค์สมเด็จพระจอมไตรก็ตรัสว่า “คนที่ไม่เคยใส่บาตร ไม่เคยฟังเทศน์ ไม่เคยยกมือไหว้ นึกถึงชื่อตถาคตอย่างเดียว ตายแล้วไปสวรรค์ไม่ใช่นับร้อย นับพัน นับเป็นโกฏิ”
หลังจากนั้น พระองค์ก็ทรงเรียกท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรให้มาพร้อมวิมาน ท่านก็ลงจากวิมานมากราบพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ทรงเทศน์โปรด เมื่อเทศน์จบ ท่านมัฏฐกุณฑลีก็เป็นพระโสดาบัน คนที่ยืนฟังอยู่ที่นั่นต่างก็บรรลุมรรคผลไปตามๆ กัน
การที่นำเรื่องท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร มาเล่าให้ฟังก็เพื่อต้องการให้ท่านทั้งหลายทราบว่า คนที่ตั้งใจนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็น พุทธานุสติกรรมฐานถึง แม้ว่าในกาลก่อนจะไม่เคยยอมรับนับถือ แต่เวลาก่อนจะตายถ้านึกถึงชื่อขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา อย่างท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรอย่างนี้ตายแล้วไปสวรรค์แน่นอนโดยไม่ต้องผ่าน สำนักพระยายมราช แต่ว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายได้เปรียบกว่าท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรมาก เพราะว่าทุกคนยอมรับนับถือพระพุทธเจ้ามาในกาลก่อนและปัจจุบันก็ยังยอมรับ นับถือ มีความเคารพในองค์สมเด็จพระบรมครู ถ้าหากว่าทุกท่านจะซ้อมความรู้สึกนึกถึงพระพุทธเจ้า คือตื่นขึ้นจากที่นอนสัก ๒-๓ นาที ว่ายอมรับนับถือในความดีของพระพุทธเจ้าด้วยความจริงใจ และก็ตั้งใจรักษาความดีอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่นตั้งใจจะให้ทานก็คิดในใจว่าเราต้องการให้ทานถ้าโอกาสจะพึงมีเพียงเท่า นี้จิตใจของท่านจะตั้งอยู่ในพุทธานุสติกรรมฐานกับจาคานุสติกรรมฐาน เวลาตายบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย อย่างเลวที่สุดก็ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ถ้าอย่างสูงที่สุดเห็นจะต้องไปพระนิพพาน เพราะว่า พระพุทธโฆษาจารย์ รจนาวิสุทธิมรรค ท่านกล่าวว่า บุคคลใดเจริญพุทธานุสติกรรมฐานเป็นประจำ บุคคลนั้นไปพระนิพพานง่ายที่สุด..”